วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 19:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2017, 20:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


โยมว่า "อย่ามาทำแก้วฉันแตกนะ" ของมันแตกได้ โยมจะไปห้ามมันไม่ได้ ไม่แตกเวลานี้ ต่อไปมันจะแตก เราไม่ทำแตกคนอื่นจะทำแตก คนอื่นไม่ทำแตก ไก่มันจะทำแตก พระพุทธเจ้าท่านให้ยอมรับ

ท่านมองทะลุไปว่า แก้วใบนี้แตกแล้ว แก้วที่ไม่แตกนี้ ท่านให้รู้ว่ามันแตกแล้ว จับทุกทีใส่น้ำดื่มเข้าไปแล้ววางไว้ ท่านก็ให้เห็นว่าแก้วมันแตกแล้วเข้าใจไหม นี่คือความเข้าใจของท่านเป็นอย่างนั้น

เห็นแก้วที่แตกอยู่ในแก้วใบที่ไม่แตก เพราะเมื่อมันหมดสภาพแล้วไม่ดีเมื่อไรมันก็จะแตกเมื่อนั้น ทำความรู้สึกอย่างนี้ แล้วก็ใช้แก้วใบนี้ไป รักษาไป อีกวันหนึ่ง พอมันหลุดมือแตก "ผัวะ" สบายไปเลย ทำไมสบาย เพราะเห็นว่ามันแตกก่อนแตกแล้ว เห็นไหม

แต่ถ้าเป็นโยม "แหม ฉันถนอมมันเหลือเกิน อย่าทำให้มันแตกนะ" อีกวันหนึ่งสุนัขทำแก้วแตกเกลียดสุนัข ถ้าลูกทำแตกก็เกลียดลูก เกลียดทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้แก้วแตก

เพราะเราไปกั้นฝายไว้ไม่ให้น้ำไหลออกไป กั้นไว้อย่างเดียวไม่มีทางระบายน้ำ ฝายมันก็แตกเท่านั้นแหละใช่ไหม ต้องทำฝายแล้วทำทางระบายน้ำด้วย พอน้ำได้ระดับแค่นี้ ก็ระบายน้ำข้างๆ นี่ เมื่อมันเต็มที่ก็ให้มันออกข้างนี้...ท่านเห็นอนิจจัง ความไม่เที่ยงอยู่อย่างนั้น นั่นแหละเป็นทางระบายของท่าน อย่างนี้โยมจะสงบ นี่คือการปฏิบัติธรรมะ
โอวาทธรรม..หลวงพ่อชา สุภัทโท





"ผู้รู้แล้วจะไม่ทุกข์ ผู้ไม่รู้เท่านั้นที่ทุกข์
ทุกข์มันก็มีอยู่กับทุกคน ไม่มีใครไม่มีหรอก
ตราบใดที่ยังมีขันธ์ ๕ อยู่ ทุกข์ก็ต้องมี
แต่ถ้ารู้แล้ว เราจะอยู่อย่างสบาย"

-:-ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก-:-





"ถ้ากำลังรักแม่
วันนี้ขอให้ความรักของเรา
ปรากฏด้วยการกระทำ และการพูด

ถ้ากำลังโกรธ หรือน้อยใจแม่
ขอให้อภัยท่าน และวันนี้ตั้งใจทำอะไรสักอย่าง
ให้แม่มีความสุข อย่าเป็นทุกข์ เพราะการคาดหวัง

แม่ไม่ใช่พระอรหันต์อยู่ในบ้าน
แม่เป็นคนธรรมดา พยายามเอาใจท่าน
มาใส่ใจเรา และทำให้ความสัมพันธ์กับแม่ดีที่สุด
เท่าที่จะเป็นได้ เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่า
จะอยู่ด้วยกันอีกนานเท่าไร"

-:- อาจารย์ชยสาโร ภิกขุ -:-






"อาตมามีความเสียใจ อยู่อย่างหนึ่ง
เสียใจอยู่อย่างยิ่งว่า สมัยเมื่อแม่ยังมีชีวิตอยู่
อาตมาก็ไม่มีความรู้อะไร แม้จะบวชแล้ว
ก็มีความรู้ธรรมะโง่ๆ เง่าๆ งูๆ ปลาๆ
อย่างนั้นแหละ

ถ้ามีความรู้อย่างเดี๋ยวนี้ ก็จะช่วยแม่ได้มาก
ให้พอใจรู้ธรรมะอย่างยิ่ง แต่แม่ชิงตายไปเสียก่อน
ก่อนที่อาตมา จะมีความรู้พอจะสอนธรรมะลึกๆ
ให้แม่ได้ นี่เป็นเรื่องที่นึกแล้ว ก็ว้าเหว่อยู่ไม่หาย"

-:- ท่านพุทธทาสภิกขุ -:-






"จะไปดีได้อย่างไร ถ้าเราไม่ทำดี
เราไม่ทำบุญให้ทาน ไม่รักษาศีล
ไม่ภาวนา ไม่ละกิเลสราคะ โทสะ
โมหะ ในใจของเรา ก็เอาดี ไม่ได้"

-:-หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร-:-





ระลึกคุณมารดา

ด้วยความระลึกถึงพระคุณของโยมมารดา อยากให้โยมมารดารู้เห็นและพบความสุขจากธรรมนี้บ้าง ท่านจึงจากบ้านห้วยทรายมาที่บ้านตาด เหตุการณ์ในระยะนี้หลวงปู่หล้าบันทึกไว้ว่า

"...พอถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ออกพรรษาแล้วจีวรกาลเสร็จ องค์ท่าน (หมายถึงหลวงตามหาบัว) จะได้ไปเอามารดามาบวชขาว องค์ท่านก็คิดละหวนทวนไปมาว่า ถ้าบวชแล้วจะเอาโยมารดามาอยู่ห้วยทราย คุณชีแก่ๆอายุมาก ตลอดทั้งหนุ่มก็มีอยู่มากแล้ว เกรงจะมาทับถมให้ภาระหนักขึ้นแก่ผู้ที่ท่านบวชก่อน เพราะเป็นโยมมารดาของผู้เป็นเจ้าอาวาส ก็ต้องจะได้ให้เกียรติให้คุณเป็นพิเศษ เกรงจะหนักใจแก่ท่านผู้มีอายุมากและพร้อมทั้งบวชก่อน

จึงตกลงใจว่าบวชโยมมารดาแล้วจำจะหาที่อยู่ใหม่ องค์ท่านจึงปรึกษากับคณะสงฆ์ว่า

"...ผมจะได้ไปบวชโยมมารดา ส่วนจะกลับนั้นบอกไม่ถูกเสียแล้ว ส่วนที่จะไปกับผมนั้น จะไปหมดก็ไม่ถูก เวลาอยู่เราก็แย่งกันอยู่ เวลาไปเราก็แย่งกัน มันเป็นเรื่องไม่งามแก่ฝ่ายปฏิบัติ จะเสียวงศ์ตระกูลฝ่ายปฏิบัติ

ฉะนั้น ขอให้คุณสม...จงพาหมู่อยู่นี้บ้างในพรรษาต่อไปนี้ ทีนี้ส่วนผู้ที่จะไปกับผมคนนั้นคนนี้ผมก็ไม่ว่า ส่วนจะอยู่นี่ก็เหมือนกัน ถ้าไปกับผมมากก็ลำบากอีก เพราะไม่ทราบว่าจะได้อยู่ที่ใดแน่ จึงเป็นของน่าควรคิดมากแท้ๆ ในเรื่องนี้..."

เมื่อถึงบ้านตาดแล้ว ท่านจึงจัดการบวชชีให้โยมมารดา และให้การอบรมปฏิบัติจิตตภาวนา ปีนั้นโยมมารดามีอายุครบ ๖๐ ปีพอดี เหตุการณ์ในระยะนั้น ท่านเล่าว่า

"...พอได้เวลาแล้วก็จดหมายมาบอกโยมแม่ว่า จะมาจากห้วยทรายประมาณวันที่เท่านั้น ให้เตรียมพร้อมไว้ ตั้งใจว่าเมื่อมาแล้วจะเอาโยมแม่บวชทันที พอมาถึง โยมแม่ก็พอดีเตรียมพร้อมไว้แล้วก็จับบวชเลย มีผู้เฒ่าแม่แก้ว (คุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ) ที่ติดตามมา ๓ คนนี้ มาเพื่อโยมแม่นี่เอง ถ้าไม่อย่างนั้นโยมแม่จะไม่มีเพื่อนฝูงอยู่ เพราะพวกนั้นก็เห็นคุณเรานี่...ทีนี้เราจะมาบวชโยมแม่นี้ เขาก็ติดตาม มาเพื่อมาเป็นเพื่อนฝูงของโยมแม่นั่นละ พอมาก็จับบวชเลยทันที คล่องตัวเลย..."

จะขอกล่าวถึงโยมบิดาของท่าน นับเป็นเวลาหลายปีก่อนที่โยมบิดาของท่านจะเสียชีวิต ท่านได้พยายามเขียนจดหมายมาขอร้องบิดาอยู่หลายครั้ง ให้เลิกฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จนในที่สุดพ่อก็ยอมเชื่อและไม่ฆ่าสัตว์ใดๆ อีกแลย บิดาของท่านได้เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว (ตั้งแต่ปี ๒๔๘๗) รวมอายุได้ ๕๕ ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาเดียวกันกับ ที่ท่านกำลังภาวนาอยู่ในป่าในเขา

ทราบกันว่า พอตอนเช้าวันเดียวกันกับที่โยมบิดาของท่านสิ้นใจ ท่านได้บอกกับพระเณร ที่พักอยู่กับท่านในระยะนั้นว่า

"...เออ โยมพ่อนี่เสียแล้วล่ะ เมื่อคืนนี้แหละ น้องของพ่อจะมาบอกว่า "พ่อเสียแล้ว" คอยฟังข่าวนะว่ามันจะหลอกหรือจะจริง..."

พระเณรจึงจดวันเวลาที่ท่านบอกไว้ เมื่อผ่านไปได้สักเกือบ ๒ อาทิตย์ ท่านก็ได้รับจดหมาย จากญาติพี่น้องทางจังหวัดอุดรธานีว่า

"โยมบิดาสิ้นแล้ว"

เมื่อพระเณรลองตรวจสอบ วันเวลาที่จดบันทึกไว้กับในจดหมาย ก็ปรากฏว่าตรงกันพอดี เป็นที่อัศจรรย์ใจยิ่งนัก.

ประวัติและปฏิปทา..
องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน






“...รวยกับซวย มันใกล้กันนะ
จะเอารวยน่ะ จะหามายังไงก็ทุกข์

กลัวคนจะมาจี้มาปล้นหมดไปก็เป็นทุกข์อีก
ไปคิดดูเถอะ มันไม่จบหรอก มีแต่เรื่องยุ่ง

เอา “ดี” ดีกว่า...”

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ






"...การปฏิบัติ ถ้าอยากเป็นเร็วๆ มันก็ไม่เป็น หรือไม่อยากให้เป็น มันก็ประมาทเสีย เลยไม่เป็นอีกเหมือนกัน

อยากเป็นก็ไม่ว่า ไม่อยากเป็นก็ไม่ว่า ทำใจให้เป็นกลางๆ ตั้งใจให้แน่วแน่ในกรรมฐานที่ตั้งไว้ ภาวนาเรื่อยไป เหมือนกับเรากินข้าว ไม่ต้องอยากให้มันอิ่ม ค่อยๆ กินไป มันก็อิ่มเอง

ภาวนาก็เช่นกัน ไม่ต้องไปคาดหวังให้มันสงบ หน้าที่ของเราคือภาวนาไป ก็จะถึงของดีของวิเศษในตัว แล้วเราจะรู้ชัดว่าอะไรเป็นอะไร ให้หมั่นทำเรื่อยไป..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ






ขันธ์ยึดถือเป็นภัย

"...เขาเป็นเขาตามหลักธรรมชาติ แต่เรายังอุตส่าห์ไปยึดเอาเขามาเป็นตัวของเราอีก มันก็ยุ่งน่ะซี เพราะมันฝืนความจริงนี่ เพื่อให้ตรงกับความจริง จงพิจารณาเห็นตามความจริงของมัน พิจารณาแล้วพิจารณาเล่าซ้ำๆ ซากๆ เอาจนเป็นที่เข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วไม่ต้องบอกปล่อยบอกวาง ปล่อยเองวางเองทีเดียว

เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นพิษเป็นภัย เป็นโทษแก่เรา เพราะการยึดถือของเราเอง ไม่ใช่เป็นคุณอะไรด้วยการยึดถือ ! หากเป็นบุญเป็นคุณแล้ว พระพุทธเจ้าก็ต้องสอนให้ยึดถือ หรือไม่ต้องสอนใจก็ยึดอยู่แล้ว แต่นี่มันเป็นพิษเป็นภัยเพราะการยึดถือสิ่งเหล่านี้

แม้เขาจะเป็นภัยต่อเราก็ตาม แต่เราก็ไปยึดเอามาเป็นภัย ด้วยความสำคัญว่า เราเป็นอย่างนั้น เราเป็นอย่างนี้ เขาเป็นเรา เขาเป็นของเรา เป็นต้น มันยุ่งตรงที่ไปสำคัญ ไปหมายเอาด้วยความลุ่มหลงของเรานี้แล

ขันธ์นั้นๆ ก็ไม่มีความหมายอะไรในตัวของมันเอง อยู่ตามความจริง เช่นเดียวกับต้นไม้ ภูเขา ฯลฯ นั้นแล ที่รับทราบในแง่ต่างๆ ก็เป็นเรื่องของจิต คนตายแล้วรับทราบไม่ได้ นี่มันไปจากจิตตัวอยู่ไม่เป็นสุข ไปไม่เป็นสุข ยึดไม่เป็นสุข อยู่ร่ำไป นี้แลจึงน่าโมโห!.."

เทศนาธรรมคำสอน..
องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์โปรดคุณเพาพงา วรรธนะกุล ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๙


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 63 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร