วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 18:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2017, 05:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


...เรื่องของจิตใจ...

..ถ้าหากจิตใจเห็นชัดลงไปแล้ว นั้นหละ จึงจะเชื่อชัด เรียกว่า ใจยอม ยอมรับ ยอมประพฤติปฏิบัติ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าหากเชื่อภายนอกแล้ว ใจไม่ยอมง่าย ๆ หรอก เพราะเขามันเป็นเจ้าโลกแล้ว มาไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์ เขาเคยอยู่กับกิเลส ตัณหา ราคะ ต่าง ๆ นานา มาเท่าไหร่กัปเท่าไหร่กัลป์มาแล้ว มันเป็นโรคติดแน่นเข้าถึงกระดูกดำเลยนะ ไม่ใช่ว่าจะเอากันออกง่าย ๆ ถ้าหากใครปล่อยเลยไปตามกระแสของใจแล้ว ยากนะ จะทำอะไรก็ยากทั้งนั้น ถ้าหากฝึกหัดนั่งสมาธิภาวนา บางที มันก็ต้องฝืนบ้าง อดทนบ้าง ทำให้มันได้..

..หลวงปู่ศรี มหาวีโร..






ถาม : ทิศทางของพุทธศาสนาในอนาคตจะเป็นอย่างไร

ท่านชยสาโรตอบ : พระพุทธศาสนายังมีนิมิตหมายที่ดี แต่ก็อดเป็นห่วงเรื่องความอ่อนแอของสถาบันศาสนา การบริหารจัดการ การศึกษาวินัยสงฆ์ ไม่ได้ แต่ที่น่าอนุโมทนาเรื่องสถานีวิทยุท้องถิ่น ทุกวันนี้ มีวัดทั่วประเทศทำสถานีวิทยุของท่าน ทำวัตรเช้าเย็น เปิดซีดีของครูบาอาจารย์ทั้งวันทั้งคืน ที่สังเกต เข้าไปในหมู่บ้าน หรือทุ่งนา จะมีเสียงพระเทศน์แทนเพลงลูกทุ่ง และยังมีการเผยแพร่หนังสือธรรมะ ให้เป็นธรรมทาน
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนส่วนไหน ทุกคนมีโอกาสศึกษาธรรมะ ชัดเจนและถูกต้อง เราได้เปรียบกว่าคนสมัยก่อน

ทุกวันนี้เดินทางไปวัดก็ไม่ยาก เปิดทีวีเปิดวิทยุ หรือขอซีดีหนังสือธรรมะ มีโอกาสมาก มีการเข้าถึงง่ายขึ้น เป็นข้อที่ดี

แต่เรื่องคำสอนผิด ความงมงายแพร่หลายมาก หรือที่เป็นพุทธพาณิชย์ เป็นจุดที่น่าเป็นห่วง หรือการที่เข้าใจว่า บุญเป็นสิ่งที่นับได้ ทำร้อยบาทได้ร้อยบุญ อย่างนี้เป็นความคิดที่ไม่ตรงกับที่พระพุทธเจ้าสอน

มันก็เป็นความคิดที่ไม่ตรง ชวนให้งมงาย







" ใครจะว่าอะไร ต่ออะไร ก็เป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา อย่างนี้ก็สบายใจ อภัยให้เขาดีกว่า ไม่พยาบาทจองล้างกัน อภัยทานได้บุญแรงดีน่ะ"

โอวาทธรรม:องค์หลวงปู่สังวาลย์ เขมโก
วัดทุ่งสามัคคีธรรม อ.สามชุก สุพรรณบุรี






ความทุกข์...
ไม่ได้เกิดจาก "ความสูญเสีย"

ความทุกข์...
เกิดจาก "ความไม่อยากสูญเสีย"

..........................................
.
คัดลอกการสนทาธรรม
ธรรมะบนเขา 19/7/2560
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี








ไปบำเพ็ญที่ไหนก็เอา ‘ใจ’ นั่นแหละไป

ในดงในป่าในภูเขาที่ไหนก็เอา ‘ใจ’ นั่นแหละบำเพ็ญ นี่ให้เราเข้าใจอย่างนั้น นักปฏิบัติทั้งหลายอย่าลืมตัว อย่าหลงตัวเท่านี้แหละ หมั่นฝึกหัดสติของตนให้กล้า เมื่อสติของเรามันกล้าพอแล้ว จะกำหนดดูที่ไหนมันก็ทะลุปรุโปร่งไปหมด ถ้าสติมันกล้าพอแล้ว มันมีกำลังพอแล้ว กำหนดดูกายของตน มันก็ทะลุปรุโปร่งไปหมด หรือจะกำหนดดูอะไรก็รู้ซาบซึ้งอยู่ภายใน...”

หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล
วัดป่าสันติกาวาส อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี
จากหนังสือกมโลผู้งามดั่งดอกบัว








*** เรื่องเล่าจากศิษย์หลวงปู่เปลื้อง ปัญญวันโต วัดบางแก้วผดุงธรรม จ. พัทลุง ***

::: จงทำใจให้เหมือนแผ่นดิน :::

แม่ชีประดับ รามบุตร เล่าว่า แม่ชีได้พบหลวงปู่ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ที่ จ. เชียงใหม่ ทุกปีเมื่อได้พบหลวงปู่ และได้ใส่บาตร แม่ชีเกิดความเลื่อมใสในวัตรปฏิบัติ ของหลวงปู่ ๓ ประการคือ

๑. ไม่นอน
๒. ฉันมื้อเดียว
๓. ฉันในบาตร

วัตรปฏิบัติเช่นนี้ แม่ชีไม่เคยพบในพระรูปใดมาก่อน ทั้งๆ ที่หลวงปู่ไม่นอนทั้งกลางวัน และ กลางคืน และ ฉันเพียงวันละมื้อเดียว แต่ท่านก็แข็งแรง เดินเร็วจนคนหนุ่มสาวเดินตามไม่ทัน

การใส่บาตร แม่ชีทราบแล้วว่า อาหารทุกอย่าง ทั้งของคาว ของหวาน ผัก ผลไม้ และน้ำ ล้วนใส่รวมกันในบาตรแล้วก็ฉันไปเป็นปรกติ ครั้งนั้นแม่ชีฝืนใจทานข้าวก้นบาตรที่เละๆ นั้นนับได้ ๕ คำ ก็หมดที่ตักไป แม่ชีไม่กล้าทิ้งเพราะ เมื่อคุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ เคยสอนให้แม่ชีรับประทานสิ่งที่ไม่อยากรับประทานว่า "กินเป็นยานะลูก" แม่ชีเคี้ยวไปคำหนึ่ง ก็นึกถึงคำเตือนของคุณแม่ไปทีละคำ พอหมด ๕ คำ แม่ชีไม่กล้าตักอาหารอื่นรับประทานเพราะอธิษฐานว่าจะรับประทานแต่ข้าวก้นบาตร ปรากฏว่าวันนั้นอิ่มไปทั้งวัน ไม่หิวอีกทั้งๆ ที่ไปทำงานตามปกติ

ตอนเย็นหลวงปู่สอนว่า

"อาหารใส่บาตรนิดเดียวไม่ชื่อว่าน้อย น้ำหยดเดียวก็ไม่ชื่อว่าน้อย"

ครั้งนิมนต์หลวงปู่ไปที่บ้าน จึงหาถ้วยตะไลเล็กๆ มาใส่น้ำครึ่งถ้วยรินลงในบาตร การกรดน้ำด้วยถ้วยเล็กๆ จึงเริ่มต้นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

หลวงปู่สอนเรื่องอาหารแก่แม่ชีเป็นเรื่องแรก แล้วแม่ชีก็เริ่มไม่นอน โดยนั่งคุยกับหลวงปู่ พออยู่ตามลำพังก็มีวิธีบังคับตัวเองไม่ให้นอน โดยนั่งหันหน้าเข้าข้างฝา ถ้าสัปหงกศีรษะก็จะโขกกับผนังทำให้ไม่หลับได้ทั้งคืน จนถึงตี ๔ ก็มีกำลังใจว่าทำได้ จึงย้ายมานั่งกลางที่นอน แล้วก็กำหนดว่าตี ๕ จะลุก ขณะที่นั่งนั้นได้ภาวนา "พุทโธ" ตลอดเวลา พอสัปหงกศีรษะโขกฝาผนังก็ตื่นขึ้นภาวนาต่อ ก็ได้เข้าใจว่า "สัจจะ" คืออะไร ในวันรุ่งขึ้นไปทำงานก็ไม่เหนื่อยไม่เพลีย ได้พบหลวงปู่ ๔ วัน ก็ปฏิบัติธรรมแบบไม่นอนทั้ง ๔ วัน

หลายเดือนต่อมาแม่ชีได้ไปขังตัวและฝึกจิตกับหลวงปู่ที่บ้านคุณจิตประไพที่กรุงเทพฯ (รวม ๗ วัน)

ในปี ๒๕๒๖ อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รวบรวมกันได้ ๒๐ คนต้องการจะฝึกปฏิบัติขังตัวกับหลวงปู่ที่ถ้ำเชียงดาว แต่เนื่องจากไม่สะดวกเท่าที่ควร แม่ชีจึงให้ใช้บ้านของแม่ชีเป็นสถานที่ขังตัว คน ๒๐ คน กระจายกันอยู่ทั่วบ้าน ส่วนหลวงปู่นั้นแม่ชีได้สร้างกุฏิถวาย ๑ หลัง น้องของแม่ชี รับหน้าที่ทำอาหารเลี้ยงคณะขังตัว ได้ทำอย่างนั้นติดต่อกันทุกปี จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๓๘ เป็นปีสุดท้าย เพราะหลวงปู่ชรามากขึ้น จึงไม่อยากรบกวนหลวงปู่ให้เดินทางในระยะไกลๆ อีก

ปี ๒๕๒๘ แม่ชีมาทดลองขังตัวที่วัดบางแก้วผดุงธรรมอยู่ ๓ เดือน เริ่มไม่นอน ตั้งแต่แรกขังตัว รับประทานอาหารเหมือนหลวงปู่ หลวงปู่บอกแม่ชีว่า ถ้าปลดเกษียณแล้ว ให้มาบวชอยู่กับหลวงปู่

เดือนมกราคม ปี ๒๕๓๐ แม่ชีได้ตามหลวงปู่มาบวชชีที่วัดบางแก้ว หลังจากที่หลวงปู่คอยอยู่ที่บ้านถึง ๒๐ วัน หลวงปู่ว่า อยู่บ้านได้แต่กินกับหลับ ให้ไปบวชอยู่ที่วัดบางแก้วอย่างน้อย ๓ ปี พอครบ ๓ ปี ก็อยู่ได้ ต่อมาหลวงปู่พูดว่า ไม่คิดว่าแม่ชีจะอยู่ได้ครบ ๓ ปี เพราะบ้านของแม่ชีที่เชียงใหม่นั้นสบายมาก ในบ้านมีบ่อน้ำที่มีน้ำใสเย็นตลอดทั้งปี ทั้งๆ ที่บ้านอยู่ที่เชิงเขา

แม่ชีกล่าวว่า ...

หลวงปู่เป็นบุคคลผู้ประเสริฐยิ่ง เป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่หาไม่ได้อีกแล้ว เมตตาท่านสูงสุดไม่มีประมาณ ท่านดูแลละเอียดรอบคอบเหมือนพ่อแม่ พร่ำสอนชี้แจงไม่เคยเบื่อหน่ายเหมือนครูอาจารย์ที่ดี หลวงปู่บอกว่า คนเราเกิดสองครั้ง ครั้งแรกพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเกิดเรามาถนอมเลี้ยงรักษาจนเติบโต เป็นผู้มีพระคุณมาก ครั้งที่สองเกิดเป็นลูกพระตถาคต (บวชเป็นพระเป็นชี) พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดก็ต้องกราบไหว้ พระอุปัชฌาย์และพระกรรมวาจาจารย์ก็เป็นเหมือนพ่อแม่ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเป็นผู้มีพระคุณอย่างสูงสุด เพราะพระธรรมคำสอนของท่านทำให้เราหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ เมื่อตนเองหลุดพ้นแล้ว ยังช่วยพ่อแม่ทางโลกให้หลุดพ้นได้อีกด้วย

คำสอนของหลวงปู่เป็นคำกลอน ท่านบอกว่า คนชอบอ่าน ชอบอัด ไว้ในเทป ชอบเก็บไว้ในหู ชอบฟังแต่ไม่ชอบทำ ชอบนั่งกำมือเปล่า เวลาสอนก็ชอบฟัง ท่านสอนยิ้มๆ หัวเราไปด้วย คนฟังก็หัวเราะตามท่าน คิดว่าสนุก จริงๆ แล้วคำสอนของท่านต้องนำมาคิดพิจารณา

ดังที่ท่านสอนว่า ...

"เกิดเป็นคน ต้องรู้จักค้น รู้จักคิด และ โลก คือ ธรรม ธรรม คือ โลก"

จิตอยู่ภายใน ใจอยู่ภายนอก
ตานอกคือใจ ตาในคือจิต
ตานอกวิจัย ตาในวิจิตร
ผู้มีความเห็นผิด เพราะไม่รู้จักจิตไม่รู้จักใจ ฯลฯ

หลวงปู่กล่าวเสมอว่า ท่านสอนตรงตามที่ท่านปฏิบัติ และได้ผลแล้ว สิ่งที่ท่านสอนดูว่าง่ายๆ คนเลยไม่ทำ ส่วนผู้ใดต้องการปฏบัติตามท่านก็ต้องมีศรัทธา มีศีล เพียรปฏิบัติตามดังที่ท่านบอกว่า ให้เหมือนด้ายเดินตามเข็ม

แม่ชีเอง นอกจากฝึกปฏิบัติธรรมกรรมฐานตามคำสอนของหลวงปู่แล้ว ก็ได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาดูแลอาหารและยาถวายหลวงปู่ หลวงปู่ก็แข็งแรงขึ้น แม้ในวัยเก้าสิบปีเศษ ดังที่ทุกคนได้ประจักษ์ธรรมะของหลวงปู่ที่แม่ชีนำมาฝึกปฏิบัติคือ

จงเพ่งโทษตัวเอง อย่าไปเพ่งโทษผู้อื่น คนอื่นเขาดีแล้ว แต่เรายังไม่ดี
จงทำใจให้เหมือนแผ่นดิน หนักแน่น ใครเอาอะไรใส่ก็รับได้หมด

ข้อนี้แม่ชีเคยเถียงในใจว่า เวลาแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดล่ะ ปรากฏว่าหลวงปู่มองหน้าแล้วก็ยิ้ม

นี่คือส่วนหนึ่งเพียงน้อยนิดที่แม่ชีกรุณาเล่าให้ฟัง ในส่วนอื่นๆ นั้น หากเล่าให้ฟังเกรงว่าผู้อื่นจะลังเลสงสัย หรือแม้จะเชื่อไปเลย โดยไม่ได้ฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง ก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด เพราะจุดมุ่งหมายที่หลวงปู่เมตตาสอน ก็เพื่อให้ลูกศิษย์ทั้งหลายได้ขูดกิเลส ได้เห็นกายในกาย ให้ได้คลายได้ละ เพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ใครตั้งใจฝึกเพียงใดก็ได้รับผลเพียงนั้น

บันทึกโดย นิตยา ธัญญพาณิชย์
นำมาจากหนังสือประวัติและธรรมคำสอน หลวงปู่เปลื้อง ปัญญวันโต โดย ชมรมพุทธศาสน์ กฟผ. หน้า ๑๓๙ - ๑๔๑







"คนที่มีความกตัญญู จะมีความเคารพยำเกรงเป็นนิสัยติดตัวมา มันเป็นธรรมชาติของคนเรา" "เพราะความรักความเป็นห่วง จึงมีความเกรง มีความกลัว ทำให้จิตอ่อนลง" "เพราะมีบุคคลที่รักที่เคารพอยู่ จึงรักษาตนเอง ประคองตนเอง ไม่ให้ความประพฤติเสียหาย ไม่ให้กระทบกระเทือนถึงพ่อแม่ ไม่ให้พ่อแม่เดือดร้อน" "ปกติมีกันทั้งนั้น ใครจะมีมากมีน้อยเท่านั้นเอง พวกที่มีน้อยพอได้รับความสุขก็คิดถึงพ่อแม่" " ว๊อบๆ แว๊บๆ" "แค่คิดถึงเฉยๆไม่ได้อยากให้พ่อแม่มีความสุขอะไรหรอก" "แค่คิดถึงบ้างเล็กน้อย แต่เวลามีทุกข์จะคิดถึงมาก มีปัญหาเดือดร้อนเป็นทุกข์จึงมาพึ่งพ่อพึ่งแม่ นี่พวกมีเล็กน้อย" "ส่วนพวกที่มีมากหน่อยก็จะเป็นห่วงอยู่ตลอด "พ่อแม่เราอยู่อย่างไร กินอย่างไร" ถ้ามีความสามารถทำให้พ่อแม่อยู่ดีมีความสุขได้จะขวนขวายโดยเร็ว ตนเองจะมีฐานะยังไงก็ตาม ก็จะไม่ทิ้งพ่อแม่ จะดูแลตลอด จนกระทั่งท่านตายจากไป ก็ยังเคารพรักนับถือท่านอยู่เสมอ นี่แหละความกตัญญู"







"กำหนดตารางไว้"

ถาม : ในกรณีที่ตัววิริยะยังน้อยอยู่ ไม่รู้จะดึงมันกลับมายังไงคะ มันย่อหย่อนลงค่ะ

พระอาจารย์ : เราก็ต้องกำหนดตารางไว้สิ บังคับมัน ต้องกำหนดตารางว่าต่อไปนี้เราจะนั่งสมาธิวันละกี่รอบ ครั้งละกี่นาที ครั้งละ ๒๐ นาที ๓๐ นาที ชั่วโมงหนึ่งก็ว่าไป แล้วถึงเวลาก็ต้องทำตามที่เรากำหนดไว้ นี่คนที่เขาไปเรียนตามหลักสูตรกัน ก็เพราะว่าเขาควบคุมบังคับตัวเขาเองไม่ได้ ก็เลยต้องไปเข้าหลักสูตรกัน หลักสูตรเขาจะมีเวลาตื่นกี่โมง ไหว้พระสวดมนต์นั่งสมาธิเวลาไหน อาบน้ำเวลาไหน รับประทานอาหารเวลาไหน เดินจงกรมเวลาไหน ฟังเทศน์ฟังธรรม แต่ถ้าไปทำแล้ว เวลากลับมาบ้านก็ไม่ทำต่อ มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ไปทำเพื่อให้ได้เกิดวินัยขึ้นมา เกิดนิสัยขึ้นมา พอเรามีวินัยมีนิสัยแล้ว เราก็ไม่ต้องไป เราก็สามารถทำตามวินัยของเราได้ เราต้องกำหนดเป้าหมาย และกำหนดตารางการปฏิบัติของเรา จะทำอะไรมากน้อยเพียงไรเวลาใด ก็พยายามทำตามตารางนั้นให้ได้.

ธรรมะบนเขา

หนังสือธรรมะบนเขา เล่ม ๔

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต







ให้ละเว้นการเลือกวันโน้นนี้เสีย การดูดวงก็เหมือนกัน
ดูเอาว่าดวงดี ดวงไม่ดี ผูกดวง ผูกดาว
คนโกหกหลอกลวงกันให้วุ่นวายเดือดร้อน
ในพระพุทธศาสนา ดวงดีไม่ดีก็ให้ดูเอาซิ
ไม่ใช่มาจากฟ้าอากาศ ให้ดูดวงดีเดี๋ยวนี้ซิ ดวงดีเป็นยังไง
ดวงดีรวมมาสั้นๆ แล้วคือใจเราดี มีความสุข ความสบาย
เมื่อใจเราสุขสบายแล้ว ทำอะไรก็สบาย
ประเทศชาติก็สบาย นี่แหละดวงดี
ดวงไม่ดีเป็นยังไง ดวงไม่ดีคือใจเราไม่ดี
ใจมีทุกข์ยากวุ่นวายเดือดร้อน นี่แหละดวงไม่ดีทำอะไรก็ไม่ดี
หาอะไรก็ไม่ดี นี่เรียกว่าดวงไม่ดี ดูตรงนี้ จะให้ใครดูให้เล่า
.
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร





"อธิษฐานเรื่องนี้ไม่ใช่เล่นๆ"

ในการภาวนานั้นมีอยู่กรณีหนึ่งที่แม้ว่าเราจะพยายามมากแค่ไหนก็ตามแต่ก็ไม่สามารถบรรลุธรรมขั้นสูงสุดได้นั่นเพราะ " ติดอธิษฐาน "

ขอเท้าความก่อนว่าเรื่องการติดอธิษฐานนี้มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลหลายคน แต่จะขอยกตัวอย่างเรื่องนางวิสาขา นางวิสาขานั้นเป็นผู้มี " บารมีทางธรรม " มา ตามประวัตินั้นนางบรรลุเป็นอริยบุคคลระดับโสดาบันตั้งแต่อายุ 7 ปี แต่ต่อมาทั้งชีวิตของนางก็ไม่สามารถบรรลุธรรมขั้นสูงกว่านั้นได้ เพราะนางติดอธิษฐานมาแต่อดีตว่าจะขอเป็นผู้อุปัฏฐากพระพุทธเจ้าในภัทรกัปป์นี้ให้ครบ 5 พระองค์ก่อน (จบที่พระศรีอาริยเมตไตร) จากอธิษฐานดังกล่าวทำให้นางไม่สามารถบรรลุอรหันตผลได้ตราบใดที่นางยังอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าไม่ครบ 5 พระองค์ตามที่ได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้

ท่านว่ายทวนน้ำเองก็มีประสบการณ์เกี่ยวกับการติดอธิษฐานจากในอดีต ท่านเล่าให้ฟังว่าวันหนึ่งท่านระลึกได้ว่าในอดีตนานมาแล้วท่านเคยอธิษฐานที่ศาลาร้างแห่งหนึ่งว่า " จะขอช่วยให้สัตว์โลกทั้งหลายพ้นทุกข์ก่อน ตัวเองไม่พ้นทุกข์ไม่เป็นไร " ซึ่งเป็นการอธิษฐานแนวโพธิสัตว์ เมื่อท่านรู้สาเหตุที่การภาวนาไม่ก้าวหน้าแล้วท่านถอนอธิษฐานนั้นเสีย หลังจากนั้นจึงรู้ธรรมขั้นสูงได้ เป็นประสบการณ์ตรงของตัวท่านเอง

ท่านเคยเตือนไว้ " ระวังนะ การที่คุณกล่าวคำปฏิญาณว่าจะทำเพื่อชาติเพื่อบ้านเมืองอย่างสุดความสามารถ หรือจะขอติดตามใครสักคนทุกชาติไป ขอเกิดเป็นคู่ใครสักคนทุกชาติไป ขอเกิดเป็นพ่อแม่ลูกกันทุกชาติไป ฯลฯ นั่นจะเป็นการติดอธิษฐานโดยไม่รู้ตัว และเป็นอันตรายมากในทางธรรม เพราะในทางธรรมคุณต้องถอนอธิษฐานเดิมให้หมด เอาตัวเองให้พ้นทุกข์อย่างเดียวเท่านั้น อย่างอื่นอย่าเพิ่งจับไปยุ่ง จบกิจตัวเองเมื่อไหร่ค่อยออกมาช่วยคน ช่วยชาติ ช่วยศาสนา แต่ถ้าตัวเองยังไม่จบกิจอย่าเพิ่งยุ่ง อย่าพูดอธิษฐาน อย่าปฏิญาณ อย่าสัญญาอะไรทั้งนั้น ถ้าพูดไปแล้วอธิษฐานไปแล้วให้ถอนเสีย อธิษฐานได้อย่างเดียวคือขอมุ่งตรงต่อมรรคผลนิพพานเท่านั้น เรื่องนี้ฉันจะบอกให้คนที่สนใจภาวนาเพื่อหาทางพ้นทุกข์ให้ถอนอธิษฐานก่อน ไม่อย่างนั้นเขาจะรู้ธรรมขั้นสูงไม่ได ้"

เทศนาธรรม ท่านเจ้าคุณพระราชสังวรญาณ
(หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)







เมื่อวานมีโยมผู้หญิงท่านหนึ่งเข้ามากราบหลวงปู่บอกว่ามาทำบุญแถวอีสาน(เธอเป็นเจ้าของบริษัทที่มตราเป็นดอกไม้) แล้วกราบเรียนถามหลวงปู่ถึงสถานะการณ์ปัจจุบัน ที่เธอกำลังทุกข์ใจ

โยม:หลวงปู่เจ้าขาโยมทำบุญสนับสนุนกิจการพระศาสนาทุกอย่าง ตั้งแต่นิมนต์พระมาเทศน์ที่บริษัท ถวายรถ ถวายของ ถวายปัจจัย หลงเชื่อว่าพระรูปนั้นเป็นพระอรหันต์ตามที่เค้าโฆษณากัน แต่พอเรื่องจริงกลับเป็นเพียงคนในผ้าเหลืองที่เอาสวรรค์มาขาย นิพพานมาล่อ เพื่อความสุขสบายของตนเอง อย่างนี้โยมจะได้บุญหรือไม่เจ้าค่ะ แล้วโยมจะเป็นบาปที่สนับสนุนเขาทำความชั่วรึเปล่า

หลวงปู่:เหอะๆ เจ้าคิดมากไปรึเปล่า

โยม:ก็นั้นสิเจ้าค่ะโยมจึงทุกข์เหลือเกิน กลัวบุญที่ทำไปไม่ได้บุญ กลัวบาปที่ทำโดยไม่รู้ตัว

หลวงปู่:ตอนถวายเขาไปนั้นมีความคิดยังไง

โยม.ก็ศรัทธาท่านเจ้าค่ะ ถึงทุ่มเทถวาย

หลวงปู่:คุณ ฉันอาศัยคำพระพุทธเจ้าดอกนะ ท่านว่า นัตถิจิตตังปะสันนัมหิ อัปกานามะปะทักขิณา แปลว่า เมื่อจิตของคุณเลื่อมใสแล้วบุญที่ชื่อว่าน้อยย่อมไม่มี ตอนที่คุณถวายคุณมีศรัทธามาก นั้นเป็นเรื่องอดีต บุญที่เกิดขึ้นในอดีตมันเป็นบุญมหาศาลแต่ปัจจุบันคุณเสื่อมศรัทธาจากท่านแล้วมันเป็นปัจจุบันไม่ใช่อดีต เรื่องแล้วก็แล้วกันไป เป็นบุญแล้วเราไม่แก้ไขแล้ว ส่วนการสนับสนุนเขาทำบาปไหม อย่างนั้นยาสีฟันชุดนี้ที่โยมถวายมาโยมก็เอาคืนไป

โยม:โยมไม่เอาคืนหรอกเจ้าค่ะ เพราะโยมถวายหลวงปู่แล้วนี่ เป็นของหลวงปู่แล้ว

หลวงปู่:เอ้าก็คุณถวายมาแล้วอาตมาจะเอาไปทำอะไรก็เรื่องของอาตมานี่ จะให้คืนโยมก็เป็นสิทธิ์ของอาตมา ถ้าคุณถวายมาแล้วยังตามมาบอกอาตมาว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ก็แสดงว่ามันยังเป็นของคุณอยู่ มันยังไม่ใช่ของอาตมา ของที่คุณถวายไปแล้วมันเป็นบุญแล้ว คนที่รับเขาจะเอาไปทำบาปหรือทำบุญมันเป็นเรื่องของเขา เราให้แล้วเราได้บุญแล้วขาดจากความเป็นเจ้าของของเรา เขาจะเอาไปทำดีมันก็ดีแก่เขา เอาไปทำชั่วมันก็ชั่วแก่เขา

ในสมัยหนึ่งพระเจ้าพรหมทัตใส่บาตรพระวันละ500รูป ท่านทำของท่านประจำ มีขี้เมาคนหนึ่งอยากหาอาหารง่ายๆจึงโกณหัวห่มผ้าเหลืองไปบิณฑบาต พระเจ้าพรหมทัตได้เห็นก็ศรัทธามากเหลือเกิน เพราะพระรูปนี้หน้าแดงเหมือนลูกตำลึง ดูราศรีเปล่งปลั่ง ก็ศรัทธาน้อมถวายอาหาร แล้วสั่งให้อำมาตย์ติดตามไปดูว่าท่านเป็นมนุษย์หรือเทวดา เพราะราศรีท่านผ่องใสเหลือเกิน ถ้าท่านเหาะไปแสดงว่าท่านเป็นเทวดา ถ้าท่านดำดินแสดงว่าท่านเป็นนาคราช ถ้าท่านเดินออกนอกเมืองแสดงว่าท่านเป็นมนุษย์หรือพระอรหันต์ อำมาตย์ก็ติดตามไปพบว่าพระรูปนั้นเปลื้องจีวรออกแล้วไปกินเหล้า เห็นดังนั้นก็กลัวพระราชอาญาจึงไปกราบทูลว่า พระรูปนั้นเหาะไปพระเจ้าข้า โอ้ได้ยินดังนั้นพระเจ้าพรหมทัตก็ยินดีมาก ปีติจนขนพองสยองเกล้า น้ำตาไหลออกด้วยความดีใจ จากนั้นยิ่งถวายใส่บาตรพระวันละ1000รูป พอพระเจ้าพรหมทัตสวรรคตไม่มีใครสืบราชบัลลังค์ต่อ ชาวเมืองจึงยกอำมาตย์คนสนิทให้เป็นพระราชาแทน พระเจ้าพรหมทัตองค์ใหม่ก็ยังใส่บาตรพระวันละ1000รูปเหมือนเดิม วันหนึ่งมีพระรูปหนึ่ง หน้าแดงยังกับลูกตำลึงสุก ผิวพรรณเปล่งปลั่งมารับบาตรด้วย พระเจ้าพรหมทัตองค์ใหม่ก็นึกเฉลียวใจ จึงให้คนตามไปดูโดยอ้างตำราพระราชาองค์ก่อน พอพระท่านเดินไปที่ลับตาคนท่านก็เหาะขึ้นฟ้าแล้วหายไป คนตามไปดูก็กลับมารายงานว่าพระเหาะพระเจ้าข้า พระราชาแทนที่จะดีใจกลับโกรธเป็นฟื้นเป็นไฟหาว่าเขาโกหกตนจึงสั่งเอาตัวไปประหารแล้วเลิกใส่บาตรพระตั้งแต่วันนั้น คุณว่าพระราชาองค์เก่ากับองค์ใหม่องค์ไหนไปสวรรค์องค์ไหนไปนรก

โยม.องค์เก่าไปสวรรค์ องค์ใหม่ไปนรก เจ้าค่ะ

หลวงปู่.เออ จะให้ตัวคุณไปสวรรค์หรือนรกหล่ะ

โยม.สาธุๆๆๆๆ เจ้าค่ะหลวงปู่ เจ้าค่ะ โยมจะไปสวรรค์เจ้าค่ะ กราบๆๆๆๆๆๆๆ

พระญาณวิสาลเถร (หลวงปู่หา สุภโร)
หลวงปู่ไดโนเสาร์ วัดสักกะวัน (ภูกุ้มข้าว)
ตำบลโนนบุรี อำเภอสหัสขันธ์
จังหวัดกาฬสินธุ์








เหตุเกิดก่อนฉันเช้า

โยม ; หลวงปู่เจ้าขา โยมคิดว่าเข้าพรรษาปีนี้จะเข้าวัดจำศีลภาวนาสงบจิตสงบใจตลอดพรรษาเจ้าค่ะ

หลวงปู่ ; อนุโมทนานะคุณนะ

โยม ; สาธุเจ้าค่ะหลวงปู่ แต่โยมกลัวจังเลย ไปวัดไหนๆก็มีแต่เจ้าพ่อเจ้าแม่ ยิ่งวัดในกรุงเทพหลายๆวัด เจ้าพ่อเจ้าแม่เต็มไปหมด ทำตัวเป็นเจ้าของวัด สั่งนู้นสั่งนี้ ว่านู้นว่านี้ ใช้อำนาจ แกถือตัวสูงทิฐิก็สูง แล้วทำตัวเป็นปัญหา โยมกลัวเหลือเกินกลัวว่าจะจิตตกกลัวจะไม่ได้บุญเจ้าค่ะ

หลวงปู่ ; เหอะๆ "เข้าวัดหมาวัดมันเห่า อย่าไปเห่าตอบมันเชียวนา มันจะเป็นหมาสองตัวเห่ากัน" คุณเอ้ยเข้าไปเถอะไปถือศีลภาวนามันเป็นเรื่องดี

คนบางคนอยู่วัดนานเข้าวัดนาน จนยึดว่าวัดเป็นของเขา ของวัดเป็นของเขา พระในวัดก็เป็นพระของเขา อยู่จนชิน ชินบาปชินกรรม ไปวัดแทนที่จะไปเอาบุญไปเอาความดีกลับไปจับผิดจับชั่วคนอื่น พระท่านเทศน์ท่านสอนก็ไม่ฟังซะแล้ว หูมันสูงกว่าธรรมมะ สูงกว่าพระเทศน์ บางคนมีตำแหน่งหน้าที่ในวัด บางคนมีหน้าที่ทางสังคม เป็นครูเป็นอาจารย์ เลยเป็นกะลาคว่ำฝนตกไม่เข้าในกะลา คนแบบนี้หลวงปู่เรียก "พวกบัวใต้น้ำดีเด่น" ปทปรมะ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนโง่นะ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนไม่เข้าวัดนะ บางคนฉลาดเกินธรรม ฉลาดเกินกรรม ฉลาดมากๆก็ไม่เห็นธรรมนะ ฉลาดในทางโลก ในทางถือตัวถือตนคิดว่าตนสูงกว่าคนอื่น จนลืมว่าดอกบัวของตัวเองกำลังหันลงสู่โคลน มีแต่นับวันจะจมลงเรื่อยๆ บัวชนิดนี้ บางดอกเป็นดอกเตอร์ บางดอกเป็นอาจารย์ บางดอกเป็นพลโทพลเอก บางดอกเป็นมรรคทายกก็มี นั้นหล่ะหลวงปู่จึ่งเรียก บัวใต้น้ำดีเด่น คุณ... คนพวกนั้นที่เที่ยวไปว่าคนอื่น จับผิดคนอื่น เขาเป็นคนที่กำลังขาดความรัก ขาดความเมตตา ขาดคนรัก ขาดคนเมตตา คุุณว่าคนขาดอย่างนี้ควรทำอย่างไร ควรให้ความรักความเมตตากับเขานะ อย่าไปเห่าแข่งเขานะ รบกวนพระรบกวนเจ้า หนวกหูคนไปวัดเขา เราเข้าวัดไปพัฒนาตนเอง ไปเพื่อเอาความรักความเมตตาไปฝากเขานะ เข้าใจนะ

โอวาทธรรม หลวงปู่หา สุภโร







"จุดหมายสูงสุด ของการภาวนานั้น
ท่านทรงสอนให้ปล่อยวาง
อย่าแบกถืออะไรให้มันหนัก
ทิ้งมันเสีย ความดีก็ทิ้ง ความถูกต้องก็ทิ้ง"

-:-หลวงปู่ชา สุภัทโท-:-







อริยมรรคอริยผลเป็นของมีจริง
พระนิพพานก็เป็นของมีจริง
เป็นวิสัยของพระอริยมรรคจะแสดงพระนิพพานให้เห็น
ก็เมื่อความสุขอันปราศจากทุกข์มีอยู่เช่นนี้
เราจะมางมงายอยู่กับความสุขอันเจือด้วยทุกข์อยู่อย่างนี้
เห็นสมควรแก่มนุษยชาติของตนแล้วหรือ ?
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
(จันทร์ สิริจนฺโท)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 130 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร