วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 18:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2017, 05:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


“ คนใดว่าตนดี คนนั้นยังไม่ดี
ใครว่าตนวิเศษวิโส
หรือฉลาดเฉียบแหลม
คนนั้น คือ คนโง่
แท้จริง ความนึกคิด ไม่ใช่ทุกข์
แต่การไปยึดความนึกคิด
มาเป็นของตน จึงเป็นทุกข์
ผู้ใด ทำใจให้ถึงความเป็นกลางได้
ผู้นั้น จะพ้นจากทุกข์ทั้งปวง”
-:- หลวงปู่หา สุภโร -:-





"ขณะพูดคุยกับใคร
พูดให้เขาฟังบ้าง หัดฟังเขาพูดบ้าง
ให้คนที่เราคุยด้วย รู้สึกว่าเขาเก่ง
มิใช่เราเก่งอยู่คนเดียว"
-:- หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป -:-




กิเลสนี่เหมือนแมว ถ้าให้กินตามใจ มันจะยิ่งมาเรื่อย เรื่อย เรื่อย
มีอยู่วันหนึ่ง ถ้ามันกวนนัก ไม่ต้องให้อาหารมันเถอะ
ทำให้กิเลสกลัวเรา อย่าทำให้เรากลัวกิเลส
หลวงปู่ชา สุภัทโท



ที่ประพฤติธรรม ที่ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่อยู่นู้น ไม่ใช่อยู่นี้
อยู่ที่กายกับใจ ไม่ใช่อยู่ที่ตำรา อยู่ที่ตัวหนังสือ
อยู่ที่กาย ที่ใจ
หลวงปู่ชา สุภัทโท




"...คนเราทุกวันนี้ มีความสำคัญมั่นหมายในตัวตน เหมือนกับว่ามันมีอยู่จริง พอมีอะไรมากระทบ ก็เลยถูกตัวตนจนเป็นทุกข์ จะพยายามป้องกันไม่ให้สิ่งต่างๆมาตก มากระทบ มากระแทก ก็ไม่เคยสำเร็จสักที อาจจะสำเร็จเป็นบางครั้ง แต่ในที่สุดก็หนีการกระทบอารมณ์ไม่พ้น
เช่น เจอคำพูดที่ไม่เพราะ เจอเวทนาที่ไม่น่ายินดี เจอความพลัดพรากสูญเสีย สิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนก้อนหินที่เข้ามากระทบกระแทกตัวตนของเรา
แต่ถ้าเราเห็นกระจ่างจนกระทั่งไม่ปรุงแต่งตัวตนขึ้นมา มันก็ไม่มีอะไรจะมากระทบกระแทกได้ ความทุกข์มีอยู่ แต่ไม่มีผู้ทุกข์ ความโกรธอาจจะมีอยู่ แต่ไม่มีผู้โกรธ
อารมณ์เหล่านั้นมันไม่มีที่ตั้ง มันมาแล้วก็วูบหายไป
ขอให้เราพยายามศึกษาดูจิตดูใจของเรา จนกระทั่งเห็นต้นตอของความทุกข์ว่าอยู่ตรงนี้ มันไม่ใช่วัตถุ ไม่ใช่บุคคล แต่เป็นตัวตนต่างหาก ที่เป็นต้นตอของความทุกข์
เป็นเพราะความหลง ก็เลยไปสำคัญมั่นหมายในตัวตน ไปยึดถือตัวตนว่ามีอยู่จริง ความยึดติดอย่างนี้เรียกว่า อัตตวาทุปาทาน แปลว่าความยึดถือในควมคิดว่ามีตัวตน เรียกสั้นๆว่ายึดถือในตัวตนก็แล้วกัน
ตัวตนนั้นไม่มี แต่เราไปสร้างขึ้นมา แล้วก็ไปยึดถือในสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาว่ามีอยู่จริง แล้วเลยพลอยทุกข์เพราะมัน
แต่ว่าขณะที่เรายังไม่สามารถที่จะคลาย ไม่สามารถปล่อยวางจากสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะปัญญาเรายังมีไม่พอ ก็พยายามใช้สิ่งเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์
คือใช้ตัวตนให้เป็นประโยชน์ ใช้ตัณหามานะให้เป็นประโยชน์ เพราะว่าถ้าใช้เป็นประโยชน์มันก็ละตัณหา ละมานะ ละตัวตนได้
ใช้เป็นแรงขับเคลื่อน ที่จะช่วยให้เราเกิดความเพียรในการปฏิบัติธรรม เกิดความตั้งใจในการทำความดี แม้กระทั่งมีมานะว่า เขาทำได้ฉันก็ทำได้ ถ้าใช้ให้เป็นก็เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะถ้าเป็นการทำความดี..."
โอวาทธรรมคำสอน..
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล



“ วัดป่า พระปฏิบัติ”
ถ้ามีพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ก็จะมีทานศีลภาวนา ท่านก็จะสอนทานศีลภาวนา ถ้าไปหาพระที่ไม่ใช่เป็นพระสงฆ์ไม่สอนหรอก สอนอย่างมากก็ครึ่งเดียว ทานศีล ภาวนานี้ไม่ค่อยมี ใช่ไหม เพราะท่านไม่ภาวนาเอง แล้วท่านจะเอาภาวนาที่ไหนมาสอน สอนไม่ได้หรอก คนถ้าไม่ทำแล้วจะไปสอนคนอื่นทำได้ยังไง ตัวเองต้องทำก่อน ถึงจะสามารถสอนคนอื่นได้ ส่วนใหญ่ไปวัดไหนจะไม่ค่อยได้ยินเรื่องภาวนา จะได้ยินแค่ทาน ทานเยอะ ยิ่งบางวัดนี้บอกให้ทำเยอะๆจะได้รวย ยิ่งทำยิ่งรวย ศีลก็แค่ศีลห้าก็พอ ยังไม่ต้องรักษาศีลแปดหรอก สุดโต่งเลย สุดโต่ง พวกรักษาศีลแปดน่ะพวกสุดโต่ง พวกอกหัก (หัวเราะ) คนที่อกหักเลยต้องไปรักษาศีลแปด (หัวเราะ) รักษาศีลห้าทำบุญก็พอแล้ว ตายไปก็ได้ไปเป็นเทวดา กลับมาก็ร่ำรวย เรื่องเวียนว่ายตายเกิด เรื่องนิพพานนี้มันยังเกินไป ไม่มีใครทำได้หรอก สมัยนี้หมดยุคหมดสมัยแล้ว
ส่วนใหญ่จะคิดกันอย่างนั้น ก็เลยไม่มีใครเรียนไม่มีใครสอน ก็มีไม่กี่คนน่ะพระที่สนใจเรื่องภาวนา นับจำนวนได้เลยในเมืองไทยนี้ พระมีกี่แสน พระที่ภาวนาที่สอนภาวนานี้มีไม่มาก ส่วนใหญ่ก็เป็นพระป่าเพราะพวกพี่ภาวนาต้องไปอยู่ป่า อยู่บ้านแล้วมันภาวนาไม่ได้หรอกมันวุ่นวาย พระอยู่บ้านพระวัดบ้านก็วุ่นวายกับชาวบ้าน วุ่นวายกับงานศพ สวดศพเห็นไหม
สมัยที่เราบวชนี้ เราคิดอยู่ในใจแล้ว ถ้าวัดไหนมีศพมีสวดนี้เราไม่ไป ไม่บวชแล้ว จะไปหาวัดที่มีปฏิบัติ แต่ไม่มี สมัยนั้นวัดบ้านไม่มีใครปฏิบัติกัน ก็พอโชคดีตอนนั้นพระครูบัวเกตุท่านเพิ่งไปกราบพระป่ามา ไปกราบหลวงปู่ฝั้นที่สกลนคร แล้วท่านเห็นวัดป่าร่มรื่น ท่านศรัทธาอยากจะภาวนา ท่านเลยกลับมาซื้อที่ข้างวัด ที่ข้างทางรถไฟที่เป็นวัดป่าสุทธิภาวันนี่ ท่านก็ซื้อที่ ที่เป็นสวนมะพร้าวแล้วก็ปลูกกระต๊อบเล็กๆ ก็คงให้ญาติโยมชวนกันซื้อทำนองนั้น ครูบาอาจารย์พอพูดอะไรลูกศิษย์ก็ เราก็ไม่รู้ว่าซื้อยังไง แต่ก็ท่านได้ที่มาก็แล้วกัน ไม่รู้กี่ไร่ไม่ใหญ่ 10 ไร่หรือไม่ถึงอะไรประมาณนั้น ตอนนั้นยังไม่มีทางรถไฟ ตอนนั้นเราก็กำลังหาที่บวชพอดีเขาก็บอกว่าวัดแถวนี้ที่เคร่งที่สุดก็วัดช่องลมนั่นแหละ ก็เลยเอาช่องลมก็ไป ไปก็ไปพบท่าน ไปเล่าว่าเรากำลังภาวนากำลังปฏิบัติสติปัฏฐานสี่ พูดอย่างนี้ท่านก็ตกใจ ยังไม่มีใครพูดเรื่องเหล่านี้กัน เราก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องแปลก เพราะเราคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติของส่วนหนึ่งของศาสนา เราไปพูดท่านบอกว่าบวชที่วัดท่านไม่มีการปฎิบัติหรอก วัดท่านก็มีแต่เรียน เรียนแล้วก็สวดกิจนิมนต์ ตอนที่เล่าให้ท่านฟังเราก็บอกว่าหาวัดที่ปฏิบัติ วัดที่สวดก็ขอไม่สวด วัดที่เรียนก็ขอไม่เรียนแล้ว เรียนพอแล้ว เรียนพอรู้แล้วว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร ตอนนี้สิ่งที่ขาดก็คือที่ปฏิบัติ หนังสือนี้อ่านมาเยอะแล้ว รู้แล้วว่าต้องทำอะไร แต่หาที่ปฏิบัติไม่มี ปฏิบัติในบ้านมันก็ได้เหมือนปลูกต้นไม้ในกระถาง มันก็โตได้แค่ขนาดของกระถาง มันจะให้ต้นไม้ใหญ่กว่านั้นไม่ได้แล้ว เพราะกระถางที่มันแคบ รากไม่สามารถที่จะขยายออกไปได้ ต้องหาที่ลงต้นไม้ ต้องเอาต้นไม้ออกจากกระถางตอนนั้นเราปฏิบัติอยู่ปีหนึ่งแล้วรู้สึกว่ามันเหมือนต้นไม้อยู่ในกระถาง มันโตได้แค่นั้นแหละ ก็เลยต้องบวช บวชแล้วเหมือนเอาต้นไม้ลงดินเลย พอลงดิน นี่ดูต้นไม้ลงดินและต้นไม้ในกระถางสิ ใช่ไหม มันใหญ่โตขนาดไหนมันห่างกันขนาดไหนและเราก็บอกแล้วว่าเราไม่สนใจเรื่องเรียนเรื่องสวดแล้ว เพราะเราไม่เห็นผลประโยชน์อะไร มันมีประโยชน์แค่ในระดับที่สอนให้เรารู้จักวิธีปฏิบัติ พอเรารู้จักวิธีปฏิบัติ เราไม่ปฏิบัติก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เรียนให้จบพระไตรปิฎกมันก็เหมือนกัน พระไตรปิฎกมีตั้ง 84,000 ข้อ ก็สอนสามตัวนี้ ศีลสมาธิปัญญา สอนทานศีลภาวนาทั้งนั้นแหละ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น สอนให้ปฏิบัติ
ท่านก็เลยบอกว่าท่านไปกราบพระป่ามาพระปฏิบัติแต่อยู่ทางภาคอีสานโน่น และท่านกำลังทำสวนทำวัดปฏิบัติอยู่ เราก็เลยขอไปดู ขออนุญาตไปดู พอเห็นเราก็เลยชอบ เพราะปฏิบัติในบ้านแล้วรู้สึกมันอึดอัดนะ พอเห็นสวนถึงแม้จะไม่ได้เป็นป่า แต่มันก็เป็นที่ ที่ไม่มีบ้านช่องล้อมรอบ ก็เลย ตอนนั้นยังไม่ได้บวช กำลังเตรียมตัวจะไปบวช ยังไม่ได้ตัดสินใจ ก็เลยขออนุญาตอยู่ปฏิบัติที่สวนนั่นเลย ท่านก็ให้อยู่ เมตตาให้กินข้าวก้นบาตร แล้วท่านก็แนะนำว่าถ้าจะบวชต้องไปบวชที่วัดบวรฯ สมเด็จพระญาณสังวรฯ ท่านก็สนใจเรื่องปฏิบัติ ท่านก็ไปกราบครูบาอาจารย์ทางภาคอีสานมาเหมือนกัน กราบครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่น ศิษย์หลวงปู่มั่น ถ้าไปบวชกับท่านแล้ว ท่านจะอนุญาตให้ไปอยู่ไปปฏิบัติกับครูบาอาจารย์สายปฏิบัติได้ เพราะตามหลักพระวินัยนี้ ถ้าบวชกับใครแล้วต้องอยู่กับพระองค์นั้นห้าปี พระครูบอกว่าถ้าบวชกับพระครูบัวเกตุก็ต้องอยู่วัดช่องลมห้าปี ก็จะไม่สามารถที่จะปฏิบัติได้ ก็จะมีแต่งานสวด งานกิจนิมนต์ งานสวดศพ แล้วก็เรียนหนังสือ บอกว่าไปที่วัดบวรฯ ดีกว่า เพราะที่นั่นมีชาวต่างชาติไปขอบวช บวชแล้วท่านก็อนุญาตให้ไปอยู่ปฏิบัติกับวัดของครูบาอาจารย์ทางสายวัดป่า นี้เราก็เลยยังไม่ได้ตัดสินใจ จะบวชหรือไม่บวช ตอนนั้นยังสองจิตสองใจ รักพี่เสียดายน้อง ใจหนึ่งก็อยากจะบวช อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากจะบวช บวชแล้วมันเหมือนกับถูกจับเอาไปขังในกรงเลย ไปไหนก็ไม่ได้ ถ้าเป็นฆราวาสอยู่นี้ถ้าเบื่อก็ยังเปลี่ยนที่ไปโน่นมานี่ได้แต่ถ้าบวชนี่ห้าปีไปไหนไม่ได้ติดคุกห้าปีก็เลยยังสองจิตสองใจ ตอนนั้นแหมฝัน เพ้อฝันว่าถ้ามีใครให้เงินมาสักก้อนก็ดีจะได้ไม่ต้องไปทำงาน จะได้ปฏิบัติต่อโดยที่ไม่ต้องบวช แต่ไม่มีใครให้มาเงินก็หมด ก็เลยต้องเลือก ถ้าไม่บวชก็ต้องไปทำงาน เพราะไม่มีเงินซื้อข้าวกินแล้ว บ้านมีอยู่ บ้านฟรีแต่ข้าวไม่มี ถ้าไปทำงานก็ เวลาก็จะไม่มีปฏิบัติได้เต็มที่ ถ้าไปบวชก็สบาย บ้านฟรีข้าวฟรี แล้วก็มีเวลา มีที่ปฏิบัติด้วย วัดป่าเป็นป่า ก็เลยต้องยอมจำนนด้วยเหตุผล เพราะใจยังอยากปฏิบัติอยู่ ยังอยากภาวนาอยู่ ก็เลยตัดสินใจบวชก็บวช พอตัดสินใจนี้เหมือนยกภูเขาออกจากอกเลย ใจนี้โล่งเลย เบาใจ ดีใจ สบายใจ ใจนี้เห็นอะไรสดใสไปหมดสวยงามไปหมด ตอนที่กำลังตัดสินใจนี้ โอ้โหยทุกข์ทรมานใจ จะไปทางไหนดี ถ้าเราเจอปัญหาแบบนี้รีบตัดสินใจ เอาทางใดทางหนึ่งไป แต่ต้องเอาให้ถูกทางนะ (หัวเราะ) เอาผิดทางเดี๋ยวก็น้ำตาตกในอีก.
สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต



“การรักษาศีล”
..การรักษาศีล ๕ ก็ต้องรักษากาย วาจา ใจเรานี้หละ ถ้ารักษาไม่ได้ ก็ไม่เป็นศีล ศีล ๘ ก็ตาม ศีล ๑๐ ก็ตาม ศีลของพระ ๒๒๗ ก็ตาม ไม่ใช่ว่าถือศีลจะพูดแต่ปาก มันยังไม่เป็นศีลนะ ต้องลงมือประพฤติปฏิบัติ รักษากาย รักษาวาจา รักษาใจ ให้อยู่ในกรอบของศีล เป็นศีลประเภทไหนก็ตาม ให้ศีลนี้ เป็นเบื้องต้น เป็นพื้นฐาน ก็เป็นการฝึกหัดกาย ฝึกหัดวาจา ฝึกหัดใจเรา โดยมาก มักจะปล่อยไปตามสัญญาอารมณ์นะเรื่องของใจคนเรา ว่าแต่มีสิ่งภายนอกมาล่อลวง ได้รู้ ได้เห็น ได้อะไร มีความคิด ความอยาก อยากได้ดิบ ได้ดี ก็คือความโลภ ความโกรธ ความหลงตัวนี้หละ อยากก็เลยลอยไปตามความอยาก จะบาปจะบุญไม่ได้เกี่ยว อันนี้ท่านเรียกว่า อำนาจฝ่ายต่ำ..
หลวงปู่ศรี มหาวีโร
เทศนา เรื่อง สอนตามหลักธรรมชาติ


“ต้องลงมือประพฤติปฏิบัติ”
..ว่านรกนี้เป็นทุกข์นะ แต่ก็ไม่กลัว ไปลักฉก ไปฆ่าเขา ทำลายเขา ตกนรกอเวจีก็ไม่กลัว เมื่อเวลาไปเห็นแล้ว จึงจะรู้สึกนะ ฉะนั้น เรื่องเหล่านี้ เป็นหน้าที่ของชาวพุทธ ผู้ที่มีศรัทธา ขั้นไหน แค่ไหน เพื่อจะได้กอบโกยเอาคุณงามความดี ในด้านพระพุทธศาสนา ลงมือประพฤติปฏิบัติอย่างเต็มแบบ ให้ได้รู้ ได้เห็น ไปตามยุคลบาทของพระพุทธองค์ ว่าบาปเป็นยังไง บุญเป็นรูปไหน วิธีไหน มีรสชาติยังไง เข้ามาสัมผัสกับจิตใจแล้ว เป็นรูปไหน วิธีไหน จะปฏิบัติแบบไหน จึงจะรู้ จึงจะเห็น ได้ยินแต่ข่าวท่านพูดเฉย ๆ ว่าสวรรค์ ว่านิพพาน ก็ได้ยินแต่ข่าวท่านพูด ถ้าเราไม่ทดสอบ ให้รู้ ให้เห็นเอง แล้วจะเชื่อได้ยังไงคนเรา แต่ท่านก็พูดมานี้ กี่ชั่วคนมาแล้ว ของเหล่านี้ไม่ใช่ของปรารถนาเอา อ้อนวอนเอา ซื้อเอาได้ เหมือนอย่างของภายนอก ต้องลงมือประพฤติปฏิบัติฝึกหัดเอา..
หลวงปู่ศรี มหาวีโร
เทศนา เรื่อง สอนตามหลักธรรมชาติ


" การแก้ใจในด้านพระสติพระปัญญา ถ้าสำคัญใจว่าเป็นตนๆ เป็นใจแล้ว ก็ไม่มีที่จะขุดกิเลสออกจากใจได้โดยง่าย
อุปาทานยึดถือแน่นหนาย่อมมักจะหลงแต่ไปแก้ปลายเหตุ
รากเหง้าของเหตุแห่งอุปาทานทรงอยู่รอบเมืองใจ มันร้องเพลงเต้นระบำได้สนุกอยู่ทุกอริยาบถของใจ
พระสติพระปัญญาไม่สมดุลย์กันคล่อง ก็มองเห็นได้ยาก
" เห็นใจไม่ใช่ตน ตนไม่ใช่ใจ พร้อมกับลมออกเข้า เฝ้าจองมองอยู่ในอู่ของพระสติพระปัญญาพร้อมกันทันเวลา
จึงจะทันกับกองทัพอวิชชากองทัพโมหะก็ว่า กองทัพกิเลสก็เรียก
มิฉะนั้นแล้วก็เท่ากับไม่เห็นตัวนักโทษ..."
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต




“ ความปวดของร่างกาย”
ถาม : ถ้าเกิดว่าเรานั่งแล้วปวดก็ให้ดูมัน เหมือนกับว่าเราทำอะไรมันไม่ได้เหมือนฝนตก
พระอาจารย์ : อ้อ ก็ต้องรอให้มันปล่อยมันไป
ถาม :ถ้าเกิดว่า มันเกิดเหตุขึ้นมาว่า คือเหมือนกับว่าถ้าเกิดปวดนี้ มันเหมือนไม่ใช่ว่าเราทำอะไรกับมันไม่ได้ เราเปลี่ยนท่ามันก็จะไม่ปวดไปอย่างนี้ เราจะแก้ลำยังไง
พระอาจารย์ : อ๋อ นี่เราซ้อมไง ซ้อมเผื่อต่อไปเจอปวดแล้วมันขยับยังไงมันก็ไม่หายปวด ตอนนี้เรากำลังซ้อมอยู่
ถาม : ซ้อมให้คิดว่าเราจนมุม
พระอาจารย์ : อ้า เราจนมุมแล้ว เราทำอะไรไม่ได้แล้ว อยู่กับมัน หัดอยู่กับมันให้ได้ แล้วไม่ต้องไปกินยาแก้ปวด กินยาแก้ปวด เดี๋ยวก็ไปติดยาแก้ปวดอีก เดี๋ยวนี้ปัญหาเรื่องคนติดยาแก้ปวดนี้รุนแรงมาก เพราะยาแก้ปวดนี้เดี๋ยวนี้ต้องระดับมอร์ฟีน ต้องระดับฝิ่นแล้ว พอติดแล้วมันก็เหมือนคนติดฝิ่นติดอะไร แล้วมันก็เลยติด จนกระทั่งมันเสพติด จนกระทั่งมันเกิน ก็ตายกันไง เพราะกลัวความเจ็บกัน ไม่รู้จักวิธีปฏิบัติต่อความเจ็บ ความเจ็บทางร่างกายมันไม่รุนแรง ที่มันรุนแรงก็คือความกลัวความเจ็บ ความอยากให้ความเจ็บหายไปนี้ เป็นตัวที่ทำให้เราทรมาน ไม่ใช่ความเจ็บของร่างกาย ถ้าเรารู้จักวิธีปฏิบัตินี้ เราไม่ต้องกินยาแก้ปวด เชื่อไหมนี่ตั้งแต่เราบวชมา ไม่เคยกินยาแก้ปวดเลย มันปวดที่ร่างกาย แต่ใจเราไม่ปวด ปวดที่ร่างกายมันทนได้ แต่ปวดที่ใจนี่ทนไม่ไหวกัน.
สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต



ชีวิตนี้เป็นประดุจผ้าขี้ริ้ว เป็นเหมือนถังขยะที่คอยเก็บอานิสงส์ของกรรมดีชั่ว แล้วก็ให้ผลแก่เราเป็นผู้เสวย ถ้าเรานำชีวิตที่เราพิจารณาเห็นด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว น้อมพิจารณาให้เกิดธรรมะขึ้นภายในใจ ธรรมที่เกิดขึ้นภายในใจนั่นแหละจะเป็นเหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทองขึ้นมาทันที เพราะร่างกายของคนนี้ไม่มีค่า มันมีค่าอยู่ที่หัวใจที่มีธรรมรูปธรรมทุกๆ อย่างจึงเป็นผ้าขี้ริ้ว นามธรรมคือหัวใจ ที่ฝึกปฏิบัติจนได้เห็นธรรมตามความสามารถ นั่นแหละเป็นทอง คือธรรมสมบัติอันล้นค่า ปรากฏเด่นขึ้นมาเป็นสักขีพยาน
.
แต่ถ้าพวกเราไม่สนใจในการฝึกจิตรักษาใจสร้างคุณงามความดีแล้วละก็ คนประเภทนี้ก็อาจเรียกได้ว่า “ผ้าขี้ริ้วห่อก้อนขี้หมา”เพราะเกิดมาเป็นมนุษย์ไม่รู้จักคุณค่าของคนแล้วยังไม่พอ ยังกลับไม่รูจักค่าของคุณงามความดีด้วย คือการปฏิเสธความดี แต่จิตนี้มั่งมีไปด้วยความชั่วเสีย เกิดเป็นคนแต่ใจไพล่ไปในทางเปรตผี รูปร่างแบ่งแยกมนุษย์ให้รู้ว่าสวยขี้เหร่อย่างใด ใจก็แบ่งแยกมนุษย์เรื่องดี-ชั่ว สะอาด-สกปรก ได้อย่างนั้นเหมือนกัน เกิดเป็นคนเหมือนกันแต่ใจมันไม่เหมือนกัน ใจนี่แหละทำให้คนต่างกัน ไม่ใช่ร่างกาย ทรัพย์สมบัติเงินทองของนอกกาย
.
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 48 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร