ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=54109 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 5 |
เจ้าของ: | asoka [ 27 มิ.ย. 2017, 05:50 ] |
หัวข้อกระทู้: | การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ |
พุทธโอวาทหรือสรุปคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ 3 ข้อแรกคือ 1.สัพพปาปัสสะ อะกรณัง......การไม่ทำบาปทั้งปวง=ละชั่ว 2.กุสลัสสูปสัมปทา....การทำกุศลให้ถึงพร้อม=ทำดี 3.สะจิตตะปริโยทปะนัง.....การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ 2 ข้อแรกนั้นคล้ายกันกับคำสอนในศาสนาอื่นๆ ต่างกันแค่รายละเอียดในบางข้อ แต่ข้อที่ 3 การชำระจิตของตนให้ขาวรอบนั้น เป็นความแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากศาสนาและลัทธิคำสอนอื่นๆ จนถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของพุทธศาสนา เป็นสัญญลักษณ์ที่สำคัญของชาวพุทธ เป็นเครื่องชี้วัดแลรับรองว่าใครเป็นพุทธแท้หรือพุทธเทียมได้เลยทีเดียว การจะชำระจิตของตนให้ขาวรอบได้นั้นต้องใช้ วิปัสสนาภาวนา อันเป็นวิชาที่ค้นพบโดยพระพุทธเจ้า วิปัสสนาภาวนา....สติปัฏฐาน 4.....มรรค 8 การเจริญโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ และการพอกพูนความรู้ทันปัจจุบันอารมณ์ เป็นอันเดียวกัน คือเพื่อชำระจิตของตนให้ขาวรอบ (มีต่อ) |
เจ้าของ: | asoka [ 28 มิ.ย. 2017, 19:55 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ |
วิปัสสนาภาวนา ช่วยชำระจิตของตนให้ขาวรอบได้อย่างไร? ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่าอะไรที่มาทำให้จิตใจเราสกปรก มืด ดำ สิ่งที่ทำให้จิตใจสกปรก มืด ดำคือ อาสวะทั้ง 4 1.กามาสวะ ความยินดี ยินร้ายต่อผัสสะทั้งปวง 2.ภวาสวะ ความยึดติดในความมีความเป็น 3.ทิฏฐาสวะ ความยึดติดในความเห็น 4.อวิชชาสวะ ความไม่รู้อริยสัจจ อาสวะ=สิ่งหมักดอง เครื่องข้อง ปฏิกูล เครื่องทำให้แปดเปื้อน เศร้าหมอง ขยะ ของจิตใจ วิปัสสนาภาวนา เป็นกระบวนการเข้าไปรู้ ไปสังเกต ปรากฏการณ์ต่างๆของกายและจิต โดยไร้การแทรกแซงจากความเห็นความยึดใดๆ จนปฏิกิริยาหรือปรากฏการณ์ทั้งหลาย หมดเหตุหมดปัจจัย ดับสลายไปเอง ผลพลอยได้จากการรู้และสังเกตกายใจนี้ก็คืออาสวะทั้ง 4 ก็จะสูญสลายเบาบางลงไปทุกทีจนเหลือน้อยและหมดไปเองในที่สุด หลังจากการไปรู้ ไปสังเกตปรากฏการณ์ทุกอย่างทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดแล้ว จะเกิดความรู้จริงรู้ยิ่ง ถึงความจริงของชีวิตหรือขันธ์ 5 รูป นาม กายใจ นี้ว่ามีแต่ความเกิดขึ้นและดับไป เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หาสาระแก่นสารอะไรให้ยึดถือ มิได้ ทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามกำลังแห่งเหตุ ปัจจัยและผล หมุนวนเปลี่ยนไปไม่รู้จบ จนพบว่าเพราะความเห็นผิดยึดผิดเพียงเท่านี้ที่เป็นตัวกระทำ ผลักดันให้ จิตดวงนี้ต้องตกอยู่ในกระแสแห่งความหมุนวน รู้แล้ว สติ ปัญญาก็จะสลัดคืนความเห็นผิดยึดผิด สลายทิ้งอาสวะทั้ง 4 พาจิตสู่ความหลุดพ้น ถึงนิพพานพลัน |
เจ้าของ: | asoka [ 01 ก.ค. 2017, 07:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ |
ขณะที่นั่ง ยืนหรือนอน นิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์อยู่เฉยๆนั้น เหตุ ปัจจัย คือ ผัสสะ กรรม วิบากต่างๆ ที่มีกำลังอยู่ก็จะทำให้เกิดปฏิกิริยาต่างๆขึ้นมาในกายและจิตเป็นอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ จนมารวมลงกลายเป็นอภิชฌาและโทมนัสสัง ที่แปลว่าความยินดียินร้ายซึ่งเป็นเวทนาทางจิตที่จะต่อไปให้เกิด ตัณหา 3 ณ.จุดนี้พระบรมศาสดาได้ทรงแนะนำไว้ให้ "อาตาปี สัมปฌาโน สติมา วิเนยยะ โลเกอภิชฌา โทมนัสสังแปลเป็นไทยได้ว่า ให้มีความเพียรเผากิเลส มีปัญญา มีสติ เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก อาตาปี ความเพียรเผากิเลส จะเป็นตัวหยุดยั้งความยินดียินร้ายไว้ สัมปฌาโน ปัญญา ความรู้ตัวทั่วพร้อม ความเฝ้ารู้เฝ้าสังเกต สภาวะที่ปรากฏ สติมา ความรู้ทันปัจจุบันอารมณ์ ระลึกได้ ไม่ลืมคำสอน จะคอยกำกับจิตมิให้ทำตามอำนาจความยินดียินร้าย ทั้งความเพียรเผากิเลส ทั้งปัญญาทั้งสติ 3 อย่างนี้เมื่อมีกำลังมากก็จะสามารถต้านทานและระงับยับยั้งความยินดียินร้ายไว้ได้ จนหมดกำลังแห่งความยินดียินร้ายแล้วดับไปเอง ขั้นตอนนี้สำคัญมากเพราะจะเกิดผลตามมาอย่างมากมาย 1.ชดใช้วิบากกรรมเก่า 2.ระงับการเกิดกรรมใหม่ 3.ส่งใจสู่อุเบกขา 4.ชำระความเปื้อนออกจากใจ หากเอาความยินดียินร้ายออกเสียได้ทันจนครบทุกผัสสะอารมณ์ จิตจะถูกชำระและขาวยิ่งขึ้นๆ จนขาวรอบ บริสุทธิ์ หมดจด ไร้มลทิน ในที่สุด ถ้าคนผู้นั้นไม่ละความเพียรไปเสียก่อน นี่คือประเด็นสำคัญของวิปัสสนาภาวนาที่ซ่อนไว้ลึกลงไปอีกชั้นหนึ่งจากบัญญัติภาษาที่บอกกล่าวไว้ ใครเข้าใจและเข้าถึงความจริงที่ว่านี้ได้แล้วก็จะได้หัวใจของวิปัสสนาภาวนาไปใช้ชำระกายใจตน ตลอดชีวิต |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 01 ก.ค. 2017, 20:40 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ |
asoka เขียน: :b38: หากเอาความยินดียินร้ายออกเสียได้ทันจนครบทุกผัสสะอารมณ์ จิตจะถูกชำระและขาวยิ่งขึ้นๆ จนขาวรอบ บริสุทธิ์ หมดจด ไร้มลทิน ในที่สุด ถ้าคนผู้นั้นไม่ละความเพียรไปเสียก่อน นี่คือประเด็นสำคัญของวิปัสสนาภาวนาที่ซ่อนไว้ลึกลงไปอีกชั้นหนึ่งจากบัญญัติภาษาที่บอกกล่าวไว้ ใครเข้าใจและเข้าถึงความจริงที่ว่านี้ได้แล้วก็จะได้หัวใจของวิปัสสนาภาวนาไปใช้ชำระกายใจตน ตลอดชีวิต ฝันกลางวัน....ฝันถึงดอกไม้หอม น่านอน...จนไม่อยากจะตื่น.. |
เจ้าของ: | asoka [ 02 ก.ค. 2017, 05:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ |
ตื่นจากฝันหรือยังล่ะคุณกบ ? ชีวิตของคนที่คลุกเคล้าอยู่แต่หลักทฤษฎี ไม่มีการปฏิบัติจริง พิสูจน์หลักทฤษฎีให้เห็นความจริงไปด้วยนั้น ดุจคนที่ตกอยู่ในห้วงความคิดฝันไม่ยอมตื่น ....ยิ่งรู้ทฤษฎี มากและลึกซึ้งเท่าไหร่ก็ยิ่งฝันหวานฝันเปียกไปมากเท่านั้น ชีวิตอยู่ห่างจากปัจจุบันไปมากยิ่งขึ้นทุกที มีสติดีแต่สัมปชัญญะขาดอยู่เป็นนิจ ชีวิตดุจเลื่อนลอยไปตามสายลมและปุยเมฆ หาที่ยึดเหนี่ยวเกาะกุมเป็นหลักไม่ได้ จึงต้องหลงล่องลอยไปตามวิบาก กรรมและความหมุนวน ไม่พ้นเกิด แก่ เจ็บ ตายไปได้สักที จงตื่นจากฝันมาขยันหมั่น "นิ่งรู้นิ่งสังเกตกายใจ ณ ปัจจุบันขณะ ปัจจุบันอารมณ์"ให้บ่อย ให้มากยิ่งขึ้นจนเป็นนิสัย อุปนิสัย เพื่อทำลายโมหะ ชำระกายชำระใจให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ด้วยวิปัสสนาภาวนา ตามวิชาที่พระพุทธเจ้าทรงสอน อย่าได้นิ่งนอนใจ อย่าได้คะนองลำพองไปด้วยความคิดนึก รู้มากในหลักทฤษฎีเพราะ....."คิดบ่ทำ บ่ได้เสร็จสิ้นดังใจ" |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 02 ก.ค. 2017, 05:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ |
asoka เขียน: onion ตื่นจากฝันหรือยังล่ะคุณกบ ? ชีวิตของคนที่คลุกเคล้าอยู่แต่หลักทฤษฎี ไม่มีการปฏิบัติจริง พิสูจน์หลักทฤษฎีให้เห็นความจริงไปด้วยนั้น ดุจคนที่ตกอยู่ในห้วงความคิดฝันไม่ยอมตื่น ....ยิ่งรู้ทฤษฎี มากและลึกซึ้งเท่าไหร่ก็ยิ่งฝันหวานฝันเปียกไปมากเท่านั้น ชีวิตอยู่ห่างจากปัจจุบันไปมากยิ่งขึ้นทุกที มีสติดีแต่สัมปชัญญะขาดอยู่เป็นนิจ ชีวิตดุจเลื่อนลอยไปตามสายลมและปุยเมฆ หาที่ยึดเหนี่ยวเกาะกุมเป็นหลักไม่ได้ จึงต้องหลงล่องลอยไปตามวิบาก กรรมและความหมุนวน ไม่พ้นเกิด แก่ เจ็บ ตายไปได้สักที จงตื่นจากฝันมาขยันหมั่น "นิ่งรู้นิ่งสังเกตกายใจ ณ ปัจจุบันขณะ ปัจจุบันอารมณ์"ให้บ่อย ให้มากยิ่งขึ้นจนเป็นนิสัย อุปนิสัย เพื่อทำลายโมหะ ชำระกายชำระใจให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ด้วยวิปัสสนาภาวนา ตามวิชาที่พระพุทธเจ้าทรงสอน อย่าได้นิ่งนอนใจ อย่าได้คะนองลำพองไปด้วยความคิดนึก รู้มากในหลักทฤษฎีเพราะ....."คิดบ่ทำ บ่ได้เสร็จสิ้นดังใจ" ฝันซ้อนฝัน... ฝันว่าตื่นจากฝันแล้ว.. อิอิ.. |
เจ้าของ: | asoka [ 08 ก.ค. 2017, 06:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ |
มิเตอร์ ช่วยวัดระดับสมาธิ ความละเอียด ความเฉียบแหลมคมกล้าและความสะอาดขาวรอบของจิต 1.ลมหายใจ 2.หัวใจเต้น ....อาการเต้นของหัวใจ 3.ชีพจร....อาการเต้นตอดของชีพจร 4.กระแสสั่นสะเทือนในร่างกาย 5.เวลาที่สามารถนิ่งรู้นิ่งสังเกตสภาวธรรมในกายใจ 6.ความโกรธ....โลภ หลง มิเตอร์หรือเครื่องมือทั้ง 6 อย่างนี้สามารถช่วยชี้วัด ระดับสมาธิ ความละเอียดความเฉียบแหลมคมกล้า และความสะอาดขาวรอบของจิตได้ เป็นผลจากการวิเคราะห์วิจัยธรรมของนักวิปัสสนาภาวนา นำมาเล่าสู่กันฟังเป็นธรรมทัศนะ และลองเอาไปใช้กันดูนะครับ สติ สมาธิ ปัญญาของปุถุชนคนชาวบ้านธรรมดาทั่วไปจะมีระดับความแตกต่างกันเห็นได้ชัดวัดได้ง่ายจากเครื่องมือเหล่านี้ 1.ลมหายใจ....ใครสามารถกำหนดจิตให้รู้ลมหายใจเข้าออก ของตนเองได้เร็วและทรงความรู้อยู่กับลมหายใจได้นานมากเพียงไรก็แสดงว่าสติ สมาธิ ปัญญามีความละเอียด เฉียบแหลม คมกล้า และมีความสะอาดของจิตมากขึ้นเพียงนั้น นับเป็นระดับที่ 1 2.หัวใจเต้น....ใครสามารถกำหนดจิตให้รู้อาการเต้นตอดของหัวใจของตนเองได้เร็วและทรงความรู้อยู่กับหัวใจเต้นได้นานมากเพียงไรก็แสดงว่าสติ สมาธิ ปัญญามีความละเอียด เฉียบแหลม คมกล้า และมีความสะอาดของจิตมากขึ้นเพียงนั้น นับเป็นระดับที่ 2 3.ชีพจร....ใครสามารถกำหนดจิตให้รู้ชีพจร ของตนเองได้เร็วและทรงความรู้อยู่กับชีพจรได้นานมากเพียงไรก็แสดงว่าสติ สมาธิ ปัญญามีความละเอียด เฉียบแหลม คมกล้า และมีความสะอาดของจิตมากขึ้นเพียงนั้น นับเป็นระดับที่ 3 4.กระแสสั่นสะเทือนในร่างกาย....ใครสามารถกำหนดจิตให้รู้กระแสสั่นสะเทือนในร่างกายของตนเองได้เร็วและทรงความรู้อยู่กับกระแสสั่นสะเทือนในร่างกายได้นานมากเพียงไรก็แสดงว่าสติ สมาธิ ปัญญามีความละเอียด เฉียบแหลม คมกล้า และมีความสะอาดของจิตมากขึ้นเพียงนั้น นับเป็นระดับที่ 4 5.เวลาที่สามารถนิ่งรู้นิ่งสังเกตสภาวธรรมในกายใจ... ใคร ท่านใดสามารถสำรวมกายใจมานิ่งรู้นิ่งสังเกตสภาวธรรม ที่เกิดขึ้นในกายใจได้นานมากเท่าไร ก็แสดงว่าสติ สมาธิ ปัญญามีระดับความละเอียด เฉียบแหลม คมกล้า ลึกซึ้งและสะมีจิตสะอาดหมดจดมากขึ้นเพียงนั้น...เช่น 1 - 2 - 3 - 4 ชั่วโมงหรือนานกว่านั้น 6.ความโกรธ.....เอาความโกธก่อนเพราะเห็นง่าย ใครท่านใดที่กระทบผัสสะ เวทนา อารมณ์ ความรู้สึกต่างๆแล้ว ความขุ่นมัว(ปฏิฆะ)หรือความโกรธเกิดขึ้นในจิตลดน้อยลงมากเพียงใด ก็แสดงได้ถึงระดับของสะอาด ขาวรอบของจิตตนได้มากเพียงนั้น ความโลภ ความหลงก็เช่นกันแต่จะเห็นยากและไม่ชัด ไม่ไวเท่าความโกรธ |
เจ้าของ: | asoka [ 09 ก.ค. 2017, 07:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ |
อุปมาเปรียบเทียบระดับการชำระจิตของบุคคลระดับต่างๆ ปุถุชน จิตแปดเปื้อน 100% กัลยาชน เตรียมชาวพุทธ ชาวพุทธ เป็นผู้มีกาย วาจา ความคิดนึก สะอาด จุลโสดาบันบุคคล จิตขาวไปแล้วเกือบถึง 1% โสดาบันบุคคล จิตขาวตั้งแต่ 1 - 25% สกิทาคามีบุคคล จิตขาวตั้งแต่ 26 - 50% อนาคามีบุคคล จิตขาวตั้งแต่ 51 - 75% อรหันตบุคคล จิตขาวรอบ 76 - 100% คงพอทำให้นึกภาพ จินตนาการกันออกได้ว่า เมื่อเจริญการชำระจิตของตนให้ขาวรอบแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นมาบ้างนะครับ |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 09 ก.ค. 2017, 09:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ |
http://larndham.org/index.php?/topic/44 ... ntry818618 อ้างคำพูด: ของจริง...มีอย่างเดียว.... หากจะเอาสมมุติบัญญัติที่เราพบเจอ..ที่เราคลุกคลีอยู่..ไปเปรียบเทียบเพื่อให้ผู้สมมุติเข้าใจได้...ก็คือ...สะอาด..สว่าง...(เพื่อแสดงให้เห็นว่า..มันไม่มีอะไรเจือปน) ของจริง...มีหนึ่งเดียว...ไม่ปนเปื้อน..ไม่เปลี่ยนแปลง...ไม่แปรผัน...ไม่มีสอง...มีแค่หนึ่ง...เสมือนอากาศอันบริสุทธิ..แม้จะมีกลุ่มควันหรือเมฆฝนลอยเข้ามาในที่อากาศบริสุทธิ์...อากาศบริสุทธิ์ก็ยังอยู่ ณ. ที่นั้น..ไม่เปลี่ยนแปลง..สิ่งที่มีเพิ่ม ณ. ที่นั้น..คือควันหรือเมฆ..ก็เป็นแต่เพียง..การแทรกอยู่เท่านั้น...มิได้ทำให้อากาศที่บริสุทธิ์เปลี่ยนไปเป็นไม่บริสุทธิ์ หน้าที่ของเรา...คือ...เห็นให้จริง..ว่า..สิ่งที่แทรกอยู่...เป็นอย่างไร...เมื่อเห็นสิ่งที่แทรกอยู่ได้..ก็จะเห็นความจริงอันบริสุทธิ์อัตโนมัต.. สิ่งที่แทรกอยู่...เป็นของไม่จริง.... ของไม่จริง..มีลักษณะ..ไม่เที่ยง...เป็นทุกข์...ไม่มีตัวตนที่แท้จริง..ปรากฏขึ้นด้วยเหตุปัจจัย ไอ้ที่เราหลง...ก็เพราะไปยึดเอาของไม่จริงเข้า.. |
เจ้าของ: | เช่นนั้น [ 09 ก.ค. 2017, 14:14 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ |
อ่านๆ มานาน ก็ไม่เท่าไหร่ จนมา เจอ "จุลโสดาบัน" V อโศกะ บุคคลบัญญัติ 4 คู่ 8 บุรุษ คงต้องเปลี่ยน ไหม? เป็น 5 คู่ 10 บุรุษ มีจุลโสดาปฏิมรรค จุลโสดาปฏิผล ????? |
เจ้าของ: | ธรรมมา [ 09 ก.ค. 2017, 14:47 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ |
เช่นนั้น เขียน: อ่านๆ มานาน ก็ไม่เท่าไหร่ จนมา เจอ "จุลโสดาบัน" V อโศกะ บุคคลบัญญัติ 4 คู่ 8 บุรุษ คงต้องเปลี่ยน ไหม? เป็น 5 คู่ 10 บุรุษ มีจุลโสดาปฏิมรรค จุลโสดาปฏิผล ????? คำสอนมีหลายนัยหลายสูตร คำว่าจูฬโสดามีกล่าวในวิสุทธิ 7 ครับ กังขาวิตรณวิสุทธิ ตรงนี้แหละที่กล่าวว่า จูฬโสดา เป็นชื่อเรียกกันว่า โสดาน้อยๆ หมายถึงผู้ที่ข้ามพ้น ความสงสัยได้แล้ว แต่ยังไม่ถึงมรรคามรรคญาณวิสุทธิ ที่เรียกว่าโสดาบันน้อยๆ นั้น ท่านนั้นมีแนวโน้มเอนเอียงไป สู่พระอริยะอย่างแน่นอนโดยจะไม่หวนคืนกลับมาอีก ฉะนั้นจึงเรียกได้ว่าโสดาบันน้อยๆ คำว่า 5 คู่ 10 บุรุษนั้นไม่มีอยู่ในคำสอนครับ จึงจำเป็นต้องอ่านในหลายๆสูตรจึงจะเข้าใจได้ดี เพื่อป้องกันความเห็นผิดที่จะเกิดขึ้นกับตนด้วย |
เจ้าของ: | เช่นนั้น [ 09 ก.ค. 2017, 14:57 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ |
asoka เขียน: :b38: มิเตอร์ ช่วยวัดระดับสมาธิ ความละเอียด ความเฉียบแหลมคมกล้าและความสะอาดขาวรอบของจิต 1.ลมหายใจ 2.หัวใจเต้น ....อาการเต้นของหัวใจ 3.ชีพจร....อาการเต้นตอดของชีพจร 4.กระแสสั่นสะเทือนในร่างกาย 5.เวลาที่สามารถนิ่งรู้นิ่งสังเกตสภาวธรรมในกายใจ 6.ความโกรธ....โลภ หลง มิเตอร์หรือเครื่องมือทั้ง 6 อย่างนี้สามารถช่วยชี้วัด ระดับสมาธิ ความละเอียดความเฉียบแหลมคมกล้า และความสะอาดขาวรอบของจิตได้ เป็นผลจากการวิเคราะห์วิจัยธรรมของนักวิปัสสนาภาวนา นำมาเล่าสู่กันฟังเป็นธรรมทัศนะ และลองเอาไปใช้กันดูนะครับ สติ สมาธิ ปัญญาของปุถุชนคนชาวบ้านธรรมดาทั่วไปจะมีระดับความแตกต่างกันเห็นได้ชัดวัดได้ง่ายจากเครื่องมือเหล่านี้ 1.ลมหายใจ....ใครสามารถกำหนดจิตให้รู้ลมหายใจเข้าออก ของตนเองได้เร็วและทรงความรู้อยู่กับลมหายใจได้นานมากเพียงไรก็แสดงว่าสติ สมาธิ ปัญญามีความละเอียด เฉียบแหลม คมกล้า และมีความสะอาดของจิตมากขึ้นเพียงนั้น นับเป็นระดับที่ 1 2.หัวใจเต้น....ใครสามารถกำหนดจิตให้รู้อาการเต้นตอดของหัวใจของตนเองได้เร็วและทรงความรู้อยู่กับหัวใจเต้นได้นานมากเพียงไรก็แสดงว่าสติ สมาธิ ปัญญามีความละเอียด เฉียบแหลม คมกล้า และมีความสะอาดของจิตมากขึ้นเพียงนั้น นับเป็นระดับที่ 2 3.ชีพจร....ใครสามารถกำหนดจิตให้รู้ชีพจร ของตนเองได้เร็วและทรงความรู้อยู่กับชีพจรได้นานมากเพียงไรก็แสดงว่าสติ สมาธิ ปัญญามีความละเอียด เฉียบแหลม คมกล้า และมีความสะอาดของจิตมากขึ้นเพียงนั้น นับเป็นระดับที่ 3 4.กระแสสั่นสะเทือนในร่างกาย....ใครสามารถกำหนดจิตให้รู้กระแสสั่นสะเทือนในร่างกายของตนเองได้เร็วและทรงความรู้อยู่กับกระแสสั่นสะเทือนในร่างกายได้นานมากเพียงไรก็แสดงว่าสติ สมาธิ ปัญญามีความละเอียด เฉียบแหลม คมกล้า และมีความสะอาดของจิตมากขึ้นเพียงนั้น นับเป็นระดับที่ 4 5.เวลาที่สามารถนิ่งรู้นิ่งสังเกตสภาวธรรมในกายใจ... ใคร ท่านใดสามารถสำรวมกายใจมานิ่งรู้นิ่งสังเกตสภาวธรรม ที่เกิดขึ้นในกายใจได้นานมากเท่าไร ก็แสดงว่าสติ สมาธิ ปัญญามีระดับความละเอียด เฉียบแหลม คมกล้า ลึกซึ้งและสะมีจิตสะอาดหมดจดมากขึ้นเพียงนั้น...เช่น 1 - 2 - 3 - 4 ชั่วโมงหรือนานกว่านั้น 6.ความโกรธ.....เอาความโกธก่อนเพราะเห็นง่าย ใครท่านใดที่กระทบผัสสะ เวทนา อารมณ์ ความรู้สึกต่างๆแล้ว ความขุ่นมัว(ปฏิฆะ)หรือความโกรธเกิดขึ้นในจิตลดน้อยลงมากเพียงใด ก็แสดงได้ถึงระดับของสะอาด ขาวรอบของจิตตนได้มากเพียงนั้น ความโลภ ความหลงก็เช่นกันแต่จะเห็นยากและไม่ชัด ไม่ไวเท่าความโกรธ ทำเจตนา ฟุ้งไปในรูปสัญญาต่างๆนาๆ จิตไม่เป็นสมาธิตั้งมั่นในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง แต่ไหลเลื่อนไปสู่ รูป ทั้งหลาย การทำสมาธิเช่นนี้ เป็นสมาธิเลื่อนลอย ขยับไปมา ในกายสัมผัส ต่างๆ นับเป็นอันตรายต่อกัมมัฏฐาน การชำราะจิตให้ขาวรอบ ในรูปสัญญานั้นจิตต้องตั้งมั่นแนบแน่นในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง แล้วออกจากอารมณ์นั้นมาทำปัจเวก จากนั้นจึงเข้าสู่รูปสัญญา ในระดับต่อๆไป จะทำอานาปานสติ ก็เลือกเอา จะดูหัวใจเต้น ก็เลือกเอา จะดู.... ใดๆ ก็เลือกสักอย่างครับ อย่าสะเปะสะปะจนสับสนไปหมด เข้าใจนะครับ อโสกะ |
เจ้าของ: | เช่นนั้น [ 09 ก.ค. 2017, 16:35 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ |
ธรรมมา เขียน: เช่นนั้น เขียน: อ่านๆ มานาน ก็ไม่เท่าไหร่ จนมา เจอ "จุลโสดาบัน" V อโศกะ บุคคลบัญญัติ 4 คู่ 8 บุรุษ คงต้องเปลี่ยน ไหม? เป็น 5 คู่ 10 บุรุษ มีจุลโสดาปฏิมรรค จุลโสดาปฏิผล ????? คำสอนมีหลายนัยหลายสูตร คำว่าจูฬโสดามีกล่าวในวิสุทธิ 7 ครับ กังขาวิตรณวิสุทธิ ตรงนี้แหละที่กล่าวว่า จูฬโสดา เป็นชื่อเรียกกันว่า โสดาน้อยๆ หมายถึงผู้ที่ข้ามพ้น ความสงสัยได้แล้ว แต่ยังไม่ถึงมรรคามรรคญาณวิสุทธิ ที่เรียกว่าโสดาบันน้อยๆ นั้น ท่านนั้นมีแนวโน้มเอนเอียงไป สู่พระอริยะอย่างแน่นอนโดยจะไม่หวนคืนกลับมาอีก ฉะนั้นจึงเรียกได้ว่าโสดาบันน้อยๆ คำว่า 5 คู่ 10 บุรุษนั้นไม่มีอยู่ในคำสอนครับ จึงจำเป็นต้องอ่านในหลายๆสูตรจึงจะเข้าใจได้ดี เพื่อป้องกันความเห็นผิดที่จะเกิดขึ้นกับตนด้วย โสดาบันบุคคล เป็นผู้ข้ามพ้นความสงสัยได้แล้วครับ เพราะละวิจิกิจฉา ซี่งเป็นสังโยชน์ได้ กังขาวิตรณวิสุทธิ ในส่วนของความสงสัยในอริยสัจจ์ นั้นละได้ในชั้นโสดาปฏิผลครับ ไม่มีหรอกครับ โสดาบันครึ่งๆ กลางๆ เรียกว่า จูฬโสดาบัน หรือโสดาบันน้อยๆ ครับ ทำความเข้าใจใหม่นะครับ ผู้ที่มีเพียงแนวโน้มเอียงไปสู่อริยะมรรคชั้นแรก ก็เพียงโคตรภู ครับ สาวกสังโฆ มีเพียง 4 คู่ 8 บุรุษ ครับ ไม่มี จูฬโสดาปฏิมรรค จูฬโสดาปฏิผลครับ มิเช่นนั้น จะกลายเป็น 5 คู่ 10 บุรุษไปครับ |
เจ้าของ: | เช่นนั้น [ 09 ก.ค. 2017, 18:29 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ |
ความวุ่นวายในการ บัญญัติคำของ อาจารย์ซึ่งบัญญ้ติคำโดยไม่จำเป็นขึ้นมา นอกจาก จะบัญญัติคำ ว่า จุลโสดาบัน (จูฬโสดาบัน) ขึ้นมา ยังบัญญัติ คำว่า มหาโสดาบัน อีกด้วย ต้องทราบไว้ให้พึงดีว่า สาวกสังโฆ มีเพียง 4 คู่ 8 บุรุษ เท่านั้น การบัญญัติ คู่บุคคลอื่นใดเพิ่มขึ้น เป็นการบัญญัติโดยอรรถกถาจารย์ ไม่ปรากฏเป็นพุทธวจนะครับ |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 09 ก.ค. 2017, 21:45 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ |
ยังไม่ถึงอริยะบุคคล...ความกังขายังไม่สิ้นไปหรอก..เป็นแต่เชื่อเท่านั้น...อิอิ.. |
หน้า 1 จากทั้งหมด 5 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |