วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 08:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 223 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13 ... 15  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2016, 19:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ทำไม..โยคี..ถึงหาทางเข้าอรูปได้..

อะไรทำให้โยคีเหล่าหนึ่ง..ควานหาทางเข้าอรูปได้..?


ต้นทาง..ที่..ง่ายๆ...ก็อาจหาคำตอบได้ว่า..นิ่งสังเกต..อย่างที่อโสกะทำ...เหมือนพวกเข้าอรูป..ยังงัย?


ก็รูปยังไม่ได้ ยังไม่ทำ ก็ไปมโนอรูปเอาหรอหือ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2016, 19:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ทำไม..โยคี..ถึงหาทางเข้าอรูปได้..

อะไรทำให้โยคีเหล่าหนึ่ง..ควานหาทางเข้าอรูปได้..?


ต้นทาง..ที่..ง่ายๆ...ก็อาจหาคำตอบได้ว่า..นิ่งสังเกต..อย่างที่อโสกะทำ...เหมือนพวกเข้าอรูป..ยังงัย?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2016, 19:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ทำไม..โยคี..ถึงหาทางเข้าอรูปได้..

อะไรทำให้โยคีเหล่าหนึ่ง..ควานหาทางเข้าอรูปได้..?


ต้นทาง..ที่..ง่ายๆ...ก็อาจหาคำตอบได้ว่า..นิ่งสังเกต..อย่างที่อโสกะทำ...เหมือนพวกเข้าอรูป..ยังงัย?


มันจบแล้วครับนาย :b9:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2016, 04:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา..

รูปภาพ

อ้างคำพูด:
ต่อมามีคณะพระผู้ใหญ่เดินทางมาหา หลวงพ่อกบ อีกครั้ง เพื่อสอบสวนประวัติความเป็นมา เนื่องจากกลัวเป็นพวกลัทธิใหม่หรือพวกนอกรีต เนื่องจากพฤติกรรมของท่านค่อนข้างประหลาดไม่เหมือนพระทั่วไป แต่ท่านไม่ยอมบอกว่าเป็นใครและใครเป็นพระอุปัชฌาย์ จึงมีการทดสอบความรู้เรื่องธรรมะกันขึ้น ไม่ว่าจะถามเรื่องอะไร ในพระไตรปิฎกเล่มไหน หน้าอะไร หัวข้อเท่าไหร่ หลวงพ่อกบตอบถูกทั้งหมดและท่านถามกลับไปว่า “หัวใจของพระพุทธศาสนาคืออะไร”ปรากฎว่าไม่มีใครหรือพระเถรผู้ใหญ่ตอบได้แม้แต่รูปเดียว เงียบกันหมด ท่านจึงเฉลยให้ฟังว่าหัวใจพุทธศาสนาก็คือ “ศีล สมาธิ ปัญญา”เพราะเป็นหนทางแห่งการพ้นทุกข์

เท่านั้นเองกลายเป็นสาเหตุสำคัญที่พระผู้ใหญ่ไม่พอใจ สั่งให้ หลวงพ่อกบ ลาสิกขาบท กล่าวหาว่าเป็นพระเถื่อนไม่มีใบสุทธิบัตร พูดจาเพ้อเจ้อไร้สาระ ไม่น่าเชื่อถือ ท่านก็ไม่สนใจหรือเถียงอะไรยอมถอดจีวรออกลาสิกขาบทโดยดี หันมานุ่งขาวห่มขาวแทน ตอนนั้นลูกศิษย์ร้องไห้ระงมทั่ววัดเขาสาริกา เพราะสงสารท่าน จนหลวงพ่อบอกว่า “พวกมึงจะร้องทำไมกันวะ พระก็คือพระวันยังค่ำ จะใส่อะไรก็เป็นพระ เหมือนทองจมขี้โคลน ยังไงก็เป็นทองนั่นแหละ”ทำให้ลูกศิษย์คิดได้ว่า พระไม่ได้หมายถึงการนุ่งห่มผ้าเหลือง แต่หากสามารถลดละกิเลสได้ ไม่ว่าแต่งกายชุดอะไรก็ถือว่าเป็นพระอยู่วันยังค่ำ พระแท้พระดีจึงมิไช่อยู่ที่ผ้าเหลืองด้วยประการฉะนี้

หลวงพ่อกบมรณภาพและสังขารในวันที่ 17 ธ.ค. 2497 ท่ามกลางความเศร้าโศกของศิษยานุศิษย์ทั่วหน้า และน่าแปลกใจที่ว่าเช้าวัดถัดไปคือวันที่ 18 ธ.ค. หลวงพ่อโอภาสีเดินทางมาถึงวัดเขาสาริกาเพื่อมาเป็นธุระในการทำพิธีฌาปนกิจศพของหลวงพ่อกบ ผู้เป็นอาจารย์ เหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความงุนงงให้ผู้คนและลูกศิษย์ เนื่องจากสมัยก่อนการสื่อสารไม่รวดเร็วเหมือนปัจจุบัน การส่งข่าวไปหากันแต่ละครั้งใช้เวลาหลายวัน บ่งบอกได้ว่า หลวงพ่อโอภาสี ก็เป็นพระอภิญญาเหมือนอาจารย์ทุกประการ เพราะสามารถหยั่งรู้ความเป็นไปในโลกและรับรู้ว่าอาจารย์ละสังขารแล้วอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

ที่มาของชื่อ “หลวงพ่อกบ"

ชั่วชีวิตของ หลวงพ่อกบ ท่านไม่เคยบอกว่าชื่ออะไร ? มาจากไหน ? เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ? เกิดเมื่อไหร่ ? บวชเมื่อไหร่ ? ใครเป็นพระอุปัชฌาย์ ? ลูกศิษย์ลูกหาจึงต้องหาชื่อมาเรียกกันไปต่าง ๆ นานา เช่น หลวงพ่อใหญ่บ้าง หลวงพ่อ เฉย ๆ บ้าง

วันหนึ่งฝนตกหนัก ฟ้าผ่าเสียงดังและลมพายุพัดแรงมากจนกุฎิสั่นคลอน ชาวบ้านและลูกศิษย์กลัวกุฏิพังชวนท่านหนี ท่านบอกว่า “มึงกลัวอะไรกัน เดี๋ยวก็หยุดตกแล้ว" พักเดียวฝนหยุดจริง ๆ และมีเสียงกบร้องดังลั่นทุ่งนา ชาวบ้านและลูกศิษย์ดีใจพากันไปจบกบมาแกงกิน แต่ไม่เจอสักตัวเดียว หลวงพ่อเลยอาสาไปจับมาให้เอง ปรากฎว่าจับมาเต็มข้องส่งให้ไปทำกินกันและท่านกำชับว่า “กินไม่หมดให้เอาไปปล่อยอย่าให้เหลือ" แต่มีชาวบ้านและลูกศิษย์บางคนแอบใส่ไหซ่อนไว้ รุ่งเช้ามาดูกลายเป็นใบสะแกและใบไม้อื่น ๆ อีกมากมาย สร้างความตกตะลึงให้ทุกคน ต่างขนานนามของท่านว่า “หลวงพ่อกบ" ด้วยเหตุนี้


https://sites.google.com/site/patihan20 ... enux-3-lok


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2016, 05:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:

มิใช่กล่าวหา..อโสกะ...

แต่..เตือน..

ต้องเข้าใจก่อนนะครับ...ที่โยคีสมัยก่อนพระพุทธเจ้า..ค้นหาจนเข้าอรูป..ได้..ก็เพราะ...ต้นเหตุจากการพยายามหาทางออกจากทุกข์..นี้แหละคับ..



ต้นเรื่อง...ก็คือความพยายามหาทางออกจากทุกข์..นี้แหละ..

แม้จะได้ฌานแล้ว..แต่ก็ยังพบว่า...มีทุกข์อยู่...ก็รู้ว่า...ยังไม่สิ้นทุกข์..ยังไม่ถึงที่สุด...จึงต้องค้นหาทางออกจากทุกข์ต่อไป..

โยคีบางคนอาจคิดได้ว่า...ก็เพราะมีรูปจึงรู้สึกสุขรู้สึกทุกข์...รูปนอกก็ทำให้เกิดวัตถุให้รับรู้..รูปตนก็เป็นที่รับสัมผัส...เลยคิดได้ว่า..หากไม่มีรูปนอก..ก็ไม่มีวัตถุอะไรให้รับสัมผัส..หากไม่มีรูปตนก็ไม่มีอะไรไปรับสัมผัส...ความทุกข์ก็เกิดไม่ได้...เลยคิดหาความจริงในรูป..มองลึกเข้ามาในรูป...ก็เห็นทุกรูปมีการแยกแตกสลาย...เริ่มมองเห็นรูปเป็นของประกอบ...เกิดจากการรวมตัวกันขึ้นมา..เดิมรูปไม่มี..ที่มีคืออากาศที่ว่างเปล่า...

ทีนี้ก็เริ่มเตือนสติตนเสียใหม่...เวลาเห็นวัตถุหรือรูปนอก..ก็เตือนสติตนว่า..แท้จริงแล้วรูปนั้นไม่มี..ที่มีคืออากาศ..แล้วก็เตือนตนด้วยว่า..แม้รูปตนแท้จริงแล้วก็ไม่มี..ที่มีคืออากาศ..

มีอากาศความว่างเป็นอารมณ์ของจิต..สัมผัสอะไรก็รู้สึกว่านั้นมันเป็นความว่างไปเสียหมด...

ต้นเรื่องของเข้าอรูปฌานแรก..ก็ประมาณนี้...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2016, 05:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา..

รูปภาพ

อ้างคำพูด:
ต่อมามีคณะพระผู้ใหญ่เดินทางมาหา หลวงพ่อกบ อีกครั้ง เพื่อสอบสวนประวัติความเป็นมา เนื่องจากกลัวเป็นพวกลัทธิใหม่หรือพวกนอกรีต เนื่องจากพฤติกรรมของท่านค่อนข้างประหลาดไม่เหมือนพระทั่วไป แต่ท่านไม่ยอมบอกว่าเป็นใครและใครเป็นพระอุปัชฌาย์ จึงมีการทดสอบความรู้เรื่องธรรมะกันขึ้น ไม่ว่าจะถามเรื่องอะไร ในพระไตรปิฎกเล่มไหน หน้าอะไร หัวข้อเท่าไหร่ หลวงพ่อกบตอบถูกทั้งหมดและท่านถามกลับไปว่า “หัวใจของพระพุทธศาสนาคืออะไร”ปรากฎว่าไม่มีใครหรือพระเถรผู้ใหญ่ตอบได้แม้แต่รูปเดียว เงียบกันหมด ท่านจึงเฉลยให้ฟังว่าหัวใจพุทธศาสนาก็คือ “ศีล สมาธิ ปัญญา”เพราะเป็นหนทางแห่งการพ้นทุกข์

เท่านั้นเองกลายเป็นสาเหตุสำคัญที่พระผู้ใหญ่ไม่พอใจ สั่งให้ หลวงพ่อกบ ลาสิกขาบท กล่าวหาว่าเป็นพระเถื่อนไม่มีใบสุทธิบัตร พูดจาเพ้อเจ้อไร้สาระ ไม่น่าเชื่อถือ ท่านก็ไม่สนใจหรือเถียงอะไรยอมถอดจีวรออกลาสิกขาบทโดยดี หันมานุ่งขาวห่มขาวแทน ตอนนั้นลูกศิษย์ร้องไห้ระงมทั่ววัดเขาสาริกา เพราะสงสารท่าน จนหลวงพ่อบอกว่า “พวกมึงจะร้องทำไมกันวะ พระก็คือพระวันยังค่ำ จะใส่อะไรก็เป็นพระ เหมือนทองจมขี้โคลน ยังไงก็เป็นทองนั่นแหละ”ทำให้ลูกศิษย์คิดได้ว่า พระไม่ได้หมายถึงการนุ่งห่มผ้าเหลือง แต่หากสามารถลดละกิเลสได้ ไม่ว่าแต่งกายชุดอะไรก็ถือว่าเป็นพระอยู่วันยังค่ำ พระแท้พระดีจึงมิไช่อยู่ที่ผ้าเหลืองด้วยประการฉะนี้

หลวงพ่อกบมรณภาพและสังขารในวันที่ 17 ธ.ค. 2497 ท่ามกลางความเศร้าโศกของศิษยานุศิษย์ทั่วหน้า และน่าแปลกใจที่ว่าเช้าวัดถัดไปคือวันที่ 18 ธ.ค. หลวงพ่อโอภาสีเดินทางมาถึงวัดเขาสาริกาเพื่อมาเป็นธุระในการทำพิธีฌาปนกิจศพของหลวงพ่อกบ ผู้เป็นอาจารย์ เหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความงุนงงให้ผู้คนและลูกศิษย์ เนื่องจากสมัยก่อนการสื่อสารไม่รวดเร็วเหมือนปัจจุบัน การส่งข่าวไปหากันแต่ละครั้งใช้เวลาหลายวัน บ่งบอกได้ว่า หลวงพ่อโอภาสี ก็เป็นพระอภิญญาเหมือนอาจารย์ทุกประการ เพราะสามารถหยั่งรู้ความเป็นไปในโลกและรับรู้ว่าอาจารย์ละสังขารแล้วอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

ที่มาของชื่อ “หลวงพ่อกบ"

ชั่วชีวิตของ หลวงพ่อกบ ท่านไม่เคยบอกว่าชื่ออะไร ? มาจากไหน ? เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ? เกิดเมื่อไหร่ ? บวชเมื่อไหร่ ? ใครเป็นพระอุปัชฌาย์ ? ลูกศิษย์ลูกหาจึงต้องหาชื่อมาเรียกกันไปต่าง ๆ นานา เช่น หลวงพ่อใหญ่บ้าง หลวงพ่อ เฉย ๆ บ้าง

วันหนึ่งฝนตกหนัก ฟ้าผ่าเสียงดังและลมพายุพัดแรงมากจนกุฎิสั่นคลอน ชาวบ้านและลูกศิษย์กลัวกุฏิพังชวนท่านหนี ท่านบอกว่า “มึงกลัวอะไรกัน เดี๋ยวก็หยุดตกแล้ว" พักเดียวฝนหยุดจริง ๆ และมีเสียงกบร้องดังลั่นทุ่งนา ชาวบ้านและลูกศิษย์ดีใจพากันไปจบกบมาแกงกิน แต่ไม่เจอสักตัวเดียว หลวงพ่อเลยอาสาไปจับมาให้เอง ปรากฎว่าจับมาเต็มข้องส่งให้ไปทำกินกันและท่านกำชับว่า “กินไม่หมดให้เอาไปปล่อยอย่าให้เหลือ" แต่มีชาวบ้านและลูกศิษย์บางคนแอบใส่ไหซ่อนไว้ รุ่งเช้ามาดูกลายเป็นใบสะแกและใบไม้อื่น ๆ อีกมากมาย สร้างความตกตะลึงให้ทุกคน ต่างขนานนามของท่านว่า “หลวงพ่อกบ" ด้วยเหตุนี้


https://sites.google.com/site/patihan20 ... enux-3-lok



กบพินาด้วยมั่ง :b1:

อ้างคำพูด:

ปั้นแต่งคำพูด...มันมีเยอะ...

ก็ถามดู....ว่ากักกายจะรู้มั้ย..ว่าใครพูดจริง..ใครพูดไม่จริง..


ก็ถามดู :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2016, 05:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
แค่ถามว่า..มีหลักฐานอะไรไปว่าอโสกะ..มโน...ก็ตอบได้แค่..อโสกะไม่บอกว่าทำกรรมฐานอย่างไร..

แค่นี้...

ถ้ารู้แค่นี้...จะมีอะไรไปรู้..ว่า..ใครพูดจริง...ใครพูดไม่จริง...

นั่งแก้อาการสมาธิบนกระดาษต่อไป..เพราะคนทำไม่สามารถมาแย้งได้...นั่งคิดไปตอบไป...อาจภูมิใจว่าตัวเก่ง..ฉลาดอะไรปานนั้..แก้ได้หมดเลย..



กบว่าเขาพูดจริงหรือปั้นคำพูด :b1:

http://larndham.org/index.php?/topic/27 ... ntry393770

ไหนลองว่าไปสิเอ้า :b13:


:b32: :b32:
พูดจริง...

แล้วงัยต่อ...


ถามว่า เขาปั้นคำพูดไหม :b1:


กักกายถามสองคำ..คือ..เขาพูดจริงมั้ยหรือปั้นคำพูด..

ผมก็บอกไปแล้วว่า..เขาพูดจริง...

แล้วจะเอาอะไรอีก..พ่อคู้น...

กักกายนี้พูดไม่รู้เรื่องเลย..


รู้ได้ไงว่าเขาพูดจริง ดูจากตรงไหน :b14:



ถามไม่ตอบ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2016, 05:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:

มิใช่กล่าวหา..อโสกะ...

แต่..เตือน..

ต้องเข้าใจก่อนนะครับ...ที่โยคีสมัยก่อนพระพุทธเจ้า..ค้นหาจนเข้าอรูป..ได้..ก็เพราะ...ต้นเหตุจากการพยายามหาทางออกจากทุกข์..นี้แหละคับ..



ต้นเรื่อง...ก็คือความพยายามหาทางออกจากทุกข์..นี้แหละ..

แม้จะได้ฌานแล้ว..แต่ก็ยังพบว่า...มีทุกข์อยู่...ก็รู้ว่า...ยังไม่สิ้นทุกข์..ยังไม่ถึงที่สุด...จึงต้องค้นหาทางออกจากทุกข์ต่อไป..

โยคีบางคนอาจคิดได้ว่า...ก็เพราะมีรูปจึงรู้สึกสุขรู้สึกทุกข์...รูปนอกก็ทำให้เกิดวัตถุให้รับรู้..รูปตนก็เป็นที่รับสัมผัส...เลยคิดได้ว่า..หากไม่มีรูปนอก..ก็ไม่มีวัตถุอะไรให้รับสัมผัส..หากไม่มีรูปตนก็ไม่มีอะไรไปรับสัมผัส...ความทุกข์ก็เกิดไม่ได้...เลยคิดหาความจริงในรูป..มองลึกเข้ามาในรูป...ก็เห็นทุกรูปมีการแยกแตกสลาย...เริ่มมองเห็นรูปเป็นของประกอบ...เกิดจากการรวมตัวกันขึ้นมา..เดิมรูปไม่มี..ที่มีคืออากาศที่ว่างเปล่า...

ทีนี้ก็เริ่มเตือนสติตนเสียใหม่...เวลาเห็นวัตถุหรือรูปนอก..ก็เตือนสติตนว่า..แท้จริงแล้วรูปนั้นไม่มี..ที่มีคืออากาศ..แล้วก็เตือนตนด้วยว่า..แม้รูปตนแท้จริงแล้วก็ไม่มี..ที่มีคืออากาศ..

มีอากาศความว่างเป็นอารมณ์ของจิต..สัมผัสอะไรก็รู้สึกว่านั้นมันเป็นความว่างไปเสียหมด...

ต้นเรื่องของเข้าอรูปฌานแรก..ก็ประมาณนี้...



มโนอีก :b32:

จะถึงอรูปฌาน จะต้องทำรูปฌานให้ได้ก่อน ได้แล้วก็ต้องทำจนเป็นวสี คือ เข้าออกรูปฌานแต่ละขั้นๆจนชำนิชำนาญ เออ

ก็ในเมื่อพวกท่านไม่เคยทำอะไรเลย แล้วไปรำพึงรำพันเพ้อเรื่องอรูปฌาน มันก็มโนทั้งเพทั้งระยองฮิ :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2016, 05:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา..


อ้างคำพูด:
ต่อมามีคณะพระผู้ใหญ่เดินทางมาหา หลวงพ่อกบ อีกครั้ง เพื่อสอบสวนประวัติความเป็นมา เนื่องจากกลัวเป็นพวกลัทธิใหม่หรือพวกนอกรีต เนื่องจากพฤติกรรมของท่านค่อนข้างประหลาดไม่เหมือนพระทั่วไป แต่ท่านไม่ยอมบอกว่าเป็นใครและใครเป็นพระอุปัชฌาย์ จึงมีการทดสอบความรู้เรื่องธรรมะกันขึ้น ไม่ว่าจะถามเรื่องอะไร ในพระไตรปิฎกเล่มไหน หน้าอะไร หัวข้อเท่าไหร่ หลวงพ่อกบตอบถูกทั้งหมดและท่านถามกลับไปว่า “หัวใจของพระพุทธศาสนาคืออะไร”ปรากฎว่าไม่มีใครหรือพระเถรผู้ใหญ่ตอบได้แม้แต่รูปเดียว เงียบกันหมด ท่านจึงเฉลยให้ฟังว่าหัวใจพุทธศาสนาก็คือ “ศีล สมาธิ ปัญญา”เพราะเป็นหนทางแห่งการพ้นทุกข์

เท่านั้นเองกลายเป็นสาเหตุสำคัญที่พระผู้ใหญ่ไม่พอใจ สั่งให้ หลวงพ่อกบ ลาสิกขาบท กล่าวหาว่าเป็นพระเถื่อนไม่มีใบสุทธิบัตร พูดจาเพ้อเจ้อไร้สาระ ไม่น่าเชื่อถือ ท่านก็ไม่สนใจหรือเถียงอะไรยอมถอดจีวรออกลาสิกขาบทโดยดี หันมานุ่งขาวห่มขาวแทน ตอนนั้นลูกศิษย์ร้องไห้ระงมทั่ววัดเขาสาริกา เพราะสงสารท่าน จนหลวงพ่อบอกว่า “พวกมึงจะร้องทำไมกันวะ พระก็คือพระวันยังค่ำ จะใส่อะไรก็เป็นพระ เหมือนทองจมขี้โคลน ยังไงก็เป็นทองนั่นแหละ”ทำให้ลูกศิษย์คิดได้ว่า พระไม่ได้หมายถึงการนุ่งห่มผ้าเหลือง แต่หากสามารถลดละกิเลสได้ ไม่ว่าแต่งกายชุดอะไรก็ถือว่าเป็นพระอยู่วันยังค่ำ พระแท้พระดีจึงมิไช่อยู่ที่ผ้าเหลืองด้วยประการฉะนี้

หลวงพ่อกบมรณภาพและสังขารในวันที่ 17 ธ.ค. 2497 ท่ามกลางความเศร้าโศกของศิษยานุศิษย์ทั่วหน้า และน่าแปลกใจที่ว่าเช้าวัดถัดไปคือวันที่ 18 ธ.ค. หลวงพ่อโอภาสีเดินทางมาถึงวัดเขาสาริกาเพื่อมาเป็นธุระในการทำพิธีฌาปนกิจศพของหลวงพ่อกบ ผู้เป็นอาจารย์ เหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความงุนงงให้ผู้คนและลูกศิษย์ เนื่องจากสมัยก่อนการสื่อสารไม่รวดเร็วเหมือนปัจจุบัน การส่งข่าวไปหากันแต่ละครั้งใช้เวลาหลายวัน บ่งบอกได้ว่า หลวงพ่อโอภาสี ก็เป็นพระอภิญญาเหมือนอาจารย์ทุกประการ เพราะสามารถหยั่งรู้ความเป็นไปในโลกและรับรู้ว่าอาจารย์ละสังขารแล้วอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

ที่มาของชื่อ “หลวงพ่อกบ"

ชั่วชีวิตของ หลวงพ่อกบ ท่านไม่เคยบอกว่าชื่ออะไร ? มาจากไหน ? เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ? เกิดเมื่อไหร่ ? บวชเมื่อไหร่ ? ใครเป็นพระอุปัชฌาย์ ? ลูกศิษย์ลูกหาจึงต้องหาชื่อมาเรียกกันไปต่าง ๆ นานา เช่น หลวงพ่อใหญ่บ้าง หลวงพ่อ เฉย ๆ บ้าง

วันหนึ่งฝนตกหนัก ฟ้าผ่าเสียงดังและลมพายุพัดแรงมากจนกุฎิสั่นคลอน ชาวบ้านและลูกศิษย์กลัวกุฏิพังชวนท่านหนี ท่านบอกว่า “มึงกลัวอะไรกัน เดี๋ยวก็หยุดตกแล้ว" พักเดียวฝนหยุดจริง ๆ และมีเสียงกบร้องดังลั่นทุ่งนา ชาวบ้านและลูกศิษย์ดีใจพากันไปจบกบมาแกงกิน แต่ไม่เจอสักตัวเดียว หลวงพ่อเลยอาสาไปจับมาให้เอง ปรากฎว่าจับมาเต็มข้องส่งให้ไปทำกินกันและท่านกำชับว่า “กินไม่หมดให้เอาไปปล่อยอย่าให้เหลือ" แต่มีชาวบ้านและลูกศิษย์บางคนแอบใส่ไหซ่อนไว้ รุ่งเช้ามาดูกลายเป็นใบสะแกและใบไม้อื่น ๆ อีกมากมาย สร้างความตกตะลึงให้ทุกคน ต่างขนานนามของท่านว่า “หลวงพ่อกบ" ด้วยเหตุนี้


https://sites.google.com/site/patihan20 ... enux-3-lok


นั่นแหละกบ ซึ่งก็เข้ากับที่กายว่าไว้นี้ ใช่เลย

กบนอกกะลาเหมือนคนตื่นเช้ามาได้คุยกับคนข้างบ้าน

เพื่อนบ้าน: กบสวัสดีคับ เช้านี้อากาศเย็นสบาย เริ่มจะเข้าฤดูหนาวแล้วนะ กบรู้สึกเย็นๆไหม

กบกนอกกะลาได้ยิน ก็ยกมือสาธุสามที :b8: :b8: :b8: เห็นด้วยเพราะตัวเองก็รู้ว่าอากาศมันเย็นๆ ฉันใดก็ฉันนั้น

เรื่องหลักพุทธธรรม กบก็เข้าใจแบบอากาศมันเย็นๆแบบนั้น ตัวเองไม่ได้มีหลักอะไรเลยสักอย่าง :b9: มั่วไปเรื่อยๆ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2016, 06:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:

มิใช่กล่าวหา..อโสกะ...

แต่..เตือน..

ต้องเข้าใจก่อนนะครับ...ที่โยคีสมัยก่อนพระพุทธเจ้า..ค้นหาจนเข้าอรูป..ได้..ก็เพราะ...ต้นเหตุจากการพยายามหาทางออกจากทุกข์..นี้แหละคับ..



ต้นเรื่อง...ก็คือความพยายามหาทางออกจากทุกข์..นี้แหละ..

แม้จะได้ฌานแล้ว..แต่ก็ยังพบว่า...มีทุกข์อยู่...ก็รู้ว่า...ยังไม่สิ้นทุกข์..ยังไม่ถึงที่สุด...จึงต้องค้นหาทางออกจากทุกข์ต่อไป..

โยคีบางคนอาจคิดได้ว่า...ก็เพราะมีรูปจึงรู้สึกสุขรู้สึกทุกข์...รูปนอกก็ทำให้เกิดวัตถุให้รับรู้..รูปตนก็เป็นที่รับสัมผัส...เลยคิดได้ว่า..หากไม่มีรูปนอก..ก็ไม่มีวัตถุอะไรให้รับสัมผัส..หากไม่มีรูปตนก็ไม่มีอะไรไปรับสัมผัส...ความทุกข์ก็เกิดไม่ได้...เลยคิดหาความจริงในรูป..มองลึกเข้ามาในรูป...ก็เห็นทุกรูปมีการแยกแตกสลาย...เริ่มมองเห็นรูปเป็นของประกอบ...เกิดจากการรวมตัวกันขึ้นมา..เดิมรูปไม่มี..ที่มีคืออากาศที่ว่างเปล่า...

ทีนี้ก็เริ่มเตือนสติตนเสียใหม่...เวลาเห็นวัตถุหรือรูปนอก..ก็เตือนสติตนว่า..แท้จริงแล้วรูปนั้นไม่มี..ที่มีคืออากาศ..แล้วก็เตือนตนด้วยว่า..แม้รูปตนแท้จริงแล้วก็ไม่มี..ที่มีคืออากาศ..

มีอากาศความว่างเป็นอารมณ์ของจิต..สัมผัสอะไรก็รู้สึกว่านั้นมันเป็นความว่างไปเสียหมด...

ต้นเรื่องของเข้าอรูปฌานแรก..ก็ประมาณนี้...



อ้างคำพูด:
แม้จะได้ฌานแล้ว..แต่ก็ยังพบว่า...มีทุกข์อยู่...ก็รู้ว่า...ยังไม่สิ้นทุกข์..ยังไม่ถึงที่สุด...จึงต้องค้นหาทางออกจากทุกข์ต่อไป..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2016, 09:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:

มิใช่กล่าวหา..อโสกะ...

แต่..เตือน..

ต้องเข้าใจก่อนนะครับ...ที่โยคีสมัยก่อนพระพุทธเจ้า..ค้นหาจนเข้าอรูป..ได้..ก็เพราะ...ต้นเหตุจากการพยายามหาทางออกจากทุกข์..นี้แหละคับ..



ต้นเรื่อง...ก็คือความพยายามหาทางออกจากทุกข์..นี้แหละ..

แม้จะได้ฌานแล้ว..แต่ก็ยังพบว่า...มีทุกข์อยู่...ก็รู้ว่า...ยังไม่สิ้นทุกข์..ยังไม่ถึงที่สุด...จึงต้องค้นหาทางออกจากทุกข์ต่อไป..

โยคีบางคนอาจคิดได้ว่า...ก็เพราะมีรูปจึงรู้สึกสุขรู้สึกทุกข์...รูปนอกก็ทำให้เกิดวัตถุให้รับรู้..รูปตนก็เป็นที่รับสัมผัส...เลยคิดได้ว่า..หากไม่มีรูปนอก..ก็ไม่มีวัตถุอะไรให้รับสัมผัส..หากไม่มีรูปตนก็ไม่มีอะไรไปรับสัมผัส...ความทุกข์ก็เกิดไม่ได้...เลยคิดหาความจริงในรูป..มองลึกเข้ามาในรูป...ก็เห็นทุกรูปมีการแยกแตกสลาย...เริ่มมองเห็นรูปเป็นของประกอบ...เกิดจากการรวมตัวกันขึ้นมา..เดิมรูปไม่มี..ที่มีคืออากาศที่ว่างเปล่า...

ทีนี้ก็เริ่มเตือนสติตนเสียใหม่...เวลาเห็นวัตถุหรือรูปนอก..ก็เตือนสติตนว่า..แท้จริงแล้วรูปนั้นไม่มี..ที่มีคืออากาศ..แล้วก็เตือนตนด้วยว่า..แม้รูปตนแท้จริงแล้วก็ไม่มี..ที่มีคืออากาศ..

มีอากาศความว่างเป็นอารมณ์ของจิต..สัมผัสอะไรก็รู้สึกว่านั้นมันเป็นความว่างไปเสียหมด...

ต้นเรื่องของเข้าอรูปฌานแรก..ก็ประมาณนี้...



อ้างคำพูด:
แม้จะได้ฌานแล้ว..แต่ก็ยังพบว่า...มีทุกข์อยู่...ก็รู้ว่า...ยังไม่สิ้นทุกข์..ยังไม่ถึงที่สุด...จึงต้องค้นหาทางออกจากทุกข์ต่อไป..



ขอพูดหน่อยนะ จะว่าพูดขัดก็ได้ คือ พวกเราเนี่ยนะพูดเกินทำ อิอิ ยังไม่ทันทำอะไรเลย แต่พูดออกหน้าไปโน่นแล้ว เช่น ยังไม่ทำยังไม่ได้ฌานอะไรสักขั้นสักอย่างเลย พูดไปก่อนแล้วว่า ได้ฌานแล้วก็ยังมีทุกข์อยู่ คิกๆๆ อ้าวจริงๆ รึใครจะเถียง เถียงมาเอ้า

เออถ้าทำฌานได้แล้วสุดฌานแล้ว เห็นว่ามันยังไม่พ้นทุกข์ (แบบพระโพธิสัตว์) ก็ไปแสวงหาทางพ้นทุกข์อีกต่อหนึ่ง แบบนี้นะกายจะไม่ว่าสักคำ :b32:

อุปมาอุปไมยก็เหมือนคนเก็บของเก่าขายหาเงินปะทังชีวิตไปวันๆ แต่พูดว่าฉันเป็นเจ้าของตึกมหานคร ฉะนั้น :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2016, 19:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:

มิใช่กล่าวหา..อโสกะ...

แต่..เตือน..

ต้องเข้าใจก่อนนะครับ...ที่โยคีสมัยก่อนพระพุทธเจ้า..ค้นหาจนเข้าอรูป..ได้..ก็เพราะ...ต้นเหตุจากการพยายามหาทางออกจากทุกข์..นี้แหละคับ..



ต้นเรื่อง...ก็คือความพยายามหาทางออกจากทุกข์..นี้แหละ..

แม้จะได้ฌานแล้ว..แต่ก็ยังพบว่า...มีทุกข์อยู่...ก็รู้ว่า...ยังไม่สิ้นทุกข์..ยังไม่ถึงที่สุด...จึงต้องค้นหาทางออกจากทุกข์ต่อไป..

โยคีบางคนอาจคิดได้ว่า...ก็เพราะมีรูปจึงรู้สึกสุขรู้สึกทุกข์...รูปนอกก็ทำให้เกิดวัตถุให้รับรู้..รูปตนก็เป็นที่รับสัมผัส...เลยคิดได้ว่า..หากไม่มีรูปนอก..ก็ไม่มีวัตถุอะไรให้รับสัมผัส..หากไม่มีรูปตนก็ไม่มีอะไรไปรับสัมผัส...ความทุกข์ก็เกิดไม่ได้...เลยคิดหาความจริงในรูป..มองลึกเข้ามาในรูป...ก็เห็นทุกรูปมีการแยกแตกสลาย...เริ่มมองเห็นรูปเป็นของประกอบ...เกิดจากการรวมตัวกันขึ้นมา..เดิมรูปไม่มี..ที่มีคืออากาศที่ว่างเปล่า...

ทีนี้ก็เริ่มเตือนสติตนเสียใหม่...เวลาเห็นวัตถุหรือรูปนอก..ก็เตือนสติตนว่า..แท้จริงแล้วรูปนั้นไม่มี..ที่มีคืออากาศ..แล้วก็เตือนตนด้วยว่า..แม้รูปตนแท้จริงแล้วก็ไม่มี..ที่มีคืออากาศ..

มีอากาศความว่างเป็นอารมณ์ของจิต..สัมผัสอะไรก็รู้สึกว่านั้นมันเป็นความว่างไปเสียหมด...

ต้นเรื่องของเข้าอรูปฌานแรก..ก็ประมาณนี้...


ฮาโหล...ฮาโหล..อโสกะหาย..

:b13: :b13: :b13:


อันนี้รูป..

ส่วน..วิญญาณ..ต้นเรื่องก็มีลักษณะคล้ายๆกัน..คือการพยายามหาทางออกจากทุกข์...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2016, 08:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:

มิใช่กล่าวหา..อโสกะ...

แต่..เตือน..

ต้องเข้าใจก่อนนะครับ...ที่โยคีสมัยก่อนพระพุทธเจ้า..ค้นหาจนเข้าอรูป..ได้..ก็เพราะ...ต้นเหตุจากการพยายามหาทางออกจากทุกข์..นี้แหละคับ..



ต้นเรื่อง...ก็คือความพยายามหาทางออกจากทุกข์..นี้แหละ..

แม้จะได้ฌานแล้ว..แต่ก็ยังพบว่า...มีทุกข์อยู่...ก็รู้ว่า...ยังไม่สิ้นทุกข์..ยังไม่ถึงที่สุด...จึงต้องค้นหาทางออกจากทุกข์ต่อไป..

โยคีบางคนอาจคิดได้ว่า...ก็เพราะมีรูปจึงรู้สึกสุขรู้สึกทุกข์...รูปนอกก็ทำให้เกิดวัตถุให้รับรู้..รูปตนก็เป็นที่รับสัมผัส...เลยคิดได้ว่า..หากไม่มีรูปนอก..ก็ไม่มีวัตถุอะไรให้รับสัมผัส..หากไม่มีรูปตนก็ไม่มีอะไรไปรับสัมผัส...ความทุกข์ก็เกิดไม่ได้...เลยคิดหาความจริงในรูป..มองลึกเข้ามาในรูป...ก็เห็นทุกรูปมีการแยกแตกสลาย...เริ่มมองเห็นรูปเป็นของประกอบ...เกิดจากการรวมตัวกันขึ้นมา..เดิมรูปไม่มี..ที่มีคืออากาศที่ว่างเปล่า...

ทีนี้ก็เริ่มเตือนสติตนเสียใหม่...เวลาเห็นวัตถุหรือรูปนอก..ก็เตือนสติตนว่า..แท้จริงแล้วรูปนั้นไม่มี..ที่มีคืออากาศ..แล้วก็เตือนตนด้วยว่า..แม้รูปตนแท้จริงแล้วก็ไม่มี..ที่มีคืออากาศ..

มีอากาศความว่างเป็นอารมณ์ของจิต..สัมผัสอะไรก็รู้สึกว่านั้นมันเป็นความว่างไปเสียหมด...

ต้นเรื่องของเข้าอรูปฌานแรก..ก็ประมาณนี้...


ฮาโหล...ฮาโหล..อโสกะหาย..

:b13: :b13: :b13:


อันนี้รูป..

ส่วน..วิญญาณ..ต้นเรื่องก็มีลักษณะคล้ายๆกัน..คือการพยายามหาทางออกจากทุกข์...


เขาพูดถึงอะไร คิกๆๆ กบนี่มิจฉาทิฏฐิหนาจินๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2016, 16:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:

มิใช่กล่าวหา..อโสกะ...

แต่..เตือน..

ต้องเข้าใจก่อนนะครับ...ที่โยคีสมัยก่อนพระพุทธเจ้า..ค้นหาจนเข้าอรูป..ได้..ก็เพราะ...ต้นเหตุจากการพยายามหาทางออกจากทุกข์..นี้แหละคับ..



ต้นเรื่อง...ก็คือความพยายามหาทางออกจากทุกข์..นี้แหละ..

แม้จะได้ฌานแล้ว..แต่ก็ยังพบว่า...มีทุกข์อยู่...ก็รู้ว่า...ยังไม่สิ้นทุกข์..ยังไม่ถึงที่สุด...จึงต้องค้นหาทางออกจากทุกข์ต่อไป..

โยคีบางคนอาจคิดได้ว่า...ก็เพราะมีรูปจึงรู้สึกสุขรู้สึกทุกข์...รูปนอกก็ทำให้เกิดวัตถุให้รับรู้..รูปตนก็เป็นที่รับสัมผัส...เลยคิดได้ว่า..หากไม่มีรูปนอก..ก็ไม่มีวัตถุอะไรให้รับสัมผัส..หากไม่มีรูปตนก็ไม่มีอะไรไปรับสัมผัส...ความทุกข์ก็เกิดไม่ได้...เลยคิดหาความจริงในรูป..มองลึกเข้ามาในรูป...ก็เห็นทุกรูปมีการแยกแตกสลาย...เริ่มมองเห็นรูปเป็นของประกอบ...เกิดจากการรวมตัวกันขึ้นมา..เดิมรูปไม่มี..ที่มีคืออากาศที่ว่างเปล่า...

ทีนี้ก็เริ่มเตือนสติตนเสียใหม่...เวลาเห็นวัตถุหรือรูปนอก..ก็เตือนสติตนว่า..แท้จริงแล้วรูปนั้นไม่มี..ที่มีคืออากาศ..แล้วก็เตือนตนด้วยว่า..แม้รูปตนแท้จริงแล้วก็ไม่มี..ที่มีคืออากาศ..

มีอากาศความว่างเป็นอารมณ์ของจิต..สัมผัสอะไรก็รู้สึกว่านั้นมันเป็นความว่างไปเสียหมด...

ต้นเรื่องของเข้าอรูปฌานแรก..ก็ประมาณนี้...



อ้างคำพูด:
แม้จะได้ฌานแล้ว..แต่ก็ยังพบว่า...มีทุกข์อยู่...ก็รู้ว่า...ยังไม่สิ้นทุกข์..ยังไม่ถึงที่สุด...จึงต้องค้นหาทางออกจากทุกข์ต่อไป..

s004
การตั้งมุมมองว่า

อ้างคำพูด:
ต้องเข้าใจก่อนนะครับ...ที่โยคีสมัยก่อนพระพุทธเจ้า..ค้นหาจนเข้าอรูป..ได้..ก็เพราะ...ต้นเหตุจากการพยายามหาทางออกจากทุกข์..นี้แหละคับ..


นี่คงเป็นการคิดสรุปเอาเองตามความเห็นของกบหรือเปล่า
ก็ถือเป็นเหตุผลที่พอใช้ได้ เป็น 1 มุมมองใน 4-8-16-32-64
มุมมอง หรือมากกว่านั้น

แต่มุมมองในการเห็นทุกข์และอยากจะพ้นทุกข์ น่าจะเป็นมุมมองของเจ้าชายสิทธัตถะ มากกว่ามุมมองของโยคีทั้งหลาย
นะครับ

เท่าที่ศึกษาและทราบจากประวัติความเป็นมาของคนอินเดียที่พากันไปบวชเป็นฤาษีหรือโยคีนั้น เขาบวชเพื่อแสวงหา
"อมตะสุข"กันเป็นประเด็นสำคัญมากกว่า จึงเกิดความโลภเพิ่มขึ้นๆอย่างไม่รู้สิ้นสุด
จิตไม่สงบ อยากให้สงบ
จิตไม่มีฌาณ อยากให้เกิดฌาณ
ได้ฌาณแล้วอยากได้ฌาณ 2-3-4 ที่สูงกว่า
จบรูปฌาณแล้วเพียรค้นหาสุขที่เหนือกว่า จนได้พบอรูปฌาณ 1-2-3-4 หรือฌาณ 5-6-7-8 หมดความสามารถของฤาษีแล้วจึงพากันสรุปว่านี่คืออมตะสุขหรือนิพพานของฤาษี

ทั้งหมดทั้งมวลนั้นล้วนถูกอำนาจของตัณหาและโลภะเป็นตัวผลักดันหาใช่การเห็นทุกข์แล้วดิ้นรนออกจากทุกข์อย่างเจ้าชายสิทธัตถะ

กบเคยไปอินเดียแล้วเห็นความโกรธของพวกฤาษีที่เข้าฌาณได้เหล่านี้ไหม โกรธแรงมาก กิเลสตัณหามิได้ลดน้อยถอยลงตามระดับของฌาณที่ได้เลย หรือว่าพวกนี้เป็นฤาษีรุ่นใหม่

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2016, 19:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004
การตั้งมุมมองว่า

อ้างคำพูด:
ต้องเข้าใจก่อนนะครับ...ที่โยคีสมัยก่อนพระพุทธเจ้า..ค้นหาจนเข้าอรูป..ได้..ก็เพราะ...ต้นเหตุจากการพยายามหาทางออกจากทุกข์..นี้แหละคับ..


นี่คงเป็นการคิดสรุปเอาเองตามความเห็นของกบหรือเปล่า
ก็ถือเป็นเหตุผลที่พอใช้ได้ เป็น 1 มุมมองใน 4-8-16-32-64
มุมมอง หรือมากกว่านั้น

[size=150]แต่มุมมองในการเห็นทุกข์และอยากจะพ้นทุกข์ น่าจะเป็นมุมมองของเจ้าชายสิทธัตถะ มากกว่ามุมมองของโยคีทั้งหลาย

นะครับ

เท่าที่ศึกษาและทราบจากประวัติความเป็นมาของคนอินเดียที่พากันไปบวชเป็นฤาษีหรือโยคีนั้น เขาบวชเพื่อแสวงหา
"อมตะสุข"กันเป็นประเด็นสำคัญมากกว่า จึงเกิดความโลภเพิ่มขึ้นๆอย่างไม่รู้สิ้นสุด
จิตไม่สงบ อยากให้สงบ


:b9: :b9: :b9:

อมตะสุข...คือมีแต่สุข..ทุกข์ไม่มี..ไม่ใช่รึอโสกะ..

พอผมพูดว่า..พ้นจากทุกข์..อโสกะกลับมาห่วง...คำว่าพ้นจากทุกข์...นี้อะนะ..

:b13: :b13: :b13:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 223 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13 ... 15  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 154 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร