วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 02:50  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ย. 2017, 06:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"เรารักตัวเรา คนอื่นก็รักตัวเขา
เราไม่อยากให้ใคร ทําเช่นไรกับเรา
คนอื่นก็ไม่อยากให้เรา ทําเช่นนั้นกับเขา
เราอยากให้คนอื่น ทําดีกับเราอย่างไร
คนอื่นก็อยากให้เรา ทําดีกับเขาอย่างนั้น
ขอให้พยายาม คิดถึงความจริงนี้
ให้บ่อยที่สุด เท่าที่จะมีสตินึกได้
จะเป็นคุณแก่ตนเองอย่างยิ่ง
การคิด พูด ทําทั้งหมด จะเป็นไปอย่างดีที่สุด
ไม่เป็นการทําร้ายผู้อื่น ไม่เป็นการเบียดเบียนผู้อื่น"
-:- สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ -:-




"อย่าไปด่าเขา
อย่าไปสาปแช่งเขาเด็ดขาด
ให้ตั้งสติ ทำสมาธิ
แผ่เมตตาให้เขามากๆ
เมื่อเราแผ่เมตตาให้เขามากๆ แล้ว
มันจะเกิดผลขึ้นมา ๒ อย่าง
๑. เขาจะกลับมาดีกับเรา
๒. ถ้าเขาไม่ยอมมาดีด้วย เขาก็จะพังไปเอง.."
-:- หลวงพ่อพุธ ฐานิโย -:-




“บางสิ่งบางอย่าง รู้ว่ามันดี
แต่เราทำไม่ได้
บางสิ่งบางอย่าง รู้ว่ามันไม่ดี
แต่ว่าอดทำไม่ได้
อันนี้ เราเป็นอย่างไร
เขาก็เป็นอย่างนั้น
เขาเป็นอย่างไร
เราก็เป็นอย่างนั้น
จิตใจเรานี้ ยังไม่เข้มแข็ง
ต้องให้อภัยตัวเอง
เมตตาตัวเอง แล้วก็
เมตตาคนอื่นด้วย ”
-:- พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ -:-





ก็เพราะคนเราเกิดขึ้นมานั้น
ไม่ใช่พวกเราจะเสียสละละกิเลส
ให้หมดไปได้ง่ายๆ เพราะกิเลสทั้งหลายนั้น
เขานอนเนื่องอยู่ในจิตสันดานของพวกเรา
มาหลายภพหลายชาติแล้ว เขาครอบงำ
ย่ำยีมาหลายภพหลายชาติแล้ว
แต่พวกเราก็ไม่สามารถที่จะแกะหรือสำรอก
หรือลดละปล่อยวางกิเลสออกไปได้หมด
พวกเราจึงพากันเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารตามฐานะของตน
เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้
การที่ขัดเกลากิเลสของพวกเรามาแต่ชาติอดีต
ที่ผ่านมานั้น ใครจะขัดเกลาได้มากน้อยเท่าไร
บุคคลใดขัดเกลาได้มาก
เมื่อมาเกิดในชาตินี้กิเลสก็เบาบางจากจิตใจ
บุคคลใดขัดเกลากิเลสได้น้อย
กิเลสก็ยังมืดมน
บุคคลใดไม่ได้ขัดเกลากิเลสเลย
จึงมืดมนไม่รู้จักบุญบาป ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
จิตของบุคคลเป็นคนใจดำอำมหิต
ทั้งหลายอยู่ในปัจจุบันนี้ มันจึงมี
หลายระดับ หลายขั้นหลายตอน
โอวาทธรรม : หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป




ชีปะขาว อธิบายโลกแห่งวิญญาณ และการต่ออายุ
ในช่วงที่ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม เดินธุดงค์ไปเมืองหลวงพระบาง จะต้องผ่านเมืองกาสี แขวงเวียงจันทร์ พอไปใกล้จะถึง เมืองกาสี (เมืองแมด) ท่านเดินออกจากเขาลูกหนึ่ง บริเวณเชิงเขาเป็นป่าละเมาะ มีต้นไม้เตี้ยๆ เดินทางไม่ลำบากเหมือนช่วงที่ผ่านมา
หลวงปู่เดินไปเรื่อยๆ ไม่นานก็มองเห็นเขาอีกลูกหนึ่งข้างหน้า ไกลออกไปท่านมองเห็นชีปะขาวนั่งสมาธิอยู่บนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง ท่านจึงเดินเข้าไปหา พอหลวงปู่เดินเข้าไปใกล้จะถึง ก็มองเห็นชีปะขาวนั่งสมาธิอยู่ไกลออกไปเช่นเดิม ท่านก็เดินเข้าไปหาอีก นึกแปลกใจว่าทำไมหินก้อนนั้นจึงเคลื่อนที่ออกไปได้ ท่านเพ่งมองแล้วก็เดินเข้าไปหาต่อไป
เมื่อเข้าไปใกล้ ปรากฏว่าไม่ใช่ชีปะขาว แต่กลายเป็นก้อนหินที่รูปร่างเหมือนคนนั่งสมาธิอยู่ ใกล้ๆ กันนั้นมีแอ่งน้ำธรรมชาติ มีน้ำใสไหลเย็น ประกอบกับเป็นเวลาเย็นใกล้ค่ำ หลวงปู่จึงตัดสินใจกางกลดเพื่อพักบำเพ็ญเพียร ณ ที่นั้น เพราะท่านรู้สึกเหนื่อยอ่อนมาหลายวัน
พอตกกลางคืน ขณะที่ท่านทำสมาธิกำหนดจิตอยู่ ได้เกิดนิมิตเห็นชีปะขาวเหมือนที่พบเมื่อตอนกลางวันเข้ามาหา แล้วบอกหลวงปู่ว่า “ขอนิมนต์ให้อยู่ที่นี่นานๆ ข้าน้อย(กระผม) จะสอนวิชาเดินป่าที่ไม่รู้จักอดอยากให้ และจะพาไปดูสมบัติต่างๆ ภายในถ้ำ ท่านอยากได้อะไรก็จะมอบให้หมด”
หลวงปู่ถามชีปะขาวว่า “เมื่อกลางวัน โยมนั่งสมาธิอยู่บนก้อนหินนั้นใช่ไหม?”
ชีปะขาวกราบเรียนว่า “ใช่ แต่ที่ทำหายตัวห่างออกไปเรื่อยๆ นั้น เพราะต้องการให้ท่านได้มาหยุดพักผ่อนตรงนี้ พวกข้าน้อยเป็นพวกกายทิพย์ มีวิมานอยู่ในสถานที่นี้”
หลวงปู่ถามว่า “พวกวิญญาณทั้งหลาย ทำไมจึงชอบปรากฏตัวให้พระเห็น ไม่ปรากฏให้ชาวบ้านเห็นบ้าง”
ชีปะขาวตอบว่า “วิญญาณทั้งหลายมีความเคารพเลื่อมใสพระผู้ทรงศีล ท่านไปที่ไหนก็แผ่เมตตา อันมีกระแสชุ่มชื่นเยือกเย็น ส่วนที่ไม่แสดงให้ชาวบ้านเห็น เพราะก็ด้วยปุถุชนคนหนาแน่นด้วยกิเลสตัณหา มีความหยาบคายสกปรกมาก เพราะไร้ศีลธรรม ไร้สัจจะ กลิ่นตัวก็เหม็น ผีสางเทวดาจึงรังเกียจ
นอกจากนี้หลวงปู่ยังได้ถามถึงสภาพต่างๆ ของวิญญาณ เช่น เปรต ๑๒ จำพวก อสุรกาย ๒ ประเภท ผีสัมภเวสี ซึ่งชีปะขาวก็ได้อธิบายให้ทราบ ตรงกับที่ท่านรู้ด้วยอำนาจจุตูปปาตญาณ ซึ่งตอนหนึ่งชีปะขาวได้บอกว่า ถ้ามนุษย์มีตาทิพย์เห็นได้ ก็ต้องตกใจเพราะเดินหลีกพวกสัมภเวสีไม่พ้น เพราะเดินชนกันทุกวัน
สัมภเวสีเป็นพวกวิญญาณอีกประเภทหนึ่ง ไม่อยู่ในอำนาจของใคร เคยเป็นมนุษย์แล้วตายโหง คือ ตายยังไม่ถึงอายุขัย เรียกว่า มีกรรมชนิดหนึ่งมาตัดรอนชีวิต เป็นพวกที่ทำบุญไว้หรือทำบาปไว้แต่ยังไม่ส่งผล เหมือนคนออกจากบ้านนี้ แต่ยังเข้าบ้านโน้นไม่ได้ ต้องเร่ร่อนอดอยาก น่าสงสาร บางทีพวกหมอไสยศาสตร์ก็เรียกเอาไปทำร้ายคนอื่น
ชีปะขาวได้พูดถึงการทำบุญต่ออายุ เพราะกรรมที่ทำให้เขาตายโหง หรือ อุปฆาตกรรมเป็นกรรมจรที่จู่โจมเข้ามาตัดรอนก่อนอายุขัย ยังไม่ถึงเวลาที่จะตาย เป็นผลกรรมจากการทำปาณาติบาต แต่ถ้ารีบทำความดีอย่างใดอย่างหนึ่งสกัดกั้น หรือ ชดเชย ก็จะช่วยไว้ได้ อุปฆาตกรรม นี้ก็จะถอยออกไป ทำให้ไม่ตายโหง ทำให้มีอายุยืนต่อไปได้
การทำบุญต่ออายุมีมากเหมือนกันที่ตาย เพราะพวกนี้ต้องสร้างกรรมหนักมากจริงๆ ถึงแม้จะทำพิธีสะเดาะเคราะห์ต่ออายุยังไง ก็ไม่สามารถจะชดเชยต้านทานกรรมหนักนี้ไว้ได้ เพื่อความไม่ประมาท มนุษย์พึงทำความดีต่ออายุตัวเองไว้ เรียกว่าทำความดีฝ่ายที่เป็นกุศลเป็นการป้องกันตัวเอง การทำบุญต่ออายุนี้ต้องทำให้ถูกต้องถึงจะได้ผล เรื่องต่ออายุนี้ ถ้าคนที่ถึงอายุขัยด้วยแก่ชรา หรือ ด้วยโรคภัยไข้เจ็บแล้วล่ะก็ ต่ออายุไม่ได้
หลวงปู่ตื้อได้ฟังแล้วก็เห็นด้วยกับชีปะขาว ที่กล่าวได้ถูกต้องตามกฎแห่งกรรม ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าก็เคยต่ออายุให้เด็กอายุ ๗ ขวบ เรื่องนี้มีอยู่ในพระธรรมบท ขุททกนิกาย ตอนที่กล่าวถึงเรื่องอายุวัฒนกุมาร ที่มีอุปฆาตกรรม กรรมจะมาตัดรอน จะต้องตายภายใน ๗ วัน แต่เมื่อพระพุทธเจ้าช่วยต่ออายุให้แล้ว ก็มี่อายุยืนยาวถึง ๑๒๐ ปี และได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
ชีปะขาวพูดต่อไปว่า เรื่องพระต่ออายุให้ญาติโยมก็เหมือนกัน พระที่ทรงญาณพิเศษมีตาทิพย์ ได้วิชชา ๓ ย่อมจะรู้ว่า อุปฆาตกรรมหรือกรรมที่จะทำให้คนตายโหงนี้ พระสามารถสกัดกั้นกรรมนี้ได้ ช่วยไม่ให้ตายโหงได้ ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ผิด เพราะเป็นกรรมที่มาตัดรอนก่อนถึงอายุขัย คือมาทำให้คนที่จะตายโดยที่คนเขายังไม่ถึงคราวตาย การที่พระช่วยต่ออายุได้ จะถือว่าเป็นบุญมหากุศล
หลวงปู่ตื้อได้ฟังแล้วก็หัวเราะ ไม่ว่าอะไร ชีปะขาวจึงได้โอกาสนิมนต์อีกว่า อยากจะนิมนต์หลวงปู่ตื้ออยู่ที่นี่นานๆ จะได้โปรดเขา หลวงปู่ท่านจึงบอกชีปะขาวว่า ท่านจำต้องท่องธุดงค์เพื่อแสวงหาธรรม หาครูบาอาจารย์ต่อไป
เมื่อจะจบการสนทนา หลวงปู่ได้กล่าวขอบใจและอนุโมทนากับความหวังดีของชีปะขาวที่จะสอนวิชาเดินป่าและมอบสมบัติในถ้ำให้ ท่านบอกเขาว่า “อาตมาเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า กำลังปฏิบัติตามรอยพระบาทของพระองค์ ไม่ต้องการสมบัติทั้งหลายที่ท่านจะมอบให้หรอก ขณะนี้เราต้องการรู้เพียงว่า จะเดินไปทางไหน จึงจะถึงบ้านคนได้ง่าย เพราะเราไม่ได้ฉันอะไรเลย เป็นเวลา ๕ วันมาแล้ว”
ชีปะขาวตอบว่า “สิ่งที่ท่านต้องการยังอยู่ไกลมาก แต่ถ้าท่านพยายามเดินทางให้เร็ว ก็จะถึงเร็ว” กราบเรียนดังนั้นแล้วชีปะขาวก็หายไป
หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 101 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร