วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 01:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2017, 16:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2013, 19:24
โพสต์: 300

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์หรือสัตว์ดิรัจฉานนั้น
เป็นเพราะกรรม (กรรมดีและกรรมชั่ว) นั้นส่งผลใช่หรือไม่

ถูกต้องแล้ว ผู้ที่จะเกิดมาในโลกนี้หรือไม่เกิด (คือเข้าสู่นิพพาน) เป็นเพราะกรรมคือการกระทำทั้งดีและไม่ดี เมื่อกระทำแล้วการจะไปเกิดในภพภูมิไหน ก็เป็นไปตามทาง 7 สายคือ

สายที่ 1.ทางไปนรก ได้แก่ โทสะ
นรกนั้นต้องเป็นสถานที่ร้อนเพราะเหตุคือ โทสะ อันเป็นทางไป ก็เป็นของร้อนมากอยู่แล้ว เช่น ในเวลาที่โทสะเกิดขึ้นก็จะรู้สึกร้อนใจเป็นกำลัง กลุ้มใจไปหมดทุกหนทุกแห่ง เสียใจไปทุกหนทุกแห่ง ริษยาไป หึงหวงไป รำคาญไป แค้นเคืองใจไปไม่มีที่สิ้นสุด โทสะ ความโกรธอันใดที่มีมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดเป็นปัจจัย จนเป็นเหตุให้ทำทุจริต มีการฆ่า หรือว่ากล่าวหยาบช้าต่างๆ เป็นต้นแล้ว นั้นแหละเป็นหนทางไปสู่นรกโดยแน่นอน

ถ้ามีโทสะ แต่ไม่ถึงกับเห็นผิดคิดร้าย เป็นเหตุให้ทำผิดทุจริตต่าง ๆ แล้ว ก็ยังไม่ไปนรก เป็นเพียงให้ทุกข์ ๆ ยาก ๆ พาลำบากอยู่ในมนุษย์เท่านั้น ก็ยังส่งผลให้ได้รับความทุกข์ยากต่อไปในชาติหน้าอีก

สายที่ 2.ทางไปเปรตและอสุรกาย ได้แก่ โลภะ
แต่ต้องเป็นโลภะที่ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นผิด กระทำทุจริต ด้วยการทำโจรกรรม ปล้นสะดม ประพฤติผิดในกาม (มีชู้) และพูดโกหก หลอกลวงต้มตุ๋นต่าง ๆ เป็นต้น แต่ถ้าเป็นความยากได้สามัญธรรมดาแล้ว กระทำสุจริต พากเพียรพยายาม หาทรัพย์ในทางที่ชอบ ไม่เป็นเหตุให้ไปเกิดเป็นเปรต อสุรกาย ความอยากได้ไม่ถึงกับเห็นผิดหรือกระทำทุจริตนี้เป็นเพียงให้ทุกข์ ๆ ยากๆ ทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูงอยู่ในโลกนี้เท่านั้นหรือทางทีวิบากแห่งกรรมนั้น ก็ตามสนองให้ไปเกิดเป็นคนยากจนต่อไปในชาติหน้าก็ได้ เรียกคนที่มีโลภะมากนี้ว่า “มนุสฺสเปโต” ตัวเป็นมนุษย์ แต่ใจเป็นเปรต

ภูมิแห่งเปรตและอสุรกายนั้น เป็นภูมิที่หิวกระหายทรมานอยู่ตลอดเวลา และไม่กล้าปรากฏกาย หลบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่ในภูมินั้นตลอดกัปป์ ตลอดกัลป์ จนกว่าจะสิ้นวิบากกรรมที่ตนได้กระทำไว้

สายที่ 3.ทางไปดิรัจฉาน ได้แก่ โมหะ
ผู้ที่เดินทางไปเป็นสัตว์ดิรัจฉาน เรียกว่า
“มนุสฺสติรจฺฉาโน” ตัวเป็นมนุษย์ แต่ใจเป็นสัตว์ดิรัจฉานคือ มีโมหะ ความหลงไม่รู้ มืดมน อนธการอยู่เสมอ
ความเป็นสัตว์ดิรัจฉานนั้นคือ ความเป็นสัตว์ที่ไปขวางคือ ไม่รู้จักบำเพ็ญบุญกุศล เป็นต้น ตลอดถึงขวางแนวทางปฏิบัติเพื่อความสำเร็จและขวางมรรคผล เมื่อโมหะอกุศลกรรมนำไปเกิดในอบายภูมิ คือดิรัจฉานภูมินี้แล้วก็หมดโอกาสไปตลอดชาติ ไม่สามารถที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานได้ แม้พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น พระธรรมอุบัติขึ้น พระสงฆ์อุบัติขึ้น ก็หารู้ไม่กินแล้วนอน และสืบพันธุ์เท่านั้น

สายที่ 4.ทางไปมนุษย์ ได้แก่ ศีล 5 และกุศลกรรมบถ 10
บางคนเกิดมามีอายุสั้น พลันตายเสียแต่ยังเป็นหนุ่มสาว หรือยังมีชีวิตอยู่ก็เจ็บป่วยอยู่เสมอ เพราะชาติก่อนนั้นบกพร่องด้วยศีลข้อ ๑ หมายความว่า ในชาติปางก่อนนั้น เว้นจากการฆ่าสัตว์ไม่สมบูรณ์ ยังมีการเบียดเบียนสัตว์ ขาดเมตตากรุณาอยู่บ้าง จึงเป็นเหตุทำให้อายุสั้นหรือโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนอยู่เสมอ

บางคนเกิดมาเป็นคนยากจน หาเช้ากินค่ำ ทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำก็ยังยากจนอยู่ บางทีต้องขอทานเขากิน ก็เพราะเหตุว่า ในชาติปางก่อนโน้น ได้เป็นผู้บกพร่องในศีลข้อ ๒ ธรรมข้อ ๒ คือ เว้นจากการลักทรัพย์ไม่สมบูรณ์ ประพฤติมิจฉาชีพเป็นครั้งคราว จึงเป็นเหตุให้มาเกิดเป็นคนยากจนเข็ญใจไร้ทรัพย์ในชาตินี้

บางคนเกิดมาถูกหลอกลวง เสียทรัพย์สินเงินทอง ตลอดถึงเสียตัว เสียความบริสุทธิ์ ก็เพราะชาติก่อนบกพร่องในศีลข้อ ๓ ไม่ยินดีเฉพาะภรรยาสามีของตน จึงได้รับความชอกช้ำระกำใจ เพราะถูกหลอกลวงในชาตินี้

บางคนเกิดมาถูกใส่ความต่าง ๆ นานา เรื่องไม่ผิดก็ถูกกล่าวหาว่าผิดเพราะในชาติก่อนประพฤติผิดศีลข้อ 4 หมายความว่า เป็นผู้ชอบพูดเท็จไม่จริง ขาดสัจจวาจาไม่ค่อยพูดความจริงจึงเป็นผลสะท้อนให้ถูกใส่ร้ายป้ายสีอยู่ในชาตินี้มิได้หยุดหย่อน
บางคนเกิดมาพิการวิกลจริต เป็นใบ้ บ้า หนวก บอด ก็เพราะประพฤติผิดศีลข้อ ๕ ทำให้บกพร่องไม่สมบูรณ์ คือเว้นจากการดื่มสุราเมรัยไม่เด็ดขาด ปราศจากสติสัมปชัญญะในชาติก่อน จึงพาให้มาเกิดเป็นคนมีสติวิปลาสวิกลจริตในชาตินี้ พลาดจากประโยชน์ที่จะพึงได้พึงถึง เป็นคนที่สังคมรังเกียจ ชาวโลกไม่ต้องการน่าเสียดายชีวิตที่เกิดมาแล้วไร้ค่า
บางคนเกิดมาแล้วมีอายุยืนยาวนาน ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนทั้งเป็นคนร่ำรวย มั่งคั่งสมบูรณ์ด้วยทรัพย์ พร้อมยศและบริวาร ทั้งไม่มีผู้ใดหลอกลวงหรือใส่ร้ายได้ เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะดีอยู่เสมอ ก็เพราะอานิสงส์รักษาศีล ๕ และปฏิบัติเบญจธรรม ๕ อย่างมั่นคงสมบูรณ์ นั่นเอง

สายที่ 5.ทางไปสวรรค์ ได้แก่ มหากุศล 8 ประการ คือ
1. เวลาทำบุญมีความดีใจ ปรารถนาให้ได้มรรค ผล นิพพาน คิดทำบุญเอง ไม่มีใครมาชักชวนให้ทำ ผู้ที่ทำบุญเช่นนี้ ได้ผลดีมาก คือ ผลบุญนี้สามารถจะนำไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ได้ นำไปเกิดเป็นเทวดาก็ได้ ถ้าไปเกิดเป็นมนุษย์จะมั่งคั่งสมบูรณ์ ร่ำรวย ไม่อดไม่อยาก ไม่ทุกข์ไม่ยาก และมีปัญญามาก หากออกเจริญสมถกรรมฐาน ก็จะได้บรรลุฌาน มีปฐมฌานเป็นต้น หากออกเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ก็จะได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน ในชาตินั้น

2. เวลาทำบุญมีความดีใจ ปรารถนาให้ได้มรรค ผล นิพพาน ไม่ได้คิดทำบุญเอง มีผู้มีชักชวนจึงทำบุญ ผู้ที่ทำบุญเช่นนี้ได้ผลเป็นที่ 2 สามารถจะนำไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ได้ นำไปเกิดเป็นเทวดาก็ได้ ถ้าไปเกิดเป็นมนุษย์จะร่ำรวยมั่งมีศรีสุข และจะมีปัญญาดี แต่เป็นที่ 2 เพราะยังมีคนเก่งกว่าฉลาดกว่า หากออกเจริญสมถกรรมฐานก็จะได้บรรลุฌานในชาตินั้น หากออกเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ก็จะได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน ในชาตินั้น

3. เวลาทำบุญมีใจเฉยๆ ปรารถนาให้ได้มรรค ผล นิพพาน คิดทำบุญเอง ไม่มีใครมาชักชวนให้ทำบุญ ผู้ที่ทำบุญเช่นนี้ได้ผลเป็นที่ 3 สามารถจะนำไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ได้ นำไปเกิดเป็นเทวดาก็ได้ ถ้าไปเกิดเป็นมนุษย์จะร่ำรวย มั่งคั่งสมบูรณ์ มั่งมีศรีสุข และจะมีสติปัญญาดีเป็นที่ 3 เพราะยังมีคนดีกว่า เก่งกว่า เฉียบแหลมกว่า หากออกเจริญสมถกรรมฐาน จะได้ฌาน หากออกเจริญวิปัสสนากรรมฐานจะได้มรรค ผล นิพพาน ในชาตินั้น

4. เวลาทำบุญ มีใจเฉยๆ ปรารถนาให้ได้มรรค ผล นิพพาน มีผู้ชักชวนจึงทำบุญ ผู้ที่ทำบุญเช่นนี้ได้ผลเป็นที่ 4 สามารถนำไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ได้ ไปเกิดเป็นเทวดาก็ได้ ถ้าไปเกิดเป็นมนุษย์จะร่ำรวย มั่งคั่งสมบูรณ์ และมีสติปัญญาดี เป็นที่ 4 ถ้าออกเจริญสมถกรรมฐานจะได้ฌาน ถ้าออกเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จะได้มรรค ผล นิพพาน ในชาตินั้น

5. ในเวลาทำบุญ มีความดีใจ ไม่ปรารถนามรรค ผล นิพพาน คิดทำบุญเอง ไม่มีใครมาชักชวนให้ทำบุญ ผู้ที่ทำบุญเช่นนี้ ขาดปัญญา ได้ผลเป็นที่ 5 สามารถจะนำไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ได้ ไปเกิดเป็นเทวดาก็ได้ ถ้าไปเกิดเป็นมนุษย์จะร่ำรวย มั่งมีศรีสุข แต่ขาดปัญญา คือ ไม่มีปัญญาที่จะได้ฌาน ได้มรรค ผล นิพพาน หมายความว่า ถ้าออกเจริญสมถกรรมฐานก็จะไม่ได้ฌาน ถ้าออกเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ก็จะไม่ได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน ในชาตินั้น แต่จะเป็นปัจจัยให้ได้ฌาน ให้ได้มรรค ผล นิพพานในชาติต่อไปได้

6. เวลาทำบุญ มีความดีใจ ไม่ปรารถนามรรค ผล นิพพาน มีผู้ชักชวนจึงทำบุญ ผู้ที่ทำบุญเช่นนี้ ขาดปัญญา ได้ผลเป็นที่ 6 สามารถจะไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ได้ ไปเกิดเป็นเทวดาก็ได้ ถ้าไปเกิดเป็นมนุษย์ก็จะร่ำรวย มั่งคั่งสมบูรณ์ มั่งมีศรีสุข แต่ขาดปัญญา คือ ไม่มีปัญญาที่จะให้ได้ฌาน ได้มรรค ผล นิพพาน ในชาตินั้น แต่จะเป็นปัจจัยให้ได้มรรค ผล นิพพานหรือได้ฌานในชาติต่อๆไป

7. เวลาทำบุญ มีใจเฉยๆ ไม่ปรารถนามรรค ผล นิพพาน ทำบุญเอง ไม่มีใครมาชักชวนให้ทำบุญ ผู้ที่ทำบุญเช่นนี้ได้ผลเป็นที่ 7 ขาดปัญญา แต่สามารถนำไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ได้ ไปเกิดเป็นเทวดาก็ได้ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็จะร่ำรวย มั่งมีศรีสุข แต่ไม่มีปัญญาพอที่จะได้บรรลุฌาน ได้บรรลุมรรค ผล นิพพานในชาตินั้น แต่จะเป็นปัจจัยให้ได้บรรลุฌาน มรรค ผล นิพพานในชาติต่อๆไป

8. เวลาทำบุญ มีใจเฉยๆ ไม่ปรารถนานิพพาน มีผู้ชักชวนจึงทำบุญ ผู้ที่ทำบุญเช่นนี้ได้ผลเป็นที่ 8 สามารถนำไปเกิดในสวรรค์เป็นเทวดาก็ได้ เป็นมนุษย์ก็ได้ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็จะมั่งมีศรีสุข ร่ำรวย ไม่อดไม่อยาก ไม่ทุกข์ไม่ยาก แต่ขาดปัญญาที่จะนำพาให้ได้ฌาน ให้ได้มรรค ผล นิพพาน ในชาตินั้น แต่เป็นปัจจัยในภพต่อๆไปได้

สายที่ 6.ทางไปพรมโลก ได้แก่ สมถกรรมฐาน
ทางไปเกิดเป็นพรหมนั้น ต้องมีฌานเป็นหนทางไป บุคคลที่จะทำฌานให้บังเกิดขึ้นได้นั้น ได้แก่ พระโยคาวจร หรือเรียกว่า โยคีบุคคล ผู้ละปลิโพธเครื่องกังวลห่วงใยต่าง ๆ หลีกออกจากกามารมณ์ไปสู่เรือนว่างหรือภูเขาที่สงบสงัด ไม่ลำบากด้วยความเป็นอยู่เรื่องอาหาร เข้าหาครูอาจารย์ ผู้พร่ำสอนสมถกรรมฐาน ซึ่งอาจารย์จะนำเอาอารมณ์กรรมฐาน 40 อย่าง คือ กสิน 10 อนุสสติ 10 อสุภะ 10 พรหมวิหาร 4 อาหาเรปฏิกูลสัญญา 1 จตุธาตุววัตถาน 1 อรูป 4

สายที่ 7.ทางไปนิพพาน ได้แก่ วิปัสสนากรรมฐาน

หนทางสายที่ 7 นี้ จะมีขึ้นก็ต่อเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติบังเกิดขึ้นในโลกแล้ว ทรงประกาศสัจจธรรมชี้แนะแนวทางแห่งการปฏิบัติเพื่อวิวัฏฏะ คือพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะทุกข์ จนกระทั่งพุทธบริษัทผู้มีสติปัญญา มีบารมีที่สั่งสมมาดีแล้วได้พากันปฏิบัติตามเป็นเหตุให้ได้บรรลุ มรรค ผล พระนิพพาน เข้าถึงความบริสุทธิ์กลายเป็นพระอริยสงฆ์เจ้าเป็นจำนวนมาก ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่า ทางไป พระนิพพาน มีแต่เฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น

คำว่า วิปัสสนา นั้น หมายความว่า เห็นโดยวิเศษ เห็นโดยพิเศษซึ่งมีคำวิเคราะห์ว่า “วิเสเสน ปสฺสตีติ วิปสฺสนา” การเห็นโดยวิเศษ ชื่อว่า วิปัสสนา การเห็นโดยวิเศษนั้นไม่ใช่ว่าเห็นด้วยตา หรือเห็นอย่างธรรมดา แต่เห็นด้วยปัญญา ด้วยญาน หรือวิชชา ได้แก่ ความรู้แจ้งเห็นจริงแทงตลอดซึ่งรูปนามนั่นเอง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 82 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร