วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 00:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2017, 07:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


เอ้า เสียเปรียบเสียไปเถอะเสียเปรียบมนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง
ความเสียเปรียบมนุษย์เสียเปรียบตามโลกสมมุตินิยม
กิเลสนิยมต่างหาก แต่ธรรมท่านไม่ได้นิยม
ความยอมเสียเปรียบ ท่านบอกว่าแพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร นี่เป็นสำคัญมาก
นี่แหละที่ว่าแพ้เป็นพระ เอ้ายอมเสียเปรียบเขาด้วยทางใจของเราด้วยความเมตตา
ด้วยความให้อภัยนี่เป็นของมีคุณค่ามาก แล้วเราก็ได้เปรียบในตัวของเรา
คือชนะตัวของเรา ชนะความโกรธ ความเคียดแค้นของเรา
ชนะความที่จะเอาเปรียบตอบรับเขาไปได้โดยลำดับลำดา นี่สิ่งที่มีคุณค่า

...............................................................

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม กทม.
เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๓
"ทานทำโลกทั้งหลายให้ร่มเย็น"




เราไม่ต้องพูดเรื่องผู้อื่น สมัยอื่น ให้เยิ่นเย้อไปมาก
แม้ตัวเราเองยังแสดงความหยาบ
กระทบกระเทือนตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ทั้งที่เป็นนักบวชและนักปฏิบัติ ซึ่งกำลังใจเข้าใจว่า
ตัวประกอบความเพียรอยู่เวลานั้น ด้วยวิธีเดินจงกรมอยู่บ้าง
นั่งสมาธิภาวนาอยู่บ้าง แต่นั่นเป็นเพียงกิริยาแห่งความเพียรทางกาย
ส่วนใจมิได้เพียรไปตามกิริยาเลย มีแต่ความคิดสั่งสมกิเลส
ความกระเทือนใจอยู่ตลอดเวลา
ในขณะที่เข้าใจว่าตนกำลังทำความเพียรด้วยวิธีนั้นๆ
ดังนั้น ผลจึงเป็นความกระทบกระเทือนใจโดยไม่เลือกกาลสถานที่
แล้วก็มาเหมาเอาว่า ตนทำความเพียรเจียนตายแต่ไม่ได้รับผลเท่าที่ควร
ความจริงตนเดินจงกรม นั่งสมาธิ
สั่งสมยาพิษทำลายตนโดยไม่รู้สึกตัวต่างหาก
มิได้ตรงความจริงตามหลักแห่งความเพียรเลย
ฉะนั้น ครั้งพุทธกาลที่ท่านทำความเพียร ด้วยความจริงจัง
หวังพ้นทุกข์จริงๆ กับสมัยที่พวกเราทำเล่นราวเด็กกับตุ๊กตา
จึงนำมาเทียบกัยไม่ได้ ขืนเทียบไปมากเท่าไร
ยิ่งเป็นการขายกิเลสความไม่เป็นท่าของตัวมากเพียงนั้น
.
หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ






"ความสุขของญาติโยมอยู่ที่การไม่มีหนี้"

ถาม : หนูมีหลวงตาที่เป็นญาติผู้ใหญ่ให้หนูยืมเงินมาลงทุนทำอาชีพ แล้วให้ผ่อนจ่ายคืน แต่หนูกลัวเรื่องที่มาของเงินค่ะ หนูไม่แน่ใจว่าเป็นเงินที่เขาทำบุญกับท่านมาหรือเปล่า ถ้าใช่หนูยืมมาจะผิดมั้ยคะ

พระอาจารย์ : ก็แล้วแต่ว่าเงินที่ท่านได้มานั้นเป็นเงินที่เขาถวายในแบบไหน ถ้าเขาบอกให้ท่านใช้ได้ตามอัธยาศัย ท่านก็เอาไปใช้ได้ตามอัธยาศัย แต่ถ้าเขากำหนดว่าถวายเป็นค่าน้ำค่าไฟหรือเป็นค่าอะไร แล้วเอานั่นมาให้เรานี้ท่านก็ทำผิด เพราะเป็นการยักยอกทรัพย์ของผู้อื่นมา เอาเงินของวัดมา ส่วนหนูไปยืมมันไม่ผิดหรอก เพียงแต่ว่าการยืมเงินนี้มันไม่ดี มันเป็นทางของกิเลสตัณหาความอยาก อยากได้อะไรตนเองไม่มีเงินเลยไปยืมเงินของคนอื่นมาก่อน เพื่อที่จะได้สิ่งที่อยากได้

ฉะนั้นการยืมเงินนี้ไม่ดี ไม่ว่าจะยืมกับใครก็ตาม ถ้าไม่ยืมได้จะดีกว่า พระพุทธเจ้าบอกความสุขของญาติโยมนี้อยู่ที่การไม่มีหนี้ แต่นุชได้เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ แต่ใจจะไม่มีความสุข ถ้ามันมีหนี้ เพราะมันจะเป็นภาระกดดันทางจิต ทำให้ต้องกังวลทำให้ต้องดิ้นรนหาเงินมาใช้หนี้ ฉะนั้นถ้าเรายังไม่มีเงินก็อย่าเพิ่งไปซื้อดีกว่า หาเงินไปก่อน พอเรามีเงินแล้วเราค่อยซื้อสิ่งที่เราอยากได้ แล้วเราก็จะไม่มีความทุกข์ทางใจตามมา.

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๐

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต







"พิจารณาความไม่เที่ยงแท้แน่นอน"

ถ้าเราพิจารณาความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกนี้ มันจะทำให้เราสามารถที่เราจะเลิกทำกิจกรรมต่างๆ ได้ ทุกวันนี้บางทีเราก็อ้างว่าเรามีภาระมีความรับผิดชอบกับบุคคลนั้นบุคคลนี้ เพราะว่าถ้าไม่มีเราแล้วเขาจะเดือดร้อนลำบาก แต่เราไม่พิจารณาดูว่าเขาจะเดือดร้อนลำบากหรือไม่เดือดร้อนลำบาก ในที่สุดเดี๋ยวเขาก็ต้องตายไปอยู่ดี แล้วถ้าเกิดเราตายไปก่อนเขา เขาก็ต้องมีทางไปของเขาเอง เขาก็ต้องหาวิธีเลี้ยงดูตัวเขาเองต่อไป ถ้าเขาเลี้ยงดูตัวเขาไม่ได้ เขาก็ต้องตายไป หรือถ้าเขาเลี้ยงดูตัวของเขาได้ เขาก็ต้องตายไปเหมือนกัน ถ้าเราหมั่นพิจารณาความตายบ่อยๆ ทั้งของเราเองและทั้งของผู้อื่น ของคนที่เราเกี่ยวข้องด้วย ของคนที่เรามีภาระหน้าที่จะต้องเลี้ยงดูเขา ถ้าเรามองเห็นด้วยปัญญาว่าในที่สุดแล้วมันก็ต้องตายกันหมดอยู่ดี แล้วเรามากอดกันตายทำไม ตายแบบที่จะต้องกลับมาตายอยู่เรื่อยๆ สู้เราแยกทางกันตายไม่ดีกว่าหรือ เราแยกทางกันไปปฏิบัติธรรมกัน แล้วเราจะได้ไม่ต้องกลับมากอดกันตายอยู่เรื่อย อย่างที่เรากำลังกอดกันตายอยู่ในขณะนี้ เราปล่อยให้ต่างคนต่างอยู่กันไป พระพุทธเจ้าท่านถึงสละราชสมบัติได้ ท่านออกบวชได้ เพราะท่านเห็นว่าในที่สุดทุกคนก็ต้องตาย แต่อยู่ด้วยกันจะช่วยเหลือกันอย่างไรจะดูแลกันอย่างไร ดีหรือไม่ดีในที่สุดมันก็ต้องตายอยู่ดี ตายแล้วก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากการอยู่ร่วมกันตายร่วมกัน เพราะตายแล้วก็จะต้องกลับมาเกิดใหม่ แล้วก็ต้องมาอยู่ร่วมกันมาดูแลกันมาห่วงใยกันอยู่อย่างนี้ไปทุกครั้ง ทุกครั้งที่มาเกิด เพราะทุกครั้งที่มาเกิดเราจะต้องมีคนที่เกี่ยวข้องกัน เช่นมีพ่อมีแม่ มีครอบครัวมีลูกมีอะไร แล้วมันก็จะทำให้เราต้องมาคอยดูแลกันอยู่อย่างไม่มีวันสิ้นสุด ถ้าเราไม่พิจารณาความตาย เราจะไม่เห็นทางออกจากการที่เราจะต้องอยู่ด้วยกัน ดูแลกันช่วยเหลือกันไปจนวันตาย แต่ถ้าเราคิดว่าถ้าเกิดเราตายไปก่อนเขา แล้วเขาจะทำอย่างไร เขาก็ต้องหาทางของเขาไปอยู่ดี หาได้ไม่ได้เขาก็ต้องตายอยู่ดีเหมือนกัน อาจจะดีสำหรับเขาเสียอีกที่เขาจะต้องหาทางพึ่งตัวเขาเอง นี่เป็นการพึ่งที่ดีกว่าการที่จะต้องคอยพึ่งคนอื่น เพราะว่าคนอื่นนี้ไม่แน่นอน แต่ตัวเรานี้แน่นอนกว่า เราอยู่กับตัวเรา ตัวเราไม่มีวันจากเราไป ถ้าเราพึ่งตัวเราเองได้ เราก็จะสบาย ถ้าเราเพิ่งคนอื่นเวลาที่คนอื่นเขาจากเราไป เราก็จะเดือดร้อน

นี่คือวิธีการของพระพุทธเจ้าและของพระสาวกทั้งหลาย ที่จะทำให้ท่านสามารถตัดภาระต่างๆ ที่หน่วงเหนี่ยวเหนี่ยวรั้งไม่ให้ท่านได้ออกไปปฏิบัติอย่างเต็มที่ พอท่านพิจารณาถึงความตายของทุกๆ คน ทั้งของท่านเองและของผู้อื่น ท่านก็จะเห็นว่าการอยู่ร่วมกันเพื่อช่วยเหลือกันเพื่อดูแลกัน มันก็เป็นความสุขชั่วคราว เดี๋ยวก็ตายกันหมดอยู่ดี ช่วยหรือไม่ช่วยก็ตายเหมือนกัน ฉะนั้นมันก็เลยไม่มีผลแตกต่างกันมาก มันก็เลยจะทำให้ท่านมีเหตุที่จะตัดความผูกพันตัดความรับผิดชอบกับสิ่งต่างๆ ได้ แล้วก็ไปบำเพ็ญเพื่อที่จะทำให้ได้หลุดพ้นจากความทุกข์ที่กำลังเป็นอยู่กันในขณะนี้ที่กำลังมีเพื่อนอยู่ในขณะนี้ ทุกข์กับคนนั้นทุกข์กับคนนี้ ทุกข์กับเรื่องนั้นทุกข์กับเรื่องนี้ เพราะเรายังต้องกลับมาเกิดอยู่เรื่อยๆ นั่นเอง ถ้าเราได้ปฎิบัติธรรมแล้วเราก็จะได้ไม่ต้องกลับมาเกิดมาพบกัน แล้วก็ต้องมาทุกข์ต้องมาห่วงใยต้องมาคอยดูแลกันอยู่อย่างนี้ ห่วงใยกันขนาดไหน ดูแลกันขนาดไหน เดี๋ยวก็ต้องตายจากกันอยู่ดี แล้วก็กลับมาเกิดใหม่มาเจอกันใหม่ เนี่ยเราทำอย่างนี้มานับไม่ถ้วนแล้ว ปริมาณน้ำตาที่เราต้องมาหลั่งให้กับความทุกข์ต่างๆ นี้ ภามารวบรวมกันแล้วมันมากยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทรเสียอีก

นี่คือความทุกข์ซ้ำซากที่พวกเรามาทำกัน เพราะเรามองไม่เห็นความตายกัน ถ้าเรามองเห็นความตายแล้วเราก็จะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เกิดมาแล้วก็ต้องตาย จะช่วยกันจะดูแลกันอย่างไรมันก็หนีความตายไปไม่พ้นอยู่ดี ไม่ช่วยกันก็ตาย ช่วยกันก็ตาย แต่ถ้าไม่ช่วยกัน แล้วเราไป มันก็จะทำให้เราได้มีเวลาได้ไปปฎิบัติธรรมกัน พอเราได้ปฎิบัติธรรมกันเราก็จะได้หลุดพ้นกัน เขาก็จะได้ไปปฎิบัติธรรมได้ ถ้าเราไม่ช่วยเขา เขาก็อาจจะไปปฎิบัติธรรมเหมือนเราก็ได้ แต่ถ้าเราช่วยกันหาความสุขจากลาภยศสรรเสริญ จากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะกัน เขาก็ไม่ไปปฏิบัติธรรม เราก็จะไม่ไปปฏิบัติธรรม แต่ถ้าเราไปปฎิบัติธรรม เดี๋ยวเขาก็อาจจะตามเราไปก็ได้ อย่างที่พระพุทธเจ้าหลังจากที่ไปปฎิบัติธรรมแล้ว ก็มีผู้ติดตามไปปฏิบัติ แม่ก็ไปขอบวชเป็นภิกษุณี ลูกก็ไปบวชเป็นสามเณร ทำไมเราไม่คิดในทางบวกบ้าง ทำไมไปคิดแต่ในทางลบว่า ถ้าเราไปแล้วเขาจะเดือดร้อน เขาจะอยู่ไม่ได้ อยู่ไม่ได้ก็ตาย เดือดร้อนไม่เดือดร้อนเดี๋ยวถึงเวลาเขาก็ตายอยู่ดี ตายแบบนี้มันก็ต้องกลับมาตายอยู่เรื่อยๆ สู้แยกกันไปอยู่ดีกว่า แยกไปปฏิบัติธรรมกันดีกว่า พอเราไปปฏิบัติธรรมเขาอาจจะเห็นตัวอย่างที่ดีของเรา เขาก็อาจจะตามไปปฎิบัติธรรมกับเราก็ได้ เพราะพวกเราทุกคนนี้มีความสามารถที่จะปฏิบัติทำได้ด้วยกัน จิตของพวกเราทุกดวงนี้เหมือนกัน มีความสามารถที่จะปฏิบัติทำได้กันทุกคน อยู่ที่ว่ามีศรัทธาหรือไม่ มีความยินดีที่จะปฏิบัติทำหรือไม่เท่านั้นเอง ถ้าเราสามารถสร้างศรัทธาสร้างความยินดีให้กับการปฎิบัติธรรมได้ เราก็จะปฏิบัติธรรมได้กันทุกคน การที่จะสร้างความยินดีได้ก็ต้องพิจารณาตามแบบที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้พิจารณากันนั่นเอง.

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๐

"ปฏิบัติธรรมเพื่อการหลุดพ้น"

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต





“น่าสงสาร”
..ถ้าประพฤติปฏิบัติถึงขั้นแล้ว ผลก็เกิดขึ้นมาเต็มที่ ก็ไปกันเท่านั้น แต่ว่าบางคนเกิดขึ้นมาแล้ว ก็มาติดอยู่ในวัตถุภายนอก ติดอยู่ในร่างกายตัวเองบ้าง ติดอยู่กับสิ่งนั้นสิ่งนี้บ้าง ก็เลยยุ่งเหยิงกันอยู่อย่างนั้น ตั้งครอบตั้งครัวมาคลุม “ครอบครัว” หมายความว่า ครอบหัว ครอบหู เหมือนมาขังไว้ ไปไม่ได้หละ ติดหน้าติดหลังอยู่นั้น ไม่รู้จักที่ไปที่มา เดี๋ยวก็บ่นว่าทุกข์ เดี๋ยวก็บ่นว่ายาก แบบนั้นวิธีนี้สำหรับบางคน บางคนไม่มีทาง ก็เทียวหาขอทานไปอย่างนั้นหละ อยากอยู่อย่างไหนก็อยู่กันไป ถ้าคิดดูอย่างหนึ่ง ก็น่าสงสารนะ สำหรับมนุษย์เราหมดทั้งโลก..

หลวงปู่ศรี มหาวีโร
เทศนา เรื่อง ทำใจให้ประเสริฐ





“บำรุงเหตุให้เต็ม”
..พระพุทธองค์ มีพระมหากรุณาเมตตาอันใหญ่หลวง ได้ประกาศศาสนธรรม คำสั่งคำสอนไว้ มอบเป็นมรดกตกทอดมาถึงเราได้สองพันกว่าปีมาแล้ว แต่พระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ ก็มาเทศน์ในหลักการคล้าย ๆ กันนี้หละ แต่เรายังไม่ได้ไปได้มา จึงได้มาเกิดร่วมกันอยู่อย่างเห็นกันอยู่ระยะนี้ ถ้าผู้ใดต้องการอยากประพฤติปฏิบัติไปสู่ความดีอย่างที่ท่านสอนไว้แล้ว ก็ลงมือประพฤติปฏิบัติ บำรุงเหตุให้มันเต็มแบบ คือการปฏิบัติ นี้หลักการของท่าน ๆ สอนไว้อย่างนั้น ไม่ใช่ว่าให้ไปจำเอาแต่ชื่อ เอาไปเทียบชั้นนั้นชั้นนี้ พอได้เอาไปรับจ้างได้เงินเดือนตามที่ต่าง ๆ อย่างที่ทำกันในสมัยทุกวันนี้นะ..

หลวงปู่ศรี มหาวีโร
เทศนา เรื่อง ทำใจให้ประเสริฐ






...เราต้องหัด
เกลียดเงินเกลียดทอง
เกลียดตำแหน่ง
เกลียดความสวยงาม
.
อย่าไปแต่งหน้าทาปาก
อย่าไปทำเผ้าทำผม
"ต่อไปเวลามันแก่..มันจะได้ไม่เดือดร้อน"
.
ถ้าไปรักความสวยความงาม รักความหนุ่ม
ความหล่อเหลา..ความหนุ่มความสาว
เดี๋ยวพอมันจากเราไป..เดี๋ยวจะเสียใจ
.
"หัดรักในสิ่งที่เราช้ง..หัดชังในสิ่งที่เรารัก"
แล้วต่อไป..ใจเราจะสบาย.
..................................
.
คัดลอกการสนทนาธรรม
ธรรมะบนเขา 11/9/2560
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี





...เหมือนเสียงนกที่เราฟังอยู่ในขณะนี้
ก็รู้ว่าเป็นเสียงนก
ตอนนี้หายไปแล้วก็รู้ว่าหายไป
มาก็รู้ว่ามา แต่ไม่อยากให้มันหายไป
ไม่อยากให้มันร้องไปตลอดเวลา
.
...รู้ตามความเป็นจริง
แล้วก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรไปยึดไปติด
ถ้าไปยึดไปติดเสียงที่
ไพเราะน่าฟังนี้แล้ว ถ้ามันหยุดไป
ก็จะรู้สึกว่ามันขาดหายไป
ความสุขที่ได้จากการได้ยินเสียงนี้
ก็หายไป
.
...แต่ยังอยากจะฟังอีก
จึงต้องไปสร้างเครื่องอัดเสียงไว้
เพื่อจะได้ฟังเรื่อยๆ ฟังบ่อยๆ
พอฟังบ่อยๆเข้ามันก็เบื่ออีก
.
...เพราะของในโลกนี้
ไม่ให้ความสุขกับเราอย่างแท้จริง
เราไปหลงยินดีกับมันเอง
เลยทำให้เกิดความสุขขึ้นมา
.
...ถ้าเราไม่ไปหลง
"มันก็เป็นของกลางๆ "
ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เป็นสุขหรือเป็นทุกข์
แต่ใจเราเมื่อ"ไปเกิดความหลงขึ้นมา"
ไปยินดีกับสิ่งไหน ..
ก็อยากจะอยู่กับสิ่งนั้นนานๆ
ถ้าเกิดจากไป ..
ก็เกิดความเสียอกเสียใจขึ้นมา
.....................................
.
คัดลอกจากจุลธรรมนำใจ 2
ธรรมะบนเขา 25/12/2548
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี





ตายแล้วใครจะมาช่วยได้
.
กรรมเป็นของสำคัญมาก คำว่ากรรมก็ได้แก่การกระทำ ผลของกรรมได้แก่ดีชั่วที่ตนทำลงไปแล้ว จะติดแนบกับตัวกับใจของเราเองทั้งดีและชั่วนั้นแล จึงให้เลือกเฟ้นเสียตั้งแต่บัดนี้ ตายแล้วจะสายเกินไป จะไม่มีคุณค่าอะไร เรื่องนิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา ว่าไปตามประเพณีเท่านั้นแหละ จะหาความสัตย์ความจริงจริงๆ เพื่อเกิดผลเกิดประโยชน์ดังที่เราทั้งหลายทำมาเร่ ๆ ร่อน ๆ เลื่อน ๆ ลอย ๆ นี้ จะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ทำให้เกิดประโยชน์เสีย
.
กุสลา ธมฺมา แปลว่าอะไร ? ธรรม คือ ธรรมชาติที่ยังคนให้ฉลาด ธรรมที่ฉลาดแก้ไขดัดแปลงตนเองออกจากความชั่วช้าลามกเข้าสู่ความดีงามทั้งหลายนี่เรียกว่า กุสลา ธมฺมา
.
อกุสลา ธมฺมา คือ ธรรมชาติที่หลอกลวงคน สัตว์โลกให้ล่มจม ไม่รู้บุญรู้บาป มีแต่อยากทำบาปทำกรรมโดยถ่ายเดียว นี้ อกุสลา ธมฺมา
.
เราทำตั้งแต่เวลายังมีชีวิตอยู่นี้ ถ้าเราทำบาปมาก ตายแล้วนิมนต์พระมาหมดประเทศไทย มากองกัน กุสลา ธมฺมา ก็ตาม ไม่มีความหมายอะไรนะ มีแต่ลมปากเท่านั้นเอง ความหมายมาอยู่กับคนที่ทำลงไปแล้ว ว่าทำดีหรือชั่วมากน้อยเพียงไร ถ้าเราทำชั่ว จมลงได้เลย นิมนต์พระมาทั่วประเทศไทยก็ไม่มีความหมาย ถ้าเราทำดี จะไม่นิมนต์พระมาก็ไม่มีความหมายอีกเช่นเดียวกัน เพราะเหตุไร ? พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านตายใครไปกุสลา ธมฺมาท่านที่ไหน ไม่มีในคัมภีร์ใบลาน ท่านตายได้อย่างง่ายดาย ไม่มีใครตายได้ง่าย ตายสะดวกสบายยิ่งกว่าผู้สิ้นกิเลส คือ เป็นพระอรหันต์แล้ว นับแต่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ลงมา เป็นผู้ที่อยู่ง่าย กินง่าย นอนง่าย ไปง่าย ตายง่าย ไม่ต้องยุ่งเหยิงวุ่นวายเหมือนกับพวกรวงรังคลังกิเลสอย่างพวกเรานี้ เวลาเป็นอยู่ไม่สนใจขวนขวายหาคุณงามความดี เวลาตายแล้ว ทั้งคนตายก็ตายไปแล้ว คนผู้ไม่ตายก็วิ่งว่อน ให้เขามาช่วยท่านั้น ท่านี้ ใครจะมาช่วยได้ ? เวลามีชีวิตอยู่ไม่ช่วยตัวเอง ตายแล้วใครไปช่วยได้ มันจะยากอะไรคนเรา เพราะฉะนั้นจึงให้ทำเสียตั้งแต่บัดนี้ซึ่งเป็นกาลอันควร

.................................................................

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์ในงานพิธีบรรจุอัฐิธาตุหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล
ณ วัดดอนธาตุ อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี
เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๔๖ (๙.๓๐ น.)






เรื่องการปฏิบัติให้หลุดพ้นนั้น พระพุทธองค์ ท่านได้พินิจพิจารณาดูแล้วว่า การให้ทาน ไม่ได้เป็นหนทางไปสู่ความหลุดพ้นจากวัฏสงสาร ท่านจึงเร่งประพฤติปฏิบัติทางด้านจิตใจ ให้เห็นเป็นไปตามความเป็นจริง เมื่อนั้นละ จึงสามารถหลุดออกมาจากวัฏสงสารคือการไม่กลับมาเกิดอีกต่อไป

หลวงปู่ศรี มหาวีโร
(พระเทพวิสุทธิมงคล)
วัดประชาคมวนาราม (ป่ากุง)
ศรีสมเด็จ ร้อยเอ็ด





"บวงสรวง บวงเสิง จำไว้เด้อหมู่เฮา อย่าพากันเฮ็ด
แบบนี้ หลวงพ่อบ่มัก ปากไผ๋กะเว่าได่ ศักดิ์สิทธิ์ๆ
หมอพราหมณ์ นิ๊ มันบ่แม้นแนวเด้อ ตามใจโยมหลายกะบ่ดี"

หลวงพ่อสมบูรณ์ กล่าวถึงพิธีบวงสรวง






"โกรธให้เขา เราผู้โกรธ
ก็อดเป็นทุกข์ไม่ได้
จึงควรระวัง อย่าให้โกรธ

หากโกรธ ก็รีบระงับ
อย่าปล่อยให้ลุกลาม
เราจะเสียไปด้วยกับเขา
ซึ่งเป็นสิ่งไม่ดี

-:- หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน -:-





"ถ้ายินดีในการอยู่คนเดียว
จะเป็นคนสุขง่ายขึ้นทันที"
-:-พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ-:-






"ให้เราเข้าใจอย่างนั้น คือ
เราไม่อยากเผ็ด เราไปกินพริก
มันก็เลยเผ็ดเลย

ไม่อยากเค็ม ไปกินเกลือ
มันก็เลยเค็มเลย

ของธรรมชาติ มันมีประจำอยู่แล้ว
รสชาติของมัน มีแต่ไหนแต่ไรมา

ไม่อยากบาป แต่ไปสร้างบาป
มันก็เลยเป็นบาปเลย"

-:-หลวงปู่ศรี มหาวีโร-:-


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 49 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร