วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 19:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2017, 05:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"ผู้รู้ ผู้คิด"

ผู้ที่ไม่ตายไปกับร่างกายก็คือเรานี่แหละ เพราะเราออกมาจากผู้รู้ผู้คิด ผู้คิดนี่คิด คิดให้มีเราขึ้นมาจึงมีเรา ถ้าหยุดคิด เรามันก็หายไป เวลานั่งสมาธิเวลาใจสงบ ใจไม่คิดตัวเราก็หายไป เหลือแต่ตัวรู้ ตัวคิดหยุดคิด ก็เลยเหลือแต่ตัวรู้ เราก็เลยเห็นว่าตัวเรานี้เกิดมาจากตัวคิดนี้เอง พอคิดว่าเป็นเรา ก็มีเราขึ้นมา พอคิดว่าร่างกายเป็นเรา ก็เชื่อว่าร่างกายเป็นเราขึ้นมา พอคิดว่าเด็กคนนี้เป็นลูกเรา ก็เชื่อว่าเป็นลูกเราขึ้นมา แล้วถ้าเกิดโรงพยาบาลเขามาบอกว่า เขาสลับกันจะทำอย่างไร เรายังเชื่อหรือเปล่าว่าเป็นลูกเราอยู่ ถ้าเราไปคลอดลูกที่โรงพยาบาล แล้วพอดีพยาบาลเขาผิดพลาด เขาสลับเอาเด็กไปนอนผิดเตียงนี้ เอาลูกคนอื่นมานอนเตียงเราเตียงลูกเรา เอาลูกเราไปนอนเตียงลูกคนอื่น แล้วเขาก็มาบอกว่า นี่เป็นลูกของเรา ก็เชื่อใช่ไหม เพราะเด็กมันเหมือนกัน จะไปดูออกหรือว่าเด็กคนนี้กับเด็กคนนั้นมันต่างกันอย่างไร ถ้าเป็นเพศเดียวกันมันก็ดูไม่ออกหรอก ก็เลยเชื่อว่าเป็นลูกของเรา เลี้ยงกันมาก็รักเป็นเหมือนลูกเรา เพราะเราคิดว่ามันเป็นลูกของเรา มันก็เลยเชื่อ แล้วพอโรงพยาบาลเขามาทราบภายหลัง เขาก็มาบอกเราว่า ลูกคนนี้ไม่ใช่ลูกของคุณ คุณจะทำยังไง คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อ คุณจะเปลี่ยนใจได้ไหม เปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อลูกคนนี้ได้หรือเปล่า
ก็เหมือนกันแหละ ร่างกายของเราก็แบบเดียวกัน ร่างกายเรานี้ เราไปคิดว่ามันเป็นเรา แล้วเราก็เชื่อว่ามันเป็นเราใช่ไหม วันหนึ่งมาเจอพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามาบอกว่าไม่ใช่เป็นเรา เราจะเชื่อพระพุทธเจ้าหรือเปล่า พระพุทธเจ้าได้รู้นะ ท่านเห็นของจริง ท่านไปค้นประวัติของเราแล้วแหละ ท่านค้นแล้วว่าเราไม่ได้เป็นร่างกาย เราเป็นตัวคิดตัวรู้ ร่างกายนี้มันเป็นตัวที่เราไปคิดว่าเป็นเราเท่านั้นเอง เป็นตัวเรา เราก็เลยเชื่อว่ามันเป็นตัวเรา นี่พอคิดแล้วเชื่อปั๊บนี้ มันก็เลยเชื่อว่าเป็นจริงเป็นจังกันขึ้นมา เพราะทุกคนก็เชื่อแบบเดียวกัน เกิดมาพ่อแม่ก็บอกว่าร่างกายนี้เป็นตัวเราเป็นของเรา ร่างกายของพ่อของแม่ก็คิดว่าเป็นตัวของเขา ทุกคนก็เชื่อว่าร่างกายนี้เป็นตัวของเขากันทั้งนั้นแหละ แต่ความจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น อันนี้แหละเป็นสิ่งที่พวกเราโง่กัน ถ้าเปรียบเทียบกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าฉลาดกว่าเราตรงนี้ ตรงที่มาเห็นว่าร่างกายไม่ใช่เป็นตัวเราของเรา เพราะท่านค้นคว้าดูที่ร่างกายของท่าน ท่านก็เห็นว่ามันไม่ได้เป็นตัวของท่าน ท่านไปพบตัวของท่านว่าเป็นตัวรู้ตัวคิด เวลาท่านนั่งสมาธินี้ ตัวรู้ตัวคิดแยกออกจากตัวร่างกาย ก็เลยรู้ว่า อ๋อเวลาร่างกายนี้เป็นอะไรไป ตัวรู้ตัวคิดไม่ได้เป็นอะไรไปกับร่างกาย ตัวรู้ตัวคิดนี่แหละ เป็นตัวทำบุญทำบาป เป็นตัวสั่งให้ร่างกายทำ.

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๐

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต








..บุญ..ถ้าไม่ทําเพิ่ม ก็หมดไปได้
เหมือนน้ำในโอ่งหากไม่ตักเพิ่ม
ในที่สุดก็จะเเห้ง

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
วัดอัรญญบรรพต จ.หนองคาย







ศรัทธาควรอยู่ในความพอดี
เพราะถ้ามีมากไปปัญญามันจะไม่เกิด”
ท่านเล่าว่าท่านได้เคยถามหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ในเรื่องของการนั่งสมาธิว่าเวลาที่ท่านนั่งสมาธิจิตของท่านจะดิ่งลงลึกโดยที่ตัวท่านเองก็ไม่ทราบว่าจิตอยู่ที่ไหน

หลวงปู่เทสก์จึงได้ชี้แจงว่า อาการเช่นนี้เขาเรียกว่า “นิพพานพรหม” เป็นอาการที่จิตดับจนกระทั่งไม่ได้ยินเสียง ไม่รับรู้อะไรจากภายนอก

ถ้าไม่แก้ไขผู้นั้นก็จะคิดว่าตนเองได้พบพระนิพพานและจะไปไหนไม่รอด

โดยหลวงปู่เทสก์ได้ยกตัวอย่างกรณีของหลวงปู่ขาว อนาลโย ที่นั่งสมาธิตั้งแต่ ๖ โมงเย็นไปจนถึง ๖ โมงเช้าของวันรุ่งขึ้น พอน้ำค้างจับร่างของท่านจนเปียกชุ่มท่านจึงรู้สึกตัวและออกจากสมาธิ

หลวงปู่ขาวเองท่านก็ไม่ทราบว่าจิตของท่านไปอยู่ที่ไหน จึงได้ไปถามหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และท่านก็ได้รับคำตอบสั้นๆ นิดเดียวเช่นกันว่า

“ให้ไปตั้งต้นใหม่ ติดตามดูจิตตั้งแต่เริ่มเข้าสมาธิ ใช้สติปัญญาตามดูจิตให้ดีว่า วางอารมณ์อะไรจึงดับเสียงไปหมด ให้ดูว่าจิตไปอยู่ที่ไหนต้องตามให้รู้”

ท่านว่า... “นี่แหละที่เขาเรียกว่าศรัทธาต้องอยู่คู่กับปัญญา”

โอวาทธรรม หลวงพ่อเปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญญวิเวก อ. แม่แตง จ.เชียงใหม่






ไม่มีอำนาจร้ายแรงใด ทานอำนาจแห่งเมตตาได้ ทุกคนจะต้องประสบพบสิ่งไม่ต้องหู ไม่ต้องตา ไม่ต้องใจมากมายในแต่ละวัน พึงเตือนตนเองให้จริงใจว่า
"เมตตาของตนยังไม่พอ ต้องอบรมเมตตาให้มากยิ่งขึ้น"หยุดโกรธแค้นขุ่นเคือง น้อยใจเสียใจร้อนใจ เพราะเสียงเพราะเรื่องที่กระทบได้เมื่อใด เมื่อนั้นจึงแสดงว่า มีเมตตาพอสมควร พอจะช่วยตนเองและช่วยผู้อื่นให้ร่มเย็นเป็นสุขได้
เมื่อนั้นทุกคนจะรู้สึกด้วยตนเองว่า เมตตาค้ำจุนโลกจริง เมตตาช่วยตนก่อนจริง เมตตาใหญ่ยิ่งจริง ช้างนาฬาคิรีที่กำลังบ้าคลั่งเมามัน ยังพ่ายแพ้แก่พระเมตตาของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีอำนาจร้ายแรงใดจะทานอำนาจแห่งเมตตาได้นี้เป็นสัจจะคือ ความจริงที่จะเป็นจริงเสมอไป ไม่มีเปลี่ยนแปลง พลังร้ายภายนอกยิ่งแรง ยิ่งต้องใช้พลังเมตตาที่แรง เมื่อใด พลังเมตตาแรงพอก็จะสยบพลังร้ายได้สิ้น...
พระคติธรรรม........... สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก







วจีสุดท้ายของหลวงปู่ดุลย์ อตุโล..."เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสร้างพระพุทธศาสนา ให้ก่อเกิดเป็นชีวิตอย่างบริบูรณ์ดังประสงค์แล้ว พระองค์จึงได้ละ วิภวตัณหา นั้น เสด็จเข้าสู่ อนุปาทิเสสนิพพาน คือ เป็นผู้หมดสิ้นทุกตัณหา เป็นผู้ดับรอบโดยลักษณาการแห่งอนุปาทิเสสนิพพานของพระองค์"

ลำดับแรกก็เจริญฌาณ ดิ่งสนิทไปจน สัญญาเวทยิตนิโรธ หมายความว่าเข้าไปลึกสุดอยู่เหนือรูปฌาณในวาระแรกนั้น พระองค์ยังมิได้ดับขันธ์ต่างๆ ให้สิ้นสนิทเด็ดขาดแต่อย่างใด เพียงเข้าไปเพื่อทรงกระบวนการแห่งการเข้าสู่นิพพาน หรือนิโรธ เป็นครั้งสุดท้ายแห่งชีวิต พูดง่ายๆ ก็คือ สูสิ่งที่พระองค์ได้สร้างได้พากเพียรก่อเป็นทางเป็นแบบอย่างไว้เป็นครั้งสุดท้ายเสียหน่อย ซึ่งเรียกได้ว่า สิ่งอันเกิดจากการที่พระองค์ได้ยอมอยู่กับ ธุลีทุกข์ อันเป็นธุลีทุกข์ที่มนุษย์ธรรมดามีจิตหยาบเกินกว่าที่จะสัมผัสได้ว่ามันเป็นทุกข์ประวัติและปฏิปทา 190นี่แหละกระบวนการกระทำ จิตตนให้ถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นกระบวนการที่พระอนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นยอดศาสดาในโลกเท่านั้นที่ทรงค้นพบ ทรงนำ มาตีเผยแผ่แจ้งออกสู่โลกให้พึงปฏิบัติตามเมื่อทรงสิ่งสุดท้ายนี้แล้ว จึงได้ถอยกลับมาสู่ภาวะต้น คือ ปฐมฌาณ แล้วตัดสินพระทัยครั้งสุดท้ายเสด็จดับขันธ์ต่างๆ ไปทีละขันธ์วิญญาณขันธ์แห่งชีวิต

ดังนั้น จึงไม่มีเชื้อใดเหลืออยู่แห่งวิญญาณขันธ์ที่หยาบนั้น
พระองค์เริ่มดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรมชั้นในสุด อันจะส่งผลให้ก่อวิภวตัณหาได้ชั้นหนึ่งเสียก่อน แล้วจึงเลื่อนเข้าสู่ ทุติยฌาณ แล้วจึงดับสัญญาขันธ์เลื่อนเข้าสู่ ตติยฌาณ
เมื่อพระองค์ทรงดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรมชั้นใจสุดอีกที ก็เป็นอันเลื่อนขึ้นสู่ จตุตถฌาณ คงมีแต่เวทนาขันธ์สุดท้ายแห่งชีวิต นั่นแลคือลักษณาการแห่งขั้นสุดท้ายของการจะดับสิ้นไม่เหลือ
เมื่อพระองค์ดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรมใหญ่สุดท้ายที่มีทั้งสิ้นแล้ว ก็มาดับ เวทนาขันธ์ เป็น จิตขันธ์หรือนามขันธ์ที่ในจิตส่วนในคือ ภวังคจิตเสียก่อน แล้วจึงได้ออกจาก จตุตถฌาณ พร้อมทั้งมาดับจิตขันธ์หรือนามขันธ์สุดท้ายจริงๆ ที่ตรงนี้พระองค์ไม่ได้เข้าสู่พระนิพพานในฌาณสมาบัติอะไรที่ไหนหรอก เมื่อพระองค์ออกจากจตุตถฌาณแล้ว จิตขันธ์หรือนามขันธ์ก็ดับพร้อมไม่มีอะไรเหลือ ไม่ถูกภาวะอื่นใดมาครอบงำ อำ พรางให้หลงใหลใดๆ ทั้งสิ้น เป็นภาวะแห่งตนเองอย่างบริบูรณ์ ภาวะอันนั้นจะเรียกว่า "มหาสุญญตา" หรือ "จักรวาลเดิม" หรือว่าเรียก "พระนิพพาน" อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เราปฏิบัติมาก็เพื่อถึงภาวะอันนี้

วจีสังขารหรือวาจาของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล สิ้นสุดลงเพียงแค่นี้ หลังจากนั้น ไม่มีวาจาใดออกมาจากท่านอีกเลย

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 130 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร