วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 17:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2017, 05:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


“เพราะใจของเรานั้นไม่ทราบตามความเป็นจริง ไปยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ทั้งหลายว่าเป็นจิตใจของเรา ความทุกข์ต่างๆ จึงเกิดขึ้นอยู่เสมอๆ”

พระอาจารย์อัครเดช ถิรจิตฺโต





“ถึงคราวปล่อย
เราต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของมัน
ไปยื้อไปยุดอะไรไว้ไม่ได้เลย
ขนาดบุคคลผู้สูงสุดอย่างพระพุทธเจ้า
ท่านยังยื้อมันไว้ไม่ได้
ถึงคราวมันจะแตก ต้องแตก
ถึงคราวมันจะดับ ก็ต้องดับ”

พระอาจารย์วันชัย วิจิตฺโต
วัดป่าภูสังโฆ จ.อุดรธานี
เทศน์อบรมพระวันที่ 21 ตุลาคม 2544







หลวงปู่เพียร วิริโยท่านศึกษาอบรมกับหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณหลวงปู่บัวได้ให้โอวาทว่า

เรื่องศีลนี่ เป็นของสำคัญที่ควรปฏิบัติให้มาก ถ้าแม้นผู้ใดมีศีล รักษาศีลเพียงอย่างเดียวให้มั่นคงแล้ว จะศึกษาเล่าเรียนไม่ว่าวิชาคุณไสยศาสตร์หรือบำเพ็ญภาวนากรรมฐานอันเป็นทางวิมุตติแล้ว ต้องมีศีลมีสัตย์เป็นเบื้องต้น อย่าไปทำลายศีล ถ้าไปทำลายศีลแล้ว ชีวิตมันจะไม่เป็นเรื่องสักอย่างเดียว

ขอให้มีสติตัวเดียวเท่านี้ มันจะแจ้งหมดโลก ถ้าเรารักการพ้นทุกข์ รักการปฏิบัติ ต้องเอาให้ได้ ทำให้ชำนาญเรื่องสตินี่

หลวงปู่ได้พูดถึงการภาวนาของท่านสมัยพักอยู่กับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ที่วัดถ้ำขามความว่า

“พักอยู่กับหลวงปู่ฝั้น ภาวนาดีอยู่หากบ่ได้จำพรรษากับเพิ่น สมัยนั้นเพิ่นพาพระเณรนั่งภาวนารวมกัน หากบ่พาทำ (ความเพียร) พระเณรก็บ่ทำ รอย (อยู่) ทางจงกรมก็มี เพิ่นก็เลยพาทำ...เพิ่นเมตตาหมู่ สงสารหมู่”

“อยู่กับหลวงปู่ฝั้น จิตรวมอยู่ ๓ ครั้ง...ครั้งแรกพอจิตถอนออกมา นิมิตเห็นเป็นใบไม้แห้ง วาระที่สองจิตก็รวมเข้าไปอีก ถอนออกมาอีก นิมิตเห็นข้าวสารตกลงมาเป็นสาย หล่นลงมาใส่หน้า พอวาระที่สามนี่เงียบเลยบ่มีหยัง บ่มีตัวมีตน กายก็บ่มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็บ่มี ดับหมด...โต (หมายถึงตัวท่าน) ป่านนี้ผีบ้า...คือผีบ้านี้แหละ...”

เมื่อท่านย้อนนำนิมิตทั้งสามพิจารณาดู ท่านก็ทราบว่าตัวท่านเปรียบเสมือนใบไม้แห้งที่จะไม่มีวันเกิดใหม่ได้...

วาระที่สองเปรียบเสมือนเมล็ดข้าวสารที่จะไม่มีทางงอกขึ้นมาได้อีก...

จนวาระที่สามทุกอย่างดับหมด...เชื้อแห่งการเกิดได้ดับลงไปอย่างสิ้นเชิง

ในระยะต่อมา ท่านได้นิมิตว่าท่านได้ลอยว่ายน้ำไปในแม่น้ำ เมื่อมองขึ้นไปยังฝั่งทั้งสองก็ปรากฏว่าเห็นกองกระดูกมีสีต่างๆ เต็มไปหมด ท่านตัดสินใจกระโดดขึ้นบนฝั่ง แล้ววิ่งออกไปประมาณ ๕ วา และเมื่อท่านได้หันหลังกลับมาดู ก็ปรากฏว่า น้ำได้ซัดกองกระดูกหายไปหมด..

ท่านว่ากองกระดูกนั้นเปรียบเหมือนการเวียนว่ายตายเกิดในภพชาติต่างๆ ที่ผ่านมาของท่านจนนับไม่ถ้วน แต่เมื่อท่านขึ้นฝั่งได้แล้ว และหันกลับไปไม่เห็นกองกระดูกอีก ก็เท่ากับว่าท่านได้พ้นจากการเวียนว่ายต่ายเกิดแล้ว นับแต่นี้ไปจะไม่กลับมาเกิดมาตายกองกันอีก ตลอดอนันตกาล.....

โอวาทธรรม

" อย่าไปอยากฮู้เรี่ยงของผู้อื่น มันเป็นทุกข์ ให่สนใจเรี่ยงเจ้าของ คือ เรี่ยงกายกับใจ เบิ่งมันให่แจ้ง การภาวนากะอย่าไปมั่นไปหมาย การไปคาดไปหมาย มันสิเฮ็ดให่เฮาไปติดในภพในซาติ การภาวนากะบ่สำเร็จ "

ประวัติและปฏิปทา “หลวงปู่เพียร วิริโย” วัดป่าหนองกอง ต.บ้านค้อ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี







ท่านพระอาจารย์จันทร์เรียน คุณวโร แห่งวัดถ้ำสหายธรรมจันทร์นิมิต ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ.๒๔๘๒ เป็นชาวบ้านหนองบัวบาน อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี โดยกำเนิด ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระหลานชายของหลวงปู่ลี กุสลธโร แห่งวัดภูผาแดง และมีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันที่บวชเป็นพระภิกษุ เช่น หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญฺญมากโร , หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ เป็นต้น

ท่านพระอาจารย์จันทร์เรียน เป็นพระเถระฝ่ายวิปัสสนารูปหนึ่ง ซึ่งได้รับความเคารพนับถืออย่างสูงจากพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก ท่านบวชกับพระอุดมญาณโมลี(หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป) ที่วัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๖ จากนั้นได้อยู่ศึกษาธรรมกับหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ และหลวงปู่ชอบ ฐานสโม พระมหาเถระผู้ทรงคุณธรรมสูง ท่านเป็นศิษย์ของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

ท่านพระอาจารย์จันทร์เรียน ท่านเที่ยวจาริกธุดงค์ติดตามหลวงปู่ชอบ ไปในสถานที่วิเวกป่าเขาลำเนสไพร โดยเฉพาะทางภาคเหนือเป็นเวลาหลายปี จนต่อมาภายหลังท่านได้มาพำนักที่วัดถ้ำสหายฯ ซึ่งแต่เดิมเป็นที่ตั้งทับสมปอง บริเวณด้านหน้าถ้ำจะเป็นเนินใหญ่ มีปล่องแสงจากยอดถ้ำ ทำให้ถ้ำส่องสว่างตลอดทั้งวัน โดยมีน้ำซับใสสะอาดไหลออกมาจากก้นถ้ำ เข้าใจว่าจะไหลลงห้วยสามพาด ถ้ำแห่งนี้เดิมใช้เป็นสถานที่อบรมการเมือง และฝึกอาวุธหลักสูตรเร่งรัดให้แก่มวลชน พื้นฐานชายดง และยังใช้เป็นโรงพยาบาลด้วยในบางครั้ง

เมื่อสหายสมปองเสียชีวิตจากการซุ่มโจมตีของศัตรูก็ได้มีการจัดพิธีไว้อาลัย และได้เก็บอัฐิของสหายสมปองไว้ที่นี่ จากนั้นจึงได้เรียกทับนี้ว่าทับสมปอง ต่อมาพวกชาวบ้านที่ขึ้นมาภูเขามาล่าสัตว์ ได้พบร่องรอยของสหายที่บริเวณถ้ำนี้มากขึ้น จึงพากันเรียกว่าทับสหาย

จนกระทั้งในปีพุทธศักราช ๒๕๒๖ ท่านพระอาจารย์จันทร์เรียน คุณวโร ได้เดินทางมาพำนักบำเพ็ญภาวนาในบริเวณป่าแถบนี้ และได้พบอัฐิสหาย กับสิ่งของที่พวกสหายได้ซุกซ่อนไว้ในถ้ำแห่งนี้ ท่านพระอาจารย์จันทร์เรียน มีความพอใจในถ้ำสหายแห่งนี้ จึงได้พำนักปฏิบัติธรรม และสวดอุทิศส่วนกุศลแล้วจึงนำอัฐิสหายสมปองมาโรยในทางเดินจงกรม และได้ตั้งชื่อวัดนี้ว่า “วัดถ้ำสหายจันทร์นิมิต”

ปีพุทธศักราช ๒๕๓๓ ในช่วงฤดูแล้ง องค์หลวงปู่ลี กุสลธโร ได้มาพักปฏิบัติธรรมที่วัดถ้ำสหายฯ กับท่านพระอาจารย์จันทร์เรียน อยู่นานพอสมควร จากนั้นหลวงปู่ลี จึงตัดสินใจว่า จะขึ้นไปบำเพ็ญสมณธรรมบนเทือกเขาที่อยู่ตรงกันข้ามกับวัดถ้ำสหายฯ นั่นคือ ภูผาแดง ภายหลังหลวงปู่ลี กุสลธโร จึงได้จัดสร้างทำเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม จนกลายมาเป็นวัดภูผาแดงอย่างในปัจจุบัน

ช่วงระหว่างในพรรษาทุกปี ท่านพระอาจารย์จันทร์เรียน ท่านจะไปกราบทำวัตร-คารวะองค์หลวงปู่ลี กุสลธโร ณ วัดภูผาแดง ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ที่ท่านเคารพมากอีกองค์หนึ่งอยู่เป็นประจำทุกปี

หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป เล่าว่า

“พระอาจารย์จันทร์เรียน คุณวโร เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีพระเณรไปอยู่ศึกษาอบรมกับท่านมาก”

หลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม เล่าว่า

“เดิมที มีพระเริ่มไปขออยู่ศึกษาธรรมกับพระอาจารย์จันทร์เรียน ที่วัดถ้ำสหายฯ มากขึ้นทุกปี อาจารย์จันทร์เรียน ท่านเลยให้มีการนั่งสมาธิภาวนา วันละ ๖ ชั่วโมง ๘ ชั่วโมง ๑๒ ชั่วโมง เพื่อให้พระที่ไม่มีความแน่วแน่จริงจัง ทนไม่ได้"

หลวงปู่ผาง โกสโล เล่าว่า

“อาตมาเคยไปกราบหลวงปู่ชอบ ฐานสโม หลวงปู่ชอบ ท่านเล่าว่า... ‘เรามีพระอยู่รูปนึง มาอาศัยอบรมศึกษาธรรมอยู่กับเรา พรรษา ๑๐ นี้ พระรูปนี้จะอยู่เหนือโลก ท่านชื่อว่า จันทร์เรียน ’ เมื่ออาตมาตามไปดูพระรูปนี้ภาวนา อู้หู ไม่ธรรมดาจริง ๆ อย่างที่หลวงปู่ชอบท่านเล่าไว้ …”

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๓ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๗ ที่ผ่านมา ท่านพระอาจารย์จันทร์เรียน คุณวโร ท่านมีอายุครบ ๗๕ ปี และในปัจจุบัน ท่านพระอาจารย์จันทร์เรียน จะอยู่จำพรรษาอยู่ที่วัดถ้ำสหายธรรมจันทร์นิมิต ขึ้นอยู่ในเขตอำเภอหนองแสง จังหวัดอุดรธานี

คัดลอกมาจากหนังสือประวัติ “๙๐ ปี เศรษฐีธรรม หลวงปู่ลี กุสลธโร พระอริยสงฆ์สาวกแห่งภูผาแดง”







ปีศาจอสุรกายมาหาหลวงปู่

ในเช้าวันหนึ่ง หลวงปู่แหวนกับหลวงปู่ตื้อ ได้อาศัยบิณฑบาตที่หมู่บ้านชาวป่า มี 4-5 หลังคาเรือน ชาวบ้านพากันมาใส่บาตรด้วยความดีใจ เพราะนานๆ จึงจะมีพระธุดงค์มาโปรดสักที

ชาวบ้านถามว่า พระคุณเจ้าทั้งสองจะไปไหน หลวงปู่บอกว่าจะมุ่งไปทางเทือกเขาที่มองเห็น แล้วจะลงไปทางสุวรรณเขต (อยู่ตรงข้ามกับมุกดาหาร) ชาวบ้านแสดงอาการตกใจ พร้อมทั้งทัดทานว่าอย่าไปทางโน้นเลย เพราะมียักษ์ปีศาจดุร้ายสิงอยู่ คอยทำร้ายคนและสัตว์ที่ผ่านไปทางนั้น
หลวงปู่ทั้งสอง กล่าวขอบใจในความหวังดี และบอกว่าท่านทั้งสองได้มอบกายถวายชีวิตให้พระศาสนาแล้ว ขออย่าได้ห่วงตัวท่านเลย แล้วท่านก็ออกเดินทางไปในทิศทางดังกล่าว
หลวงปู่ออกเดินทางโดยข้ามลำน้ำสองแห่ง แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ป่าแถบนั้นเงียบกริบ ไม่ได้ยินเสียงสัตว์ต่างๆ เลย แม้แต่นกก็ไม่มี ดูผิดประหลาดมาก

พอใกล้ค่ำหลวงปู่ทั้งสอง ก็มาถึงยอดเขาสูงที่มีลักษณะประหลาดมาก คือยอดเป็นสีดำคล้ายถูกไฟเผา รูปลักษณะดูตะปุ่มตะป่ำคล้ายหัวคนบ้าง หัวตะโหนกช้างบ้าง แปลกไปจากเขาลูกอื่นๆ

หลวงปู่ทั้งสอง เลือกปักกลดค้างคืนข้างลำธารที่มีน้ำใสไหลผ่านอยู่ที่เชิงเขาลูกนั้น ปักกลดห่างกันประมาณ 10 เมตร เมื่อสรงน้ำพอสดชื่นแล้วต่างองค์ก็นั่งสงบภายในกลดของตน ทั้งสององค์ตระหนักในความประหลาดของสถานที่นั้น ไม่ได้พูดอะไรกันเพียงแค่นั่งสงบอยู่ภายในกลด

ประมาณ 5 ทุ่ม หลวงปู่แหวน ก็ออกจากกลดเตรียมจะเดินจงกรม หลวงปู่ตื้อ ออกมาตามและพูดว่า "ผมรู้สึกว่าที่นี่วิเวกผิดสังเกตนะ"
หลวงปู่แหวน ตอบ "ผมก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน"
พูดกันแค่นี้แล้วต่างองค์ต่างก็เดินจงกรมในทางของตน

ต่อจากนั้นไม่นานก็มีเสียงกรีดแหลมเยือกเย็นดังลงมาจากยอดเขารูปประหลาดนั้น เสียงนั้นแหลมลึกบีบเค้นประสาทจนรู้สึกเสียวลงไปถึงรากฟันทีเดียว

หลวงปู่ตื้อ ถามพอได้ยินว่า "ท่านแหวนได้ยินแล้วใช่ไหม"
หลวงปู่แหวน ตอบด้วยเสียงเรียบ ๆ ว่า "ผมกำลังฟังอยู่"
เสียงกรีดร้องนั้นใกล้เข้ามาทุกที ฟังแล้วน่าขนพองสยองเกล้า ทั้งสององค์คงเดินจงกรมอยู่เงียบๆ ตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ป่านั้นเงียบสงัดจริงๆ เสียงนกเสียงแมลงก็ไม่มี ครั้นแล้วเกิดพายุปั่นป่วนมาอย่างกระทันหัน ชนิดไม่มีเค้ามาก่อนเลย ต้นไม้โยกไหวรุนแรงราวกับจะถอนรากออกมา อากาศพลันหนาวเย็นวิปริตขึ้นมาทันที พลันปรากฏร่างประหลาดขึ้นร่างหนึ่ง ตัวดำมะเมื่อม สูงราว 7 ศอก มีขนยาวรุงรังคล้ายลิงยักษ์ แต่หน้าคล้ายวัวควาย ตาโปน มือสองข้างยาวลากดิน มันก้าวเข้ามาอยู่ห่างจากหลวงปู่ทั้งสองประมาณ 10 เมตรเห็นจะได้

สัตว์ประหลาดนั้นส่งเสียงร้องโหยหวนขึ้น พลันพายุนั้นก็สงบลง แสดงว่ามันมีอำนาจเหนือธรรมชาติ สัตว์นั้นส่งกลิ่นเหม็นรุนแรงร้ายกาจเหมือนกลิ่นศพที ่กำลังขึ้นอืด มันกระทืบเท้าสนั่นจนแผ่นดินสะเทือน

หลวงปู่แหวนเล่าในภายหลังว่า ท่านไม่รู้สึกกลัว แต่ขนลุกซู่ซ่าไปหมด เพราะไม่เคยเห็นสัตว์ประหลาดอย่างนั้นมาก่อน ยังไม่รู้ว่าเป็นปีศาจหรือสัตว์อะไรแน่ ท่านได้กำหนดสติไม่ให้ใจคอวอกแวก ทอดสายตาไปยังสัตว์ประหลาดนั้น กำหนดจิตแผ่เมตตาไปยังร่างนั้น สัตว์ร่างยักษ์นั้นหยุดร้อง หยุดส่งกลิ่นเหม็น แสดงว่ารับกระแสเมตตาได้ มันค่อยๆ ทรุดร่างลงนั่งยองๆ เอามือยันพื้นไว้ ทำท่าแสดงความนอบน้อมต่อท่าน

หลวงปู่ตื้อ พูดพอได้ยินว่า "ท่านแหวนทำดีมาก" พร้อมทั้งเดินมาสมทบ แล้วพูดว่า "เขาแบกหามบาปหาบทุกข์อันมหันต์ เขามาหาเรา เพื่อให้ช่วยปลดทุกข์ให้เขานะ เขาสร้างกรรมไว้มาก เมื่อตายจากมนุษย์แล้วต้องมาเป็นปีศาจอสุรกาย ทนทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่"

หลวงปู่แหวน ได้กำหนดจิตถามดูก็ได้ความว่า สมัยเป็นมนุษย์เขามีการกระทำที่มากล้นด้วยตัณหา และความโลภ คือละเมิดศีลข้อ 2 และข้อ 3 อยู่เสมอ จึงต้องมาเป็นปีศาจอสุรกาย รับทุกข์อยู่ที่นั่นมากว่าร้อยปีแล้ว

ปีศาจอสุรกายนั้นดูท่าทางอ่อนลงมาก มันร้องไห้คร่ำครวญน่าสงสาร ขอความเมตตาจากพระคุณเจ้าทั้งสองให้เขาได้พ้นทุกข์ทรมานนั้นด้วยเถิด

หลวงปู่แหวน ได้พิจารณาเห็นว่า เขาสร้างกรรมซับซ้อนเหลือเกินใครจะช่วยเขาได้ พลันหลวงปู่ตื้อตอบมาในสมาธิว่า "กรรมเป็นเรื่องสลับซับซ้อนลึกซึ้งอยู่ก็จริง บางทีพระผู้มีศีลบริสุทธิ์และมีบารมีเช่นท่านแหวน ก็อาจจะช่วยให้เขาพ้นทุกข์ได้ ลองอ่านพระคาถา หรือเทศนาธรรมให้เขาฟังดูสิ"
หลวงปู่แหวนได้กำหนดจิตว่าพระคาถา แล้วเทศนาให้เขาสำนึกบาปบุญคุณโทษ เขาค่อยๆ คลายความกังวลลง ก้มลงกราบด้วยความซาบซึ้ง

"พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าได้กำหนดจิตพิจารณาตามกระแสธรรมของท่านแล้ว เกิดแสงสว่างกับข้าพเจ้าอย่างมหัศจรรย์ และข้าพเจ้าได้เห็นสภาวธรรม คือ ชาติ ชรา มรณะ อันเป็นทุกข์เป็นธรรมดาของสรรพสัตว์ทั้งหลายแล้วพระคุณเจ้า"

สีหน้าเขาดูสดชื่นขึ้น ก้มลงกราบหลวงปู่ทั้งสององค์ แล้วร่างนั้นก็หายไป

จากหนังสือ "หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ" วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ (โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม3)







ครูบาอาจารย์ที่จะแนะอรรถแนะธรรมทุกวันนี้มีน้อยมากแล้วนะ จะไม่มีแหละ
พระปฏิบัติมีเต็มบ้านเต็มเมืองแต่จะหาสาระสำคัญจริง ๆ
นำมาอวดเพื่อนฝูงด้วยกันตามความจริงที่รู้ที่เห็นมานั้นมีจำนวนน้อยมาก
เพราะเหตุไร ก็เพราะวัตถุเหยียบย่ำทำลายนั่นเองไม่ใช่อะไรนะ
วัตถุตัวสำคัญเหยียบย่ำทำลายมาก วัตถุเจริญเท่าไรจิตใจยิ่งเสื่อมลงมาก ๆ
ไม่ว่าทางโลกทางธรรมเป็นอย่างนั้นเดี๋ยวนี้ กระดาษเขาเสกขึ้นมาเขาเป่าขึ้นมา
สมมุติขึ้นมาเป็นเงินก็เผาหัวใจพระเราจนได้ ทั้ง ๆ ที่ก็รู้อยู่แล้วว่ากระดาษ
เอาไปมวนบุหรี่สูบก็เหม็นเขียวจะตายไป ก็หลง
.
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๒๒
"ศากยบุตรปฏิบัติอย่างไร"








"จิตใจเกิดมาแล้วไม่ตาย เกิดมาเป็นธาตุรู้ เกิดแล้วตายไม่เป็นสิ่งอื่นเป็นเพียงสลาย ดินเพียงสลายแต่ตายไม่เป็น น้ำก็สลาย ลมก็สลาย ไฟก็สลาย แตกสลายก็เกิดขึ้นมาใหม่ ไม่สูญ เป็นตัวนำไปสู่ภพนั้นภูมินี้เป็นวัฏจักรหมุนเวียนไม่จบ
จิตเพียงมาอาศัย ดินน้ำไฟลมท่องเที่ยวไปในโลกต่างๆ ท่องเที่ยวไปมาสุดท้ายก็ตาย ตายแล้วลงในดิน ฝังในดิน ตายในอากาศไม่ได้ ค้างบนอากาศก็ไม่ได้ ตายแล้วทับถมบนดินตายทับถมกัน
ใจทำให้ไม่เกิดได้ ให้บริสุทธิ์ได้ พระพุทธเจ้าจึงสอนให้รู้จักใจ ให้มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ให้มีเมตตาค้ำจุนโลก โลโก ปตฺถมฺ ภิกา เมตฺตา "

หลวงตาสมหมาย อฺตตมโน






"วันนี้วันพระ เข้าวัดทำความดี วัดจิต วัดใจตนเอง ดูว่ามีความโลภ ความโกรธ ความหลง มากไหม วัดดูใจเราเอง ไม่ต้องไปวัดคนอื่น วัดคนอื่น ตำหนิคนอื่น คนนั้นดี คนนี้เลว ไม่ได้ประโยชน์ กิเลสความชั่วของเจ้าของไม่ลดหรอก มีแต่จะเพิ่มขึ้น อย่างนี้ต่อให้โกนหัว ห่มจีวรก็ไม่มีประโยชน์"

หลวงตาสมหมาย อัตตมโน







"ความทะเยอทะยานตนไม่รู้จักคำว่า พอประมานตน
นั้นเหละจะนำมาให้เกิดขึ้น ซึ่งทุกขเวทนาต่างๆ
และทำให้ใจเป็น ทุกข์
ฉะนั้นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงตรัสไว้ว่า
ให้รู้จักละรู้จักวางอย่าไป ยึดมั่นถือมั่นว่า
อันนี้ก็ของเราอันนั้นก็ของเรา
แท้ที่จริงแล้วไม่มีอะไรเป็น ของเราเลย
แม้กระทั้งตัวเรา
เมื่อถึงการ ถึงเวลาก็แตกดับสลายลง
และแยกไป เป็นธาตุต่างๆทั้ง๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
นี้คือสัจธรรมที่แท้จริง"

หลวงตาสมหมาย อตฺตมโน







คนเราทุกวันนี้ ถ้าเป็นคนที่มีธรรม
จะคิด จะพูด จะทำอะไรก็เป็นธรรม
แต่ถ้าเป็นคนไม่มีธรรม เอาเรื่องโลกมาคิด
มาพูด มาทำ ก็มีแต่โลกทั้งนั้น
ให้เราทั้งหลายช่วยกันทำนุบำรุง
พระพุทธศาสนา เห็นการกระทำอะไรไม่ดี
ให้ช่วยกันบอกสอนแก้ไขให้ถูกให้ควร
อย่าปล่อยให้คนทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ
วัดป่าบ้านนาคูณ ต.บ้านผือ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี








...อะไรมันเป็นของเรา
มันก็ต้องอยู่กับเรา คิดแค่นี้
อะไรที่มันไม่มาถึงเรา ไม่อยู่กับเรา
ก็ไม่ใช่ของเรา
.
...ไม่มีอะไร
สบายกว่า กลับไม่รู้
มีแล้วมันทุกข์ ทุกข์เพราะมี
ไม่ใช่ทุกข์เพราะไม่มีนะ
.
...ทุกข์กับสามีเพราะอะไร เพราะมีสามี
ทุกข์กับภรรยาเพราะอะไร เพราะมีภรรยา
ทุกข์กับลูกเพราะอะไร เพราะมีลูก
ถ้าไม่มีลูก จะทุกข์กับลูกไหม
.
...คนเป็นโสดนี่เขาจะทุกข์กับสามี
ทุกข์กับภรรยาหรือเปล่า
เขาจะทุกข์กับลูกหรือเปล่า
ดูคนที่มีลูกซิ ! เขาสุขไหม
มันทุกข์ ตั้งแต่อยู่ในท้องแล้ว
...........................................
.
สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๗

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี







โยม : กราบนมัสการหลวงปู่ครับผม คือพวกผมเดินทางมากราบถวายคารวะครูบาอาจารย์ในเทศกาลเข้าพรรษา ไปหลายวัดหลายจังหวัด ชอบเที่ยวกราบไหว้ช่วยเหลือวัดที่ขาดแคลนครับผม

หลวงปู่ : อือ อนุโมทนานะคุณนะ คิดอย่างนี่ดีแล้ว คนดูแลช่วยเหลือผู้ขาดแคลน ให้ในสิ่งที่เขากำลังขาดกำลังต้องการ ย่อมมีอานิสงส์ คือลาภผลอันไม่คาดไม่ฝัน เวลาเราตกทุกข์ได้ยากย่อมมีคนช่วยเหลือ
...
โยม : สาธุ ครับหลวงปู่ แต่ลูกทุกข์เหลือเกิน ลำพังกำลังลูกไม่สามารถทำงานอย่างนี้ได้ครับผมหลวงปู่ ต้องไปบอกบุญคนอื่นเขา แต่เวลาที่เราไปบอกบุญ บางคนก็ทำ บางคนก็ไม่ทำ บางคนหาว่าเราหลอกลวงต้มตุ๋น เพื่อนผมบางคนเคยไล่เหมือนหมูเหมือนหมาก็มี

หลวงปู่ : เอ้า กินแม่นปาก ยากแม่นท้อง เที่ยวขี้แม่นขา หล่ะน้อบาดนี่.... มันคนละหน้าที่นะคุณ หน้าที่เราคือบอกบุญ ทำไม่ทำ ร่วมไม่ร่วม ไม่ใช่หน้าที่เรา อย่าเอาหน้าที่เขามาทุกข์สิ เราบอกบุญเราก็ทำหน้าที่ของเรา เอาบุญไปฝากเขา อย่าไปคาดหวังว่าเขาจะทำหรือไม่ทำ มันทุกข์ ทำหน้าที่ให้มันสบายใจ ให้มันสุขใจ หน้าที่ใครหน้าที่มัน หน้าที่กินเป็นของปาก ปากกินแล้วอร่อย ปากกินแล้วก็ไม่อึดอัดไม่แน่นไม่ปวด ปากไม่ทุกข์ แต่คนที่อึดอัดคนที่ปวดคือท้อง ท้องถึงจะอึดอัดถึงจะแน่นก็ไม่เมื่อย เพราะหน้าที่เมื่อยเป็นของขา เที่ยวเข้าเที่ยวออกห้องน้ำ คุณเอ้ยเห็นไหม ในตัวเรามันยังทำกันคนละหน้าที่ ไม่ก้าวก่ายงานของกันและกัน มันถึงอยู่กันได้ คนก็เหมือนกัน อย่าเอาความทุกข์ของเขามาเป็นทุกข์ของเรา มันคนละหน้าที่ เข้าใจนะ..

โอวาทธรรม หลวงปู่หา สุภโร






เวลาที่จะเลือกคนมาเป็นคู่ครอง จึงไม่ควรรีบร้อน พอได้เห็นหน้าตาแล้วถูกอกถูกใจ ก็อย่าเพิ่งตัดสินใจอยู่ร่วมกันเลย ใช้เวลาทำความรู้จักกันก่อน ให้รู้ถึงแก่นแท้ก่อน อย่ารู้เพียงผิวเผิน ต้องศึกษาให้รู้ถึงแก่นแท้ ให้รู้นิสัยสันดานว่าดีจริงหรือไม่ มีศีลทั้ง ๕ ข้อหรือไม่
.
ถ้ามีก็ถือว่าเป็นคนดี น่าใช้ชีวิตร่วมกัน ถ้าจะให้เลือกระหว่างคนที่ร่ำรวยแต่ไม่มีศีลธรรม กับคนที่มีศีลธรรมแต่ไม่ร่ำรวย ก็ขอให้เลือกคนที่มีศีลธรรมจะดีกว่า จะไม่ผิดหวัง จะไม่เสียใจ ถ้าเลือกคนที่ร่ำรวยแต่ไม่มีศีลธรรม สักวันหนึ่งอาจจะทิ้งเราไปมีใหม่ก็ได้ เพราะเขามีเงินทอง เขาต้องการหาใหม่เมื่อไหร่ก็หาได้ จึงต้องใช้ปัญญาวิเคราะห์ศึกษา จะมีปัญญาได้ ก็ต้องมีศีล มีสมาธิ มีทานเป็นผู้ให้การสนับสนุน
.
เราจึงต้องปฏิบัติตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ต้องทำบุญทำทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ เจริญปัญญา ใช้เหตุใช้ผล เวลาต้องการอะไร ต้องใช้เหตุใช้ผล ถามตัวเองว่าสิ่งที่อยากได้ เป็นสิ่งที่ดีจริงหรือไม่ เวลาไปซื้อของ เช่น ผลไม้ ยังเลือกกันเลย ว่าสดหรือไม่สด เน่าหรือไม่เน่า ไม่ซื้อมาแบบสุ่มสี่สุ่มห้าฉันใด
.
เวลาจะเลือกใครมาเป็นคู่ครอง ก็ต้องพิถีพิถัน ต้องเลือกให้ดีเสียก่อน การที่จะเลือกได้ดีก็ต้องมีปัญญา แล้วจะรู้จักแยกแยะว่าคนดีเป็นอย่างไร คนไม่ดีเป็นอย่างไร จะได้คนดีมาเป็นคู่ครอง มาเป็นเพื่อน ก็จะมีความสุข เพราะคนดีจะไม่สร้างความทุกข์ให้กับใคร
.
ถ้าได้คนไม่ดีมาเป็นเพื่อน มาเป็นคู่ครอง ก็จะมีแต่ความช้ำอกช้ำใจไปตลอด เพราะคนไม่ดีย่อมไม่คำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่น จะเป็นคนเห็นแก่ตัว อยากจะทำอะไรก็ทำ โดยไม่สนใจว่าจะไปสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้กับผู้อื่นหรือไม่ แต่คนที่มีศีลมีธรรมจะคิดอยู่เสมอว่า
.
การกระทำทางกาย วาจา จะสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นหรือไม่ ถ้าสร้างก็จะไม่ทำ จะไม่ทำลายชีวิตของผู้อื่น จะไม่เอาทรัพย์ของผู้อื่น จะไม่ยุ่งกับสามีภรรยาของผู้อื่น จะไม่โกหกหลอกลวง จะไม่เสพสุรายาเมา เมื่อไม่ทำสิ่งเหล่านี้แล้ว จะสร้างความเดือดร้อนให้กับใครได้อย่างไร จึงเป็นคนที่น่าชื่นชมยินดี มีคนอยากจะคบค้าสมาคมด้วย เพราะมีความสุขใจ มีความปลอดภัย.
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต









"มัวสนใจอะไรกับสิ่งเหล่านั้น
ธรรมดาแสงย่อมสว่าง
ธรรมดาเสียงย่อมดัง
หน้าที่ของมัน เป็นเช่นนั้นเอง
เราไม่ใส่ใจฟังเสียอย่าง ก็หมดเรื่อง

จงทำตัวเรา ไม่ให้เป็นปฏิปักษ์ กับสิ่งแวดล้อม
เพราะมันมีอยู่อย่างนี้ เป็นอยู่อย่างนี้เอง
เพียงแต่ทำความเข้าใจกับมัน ให้ถ่องแท้
ด้วยปัญญาอันลึกซึ้ง เท่านั้นเอง"

-:- หลวงปู่ดูลย์ อตุโล -:-








"บุญเล็กๆ น้อยๆ บาปเล็กๆ น้อยๆ
ผู้ที่มุ่งที่จะปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
จึงไม่ควรประมาท ควรสังวรระวัง

โอ่งซึ่งเขาตั้งเปิดปากไว้
ในกลางแจ้ง ย่อมไม่เต็มด้วยน้ำฝน
ที่ตกลงมาทีละหยด ทีละหยาด ฉันใด
บุญกุศลที่เราทำ หรือบาปที่เรา
ทำเล็กๆ น้อยๆ ก็ย่อมไม่เต็ม

แต่เมื่อฝนตกลงมาบ่อยๆ
ตุ่มก็เต็มไปด้วยน้ำ บุญที่เราทำ บาปที่เราทำบ่อยๆ
ก็ทำให้จิตใจของเรา
เต็มไปด้วยบุญ ด้วยบาป เช่นเดียวกัน"

-:-หลวงพ่อพุธ ฐานิโย-:-







โยม:หลวงปู่เจ้าขาโยมรู้สึกเสื่อมศรัทธากับพระสงฆ์ทุกวันนี้จังเลยเจ้าค่ะ

หลวงปู่:ทำไมหล่ะ

โยม:ก็มีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับพระออกมาบ่อยจังเลย ทั้งมั่วสุม ทั้งเรื่องสีกา พระตุ๊ดเณรแต๋ว ล่าสุดมีข่าวพระมีเครื่องบินอีก

หลวงปู่:เขาเอาอะไรทำพระหล่ะ

โยม:ไม่เข้าใจเจ้าค่ะ

หลวงปู่:พระพุทธรูปเขาเอาอิฐ หิน ปูน ทราย ทองคำ เงิน ทำ พระเหล่านั้นไม่มีข่าวเรื่องนี้เลยใช่ไหม

โยม:เจ้าค่ะ

หลวงปู่:แต่พระอย่างหลวงปู่เขาเอาคนทำ พระสงฆ์อื่นๆเขาก็เอาคนทำจึงมีเรื่องแบบนี้ แต่คุณต้องเข้าใจนะเรื่องการปฏิบัติ เรื่องการพระศาสนาเป็นเรื่องส่วนบุคคล ใครทำดีผลดีย่อมสนอง ใครทำชั่วผลชั่วย่อมติดตาม คุณความคิดหน่ะเป็นกรรมที่ไม่มีวิบากนะ แต่การพูด การกระทำ เมื่อพูด เมื่อทำออกไปแล้วย่อมมีวิบาก ไม่ดีก็เสีย การที่เขาทำชั่วมันเป็นเรื่องของเขาไม่ใช่เรื่องของเรา ถ้าเราไปวิจารณ์ ไปแสดงออกแล้วเราย่อมมีส่วนในกรรมนั้น เพราะเราเอาใจส่งไปหาเขา แทนที่เขาจะตกนรกคนเดียวเรากับไปสมัครตกนรกกับเขาด้วย เหมือนที่โยมรู้สึกอยู่ตอนนี้

โยม:ยังไงเจ้าค่ะ

หลวงปู่:ก็โยมไม่รู้สึกทุกข์กับข่าวที่ได้รับหรือ

โยม:ทุกข์เจ้าค่ะ แต่ทุกข์เพราะห่วงศาสนานะเจ้าค่ะ

หลวงปู่:ทุกข์ไหมหล่ะ ทุกข์นั้นหล่ะนรกทางใจ อย่างที่อาตมาว่า ส่งจิตออกไปหาเขามันก็ทุกข์มันก็ตกนรก คุณจำไว้นะ ทุกคนล้วนเดินเข้าหาพระนิพพานเหมือนกันหมด ช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับกำลังบุญ คือความพยายามทำความดี พัฒนาตนเองไปเรื่อยๆ เหมือนรถที่วิ่งไปกรุงเทพนั้นหล่ะ จุดหมายคือกรุงเทพ จะเอารถอะไรไปมันก็ถึงกรุงเทพ คุณอาจจะมีบุญมากหน่อยถึงมีรถเก๋งขี่ไปแต่คนอื่นเขาอาจเดินไปแต่มันก็ถึงกรุงเทพเหมือนกัน ช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง สำคัญคือคุณต้องบังคับพวงมาลัยรถเรา อย่างไปออกคำสั่งรถคันอื่น ขับอย่างนี้ ขี่อย่างนั้น ต่างคนต่างตั้งหน้าขับไปสักวันต้องถึงกรุงเทพ อย่ามัวแต่ไปวิจารณ์เขา พระก็ดีโยมก็ดี การปฏิบัติเป็นเรื่องของบุคคล เขาทำชั่วเขาตกนรก โยมอย่าส่งใจไปร่วมกับเขา อย่าไปร่วมตกนรกกับเขา ตั้งใจปฏิบัติตามหน้าที่ของเรา เจริญพร

หลวงปู่หา สุภโร








เหตุการณ์เมื่อองค์หลวงปู่เป็นพระกรรมฐานหนุ่ม(พระสมุห์หา สุภโร) เดินทางจากวัดบ้านคำคา จังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อไปฟังธรรมจากพระอาจารย์มหาบัวในสมัยนั้น พอไปถึงวัดป่าบ้านตาดปรากฏว่าพระอาจารย์มหาท่านไม่อยู่จึงเดินสำรวจภายในวัด ก็ได้เจอแม่ชีสูงอายุกำลังตากกล้วยสุกในกระด้ง ท่านจึงถามว่า

พระสมุห์หา ; แม่เอ๋ย มาบวชอยู่วัดป่าวัดดง ปารถนาทิพยสมบัติอันใด สวรรค์ชั้นไหนหนอ

แม่ชี ; ลูกพระเอ้ย แม่ออกจากบ้านจากเรือน ออกทำความพากความเพียรภาวนา อย่าว่าแต่ทิพยสมบัติในสวรรค์นั้นเลย แม้แต่พรหมชั้นใดแม่ก็ไม่ได้ปารถนา แม่มาปฏิบัติเพื่อละเพื่อทิ้งโลกนี้และโลกหน้า พรหมสมบัติ ทิพยสมบัติ สวรรค์สมบัติก็โลก แม่เพลิดแม่เพลินแม่ก็มาเกิดอีก เวียนตายเวียนเกิดไม่จบไม่สิ้น แม่ไม่เพลิดเพลินในโลกทั้งที่เป็นมนุษย์และเป็นทิพย์ ลูกพระก็เหมือนกันนะ ทำความเพียรนะลูก คนได้พระนิพพานมีเอนกคุณมากล้น ทิพยสมบัติ ทิพยพรหม จะได้เศษได้เสี้ยวอะไร

หลวงปู่ชอบสอนพวกเราว่าได้ฟังธรรมวันนั้นเหมือนได้อริยะทรัพย์มหาศาล อย่าดูเบาผู้หญิง ในธรรมะไม่มีตัวผู้ตัวเมีย ไม่มีหญิงไม่มีชาย มีแต่เพศสาวก หญิงก็สาวก ชายก็สาวก สาวกแปลว่าผู้เชื่อผู้ฟัง ถ้าเชื่อถ้าฟังก็เรียกว่าเพศสาวก ตั้งใจประพฤติปฏิบัติก็เป็นสาวกะสังโฆ หญิงก็ตาม ชายก็ตาม ได้เหมือนกันหมด อย่าว่าตนเป็นลูกผู้หญิง ผู้หญิงเก่งกว่าผู้ชายก็มีมากมาย ในธรรมมะไม่เลือกหญิงเลือกชาย ปฏิบัติได้ก็ถึงธรรมได้ถ้วนหน้า อย่าน้อยอกน้อยใจว่าเป็นหญิงแล้วบวชไม่ได้ เป็นหญิงถ้าตั้งใจปฏิบัติก็พ้นทุกข์ได้เหมือนกัน

ภายหลังเมื่อเอารูปเก่าๆในหนังสือองค์หลวงตาถวายท่านดู ท่านก็ชี้ว่าเป็นแม่ชีคนนี้ แม่ชีสูงอายุวันนั้นคือ คุณแม่แพงศรี โลหิตดี โยมมารดาองค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน นั้นเอง

หลวงปู่หา สุภโร









หนูเปลี่ยนศาสนาบาปไหมค่ะหลวงปู่

เมื่อวานมีกระทาชายนายหนึ่งเดินนวยนาดเข้ามากราบองค์หลวงปู่

โยม: หลวงปู่เจ้าขาถ้าหนูจะเปลี่ยนศาสนาจะบาปไหมค่ะ

หลวงปู่ : ถ้าโยมไตร่ตรองดีแล้ว มันก็เป็นความเห็นโยม โยมคิดว่ามันถูกต้อง จะบาปได้อย่างไรแล้วทำไมจะเปลี่ยนศาสนาหล่ะ

โยม : ก็หนูไปหาพระวัดหนึ่ง ท่านว่ากระเทยอย่างหนูเกิดมาเพราะมีกรรม เป็นคนมีกรรมจากชาติที่แล้วที่หนูไปเล่นชู้กับเมียคนอื่นเป็นคนหลายใจ คบคนไม่เลือก ทำให้หนูต้องเกิดมาเป็นกระเทย หนูทุกข์ใจมาก เลยอยากเป็นศาสนาซะ จะได้สบายใจขึ้น

หลวงปู่ : เออ แล้วมันจริงไหมหล่ะ

โยม : ก็ไม่รู้สิเจ้าค่ะ ใครจะไปรู้ชาติที่แล้ว หนูไม่ได้ระลึกชาติได้นี่เจ้าค่ะ

หลวงปู่ : เออ ก็ระลึกไม่ได้ไง หลวงปู่ก็ระลึกไม่ได้ ที่หลวงปู่เป็นอัมพาตทุกวันนี้ หลวงปู่ก็ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วทำอะไรไว้ แต่ที่รู้คือชาตินี่หลวงปู่ไม่เคยทำชั่ว โยมก็เหมือนกัน มีใครที่แก้อดีตได้บ้าง เราทุกคนแก้อดีตไม่ได้ ไม่มีใครรู้ว่าชาติที่แล้วเราทำกรรมอะไรไว้ ให้รู้มันชาตินี้ ทำจากชาตินี้ ทำจากวันนี้ ทำจากเดี๋ยวนี้ ทุกคนมีอดีตแต่อย่าไปทุกข์กับอดีต ทุกข์ไปมันก็แก้ไม่ได้ ของมันผ่านไปแล้ว ไม่มีประโยชน์ อดีตที่ผิดที่พลาด ที่เสียที่หาย มันทำให้เรามีวันนี้ มีเดี๋ยวนี้ จะไปแก้มันทำไม โยมจะเป็นอะไรก็ตาม เราทุกคนล้วนมีกรรมปรุงให้เกิด อย่าไปแก้ตอนที่มันส่งมาให้เกิด ให้แก้จากวันนี้ไป อย่าคิดชั่ว อย่าทำชั่ว อย่าพูดชั่ว อย่าหนีปัญหา หนีไปศาสนาใหม่ ไปศาสนาไหนหล่ะ ในเมื่อศาสนะธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดาของโลก พระพุทธเจ้าไม่สอนโลกไม่ตั้งศาสนาธรรมะก็ยังมีอยู่ ธรรมชาติก็ยังมีอยู่ ไม่มีพระพุทธเจ้าพระอาทิตย์ก็ขึ้นทางตะวันออกตกทางตะวันตกอยู่ พระพุทธเจ้าท่านเห็นโลก เห็นธรรมของโลก โยมจะหนีไปไหน หนีไปก็ไม่พ้นธรรมชาติ แก้ที่เหตุมัน เหตุมันคือความคิดแก้มันตรงนี้ เป็นกระเทยมันไม่บาป มันไม่ผิด แต่อย่าไปทำบาป อย่าไปทำผิด จะเป็นอะไรทำผิดมันก็ผิด พ่อชายหรือแม่หญิง ทำชั่วมันก็เป็นคนชั่ว พ่อชายแม่หญิงทำดีมันก็เป็นคนดี จำไว้เกิดเป็นอะไรก็ได้ก็ดี อย่าไปติว่าตัวเกิดเป็นนั้นเป็นี่แล้วไม่ดี เราแก้อดีตไม่ได้ ให้แก้ปัจจุบันไปหาอนาคต เข้าใจนะ

หลวงปู่หา สุภโร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 63 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร