วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 15:15  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2017, 10:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"ธรรมเป็นที่พึ่งทางจิตใจได้อย่างแท้จริง
เมื่อจิตใจมีธรรมเป็นที่พึ่ง
ตนก็เป็นที่พึ่งของตนเองได้"
-:-สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ-:-





"...นอนภาวนาในโลงศพ..."

“...การนอนในโลงศพ ก็เคยทำ นอนพิจารณาความตาย กำหนดพิจารณาว่า “มรณํ เม ภวิสฺสามิ”

อันนี้ทำอยู่เมื่อคราวอยู่บ้านปากทางแม่แตง เจริญมรณานุสสติ นานเข้าฯ จิตใจอ่อนดี ได้กำลังดีมาก นับว่าได้ประโยชน์

เราก็หลบซ่อนทำอยู่โดยลำพัง กลัวย้านโยมมาเห็นแล้วเขาจะกลัวหรือหาว่าเป็นขึดเป็นขวงอย่างนั้นไป แต่ก็ไม่วายสุดท้าย ญาติโยมเขารู้จักจึงได้หยุด

วันนั้นอ้ายสุวรรณ เด็กน้อยหนุ่มวัยรุ่น เขาใช้ให้มาส่งข่าวให้ว่าท่านอาจารย์แหวนหกล้มตกหัวกระไดกุฏิอยู่บ้านป่ง ญาติโยมเขาก็จะไปทำบุญพรุ่งนี้เดินทางไปแต่เช้า มาบอกให้เราเตรียมตัวไม่ต้องออกบิณฑบาต เพราะจะให้ไปฉันกับท่านอาจารย์แหวน ช่วงนั้นอยู่คนเดียว ท่านอาจารย์ตื้อ (อจลธมฺโม) ยังไม่มาอยู่ด้วย

ผู้ข้าฯ ก็นอนกำหนดภาวนาอยู่ออกพรรษาใหม่ๆ อากาศมันหนาวเข้ามาเข้าไปนอนในโลงศพมันอุ่นดี เอาฝาโลงปิดแง้มไว้ให้ได้อากาศหายใจ อ้ายสุวรรณมันก็มาร้องหา “ตุ๊เจ้าๆ ๆ”

เราจะออกไปตอนที่มันอยู่ใกล้ๆ แถวนั้นก็กลัวมันย้านแล้ว วิ่งนี้คอยท่าให้มันเดินห่างแถวนั้นไปก่อน มันก็ร้องหาอยู่ “ตุ๊เจ้าๆ ๆ”

มันเดินไปไกลหน่อยหนึ่งแล้วเราก็ค่อยๆ จะออกมาที่นี้ ฝาโลงที่ปิดแง้มไว้อยู่ไหลตกลงไปข้างโลงศพ อ้ายสุวรรณหันหน้ามาเห็นฝาโลงศพเปิดเอง ก็วิ่งแน๊บออกไปเลย

อ้ายน้อยหนุ่มคนนี้มันกลัวผี ตกใจวันนั้นเป็นไข้อยู่หลายวัน ไปถึงบ้านไปเล่าให้พวกคนใหญ่เขาฟัง เขาจึงมากันหลายคน จึงได้ชี้แจงให้เขาฟังว่า...

“อาตมาเองหละ เข้าไปนอนพิจารณาอยู่ในโลงศพ ได้ยินเสียงเรียกจึงจะออกมาหา ออกมาก็เห็นแต่อ้ายสุวรรณมันวิ่งออกไปทางประตูวัดโน้นแล้ว เรียกมันอย่างใดก็ไม่ได้ยิน”

เมื่อรู้เรื่องกันแล้วก็ตกลงกันได้จึงไปหาท่านอาจารย์แหวน (สุจิณฺโณ) ท่านอาจารย์แหวนจะลงมาเดินจงกรมเลยพลัดตกหัวกะได หัวเข่ากระแทกกับลูกบันไดขั้นสุดท้าย ทำให้เจ็บบวมจนเดินไม่ได้ พ่อหนานสีทนใช้ลูกหลานให้มานิมนต์ให้ดูแลในการรักษาว่าจะเอาอย่างใด

เมื่อไปดูแล้วก็มีอาการเจ็บบวมเฉยๆ เอาน้ำมันงานวดทา อยู่ดูแล ๓ – ๔ วัน จนหายปกติเดินบิณฑบาตได้ จึงได้กลับบ้านปากทาง
ท่านอาจารย์แหวนแต่ก่อนเป็นอยู่ลำบากมากแต่เพิ่นก็อดทนอยู่ได้กับศรัทธาญาติโยมบ้างป่ง เพิ่นว่า...

“อยู่บ้านป่งนี้ภาวนาดีกว่าที่อื่น จิตใจเยือกเย็น พิจารณาอันใดก็คล่องตลอด”

ท่านอาจารย์แหวนอยู่องค์เดียว แก้ไขตัวเอง เดินสติปัฏฐานอยู่ตลอด เพิ่นเข้าใจแยกแยะให้ฟัง กายนอกกายใน ใจนอกใจใน เวทนานอกเวทนาใจ ธรรมนอกธรรมใน เพิ่นว่าเพิ่นแก้ตัวได้สงบสุขได้แล้ว จึงมาแก้ไขวิปัสสนาอยู่ภายใน

ผู้ข้าฯ ก็พอเข้าใจลำดับการแก้ไขอยู่บ้าง เพราะเคยได้รับอุบายธรรม เรื่องนี้มาแล้ว แต่เมื่อครั้งได้พบปะกันกับท่านอาจารย์ขาว (อนาลโย) คราวนั้น

ช่วงที่ได้มาพยาบาลท่านอาจารย์แหวนนั้น ก็ฟังเพิ่นเปิดเผยให้ฟังลำดับสติปัฏฐานให้ฟังแล้วรวบรวมเข้าสู่การปฏิบัตินั้น ก็ได้แนวธรรมแนวทางเดียวกันกับแนวของท่านอาจารย์ขาว (อนาลโย) และตรงกับแนวในใจของเราที่ดำเนินอยู่ แต่ก็รู้ตัวของตัวเองอยู่ว่า

ส่วนผู้ข้าฯ นั่นปฏิบัติไม่ไปไม่มาก็ได้แต่รักษาความสงบไว้ เพิ่นถามกลับ “ท่านจามล่ะ เป็นอย่างใด ? ตอนนี้”

“โอ...ยากแท้เน้อท่านอาจารย์ พยายามสุดกำลังของตัวเองอยู่ครับ...”

ธรรมะประวัติหลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม(วัดหนองน่อง) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร






"หลวงตามหาบัวเมตตาของท่านนั้นมาก โปรดได้ทั้งคน และสัตว์ โดยเฉพาะหมาท่านสงเคราะห์เดือนหลายแสน เพื่อเขาจะกลับมาเกิดเป็นคนดีของชาติ

หากเราแม้ประมาทอาจเกิดไปเป็นอย่างเขาก็ได้ เป็นคนชอบเบียดเบียนเพื่อนบ้านให้เขาเกลียดชัง กรรมอันนั้นอาจเกิดเป็นหมาขี้เรื้อนๆไปไหนมีแต่คนเกลียดชัง อยู่ด้วยกันมีแต่จะกัดกัน"
หลวงปู่อว้าน เขมโก





"รวบรวมเอาบุญที่ได้บำเพ็ญมาในพรรษา 3 เดือน อีกทั้งบุญกฐิน ผ้าป่า รวบรวมมาทั้งหมดแผ่ไปให้กับบรรพบุรุษผู้มีคุณ เจ้ากรรมนายเวร ดวงวิญญานที่ตกทุกข์ ให้มารับส่วนบุญนี้"
หลวงปู่อว้าน เขมโก





พากันหาแต่บุญภายนอกซึ่งมีแต่ความวุ่นวาย แต่บุญภายในใครสร้างขึ้นมาได้จะมีแต่ความสงบ การจะดับความวุ่นวายต้องดับที่เหตุการจะถึงความสงบได้ ต้องอาศัยความเพียรความอดทน ไฟไหม้ที่ไหนใช้น้ำที่นั่นดับ ตาบอดที่ไหนใช้ยาที่นั่นแก้ หากมัววิ่งหาน้ำ หายาจากที่ไหนๆ ก็ไม่ทันแก้จะสายจนเกินเยียวยา
หลวงปู่อว้าน เขมโก






ไปหาติคนอื่น บางทีมีปัญหา
ติเรา ติเรา การติเรานั่นล่ะคือการแก้ปัญหา
เป็นการแก้ปัญหาที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าถูกต้อง

ต้นไม้ในโลก มีทั้งมีแก่นและไม่มีแก่น คนในโลกก็เช่นเดียวกัน
มีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอ มีทั้งมีคุณภาพและไม่มีคุณภาพ
ธรรมดาธรรมชาติของเขาเป็นอย่างนั้น จึงไม่ต้องไปติ ไม่ต้องไปชมอะไรกัน

ถ้าหากว่าจะติจะชม พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญการ ติเรา ชมเรา
การที่ใจมุ่งตำหนิคนอื่นนั้น ใจไม่สบาย ใจเป็นอกุศล

ใจมุ่งในการตำหนิเรา มุ่งในการแก้ไขเรา ใจมีลักษณะนี้ ใจเป็นข้อปฏิบัติ

ใจมีอรรถ ใจมีธรรม มีธรรมจึงให้มุ่งที่จะแก้ไข ปรับปรุงเราเองอยู่เสมอ

หลวงปู่แบน ธนากโร
วัดดอยธรรมเจดีย์ อำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร






พระพุทธเจ้า.พระองค์ไม่ได้เข้าสู่นิพพานในฌานสมาบัติอะไรที่ไหนหรอก, เมื่อพระองค์ "ออกจากจตุตถฌาน" แล้ว, จิตขันธ์หรือนามขันธ์ ก็ดับพร้อม, ไม่มีอะไรเหลือ, นั่นคือพระองค์ "ดับเวทนาขันธ์ในภาวะจิตตื่น"นั่นเอง

หรือ ในวิถีจิตอันปรกติ, ของมนุษย์.ครบพร้อมทั้ง "สติและสัมปชัญญะ" (สติสัมปชัญญะ ก็ตือ "จิตหนึ่ง") ไม่ถูกภาวะอื่นใดมาครอบงำอำพรางให้หลงใหลใดๆทั้งสิ้น, เป็นภาวะแห่งตนเองอย่างบริบูรณ์, ภาวะอันนั้นจะเรียกว่า.มหาสุญญตา, หรือจักรวาลเดิม, หรือเรียกว่า "พระนิพพาน" อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้, เราปฏิบัติมาก็เพื่อ "เข้าถึงภาวะอันนั้นเอง"
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล





" ทำไปเถอะความดี ทำไปอย่าหยุด
เพราะผลตอบแทนมันมหาศาลมาก
โดยเฉพาะความดีที่ทำกับพ่อแม่
และผู้มีพระคุณ ให้ทำไปเถิด
.
เพราะยังไม่เคยเห็นคนไหน
ที่ทำดีกับพ่อแม่และผู้มีพระคุณ
แล้วชีวิตของเขาจะตกต่ำ "
.
.
#หลวงปู่บุญส่ง ฐิตสาโร
วัดสันติวนาราม จ.จันทบุรี







จิตของเราที่กระเพื่อมออกมันเร็วในทางไม่ดี
สติปัญญาที่จะคุมจิตให้อยู่กับคำบริกรรมพุทโธ
จะต้องเร็วไวยิ่งกว่า
มันถึงจะเป็นยาคุมที่ดี
ดึงจิตให้อยู่ในความสงบ สุข เย็นใส

หลวงพ่อไม อินทสิริ






ในโลกนี้หรือโลกหน้า
การได้พบเจอกัน
หรือจะเป็นการพลัดพลากจากกัน
ไม่ใช่สิ่งบังเอิญ
ทุกอย่างมีเหตุมีปัจจัย

หลวงพ่อไม อินทสิริ







ทุกข์อยู่ที่ไหน ทุกข์อยู่ที่ใจยึดมั่นถือมั่น
ยึดมั่นถือมั่นในชาติตระกูล ในตัว ในตน ในสัตว์ในบุคคล
ความยึดอันนี้แหละที่ยึด ไม่ให้มีทุกข์ให้มีความสุข
มันเป็นไปไม่ได้ เหมือนกับว่าเราจะไม่ให้แก่ ก็แก่เรื่อยไป
ต้องรู้ว่าแก่เพราะอะไร ก็เพราะว่าจิตมายึดถือ
เมื่อจิตมายึดมาถือ จิตจึงมาเกาะอยู่
มาเกิด มาแก่ชรา เจ็บไข้ได้พยาธิ
ผลที่สุดก็ถึงซึ่งความตาย

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร







การภาวนานั้นไม่ต้องสอนกันมาก
ให้ลงไปที่กายที่ใจ
เพราะกายและใจจะสอนเราเอง
ของจริงนั้นไม่ต้องอาศัยตำรา
ไม่อาจหาเอาได้จากสิ่งใด
แม้แต่คำสอนของหลวงปู่ก็สอนไม่ได้
แม้พูดไปเท่าใด
ก็ไม่อาจเข้าถึงจิตถึงใจ

หลวงปู่อว้าน เขมโก






บุญไม่ใช่จะมีเงินไปหาซื้อ
หาขอเอาที่ไหนก็ได้นะ
บุญเกิดจากทาน
เสียสละความโลภ
ความโกรธ ความหลง
ความตระหนี่เป็นทาน
นี่แหละยอดบุญ

หลวงปู่อว้าน เขมโก






" ถ้าไม่มีอะไร
เป็นทาน ก็สละ
ความโลภ
ความโกรธ
ความหลง
นั่นแหละ เป็นทาน "

โอวาทธรรม
หลวงปู่อว้าน เขมโก







ศีลข้อ 1 ห้ามฆ่าสัตว์เรามีจิตใจรักชีวิตสัตว์ทุกชนิดมาก แต่เหตุสุดวิสัยหลายครั้งที่ทำให้ชีวิตสัตว์เล็กๆ น้อยๆ ต้องตาย เช่น ขับขี่รถไปบนถนนเหยียบสัตว์เล็กๆ ตายทำให้จิตใจกังวลมากเพราะทำผิดศีลข้อนี้แล้ว

คำตอบ

ศีลขาดโต้งๆ ในการฆ่าสัตว์เพราะมีเจตนาฆ่าสัตว์...รู้ว่าสัตว์มีชีวิตพยายามฆ่าสัตว์ตายตามความประสงค์อันนี้ศีลขาดจริง เพราะเจตนาภูมิส่วนไม่มีเจตนาแต่ทำให้เขาตายด้วยบาปเหมือนกัน แต่ศีลไม่ขาด ให้เข้าใจว่าศีลทั้ง 5 ข้อ เป็นศีลที่มีเจตนาจะล่วง ถ้าไม่มีเจตนาแล้วศีลก็ไม่ขาด แต่เป็นบาปเวรอยู่เหมือนกัน เพราะ บาปเวรที่ไม่มีเจตนา เช่น เราขับรถไปไม่เจตนาจะชนเขาแต่มันไปชนซะก็ได้รับโทษตามความเสียหาย เป็นเกณฑ์


หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
ตอบปัญหาธรรมะ







วิญญาณไม่มีที่พึ่ง เขาพอจะขอใครได้ก็ต้องขอ บางทีมาเข้าฝันก็มี บางครั้งก็มาปรากฏตัวให้เราเห็น!!! บางทีส่งกลิ่นเหม็นมาให้เราดม??!! ขนพองสยองขวัญ!!!นั่นแหละคือ...มาขอส่วนบุญ เราไม่เข้าใจความหมายของเขา ผีก็เลยอดตาย??!! ยิ่งผีไม่มีญาติพี่น้อง สัมภเวสี ล่องลอยไปตามกรรม. ได้ยินข่าวว่าวัดนั้นวัดนี้ จะเอาบุญข้าวสากเดือน 10 เพ็ญ บ้างก็เดินทางมาไกลมาก ขนลูกขนหลานมา รอนแรมมาจับจองมองหาญาติพี่น้อง ที่มาทำบุญอุทิศส่วนกุศลเดือน 10 เพ็ญ บางทีญาติพี่น้องลืมอุทิศส่วนกุศลไปให้ เสียอกเสียใจมาก พากันบ่นพึมพำๆๆผิดหวังไปตามๆกัน เห็นแต่ลูกหลานของคนอื่นเขามา ร้องไห้กลับไปแบบมือเปล่า โดยไม่มีอะไรติดไม้ติดมือก็มีมาก ฉะนั้น... พวกเราอย่าพากันลืมพ่อแม่ที่ล่วงลับไปแล้วเป็นอันขาด เวลาพระสงฆ์"ยะถาสัพพี"จิตใจของเราต้องน้อมรำลึกถึงผู้มีพระคุณ ต่อจากนั้นก็แผ่เมตตาให้ทั่วถึง ตลอดผีที่ไม่มีญาติพี่น้องให้ไปหมดเลยนะ อย่าให้เขาเสียใจภายหลังว่า เราใจดำน้ำขุ่นลืมพ่อแม่ตัวเอง แต่ถ้าเขาได้จากเรา...เขาอวยพรให้เราดังลั่น ดังสนั่นลั่นโลกไปเลยนะ แต่เราไม่รู้

หลวงปู่สมเกียรติ ชิตมาโร
วัดป่าถ้ำพระเทพนิมิต ต.ตาลเลียน อ.กุดจับ จ.อุดรธานี






หลวงพ่อ " สมเกียรติ ชินมาโร " ถาม-ตอบโยม
วัดป่าถ้ำพระเทพนิมิต ต.ตาลเลียน อ.กุดจับ จ.อุดรธานี

โยม :: หลวงพ่อครับ คนเรามีญาณหลายอย่างใช่ไหมครับ

หลวงพ่อ :: บ่ ญาณมันมีอันเดียวนี่แหละ เกิดจากจิตเป็นสมาธิ ก็คือญาณ หมายความว่า ความหยั่งรู้ ญาณให้กันไม่ได้อย่าไปเชื่อ ว่าข้อยจะให้ญาณ อย่าไปเชื่อโกหกทั้งนั้น อุตริทั้งนั้น ไม่กลัวบาปเลย พูดหน้าด้านๆอุตริอยากให้คนเชื่อเจ้าของ อย่าไปเชื่อเลย อย่างเช่นมีคนบอกว่าทำบุญทำทานเท่านี้แล้วจะได้ไปสวรรค์ชั้นนี้ๆ

โยม :: หลวงพ่อครับ แล้วหูทิพย์ตาทิพย์นี่ให้กันได้ไหมครับ

หลวงพ่อ :: โอ้ยให้กันไม่ได้ดอก ไม่ได้เลยๆ ไม่ได้ซักอย่างแม้แต่สมาธิก็ไม่ได้ แม้แต่ศีลก็เหมือนกัน " ศีล-สมาธิ-ปัญญา " เกิดกับเจ้าของทั้งนั้น ฟังคนอื่นท่านแนะนำสั่งสอนแล้วให้เอาไปปฏิบัติ จะไปให้กันเหมือนข้าวของเงินทองทรัพย์สิน หรือเสื้อผ้าไม่ได้ทั้งนั้น ไม่ได้-อย่าไปเชื่อ ไม่มีทางเลย โอ้ย..ถ้าให้กันได้ก็ให้กันหมดแล้วน้อ พระพุทธเจ้าท่านให้ธรรมะคำสั่งสอนมา ท่านให้พากันไปปฏิบัติเอา ถ้าท่านให้ได้ท่านก็ให้พ้นทุกข์หมดทุกคนตั๊ว อันนี้ทำให้ไม่ได้ ถ้าท่านให้ได้พวกเราไม่ต้องมาทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้หรอก จริงๆ







จงมองดูทุกสิ่ง..ทุกอย่างในโลกนี้
ให้รู้ ให้เข้าใจ..ว่าคือสมมุติ
เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวสุข ล้วนเกิดจากอุปปาทานเป็นเหตุ
ทุกสิ่ง มีเกิดต้องมีดับ
ถ้าเรามีญาณก็จะรู้ว่า
ทุกสิ่งทุกอย่าง..ที่เกิดนั้น
ไม่มีเรื่องบังเอิญ

โอวาทธรรมหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 144 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร