วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 10:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2017, 05:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


วิสัยของพระโพธิสัตว์ไม่มีคำว่าถอย โลกเขาไม่ยินดีเขาขับไปไหนก็ไป แต่เรื่องพระอัธยาศัยหรือนิสัยของพระโพธิสัตว์นั้นไม่ยอมปล่อยวางเลย เพราะนักทาน คำว่าโพธิสัตว์คือผู้ที่จะตรัสรู้ข้างหน้า แปลออกแล้วเป็นอย่างนั้น เป็นผู้ที่มีความเมตตาสงสารมากมาโดยลำดับลำดา ไปอยู่ในฝูงสัตว์ก็ให้อภัยแก่สัตว์ เจ้าของยอมตายแทนสัตว์ได้ เป็นหัวหน้าสัตว์ เจ้าของยอมตายทีเดียวๆ อยู่กับสัตว์ เอ้า สัตว์อดให้พระองค์อดเสียก่อนให้สัตว์อิ่ม พวกบริษัทบริวารอิ่มท้อง พระโพธิสัตว์ถึงจะอิ่มทีหลัง

ทีนี้เวลามาเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ความเมตตาสงสารนี้เราอย่ามาพูดเลยเม็ดหินเม็ดทราย ที่อื่นที่ไม่มีเม็ดหินเม็ดทรายยังมีอีก พระเมตตาของพระพุทธเจ้าไปได้หมด ถ้าว่ามีแต่เม็ดหินเม็ดทรายมันก็จะมีอยู่ในแผ่นดินนี้เท่านั้นเม็ดหินเม็ดทราย พระเมตตาของพระพุทธเจ้าก็จะมีอยู่เพียงแผ่นดินนี้ เพราะมีเม็ดหินเม็ดทรายอยู่ที่นี่ ถ้าหากว่าพระเมตตาแทรกอยู่ทุกเม็ดหินเม็ดทราย เลยจากเม็ดหินเม็ดทรายไปอีก เทียบกับท้องฟ้ามหาสมุทรสุดสาคร ในสามภพนี้พระเมตตาของพระพุทธเจ้าหยั่งถึงหมด มากยิ่งกว่าเม็ดหินเม็ดทรายนี้อีก นี่ละเวลาพระองค์สร้างพระบารมี สร้างมาเต็มที่แล้ว

(หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)







หลวงปู่ดู่เป็นผู้ที่มีอุบายธรรมลึกซึ้ง สามารถขัดเกลาจิตใจคนอย่างค่อยเป็นค่อยไป มิได้เร่งรัดเอาผล เช่นครั้งหนึ่งมีนักเลงเหล้าติดตามเพื่อนซึ่งเป็น ลูกศิษย์มากราบนมัสการท่าน สนทนากันได้สักพักหนึ่ง เพื่อนที่เป็นลูกศิษย์ ก็ชักชวนเพื่อนนักเลงเหล้าให้สมาทานศีล ๕ พร้อมกับฝึกหัดปฏิบัติสมาธิภาวนา นักเลงเหล้าผู้นั้นก็แย้งว่า “จะมาให้ผมสมาทานศีลและปฏิบัติได้ยังไง ก็ผมยังกินเหล้าเมายาอยู่นี่ครับ

” หลวงปู่ดู่ท่านก็ตอบว่า “เอ็งจะกินก็กินไปซิ ข้าไม่ว่า แต่ให้เอ็งปฏิบัติให้ข้าวันละ ๕ นาที ก็พอ” นักเลงเหล้าผู้นั้นเห็นว่านั่งสมาธิแค่วันละ๕ นาที ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร จึงได้ตอบปากรับคำจากหลวงพ่อ ด้วยความที่เป็นคนนิสัยทำอะไรทำจริง ซื่อสัตย์ต่อตัวเองทำให้เขาสามารถปฏิบัติได้สม่ำเสมอเรื่อยมามิได้ขาดแม้แต่วันเดียว บางครั้งถึงขนาดงดไปกินเหล้ากับเพื่อนๆ เพราะได้เวลาปฏิบัติ จิตของเขาเริ่มเสพคุ้นกับความสุขสงบจากการที่จิตเป็นสมาธิ ไม่ช้าไม่นานเขาก็สามารถเลิกเหล้าได้โดยไม่รู้ตัว ด้วยอุบายธรรมที่น้อมนำมาจากหลวงปู่ ต่อมาเขาได้มีโอกาสมานมัสการท่านอีกครั้ง ที่นี้หลวงปู่ดู่ท่านให้โอวาทว่า “ที่แกปฏิบัติอยู่ ให้รู้ว่าไม่ใช่เพื่อข้า แต่เพื่อตัวแกเอง”

คำพูดของหลวงปู่ ทำให้เขาเข้าใจอะไรมากขึ้น ศรัทธาและความเพียร ต่อการปฏิบัติก็มีมากขึ้นตามลำดับ ถัดจากนั้นไม่กี่ปี เขาผู้ที่อดีตเคยเป็นนักเลงเหล้าก็ละเพศฆราวาสเข้าสู่เพศบรรพชิต ตั้งใจปฏิบัติธรรมเรื่อยมา

อีกครั้งหนึ่งมีชาวบ้านหาปลามานมัสการท่าน และก่อนกลับท่านก็ให้เขาสมาทานศีล ๕ เขาเกิดตะขิดตะขวงใจกราบเรียนท่านว่า “ผมไม่กล้าสมาทานศีล ๕ เพราะรู้ว่าประเดี๋ยวก็ต้องไปจับปลา จับกุ้ง มันเป็นอาชีพของผมครับ ” หลวงปู่ตอบเขาด้วยความเมตตาว่า “แกจะรู้เหรอว่า แกจะตายเมื่อไหร่ ไม่แน่ว่าแกเดินออกไปจากกุฏิข้าแล้ว อาจถูกงูกัดตายเสียกลางทางก่อนไปจับปลา จับกุ้ง ก็ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อตอนนี้แกยังไม่ได้ทำบาปกรรมอะไร ยังไงๆ ก็ให้มีศีลไว้ก่อน ถึงจะมีศีลขาดก็ยังดีกว่าไม่มี ศีล ”

...หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ...






เรื่องเล่าจากภาพหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
กรรมฐานบทแรก
ทุกวันพระ หลวงพ่อจะลงเทศน์ที่หอประชุมภาวนากรศรีทิพพา โดยพระภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกาผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่าน จะมารอหลวงพ่อตั้งแต่บ่ายสองโมง เมื่อถึงเวลาหลวงพ่อจะนำทำวัตร ให้กรรมฐาน สอนกรรมฐาน และเทศน์เรื่องราวต่างๆ ซึ่งโดยปกติจะเสร็จสิ้นในเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม แต่วันดีคืนดี หลวงพ่อท่านก็จะเมตตาสอนยาวไปถึงเที่ยงคืนตีหนึ่งก็มี กรรมฐานบทแรกที่หลวงพ่อจะสอนให้ คือเรื่อง “การปฏิบัติเพื่อที่จะใช้สติคอยควบคุมจิต”
เพราะเมื่อใครก็ตามที่มีสติควบคุมจิตตนเองไว้ได้ จะอยู่ในครอบครัวก็จะอยู่ด้วยสันติสุขสนุกสบายในครอบครัว สามีภรรยาก็จะดีมีปัญญา ลูกหลานก็เรียนหนังสือเก่ง ชีวิตไม่เกียจคร้าน มีความเจริญในหน้าที่การงาน ชีวิตมีแต่ความมั่นคง จิตใจดีมีเมตตา ไม่กระทำชั่วอีกต่อไป โรคภัยไข้เจ็บก็จะไม่เบียดเบียน
นี่คือกรรมฐานบทแรก ที่หลวงพ่อสอน คอยย้ำเตือนผู้ปฏิบัติอยู่เสมอ ท่านจะสอนเอาง่ายๆก่อน สอนต่ำๆก่อน ไม่สอนสูงถึงสวรรค์นิพพาน ท่านสอนให้ฝึกสติ มีสติควบคุมจิตได้เมื่อไหร่ ชีวิตดีขึ้นแน่นอน ได้สมบัติมนุษย์เมื่อไหร่ เดี๋ยวสวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติมันก็ตามมาเอง ตามมาเพราะจิตใจที่สูงขึ้นจากการปฏิบัติ
“ไอ้ที่ได้ไม่เอาไป เอาไอ้ที่ไม่ได้ ไอ้ที่จริงไม่ชอบ ไปชอบเอาที่ไม่จริง เอาที่ได้แน่ๆก่อน คือ “สติ” ขอให้ตั้งใจปฏิบัติกันนะ”
#คำสอนหลวงพ่อจรัญ






" ถ้าหลวงปู่ไม่อยู่แล้ว(มรณภาพ)ไม่ต้องแสวงหาครูบาอาจารย์ที่ไหนถ้าไม่แน่ใจในการปฏิบัติว่า ถูกหรือผิด ให้กลับไปหา พระไตรปิฏก นั่นแหละคือบรมครูของเรามาเทียบเคียงในการปฏิบัติ ถ้ามีคนมาถามว่า ท่านสายไหน(ธรรมยุติ-มหานิกาย) ให้ตอบไปว่า สายพระพุทธเจ้า"

~โอวาทธรรม หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ~
วัดธาตุมหาชัย อ.ปลาปาก จ.นครพนม





ส่วนผลลัพธ์ก็ให้ผลตามส่วนควรค่าของเหตุที่สร้างขึ้น เรียกว่าโลกทิพย์ปาฏหารทิพย์
บรรดาท่านผู้มีกิเลสก็ทรงปาฏิหารย์และเป็นของทิพย์โลกทิพย์ มาเกิดแก่เจ็บตายอีก
บรรดาท่านผู้พ้นจากอาสวะโดยสิ้นเชิง ก็มีปาฏิหารย์เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
อันเป็นยอดปาฏิหารย์เหนือโลก ไม่มีสิ่งที่จะเทียบได้
ผู้ปฏิบัติพระพุทธศาสนา ย่อมรู้จักคุณค่าของปาฏิหารย์และนอกโลก
เป็นมหาทิพย์ใจทิพย์ธรรมทิพย์ อันทรงอยู่มีอยู่ทุกกาล
ปาฏิหารย์และโลกทิพย์ทางวัตถุ มันไกลกันกับโลกุตระทิพย์ จนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อนอกๆ
ตาโลกุตระปัญญาเท่านั้น จึงจะมองเห็นได้
แม้สมาธิหัวตอที่รักสงบนิ่งอยู่ท่าเดียวเป็นเถรส่องบาตร ก็ไม่สามารถจะรู้ได้..."

หลวงปู่หล้า เขมปัตโต






เวลาความอยากมันเกิดขึ้น
อะไรมันอยาก
ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก มันอยากมั้ย
ถามมัน
ถาม ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง...
ตรงใหนก็ไม่มีความอยากแม้แต่น้อย
แม้ถามใจเรา
ฟังอยู่เฉยๆ ตั้งใจฟังคำตอบ
ใจมันก็ไม่บอกว่า ข้าพเจ้าเป็นใจ ข้าพเจ้าอยาก.
นั้น! แล้วอะไรมันอยาก
ความอยากก็คือความอยาก
ความอยากเกิดจากใจเราที่ว่างจากธรรมมะ
เมื่อว่างจากธรรมมะ ความอยากก็เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาทันที"
____________________
#หลวงปู่แบน ธนากโร
น้อมบูชาธรรม
2 กรกฎาคม .2560
89 ปี พระภาวนาวิสุทธิญาณเถร (แบน ธนากโร)
#วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร







ถ้าถามธรรมในตัวเอง เราเกิดมานี้เราจะตายเหมือนโลกทั่วๆ ไป
แล้วเรามีความดีงามอะไรบ้างติดเนื้อติดตัวเรา
พุทโธเคยมีในหัวใจไหม ธัมโมเคยมีในหัวใจไหม สังโฆเคยมีในหัวใจไหม
การให้ทานเราเคยได้ให้ทานมากน้อยเพียงไร
การรักษาศีลรักษาธรรมอย่างน้อยศีล ๕
เราเคยได้รักษากับโลกแห่งชาวพุทธเขาบ้างไหม
ให้พิจารณา การภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ
ซึ่งพระพุทธเจ้าเลิศด้วยการภาวนา เราเคยได้ภาวนาบ้างสัก ๑ นาทีไหม
เหล่านี้เปล่าทั้งนั้นพวกเรา เรียกว่าเปล่าหมดไม่มีในตัว
แสดงว่าขาดทุนมากมายก่ายกอง
.
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ เขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น
เมื่อค่ำวันที่ ๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๑
"ไม่มีอะไรหนักยิ่งกว่ากรรมดีกรรมชั่วของเรา"







“ทำได้ทุกเวลา”
..ฉะนั้น บรรดาพวกเราที่ต้องการจะยกฐานะของตัวเองให้สูงขึ้น ก็ต้องเร่งในการประพฤติปฏิบัติ ยังไม่หมดครั้งหมดคราว ยังไม่หมดสมัยหรอก มันไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลาอย่างท่านว่า อกาลิโก สร้างบาป ยังทำได้ทุกเวลา สร้างบุญทำไมจะทำไม่ได้ทุกเวลาเหมือนกัน ทำอย่างไหนมันเป็นบาป ก็เป็นบาปอยู่อย่างนั้น ยุคไหน คราวไหนก็เหมือนกัน อันนี้เราคิดเอาเฉย ๆ ว่าเอาเฉย ๆ หรอก เดี๋ยวก็เฒ่า เดี๋ยวก็แก่ เดี๋ยวก็อายุน้อย ไม่อยากกระทำ หรือว่าทำเวลาไหนก็ได้ คิดว่าเป็นของทำง่าย มันแทรกสิงเข้าในจิตใจ ยากยิ่งกว่าน้ำมันติดในผ้าและแพรที่ไปซักออกโน้นนะ มันเข้าเป็นเนื้อ เป็นหนัง เป็นตน เป็นตัวหมด ถึงกระดูกดำโน้นหละ..

หลวงปู่ศรี มหาวีโร






“ยึดแต่ของภายนอก”
..จิตใจของคนเรา ก็ไปยึดแต่ของภายนอกนะสมัยนี้ ออกจากร่างกายตัวเองแล้วก็ไปในด้านวัตถุ อยู่อย่างนั้นหละ ธรรมะก็เลยเข้าไม่ถึง ของอันนี้มันแน่นอยู่ในหัวใจ ถ้าไม่ลดละ จะเอาใส่ก็เอาใส่ไม่ได้ ตัวอย่างในโลกปัจจุบันนี้ก็มากต่อมาก..

หลวงปู่ศรี มหาวีโร







จะเรียนรู้วิชาแขนงใดมา อย่าปล่อยอย่าวางธรรม
คือความเป็นคนดี และมีเหตุผลในการปฏิบัติตัว
เราอย่าถือความอยากความทะเยอทะยานเป็นความใหญ่โตยิ่งกว่าธรรม
ให้ถือคำว่าควรหรือไม่ควร มีเหตุผลจับในกิริยาของเราที่จะทำ
จะพูด ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเสมอ อันใดไม่ควรเราก็ไม่ทำในสิ่งนั้น
เรียกว่ามีธรรมเป็นเบรกห้ามล้อ

......................................................

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ และฆราวาส
ณ วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล
ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม
เมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ [บ่าย]








..."หยุดความอยาก"
ความอยากนี้เป็นต้นเหตุ
ของความโกรธของเรา

ไม่ใช่การกระทำของคนอื่น
ที่ทำให้เราโกรธ

การกระทำของคนอื่น
เป็นเพียงจุดชนวน เป็นเหมือนไม้ขีด

แต่ระเบิดมันอยู่ในใจเราอยู่แล้ว
เขาเพียงแต่มาจุดระเบิดที่มีอยู่ในใจเรา

ถ้าเราไม่มีระเบิด
ต่อให้เขาจุดไม้ขีดยังไง ก็ไม่ระเบิด

เราต้องถอนระเบิดออกจากใจเรา
คือ "ความอยาก".
......................................

คัดลอกการสนธนาธรรม
ธรรมะบนเขา 24/8/2560
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี








ธรรมะหลวงปู่ดุลย์ อตุโล สอนเรื่องจิตก่อนตาย

เรื่องจิตก่อนตายนั้น สำคัญมากหากเวลาดับจิต หากจิต"ดี" ก็ได้ไปที่ "ดีๆ"หากจิต “หมอง” จิต “ร้าย” ก็จะไปสู่ “อบายภพ” ที่ร้อนร้ายในทันใด ซึ่งจิตก่อนตายนี้ เป็นของไม่แน่นอน บังคับไม่ได้ แล้วแต่วาระหรือกรรมจะพาให้เป็นไป ด้วยเหตุนี้บางคน แม้เคยทำบุญมามากต่อมากแต่ตายไปกลับไปตกนรกทั้งนี้เป็นเพราะ"จิตหมอง"ก่อนตาย บางคน แม้จะทำบาปทำกรรมมามากมาย แต่ตายไป กลับไปอยู่บนสวรรค์ทั้งนี้เพราะเกิด"จิตใส"ตอนดับจิต กรณีทั้งสองแบบ ล้วนมีบันทึกไว้ในพระไตรปิฏกมาแล้วทั้งสิ้นแต่สำหรับคนที่เคย"ฝึกจิต"มาก่อนวินาทีที่รู้ตัวว่า อย่างไรเสียจะต้องตายหรือดับจิตลงไปแน่ๆหาก"ทำเป็น" ก็อาจพลิกจิตยกขึ้นสู่ภูมิสูง ไปสู่"สุคติ"หรือ"อริยะ" ไป "สุคติภพ"หรือ"อริยภูมิ" เลยก็ได้สำหรับวิธีตกกระไดพลอยกระโจน (สู่สุคติภพหรืออริยภูมิ)ของพระราชวุฒาจารย์หลวงปู่ดุลย์ อตุโล วัดบูรพาราม สุรินทร์ ก็คือ
ปล่อยวางทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบันอยู่กับความไม่มีไม่เป็น ว่าง สว่าง บริสุทธิ์ หยุดการปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา หยุดกิริยาจิต ไม่มีอะไรเลยไม่ยึดถืออะไรสักอย่าง
พระอริยเจ้ามีจิตไม่ส่งออกนอกจิตไม่หวั่นไหว จิตไม่กระเพื่อมมีสติอย่างสมบูรณ์เป็น วิหารธรรมมีสติอย่างสมบูรณ์ เป็นเครื่องอยู่วิธีทำหยุดคิด อย่าส่งจิตออกนอกมีสติอย่างสมบูรณ์เป็นเครื่องอยู่แต่เรื่องของการ"พลิกจิต" ช่วงสุดท้ายนี้ หลวงปู่ดุลย์ท่านว่าบุคคลนั้นๆต้องเคย"ฝึก"มาก่อน จึงจะทำได้จริง พอดี

หลวงปู่ดุลย์ อตุโล








"พระจริง-พระกาฝาก"
.
โลกใครจะว่าฉลาด เมื่ออยู่ใต้อำนาจของกิเลสแล้วโง่กันทั้งนั้นตามส่วน
นอกจากผู้เหนือกิเลสไปแล้วนั้นเรียกว่าผู้ฉลาด
ถึงไม่ฉลาดทำงานการอย่างอื่นก็ตาม
แต่ฉลาดถอนตนออกเป็นอิสระได้จากอำนาจกิเลสที่เคยกดขี่มานาน
แล้วก็ได้บรมสุขมาครองหัวใจดังพระพุทธเจ้าและสาวกท่าน
นั่นท่านฉลาดจริง นั่นที่เรียกว่าจอมปราชญ์ก็จอมปราชญ์อย่างนั้นละ

...............................................................................................

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๒๑








"จะเอาสุขทางโลก ก็ได้ทุกข์มาพร้อมกัน
เช่นคิดว่า สามี ภรรยา เป็นความสุข
ก็ได้รับทุกข์เพราะ สามี ภรรยา นั่นแหละ

อยากได้ลูก มีความสุขที่ได้ลูกหญิงลูกชาย
แต่ก็ได้รับทุกข์ เพราะลูกนั่นแหละ

จะเอาความรัก ก็ได้ความชังมาพร้อม
จะเอาอย่างเดียวไม่ได้ อยากได้หนึ่งแต่ได้สอง
เป็นกฎธรรมชาติอย่างนั้น"

-:-หลวงปู่คำดี ปภาโส-:-


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 60 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร