วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 05:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2017, 05:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าไปผูกจิตผูกใจกับเสาร์อาทิตย์ บุญไม่ได้อยู่ที่วันเสาร์วันอาทิตย์ ทำเมื่อไรก็ได้ เหมือนบาป ทำตอนไหนก็เกิดขณะนั้นเดี๋ยวนั้น บุญไม่มีวันอาทิตย์วันเสาร์ ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ได้ล้าสมัย ไม่ได้เป็นของเก่าของแก่ ท่านตรัสไว้ชอบแล้วทุกอย่าง บาปก็มี บุญก็มี นรกก็มี สวรรค์ก็ดี มันมีอยู่ที่ไหน มีอยู่ที่หัวใจ ไม่มีก็อยู่ที่หัวใจ เราอย่าเข้าใจว่าศาสนามีพ.ศ. สิ บุญที่ไหนจะเป็นของเก่า สร้างขึ้นมาก็เป็นบุญขึ้นมาสด ๆ ร้อน ๆ ในหัวใจ สร้างบาปขึ้นมาก็เป็นบาปสด ๆ ร้อน ๆ ในหัวใจเหมือนกัน แล้วมันจะเป็นของเก่าได้ยังไง

ให้พากันปฏิบัติ ให้สมกับที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านปลูกฝังในใจแต่ละดวง ๆ ครูบาอาจารย์ท่านก็เมตตาโปรดพวกเรา แล้วพวกเราจะโปรดตัวเองแค่เสียสละเวลามาทำบุญ อย่าบอกว่า ไม่ว่าง ๆ ให้กิเลสหลอกเอา ๆ บอกว่าไม่มีเวลา ไม่ว่าง ไม่สบาย จิปาถะที่กิเลสจะขวางการทำความดี เพราะฉะนั้น ให้พยายามทำอย่างสม่ำเสมอ อย่าขึ้น ๆ ลง ๆ ถ้าขึ้นลงเป็นเรื่องของกิเลส เป็นกาล เป็นสมัย เป็นเวลา

แต่ถ้ามาทำบุญเสาร์อาทิตย์เพราะติดหน้าที่การงานทางโลกที่เขาสมมติให้เป็นวันหยุด ก็เอ้า ถ้าอย่างนั้นก็เอาวันอาทิตย์วันเสาร์เข้าวัดเข้าวาเข้าหาคุณงามความดีบ้าง กิเลสเอาไปแล้วเจ็ดวันแปดวัน ให้มีวันของเจ้าของบ้าง คือเสาร์อาทิตย์ ไปวัดไหนก็ได้ที่อยู่ใกล้ ไปให้กำลังใจตัวเอง

พระอาจารย์โสภา สมโณ
๒ กรกฎาคม ๒๕๖๐





...ดังนั้นคำตอบว่า เราเกิดมาแล้ว
เราควรจะทำอะไรกัน
.
...เราควรมา "สร้างบุญกัน"
มาสร้างเครื่องมือ
ที่เราจะมาใช้ในการ
"ซ่อมแซมชีวิตของเรา"
ให้พ้นจากความทุกข์ต่างๆ
.
...ดังนั้นเราจึงควรทุ่มเทชีวิตจิตใจ
ของพวกเราให้กับการ
"มาสร้างบุญ" กันจะดีกว่า
.
...เพราะเราสร้างอย่างอื่น
ก็เท่ากับเป็นการ "สร้างความทุกข์"
สร้างการเกิด แก่ เจ็บ ตายนั่นเอง
..............................................
.
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะบนเขา 5/8/2560
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี







เรื่อง นิวรณ์ธรรม ๕
“กิเลสบังไว้”
..เราปลูกฟักทอง ปลูกแตง ใครได้ไปดึงยอดมันออก ใครได้ไปแต่งดอก แต่งใบ มันไปของมันเอง เพียงแต่มีเหตุ ได้สัดได้ส่วนมัน มันงามขึ้นไปเองเลย ลักษณะของจิต ของสติ ก็เหมือนกัน ไม่ใช่อยากได้เร็ว ๆ รีบร้อนเอาเลย อยากให้เป็นเร็ว ๆ คิดคาดคะเนไว้ก่อน ว่าอยากให้มันเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ เอ้อ ! อย่างนี้ทุกข์ใหญ่นะ เราจะไปแต่งเขาไม่ได้หรอก มีแต่สร้างเหตุขึ้น ให้มันไปของมันเอง บางคนนั่งเข้าบ้าง อยากเป็นอันนั้น อยากเป็นอันนี้ อยากเห็นอันนั้น อยากเห็นอันนี้ โอ๊ย ! แล้วเท่านั้นหละ ตัวนี้หละ เป็นตัวกิเลสไปบังไว้ ขวางอยู่อย่างนั้นหละ..

หลวงปู่ศรี มหาวีโร








" การที่บุคคลจะเสียสละบริจาคทำคุณงามความดีได้เพราะเป็นผู้มีชัยชนะละกิเลส คือ ความโลภ ความตระหนี่ ความเหนียวแน่นหวงแหนทรัพย์สมบัติอันหามาได้ยากด้วยความลำบากนั้น เสียสละบริจาคได้ เรียกว่า ..บุคคลละความโลภออกจากดวงใจให้เบาบางลงไป

เหตุฉะนั้น เมื่อทุกคนได้ถวายผ้าป่าบังสุกุลจีวรและปัจจัยไทยธรรมแล้วทุกคนก็คงมีความปลื้มปีติยินดีในคุณงามความดีของตนเอง แม้จะเป็นด้านวัตถุก็ตาม ก็เป็นคุณงามความดี เป็นปัจจัยที่จะอำนวยผลให้เราพวกท่านทั้งหลายได้รับซึ่งความสุขความสบายได้ คนเราที่เกิดขึ้นมาแล้ว หากจะสร้างคุณงามความดีได้เรียกว่า ชีวิตมีกำไร มีคุณค่าสูง หากเกิดขึ้นมาแล้ว
ไม่ได้ทำคุณงามความดีอะไรแล้ว ชีวิตนั้นก็ไร้ประโยชน์ ที่จะพึงได้พึงถึงคุณงามความดี ก็ไม่ได้ไม่ถึง เพราะไม่สร้างคุณงามความดีเอาไว้เป็นที่พึ่งของตน ตนนั้นจะเกิดชาติใดภพใด ก็ย่อมมีแต่ความทุกข์เป็นผลที่บุคคลไม่ได้ทำความดี

บุคคลที่ได้สร้างคุณงามความดีเอาไว้เป็นที่พึ่งของตนนั้นผลแล้วจะออกมาคือ ได้รับซึ่งคุณงามความดีที่ตนเองได้สร้างเอาไว้ สร้างสิ่งใด กรรมอันใดไว้ เป็นบุญเป็นกุศล ผลบุญนั้นจึงอำนวยผลให้มีความสุข "

_______________________

พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
วัดอรัญญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่





ร่างกายของคนเรานั้น เป็นบ่อกิเลสชั้นดีเลย เพราะฉะนั้นในการภาวนาท่านถึงได้ให้พิจารณากายของเราก่อน"
หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร







มีสติรู้ตัว ถอนความยึดถือในตัวตนเสีย มีอะไรบ้างหรือ ที่เราบังคับได้บ้าง
ร่างกายนี้ ตั้งแต่เกิดมา มีแต่ความเปลี่ยนแปลง อย่างไม่หยุดนิ่ง ไม่หยุดยั้ง แล้วก็ต้องตายไป ทำพิธีต่ออายุ สืบชะตาอย่างไร ก็ต้องตายทุกคน แล้วจะยึดถือว่า เป็นตัวเรา-ของเรา ได้อย่างไร
ตายแล้ว ไม่เผาไฟ ก็ฝังดินเท่านั้นเอง
มันเป็นเพียงธรรมชาติที่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป เราเพียงยืมใช้ ได้อาศัย ศึกษารักษาไว้ เป็นพาหนะ ให้ทำความดี
เพื่อข้ามวัฎสงสารเท่านั้น..

หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร







"ทำจิตใจ ให้ใสสะอาด
อย่าไปเอาเรื่องของคนอื่น มาใส่ตัวเอง
ดี ชั่ว ผิด ถูกก็เรื่องของเขา
ได้เสียก็เรื่องของเขา
เราพยายามทำกาย วาจา จิตของเจ้าของ
ให้บริสุทธิ์อยู่เป็นนิจ มันก็พอแล้ว"

-:- หลวงปู่แสง ญาณวโร -:-






"เมื่อมีความต้องการน้อยลง
ชีวิตก็จะช้าลงไปเอง"
-:- พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล -:-





"อย่าไปแก้ไขบางสิ่ง ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้
อย่าไปแก้นิสัยบางคน ซึ่งฝืนไม่ไหว
การพยายามแก้กิเลสในใจของตน มีผลมากกว่า"
-:-หลวงปู่บุญกู้ อนุวฑฺฒโน-:-






"การสร้างบุญ สร้างกุศล
สำหรับพวกเราเอง ก็เหมือนกัน
สร้างทุกวันทุกคืน มีน้อยให้ตามน้อย
มีมากให้ตามมาก ตามกำลังของเรา

เราอย่าไปคิดว่า
ให้เป็นเศรษฐีเสียก่อน
แล้วค่อยทำบุญ นี่ตายทิ้งเปล่าๆ
ไม่มีใครเป็นเศรษฐีได้แหละ"

-:- หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน -:-






"วิ่งไล่ความสุขเท่าไร ก็ไม่ทันสักที
หยุดวุ่น หยุดฟุ้งเมื่อไร ความสุขก็มาหาเราเอง"
-:-พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ-:-






ให้กล่าวแต่วาจา ที่สัมปยุตด้วยเมตตา
คือกล่าวแต่คำจริง คำอ่อนโยน คำสมัครสมาน
คำเป็นไปกับด้วยประโยชน์ ชื่อว่า สัมมาวาจา
สัมมาวาจานี้แหละ ชื่อว่า เมตตาวจีกรรม.
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท)







ยุคต้นกัป มนุษย์มาจากไหน

สัตว์ทุกตัวคือคนทั้งนั้นนะ ที่คนน้อยหมายถึงสัตว์ประเภทนี้ยังเกิดเป็นคนน้อยอยู่ นานๆ เข้าหมดกฎของกรรมที่เกิดมาเป็นคน เกิดเป็นคนยังไม่พอ ยังเสียดายความเป็นสัตว์ ลงนรกไปใหม่ กลับมาเป็นสัตว์ใหม่ นี่ดีนะถ้ามดทุกตัวมาเกิดพร้อมกัน ไม่มีที่อยู่พวกเรา มดทุกตัวก็คน อดีตจริงๆ โลกไม่มีสัตว์ มีแต่มนุษย์ ต้นโลกจริงๆ

เมื่อไฟบรรลัยกัปถอยแล้วใช่ไหม กัปมีฝนตก พื้นดินก็สุก ถูกฝนหอม พรหมที่หมดวาสนาบารมีจะลงมาเกิด หาพ่อแม่เกิดไม่ได้ ต้องลงมาในฐานะเป็นพรหม ต้องลง เวลานั้นพระอาทิตย์พระจันทร์ยังไม่มีแสงสว่างในตัวมีอยู่ ต่อมาก็เกิดเพศหญิง เพศชาย ความรักเกิดขึ้น แสงสว่างในตัวก็ดับ มีแต่คน สัตว์ยังไม่มี

แล้วต่อมาพระอาทิตย์ก็เกิดขึ้น พอตอนเย็นพระอาทิตย์ตก พระจันทร์ก็เกิดขึ้น ระหว่างนั้นยังมีแต่คน ไม่มีสัตว์ แล้วต่อมาพวกคนเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดมาหลายชั่วอายุ ศีลธรรมยังมีอยู่มากในตอนต้น ตายจากคนก็เป็นเทวดาหรือพรหมตามเดิม ต่อมาพวกสัตว์นรกหมดกรรม มาเกิดเป็นเปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉานมา

เกิดเป็นคนบ้าง ตอนนี้โลกเริ่มยุ่ง พอโลกเริ่มยุ่ง ตอนนี้สิเกิดทำบาปอกุศล ตายไปลงนรก เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานจึงมี
ที่หลวงพ่อพูดแบบนี้พูดตามพระพุทธเจ้าท่านว่า เอ็งไม่เชื่อก็ไปดูต้นกัป ถอยหลังไปต้นกัป ไหวไหม...

ที่มา : หนังสือธรรมมะปฏิบัติ เล่ม ๓๔ รวมธรรมเทศนา หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร ป.ธ.๔) หลวงพ่อฤาษีลิงดำ






เราจริง ๆ เป็นใคร

ญาติโยมอาจจะถามว่าเราจริง ๆ เป็นใคร ก็ต้องตอบตามภาษาหนังสือบอก ว่า ร่างกายของเราคือ จิต จิตนั่นคือเรา ถ้าตอบตามภาษานักปฏิบัติก็ต้อง บอกว่า คำว่าเราก็คือ อทิสสมานกาย กายภายในที่ซ้อนกายนี้อยู่คือเรา ทีนี้คำว่า อทิสสมานกายหมายถึงอะไร บางคนก็ไม่รู้จัก ทั้งนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะไม่เคยประสบมาก่อน ก็ต้องบอกว่า ร่างกายที่เราฝันตอนนอนหลับ แล้ว เราฝันว่าไปทำโน่น ไปทำนี่ บางครั้งต้องหนีอะไรก็ตาม หรือทำอะไรหนัก ๆ เหนื่อย ตื่นขึ้นมายังเหนื่อย ตัวนี่ฝันไปคือเราจริง ๆ ขณะที่เราฝันร่างกายเรานอนเฉย ๆ แต่ มันรู้สึกว่ามันไปโน่นไปนี่ได้ นั่นคือเรา และร่างกายที่เราฝันนี่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ที่ท่านบอกว่า ถ้าตายจากความเป็นคนเมื่อไร ถ้าเวลานั้นจิตใจเกาะบาป บาปก็จะพา ไปสู่อบายภูมิ คือเป็นสัตว์นรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง เป็นสัตว์เดรัจฉาน บ้าง ถ้าจิตใจเกาะความดีส่วนที่เป็นบุญกุศล มีทาน มีศีล เป็นต้น หรือมีภาวนา อย่างนี้ ก็ไปเกิด เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม

โอวาทหลวงพ่อพระราชพรหมยาน





" 'ทุกข์' เป็นของควรกำหนด ไม่ใช่ของควรละ ความทะเยอทะยานดิ้นรนและความอยาก คือ 'ตัณหา'นั่น เป็นสิ่งที่ควรละ ต้องเอาของมีอยู่ คือทุกข์ ปรารภทุกข์ค้นคว้าถึงเรื่องทุกข์ให้เห็นต้นตอของทุกข์ 'เหตุ' ของการเกิดทุกข์ และ'เหตุ' ที่จะดับทุกข์ถึงแม้ท่านจะพิจารณาเห็นทุกข์แล้ว ทุกข์ก็ยังอยู่เหมือนเดิม ท่านก็ไม่ได้ทิ้งไปไหนแต่ว่าทุกข์มาแล้ว ไม่สามารถมารบกวนท่านได้ด้วยเหตุที่ ท่านเห็นชัดตามเป็นจริงอันผู้พิจารณาทุกข์ เมื่อเห็นสภาพตามเป็นจริงแล้ว ทุกข์นั้นไม่ใช่ มันจะมาครอบงำผู้ที่เห็นทุกข์ แต่การพิจารณาทุกข์นั้นกลายเป็น 'วิหารธรรม'เครื่องอยู่มันเป็นการฟอกฝนจิตใจให้ใสสะอาดอันเป็น บ่อเกิดของปัญญา ให้ฉลาดเฉียบแหลมขึ้นทุกที นี่ ว่าถึงเรื่องทุกข์ เป็นของกำหนด นักปฏิบัติไม่น่ากลัวเลย เรื่องความทุกข์ทั้งหลาย จงยกเอาทุกข์นั้น ขึ้นมาพิจารณาจนเห็นเป็นสภาวะ ตามเป็นจริงทุกสิ่งทุกประการเห็นเป็น'ธรรม'หมด เสียเมื่อไร สบายเมื่อนั้น
โอวาทธรรมหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี






ยิง ฟันไม่เข้าเพราะพระที่ห้อยคอ หรือเพราะอำนาจศีลธรรม..." คนเราปฎิบัติดี
ปฏิบัติชอบ ยึดมั่นในศีล ๕ ข้อหรือเปล่า หากคนใดยึดมั่นในศีลธรรม ก็ไม่มีอันตราย มีแต่ความสุข พระเครื่องที่มาขอ มาบูชา เอาไปติดตัวบูชา เพื่อเป็นการเตือนสติ ให้คนเรายึดปฎิบัติในทางที่ดี การที่เขามีพระเครื่องของหลวงปู่อยู่แล้ว ถูกยิง ถูกฟัน ไม่เป็นอันตรายอะไร เพราะเขามีจิตใจยึดมั่นคุณธรรมความดี เป็นทุน ทำดี อำนาจความศักดิ์สิทธิ์ จึงปกป้องคุ้มครองเอง "
โอวาทธรรมหลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 66 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron