วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 10:50  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2017, 05:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"ขณะภาวนาให้ตัดสัญญาทั้งหลายทั้งไป"

....โดยมากผุ้ที่บำเพ็ญทางด้านจิตใจที่ได้รับความสงบเยือกเย็นมาแล้ว ขาดความสำรวมระวังภายในตัว ความเพียรก็ด้วย ทีนี้จิตก็มีทางเสื่อมลงไปได้

เมื่อจิตเสื่อมลงไปแล้ว จะพยายามปรับปรุงจิตใจของตนให้มีระดับเช่นที่เคยเป็นมา ไม่สามารถทำได้ นี่เพราะเหตุว่าจิตไปยึดเอาเรื่องอดีตเสียทั้งๆ ที่ตนกำลังนั่งภาวนา ความมุ่งจะให้เป็นเช่นนั้นๆ ไม่มีผลอันใดเกิดขึ้น นอกจากจะเป็นสัญญา เครื่องรบกวนใจ ให้ไม่สามารถทำความสงบให้แก่ตัวเองได้เท่านั้น.

"หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน"






"ดูตนเป็นสำคัญ ให้รีบทำอย่าปล่อยโอกาสให้ช้าไป"

.....อย่าลืมตน ให้สำนึกตน ให้ดูตน

อย่าไปดูผู้อื่น อย่าเพ่งโทษผู้อื่น

ใครทำไม่ดีก็เป็นโทษของเขาโทษของผู้อื่น จะได้รับความทุกข์ก็แม่นตน ได้รับความสุขก็แม่นตน

เขาทำดีเขาก็ได้รับความสุขของเขาเอง

ให้ดูตน ดูทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน ให้ฝึกตน ให้มีสติกับตน

ให้เร่งทำเมื่อร่างกายให้โอกาส เมื่อร่างกายยังดีอยู่ ยังแข็งแรงอยู่ ทำความเพียรก็ได้อยู่ ครั้งแก่มากคือเรานี่ก็บ่ทันแล้ว.

"หลวงปู่ขาว อนาลโย"







"ทุกคนที่เกิดมาย่อมมีสรรเสริญคนนินทา เมื่อเขาว่าเรา

เราก็อย่าไปรับเอามาเก็บไว้ในใจ ปล่อยให้ผ่านไปเสีย กายของเราก็ปกติดีอยู่แล้ว จะต้องไปเดือนร้อนทำไม เรารุ้อยู่ว่ากิเลสมันไม่ดีตัวเราเองก็ไม่ดี มีความรัก ความชัง ความโลภ ความโกรธ ความหลง เกิดขึ้นก็เพราะตัวกิเลสนั่นแหละ

บาปอันใดที่ยังอยู่ละเสียให้หมด วางเสียให้หมดก็จะสบาย"

.....หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ






นักปฏิบัติต้องเอาให้หนักกว่าธรรมดา
ทำใจของตนให้แน่วแน่ มันจะไปสงสัยที่ไหน
ก็ของเก่าปรุงแต่งขึ้นเป็นความพอใจไม่พอใจ
มันเกิดมันดับอยู่นี่ ไม่รู้เท่าทันมัน ถ้ารู้เท่า ทันมัน ก็ดับไป
ถ้าจี้มันอยู่อย่างนี้ มันก็ค่อยลดกำลังไป ตัดอดีต อนาคตลงให้หมด
จิตดิ่งอยู่ในปัจจุบัน รู้ในปัจจุบัน ละในปัจจุบัน
ทำในปัจจุบัน แจ้งอยู่ในปัจจุบัน
.
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ







การถวายทาน..
ด้วยเครื่องบริโภคที่ถูกต้องตามพระวินัย

อาหารที่ถวายพระนั้นถ้ามีเนื้อสัตว์
ก่อนจะถวายต้องทำให้สุกด้วยไฟเสียก่อน เช่น ต้ม ทอด ย่าง ถ้าอาหารนั้นไม่สุกด้วยไฟ เช่น สุกด้วยมะนาว หรือยังดิบอยู่ หรือยังสุกๆ ดิบๆ
"..หากพระฉันเข้าไปจะเป็นอาบัติทุกกฎ.."

อาหารบางอย่างเรามักนึกไม่ถึงว่ายังไม่สุกด้วยไฟ เช่น น้ำพริกปลาทู ก่อนจะนำ..

"..กะปิมาตำน้ำพริก
จะต้องนำมาห่อใบตองปิ้งให้สุกก่อน.."

"...หรือไข่ดาวและไข่ต้ม จะต้องต้มหรือทอดให้ไข่ขาวและไข่แดงสุกแข็งทั่วกัน หากยังเหลวเป็นยางมะตูมอยู่ถือว่ายังไม่สุก หรือส้มตำใส่ปลาร้าหรือปูก็จะต้อง ต้มปูเค็ม หรือต้มปลาร้า เสียก่อน เป็นต้น.."

มีเนื้อ ๑๐ ชนิด ที่ห้ามพระเณรฉันทุกกรณี

ได้แก่ เนื้อมนุษย์ เนื้อสุนัข เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้องู เนื้อราชสีห์ เนื้อเสือโคร่ง เนื้อเสือดาว เนื้อเสือเหลือง เนื้อหมี

นอกจากนั้นฉันได้ทุกชนิด
แต่ต้องไม่ประกอบด้วยสามเหตุ คือ

- ไม่เห็นว่าเขาฆ่ามาเพื่อตน
- ไม่ได้ยินว่าเขาฆ่ามาเพื่อตน
- ไม่สงสัยว่าเขาฆ่ามาเพื่อตน

"..เพราะฉะนั้นชาวพุทธเราเวลาประกอบอาหารถวายพระ ห้ามบอกพระล่วงหน้าว่าจะเอาอาหารชื่อนั้นชื่อนี้มาถวาย เพราะจะทำให้ท่านฉันไม่ได้ หากฉันเข้าไปจะเป็นอาบัติ.."

อีกประการหนึ่งผักหรือผลไม้ที่จะนำมาถวายพระ หากมีเมล็ดแก่ที่สามารถนำไป "..ปลูกให้งอกได้ อย่างส้ม แตงโม มะเขือสุก หรือมีส่วนอื่นที่นำไปปลูกได้ไม่ว่าจะเป็น ลำต้น ราก หัวก็ดี เช่น ผักบุ้ง ใบโหรพา หัวหอม จะต้องทำวินัยกรรม.."

ที่มักเรียกว่า “ กัปปิยะ ” เสียก่อน พระท่านจึงจะฉันได้..หากไม่ทำ "..กัปปิยะ.." ก่อนแล้วพระฉันเข้าไปจะเป็น "..อาบัติทุกกฎ.."

เรื่องนี้สืบเนื่องมาจากพระวินัย..
ที่ห้ามภิกษุพรากของเขียว คือตัดต้นไม้ เด็ดใบไม้นั่นเอง

ซึ่งรวมไปถึงผลไม้หรือลำต้นที่สามารถนำไปปลูกให้งอกได้ด้วย

วิธีการ.. "..ทำกัปปิยะ คือ นำผักหรือผลไม้ที่ต้องทำกัปปิยะมาวางตรงหน้าพระ
แล้วพระท่านจะถามว่า “กัปปิยัง กโรหิ” แปลว่า “ทำให้สมควรแล้วหรือ”
โยมหรือเณรจะใช้เล็บหรือมีดเด็ดหรือตัดพืชนั้นเพียง ๑ ต้นหรือ ๑ ผล ให้ขาดออกจากกัน พร้อมกับพูดว่า “กัปปิยัง ภันเต” แปลว่า .“..ทำให้สมควรแล้ว..”

การทำกัปปิยะกับพืชหรือผลไม้เพียงต้นเดียวหรือลูกเดียว จะมีผลทำให้พระฉันพืชหรือผลนั้นได้ทั้งจานหรือทั้งถาด

"...วินัยข้อนี้..."
เห็นนิยมทำกันแต่เฉพาะในสายวัดป่าเท่านั้น.

เพราะ หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล และหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านสอนลูกศิษย์ลูกหาสืบกันมา ไม่ค่อยได้เห็นวัดในเมืองทำกันสักเท่าใด

สมัยหนึ่ง หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล เที่ยวธุดงค์ไปพักที่วัดหนึ่งใน จ.สกลนคร
เจ้าอาวาสวัดนั้นซึ่งมีพรรษามากแล้ว เห็นหลวงปู่เสาร์ให้โยมทำ "..กัปปิยะ.."
ก็ไม่เชื่อถือและกล่าวปรามาสท่าน

หลวงปู่เสาร์ท่านก็อธิบายว่า ท่านทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ได้คิดขึ้นเอง
ทันใดนั้นหลวงตาเจ้าอาวาสท่านก็ล้มลงชักกับพื้นด้วยอำนาจกรรมที่กล่าวปรามาสพระธรรมและพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

ฝ่ายพระลูกวัดก็พากันมาเขย่าตัวถามว่าเป็นอะไรไป ท่านจึงรู้สึกตัวขึ้นและกล่าวขอขมาหลวงปู่เสาร์ทันที และแต่นั้นมาท่านก็ทำตามหลวงปู่เสาร์มาจนตลอดชีวิต

"..ครูบาอาจารย์บางรูปท่านสอนลูกศิษย์ว่าหากไปฉันในวัดที่เขาไม่ทำกัปปิยะก่อน
ก็ควรเลี่ยงไม่ฉันพืชผลไม้นั้นและไม่ควรไปพูดตำหนิเขาด้วย แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็ให้ฉันแต่เนื้อ ระวังอย่าเคี้ยวเมล็ดจนแตก.."







" ความมหัศจรรย์ต่างๆ ที่มนุษย์เราสร้างขึ้นมาผลิตขึ้นมา ก็ยังไม่มหัศจรรย์เท่ากับ มหัศจรรย์ของสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบ นั่นก็คือการสู่ทางดับทุกข์ ทางสู่การสิ้นสุดของการเกิดแก่เจ็บตาย ของการเวียนว่ายตายเกิด ในภพต่างๆ ที่เป็นความทุกข์ทั้งนั้น
.
เพราะว่าไม่ว่าจะไปเกิดในภพไหนก็จะต้องมีวันตาย มีวันเราต้องกลับมาเกิดใหม่ เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เวลามาเกิดก็มาค้นมาหาสิ่งแปลกๆ สิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ เช่นสมัยนี้เราก็ค้นพบระบบการสื่อสารกัน การสื่อสารแบบไร้สาย สามารถติดต่อกันได้ทุกแห่งทุกหนทุกเวลา แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ มีแต่สิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบเท่านั้น ที่จะทำให้พวกเราพ้นทุกข์กันได้ ไม่ต้องกลับมาเกิดมาแก่มาเจ็บมาตายกันอยู่เรื่อยๆ อย่างที่พวกเรากำลังเป็นกันอยู่ในขณะนี้ "
.
--- โอวาทธรรม พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวราราม อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี





..."ความอยาก"
ที่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
มันก็จะทำให้..
ใจหิวมากขึ้นไปเรื่อยๆ
โหยมากขึ้นไปเรื่อยๆ
ทุกข์มากขึ้นไปเรื่อยๆ
ใจแบบนี้ก็เป็น..เปรต
....................................
.
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะบนเขา 16/7/2556
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี






...แก้โรคของใจ...

..ศีลก็เป็นยา สมาธิก็เป็นยา ปัญญาก็เป็นยาอย่างหนึ่ง สำหรับจะมาแก้โรคของใจ ถ้าหากขาดอันนี้แล้ว หรืออันนี้ไม่พิเศษแล้ว แก้ไขไม่ได้หรอก..

..หลวงปู่ศรี มหาวีโร..





หลวงปู่สอนคนหลายใจ (กรรมฐานเป็ด)

ด้วยเรื่องการปฏิบัติธรรมของเมืองไทยมีอยู่หลายสำนัก หลายวัด ทำให้ผู้คนเริ่มสับสนไม่รู้ว่าควร ปฏิบัติตามแนวทางใด สำนักใดจึงจะถูกต้อง วันนี้ก็เช่นกัน หลังฉันเช้าเสร็จก็มีโยมเข้ามากราบและเรียนถามปัญหาคาใจกับหลวงปู่

โยม ; หลวงปู่เจ้าขา โยมเป็นคนชอบปฏิบัติธรรม ชอบกราบชอบไหว้ครูบาอาจารย์ เจ้าค่ะ

หลวงปู่ ; อนุโมทนานะคุณนะ

โยม ; โยมไปปฏิบัติมาหลายสำนัก แต่งงที่ยังไม่ก้าวหน้ามาหลังเลยเจ้าค่ะ เวลาภาวนาพุทโธ บางที่พอง-ยุบก็เข้ามาแทรก ครั้นพอเอาสติมาจับพอง-ยุบ สัมมาอรหังก็โผล่มา ไม่รู้โยมจะทำอย่างไร จับต้นชนปลายไม่ถูกแล้ว ไม่ทราบว่าสายไหนดี สายไหนไม่ดีเจ้าค่ะ

หลวงปู่ ; เหอะ เหอะ คุณรู้จักเป็ดไหม

โยม ; รู้จักเจ้าค่ะ ทำไมเจ้าค่ะ

หลวงปู่ ; เออ เป็ดหน่ะ มันบินเป็น ว่ายน้ำเป็น เดินก็เป็น มุดน้ำก็เป็น แต่มันเป็นแบบไม่เก่ง ไม่สวย เดินมันก็เดินไม่สวยเหมือนไก่ ว่ายน้ำมันก็ว่ายเป็นแต่ไม่เก่งเหมือนปลา บินมันก็บินเป็นแต่ไม่เก่งเหมือนนก สำนักปฏิบัติธรรมมีมากมายหลายหลาก ต่างแบบก็ต่างทำ ต่างวิธีการ ล้วนแต่ทำตามความถนัด ทำตามจริตของตนเอง ของครูบาอาจารย์ แต่ทุกสำนักทุกสายก็รวมลงที่ความสงบ รวมลงที่ปัญญา รวมลงที่การรู้ธรรมเห็นธรรม ตามแบบตามแผนที่ครูบาอาจารย์ท่านสั่งท่านสอน ถนนทุกสายล้วนมุ่งสู่เมืองหลวง หัวใจทุกดวงก็ล้วนมุ่งสู่พระนิพพาน ให้เดินถนนสายเดียวนะ จะเข้ากรุงเทพ ออกไปจากการสินธุ์ ไปถึงขอนแก่นก็เปลี่ยนใจวิ่งไปทางเมืองเลย ไปถึงเมืองเลยก็วิ่งเข้าพิษณุโลก ออกจากพิษณุโลกก็เปลี่ยนใจไปกาญจนบุรี แล้วเมื่อไหร่จะถึงกรุงเทพ ทั้งๆที่ถนนทุกสายก็มุ่งสู่กรุงเทพ ก็เพราะเปลี่ยนใจ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา หาถนนเส้นนั้น เปลี่ยนถนนเส้นนี้ ก็เนิ่นช้าเท่านั้น คุณเอ้ย ถ้ากรรมฐานยังจัดเข้าใน สมถะ ๔๐ วิปัสนา ๒ อย่างอยู่ กรรมฐานนั้น การปฏิบัติของสำนักนั้นก็ถือว่าถูกต้อง อย่าเลือกว่าสายใดแบบไหน อย่ามีสาย อย่าไปสังกัดสายนั้นสายนี้ ให้มันเป็นอัตตา ให้มันมีตัวมีตน เราปฏิบัติเพื่อทิ้งตัวทิ้งตน มีสายก็มีตน มีตนก็มีเรา มีเราก็มีพวกเขาพวกเรา เห็นว่าเราดีกว่าเขา เขาเลวกว่าเรา ถ้าคุณภาวนาพุทโธแล้วเที่ยวไปเหยียดหยาม พองหนอ - ยุบหนอ ไปเหยียดหยามสัมมาอรหัง ไปเหยียดหยามนะมะพะธะ ว่าเป็นของเลวเป็นของไม่ดี ในเมื่อคุณยังไม่เคยปฏิบัติคุณรู้หรือว่าไม่ดี คุณไม่รู้จักดี ไม่รู้อย่างลึกซึ้ง ไปยังไม่ถึงที่สุด จะเป็นการไม่ให้ความเป็นธรรมแก่สำนักเหล่านั้นหรือ ธรรมมะของพระบรมครูตรัสไว้มากมาย ตรัสให้คนต่างคน ต่างโอกาสฟัง คุณไม่ต้องทำตามเสียทุกอย่างนี่ เลือกเอาที่ตรงใจเรา ตรงจริตเรา เหมาะสมกับเราแล้วปฏิบัติ เดินทางเดียวอย่าเดินหลายทาง มันช้า เข้าใจนะ

โยม ; เจ้าค่ะ แต่โยมจะแก้อาการที่พบอยู่อย่างไรเจ้าคะ

หลวงปู่ ; ตั้งผู้รู้ขึ้นนะ ตั้งสตินะ รู้กับเดี๋ยวนี้ รู้กับขณะนี้ แล้วดูความเปลี่ยนแปลงในใจ ดูคำบริกรรม อย่าทิ้งบริกรรม ตั้งสติดูคำบริกรรม เมื่อมันขาดสติไปหาคำอื่นๆตั้งสติแล้วดึงกลับมา เลิกเป็นกรรมฐานเป็ด เลิกเป็นกรรมลอย ลอยไปหาคำนั้น ลอยไปหาวิธีนี้ ให้มั่นใจในเส้นทางที่ครูบาอาจารย์นำพาพวกเราเดิน เข้าใจนะ อย่าเป็นกรรมฐานเป็ดนะ

โอวาทธรรม หลวงปู่หา สุภโร








“ประโยชน์ที่สำคัญที่สุด
ของการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
แล้วได้พบพระพุทธศาสนา
ได้ยินได้ฟังแล้ว ก็คือ การปฏิบัติตาม
ถ้าเราไม่ปฏิบัติ มันก็ไม่มีประโยชน์”

-:- ครูบาเจ้าพรหมา พรหมจักโก -:-








“เครื่องดองของมัวเมา
ยาเสพติดทุกประเภท
การพนันขันต่อทุกอย่าง
นั่นคือเพชฌฆาตสังหารทรัพย์สมบัติ
และมนุษย์ ให้เสียไปโดยถ่ายเดียว

อย่าพากันสนิท
เข้าใกล้ชิดติดพันกับมัน เป็นอันขาด
ไม่งั้นจะตายทั้งเป็น เหม็นทั้งที่ยังไม่ตาย”

-:-หลวงปู่ขาว อนาลโย-:-








"จุดมุ่งหมายของการสวดมนต์ คือ
ทำใจของเรา ให้มีที่อยู่อาศัย
คนเราที่ทุกข์ใจไม่หยุดยั้ง
เพราะใจไม่มีที่พึ่ง

ถ้ามีบทสวดมนต์เป็นที่พึ่ง
เวลาทุกข์ มันจะไปสวดมนต์ของมันเอง
แล้วมันก็ลืมทุกข์ ลืมยากไปได้"

-:-หลวงพ่อพุธ ฐานิโย-:-








ไม่ควรประมาท
ไม่ควรเพลิดเพลินนัก
ต่อความสุขในโลกอันมีประมาณน้อย
ทางที่จักเดินต่อไปในสังสารวัฏยืดยาวคราวไกลนัก
ควรจะเร่งรีบบำเพ็ญบารมีธรรมให้เต็มเสียในชาตินี้
ตัดทางข้างหน้าอันเป็นทางกันดารให้สั้นเข้ามา.
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
(จันทร์ สิริจนฺโท)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 25 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร