วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 04:13  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2016, 19:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีสมาชิกตั้งกระทู้ทำนองนี้ที่

viewtopic.php?f=1&t=53063


พอเทียบกันได้กับเรื่องในหนังสือนี้

รูปภาพ


จะคัดบางตอนให้ศึกษาดู

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2016, 19:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความเชื่อในของขลังสิ่งศักดิ์สิทธ์ต้องมากับคุณธรรมความดี ต้องเรียกร้องศีลธรรม เวลานี้เป็นอย่างไร ไม่มีการเรียกร้องศีลธรรม มีแต่เรียกร้องโชคลาภอย่างเดียว ต้องการโชคลาภก็เอาเงินไปเช่า/ซื้อเอามา เป็นอันว่าแค่นี้ก็จะได้โชคลาภ ก็หมดเรื่องกัน ศีลธรรมไม่ต้องประพฤติ กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่ซื้อได้ด้วยเงิน แล้วแถมไม่มีคุณค่าทางศีลธรรมจริยธรรม ตรงข้ามกับสมัยก่อนหมดเลย วิปริตผันแปรกันไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2016, 19:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนไทยสมัยก่อน กับ คนไทยสมัยนี้ ใครมีแววชาวพุทธมากกว่ากัน


) พระสมัยก่อนก็ให้ของขลัง พระสมัยนี้ก็ให้วัตถุมงคล มองลึกลงไป ต่างกันอย่างไร

เรื่องการทำของขลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ชาวบ้าน หลายท่านพิจารณาแล้วก็บอกว่า พระเก่าๆสมัยก่อนก็เป็นเหมือนกันนี่ ท่านก็ให้เหมือนกัน ก็เลยต้องขอโอกาสพูดว่า ไม่เหมือนกัน

พระสมัยเก่าของเราก็มีการให้ของขลังเหมือนกัน มีพระที่เรานับถือว่าศักดิ์สิทธิ์ อาจจะเรียกว่าเก่งทางไสยศาสตร์ก็ได้ ท่านมีเวทมนต์อะไรต่างๆ แต่ความนับถือสมัยก่อนพร้อมทั้งพฤติกรรมของพระสงฆ์เหล่านั้นกับสมัยนี้ ไม่เหมือนกัน ถอยหลังไปแค่สัก ๔๐-๕๐ ปี เท่านั้น จะต่างจากสมัยนี้

จะขอเล่าเรื่องตัวบุคคลมาเป็นตัวอย่างก็แล้วกัน ตัวอย่างนี้ ขอนำเรื่องหลวงพ่อของผู้เขียนเองมาเล่า คือ หลวงพ่อวัดบ้านกร่าง

วัดบ้านกร่างนั้น เป็นวัดหนึ่งที่มีชื่อในเรื่องพระขลัง หลายท่านรู้จักพระขุนแผนวัดบ้านกร่าง หลวงพ่อวัดบ้านกร่างที่จะเล่านี้เป็นอุปัชฌาย์ตอนบวชเณร ถ้าท่านอยู่บัดนี้ก็อายุเกินร้อยไปแล้ว แต่ท่านถึงมรณภาพไปแล้วเมื่ออายุประมาณ ๙๐ ปี

ท่านเป็นที่นับถืออย่างกว้างขวางว่าเป็นผู้ที่ขลังมาก ชาวบ้านมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ ถูกผีเข้า ถูกทำคุณไสย์ ก็มาหาท่าน ท่านก็ช่วยแก้ไขให้


หลวงพ่อวัดบ้านกร่างเป็นที่นับถือมาก จนกระทั่งว่าเวลาท่านจะทำอะไร คนก็พร้อมเพรียงกันมาให้แรงงานเต็มที่ แม้กระทั่งจะย้ายวัด คือย้ายเสนาสนะอาคารทั้งวัดไปตั้งในที่ใหม่ ก็ไม่ต้องรื้อออก แต่ใช้กำลังคนมือเปล่ายกกุฏิ และหอสวดมนต์เป็นต้นเดินไปวางในที่ที่ต้องการ เช่น ยกหอสวดมนต์ใหญ่ ญาติโยมก็ให้ช่างมาตัดเสาไว้ แล้วก็เอาไม้ไผ่ขันขนาบเสา และผูกเพิ่มในระกว่างให้ถี่ พอให้คนลงไปยืนยกไม้ไผ่ช่องละคน พอถึงวันนัด ประชาชนก็มาเต็มหมด เมื่อพร้อมกันแล้วก็ให้สัญญาณ คนจำนวนพันก็ยกหอสวดมนต์ ยกหอระฆัง ยกกุฏิไปทั้งหลัง เดินไปเลยเหมือนหอสวดมนต์ กุฏิ เป็นต้น เดินไปได้ ก็สำเร็จ นี่เพราะความเชื่อความศรัทธา



ทีนี้ ที่ว่าท่านมีชื่อในเรื่องขลังนั้น จริยาวัตรของท่านเป็นอย่างไร ปรากฏว่า ในชีวิตประจำวัน ท่านไม่เคยพูดถึงเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของขลังเลย มนต์คาถาไม่เคยพูดถึง สิ่งที่คืออะไร คือ สอนธรรมะ สอนชาวบ้านว่าควรจะประพฤติตัวอย่างไร ดำเนินชีวิตอย่างไร ทำมาหากินอย่างไร อยู่ร่วมกันอย่างไร สอนลูกศิษย์ฝ่ายพระสงฆ์ว่า ควรจะตั้งตนอยู่ในธรรมวินัยอย่างไร



สิ่งที่ทำก็คือสอนธรรมะ แต่เวลามีชาวบ้านหรือลูกศิษย์คนไหนเกิดเหตุร้าย ผีเข้า ถูกทำคุณไสย์ อย่างที่ว่าเมื่อกี้มาหาท่าน ท่านก็ทำให้เฉพาะตัวเฉพาะราย แก้ไขบำบัดปัดเป่า ให้เขาพ้นจากภัยอันตรายเหล่านั้นไปได้ ก็จบเท่านั้น


อันนี้เป็นสิ่งที่น่าสังเกต ขอเล่าต่ออีกนิดหนึ่ง ของดีของท่านเช่นพระเครื่องนี่ อย่าว่าแต่จะเอาปัจจัยไปถวายเลย ไปขอก็ไม่ให้ ถ้าท่านจะให้ ท่านให้เอง ท่านพิจารณา ก็คงเหมือนกับพระโบราณทั้งหลาย

เวลาลูกศิษย์เติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา จะย้ายถิ่นฐาน ไปทำมาหาเลี้ยงชีพ ถ้าเป็นคนดี ท่านพิจารณาแล้ว ท่านก็เรียกมาเฉพาะตัว แล้วก็บอกว่า เธอนะเป็นคนดี ตอนนี้เธอจะไปอยู่ในถิ่นฐานอื่น ฉันจะให้ของดีไว้คุ้มครอง เอานะ พระองค์นี้เอาไปรักษาไว้แล้วขอให้ประพฤติตัวให้ดี ตั้งใจขยันหมั่นเพียรทำมาหากินโดยสุจริต ดำเนินชีวิตอยู่ในศีลในธรรม จงทำความดีอย่างนี้ๆ อย่าทำความชั่วอย่างนั้นๆ กำกับศีลธรรมให้เสร็จ


ของดีนั้น เมื่อลูกศิษย์รับไปแล้ว ก็เก็บไว้เป็นของสำคัญ เพราะอุปัชฌาย์อาจารย์ให้มา เก็บรักษาไว้อย่างดีจนกระทั่งถึงรุ่นลูก ตัวเองแก่แล้ว หรือลูกโตแล้ว ก็มอบให้ลูก แล้วก็จะกำกับและกำชับแบบเดียวกัน เช่นว่า พระนี้อุปัชฌาย์ของพ่อให้มา (หรือปู่ให้มา) พ่อเคารพบูชาเก็บรักษาไว้อย่างดีที่สุด เวลานี้ ลูกโตแล้ว พ่อจะให้ลูกไว้คุ้มครองตัว ขอให้ตั้งใจประพฤติดี ตั้งใจทำมาหากิน และเก็บรักษาพระนี้ไว้ให้ดี


จากนั้น ลูกก็มอบให้ลูกของลูกต่อไปอีก พระหรือของดีนั้น ก็จะสืบทอดกันไป ทั้งเป็นของที่หาได้ยากสืบสายไปในวงศ์ตระกูล

เท่าที่เล่ามานี้ ทำให้มองเห็นความหมายอย่างไรบ้าง แล้วลองนำมาเทียบกับสมัยปัจจุบัน


สิ่งที่ต้องการพูดในที่นี้ก็คือ เราจะเห็นว่า การนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของขลังสมัยก่อนนั้น ยังมีพระพุทธศาสนาเป็นหลัก ตัวแกนที่ปรากฏเด่นชัดก็คือธรรม หรือคำสอนศีลธรรม การทำความดี เว้นจากความชั่ว อันนี้เป็นหลัก ส่วนของขลังไสยศาสตร์เป็นของที่พ่วงอยู่แอบอยู่ และเป็นสื่อ หรือเป็นสะพานทอดเปิดทางให้แก่ธรรม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 22 ส.ค. 2016, 19:42, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2016, 19:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลักษณะสำคัญที่ควรสังเกต ๓ ประการ คือ

ประการที่หนึ่ง ของขลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และไสยศาสตร์เหล่านี้ พระสมัยก่อนท่านรู้ไว้ มีไว้ และให้เพื่ออะไร ขอใช้คำว่า มีไว้สำหรับปิดช่องความหวั่นใจ


พุทธศาสนิกชนชาวบ้านทั้งหลายนี้ โดยทั่วไปก็เป็นปุถุชน สภาพจิตของปุถุชน ย่อมมีจุดอ่อนอย่างหนึ่ง คือ ความไม่มั่นใจเกี่ยวกับความเป็นไปในชีวิต ความที่ยังหวาดในอำนาจเร้นลับที่มองไม่เห็น ถึงแม้เป็นพุทธศาสนิกชน และเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ยังอดหวาดกังวลไม่ได้ มาหาหลวงพ่อ ท่านสอนธรรมะให้ ตัวเองฟังแล้ว ในใจก็ยังหวั่นอยู่นั่นแหละ เวลาเกิดเหตุการณ์ร้ายๆ ขึ้นมา ก็ยังห่วงยังหวาดอยู่ว่าจะมีอะไรเร้นลับที่บันดาล มีเทพเจ้าหรือผีสางกลั่นแกล้ง หรืออาจถูกผู้นั้นผู้นี้ทำคุณไสย์ให้ เพราะฉะนั้นก็กังวลไม่สบายใจ

ทีนี้ มาหาพระแล้ว พระได้แต่สอนเอาๆให้ธรรมะไป ตัวเองก็เชื่อตามนั้น แต่ความหวั่นใจ หรือความหวาดก็ยังมีอยู่ ไม่แน่ใจเต็มที่ กลับไปบ้านแล้วคิดกลับไปกลับมา ดีไม่ดีนึกขึ้นว่า เอ! เราเอาอะไรประกันตัวปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า ก็เลยดอดไปหาหมอผี ไปหาหมอไสยศาสตร์


พอไปหาแล้ว หมอผีหรือหมอไสยศาสตร์ก็อาจเรียกร้องเงินทองมาก และบางทีเรื่องไม่หยุดแค่นั้น หมอผีไสยศาสตร์อาจจะบอกให้ทำอะไรต่ออะไรต่อไปอีก ดีไม่ดีก็ชักจูงออกจากพระศาสนาไปหลงติดในเรื่องอย่างนั้น หรืออาจจะให้ทำสิ่งที่เป็นเรื่องเลวร้าย ที่เป็นเรื่องของกิเลสโลภะ โทสะ เช่นบอกว่า คนนี้เขาทำเธอมานะ ต้องแก้แค้น ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ไปกันใหญ่


เพราฉะนั้น พระของเราจึงต้องมีไว้บ้าง บางองค์ต้องเป็นผู้ที่เก่งกว่าพวกหมอผีคุณไสย์เหล่านั้น แกทำได้ ฉันก็แก้ได้ แต่ฉันทำในแง่ดีอย่างเดียว เป็นเรื่องคุณอย่างเดียว แก้ไขอย่างเดียว แกทำมาฉันแก้ได้ ให้เก่งกว่าพวกผีไสย์เหล่านั้น ตามแนวที่ที่ว่ามีฤทธิ์ไว้ปราบฤทธิ์


เพราฉะนั้น มีเรื่องอะไร พอมาที่พระแล้วท่านปิดช่องให้เสร็จ มาแล้วสบายใจ ไม่ต้องไปหาหมอผีอีก ก็หมดเรื่องกันไป แล้วยังสอนธรรมหรือหลักศีลธรรมขมวดท้ายไปด้วย จึงเป็นการปิดช่องความหวั่นใจให้แก่พุทธศาสนิกชน


แต่ท่านใช้แค่เป็นเครื่องปิดช่องความหวั่นใจเท่านั้น เข้าทำนองคติที่ว่าเอาฤทธิ์ปราบฤทธิ์ ปราบเสร็จแล้วก็เอาธรรมให้ เพราะฉะนั้น เรื่องผีสางคุณไสย์จึงไม่สามารถเกลื่อนกลาดดาษดาไปแน่นอน เพราะว่าตัวหลักยังคุมอยู่ คือธรรมวินัย ได้แก่ หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นตัวหลักเป็นตัวปรากฏเด่น


อนึ่ง ยังมีเหตุผลสำคัญที่พระของเราสมัยก่อนต้องใช้วิธีนี้ และการที่เรื่องเหล่านี้ยังมีอยู่ ทั้งที่คนไทยแทบทั้งหมดนับถือพระพุทธศาสนา

เหตุผลแรกก็คือ ความเชื่อผีสางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และการนับถือศาสนาพราหมณ์นั้น มีอยู่ในสังคมไทยก่อนพระพุทธศาสนาจะเข้ามาด้วยซ้ำไป ความเชื่อเหล่านี้ยังไม่หมดไป ก็อยู่คู่กันมากับพระพุทธศาสนา


เหตุผลใหญ่ข้อต่อไปก็คือ พระพุทธศาสนาไม่มีการบังคับศรัทธา ไม่ใช้กำลังหรือวิธีการบีบบังคับคนให้เขาเปลี่ยนความนับถือ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา และปัญญาเป็นสิ่งที่บังคับยัดเยียดใส่ให้กันไม่ได้ ต้องค่อยๆสอน ค่อยๆแนะนำกันไป พระสงฆ์จึงต้องยอมรับคนเหล่านี้ตามที่เขาเป็นอยู่แล้ว เข้าไปสอนแนะนำเขาเมตตากรุณา ค่อยๆช่วยให้เขาพัฒนากำลังใจ และปัญญาขึ้นมา เมื่อเขาพัฒนาขึ้น เขาก็จะละเลิกความเชื่อถือเหล่านั้นไปได้เอง


ข้อสำคัญอยู่ที่พระจะต้องยอมเหนื่อยยอมอดทน มuเมตตากรุณา ตั้งใจคอยให้ธรรม ไม่ละทิ้งหน้าที่ธรรมทานนี้ ในระหว่างนั้น ก็คอยปิดช่องความหวั่นใจให้เขาไปตามความจำเป็น


พระบางองค์อาจจะสอนเก่งจริงจนทำให้คนจำนวนมากมีกำลังใจเข้าถึงปัญญา ชนิดข้ามพ้นสิ่งเหล่านี้ไปได้ทีเดียวเลย แต่ในหมู่ชาวบ้าน ก็ยังจะมีคนที่อ่อนกำลังใจอ่อนปัญญา ที่ต้องปิดช่องหวั่นใจอยู่นั่นแหละ เรื่องฤทธิ์เดชก็จึงยังมีอยู่ เพียงแต่ว่าตัวพระเองจะต้องไม่เสียหลัก ฤทธิ์เดชจะต้องถูกมองเป็นเรื่องเป็ดเตล็ด และต้องเป็นเครื่องสื่อธรรม จะให้เด่นขึ้นมาบังธรรม ไม่ได้เป็นอันขาด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2016, 19:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ประการที่สอง ก็คือ พระเครื่องของขลังวัตถุมงคลเหล่านั้น สมัยก่อนไม่มีราคา ไม่มีค่าเป็นเงินทอง จะให้ก็ให้ยากอย่างว่า เช่น ให้ต่อเมื่อเห็นว่าประพฤติดี แล้วก็ให้เปล่าๆ ข้อนี้มาเทียบกับปัจจุบันจะเห็นว่าเป็นอย่างไร ปัจจุบันนี้มีราคาเป็นเงินเป็นทอง จนบางทีจะกลายเป็นสินค้า

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2016, 19:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ประการที่สาม ก็คือ เป็นสิ่งเรียกร้องข้อกำหนดทางศีลธรรม เวลาจะให้ท่านจะบอกว่า เธอต้องเว้นความชั่วอันนั้น ต้องเว้นความชั่วอันนี้ ต้องประพฤติปฏิบัติตัวให้ดีอย่างนั้นๆ พระจึงจะคุ้มครอง


เมื่อประมาณ ๕๐ ปีมาแล้ว ที่อำเภอศรีประจันต์ มีท่านขุนผู้หนึ่งเก่งมากในการปราบโจร ชื่อขุนศรีประจันต์รักษา เลื่องลือกันว่าท่านขุนมีของดีหนังเหนียวอยู่ยงคงกระพัน


วันหนึ่ง ท่านขุนศรีฯ ไปปราบโจร แต่ถูกยิงตาย อ้าว! ทำไมล่ะ ชาวบ้านลือกันแซดว่า ตอนนั้น ไม่ทราบเกิดอะไรขึ้น ท่านขุนศรี ฯ โกรธโจรขึ้นมา ก็เผลอไปด่าแม่โจร พอด่าแม่โจรปั๊บ โจรก็ยิงมาปังเดียว ตายเลย เขาบอกว่าอย่างนั้น อันนี้เป็นตัวอย่าง


ความเชื่อในของขลังสิ่งศักดิ์สิทธ์ต้องมากับคุณธรรมความดี ต้องเรียกร้องศีลธรรม เวลานี้เป็นอย่างไร ไม่มีการเรียกร้องศีลธรรม มีแต่เรียกร้องโชคลาภอย่างเดียว ต้องการโชคลาภก็เอาเงินไปเช่า/ซื้อเอามา เป็นอันว่าแค่นี้ก็จะได้โชคลาภ ก็หมดเรื่องกัน ศีลธรรมไม่ต้องประพฤติ กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่ซื้อได้ด้วยเงิน แล้วแถมไม่มีคุณค่าทางศีลธรรมจริยธรรม ตรงข้ามกับสมัยก่อนหมดเลย วิปริตผันแปรกันไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2016, 19:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ประการต่อไป วัตถุมงคลเหล่านี้ สมัยก่อนเป็นของหายาก พร้อมกับพ่วงเอาคุณค่าอย่างสูงทางจิตใจไว้กับตัวด้วย แต่สมัยนี้ กลายเป็นของหาง่ายกลื่อนกลาด มันตรงข้ามกับสมัยก่อน สมัยก่อนนั้น กว่าจะได้ทีแสนยาก ครูอาจารย์ท่านต้องเห็นว่าเขาประพฤติดี และถึงโอกาสที่สมควรจึงให้


นอกจากนั้น ยังมีคุณค่าความหมายสำคัญอีก คือ เป็นเครื่องผูกพันทางจิตใจ หนึ่ง ผูกพันบุคคลที่มีของดีนั้นไว้กับพระพุทธศาสนา ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า และคำสอนของพระองค์ แต่ไม่แค่นั้น สอง เวลานึกถึงพระที่อยู่ที่คอตัวเอง ก็ระลึกรู้ตระหนักแก่ใจว่า พระองค์นี้หลวงพ่อพระอุปัชฌาย์ให้ นึกถึงพระอุปัชฌาย์อาจารย์ และคำสั่งฝากของท่าน


ต่อมา ลูกศิษย์คนนี้โต มีครอบครัว แก่ลง มอบให้ลูกให้หลาน ลูกหลานเวลานึกถึงพระที่ห้อยคออยู่ ก็นึกถึงพระพุทธเจ้าด้วย นึกถึงปู่ย่าตายายด้วย เป็นเครื่องผูกพันกับบรรพบุรุษของตน พร้อมทั้งน้ำใจและคุณธรรมที่ท่านสั่งสอนมา ทั้งหมดนี้ไปด้วยกันหมดเลย


แต่ปัจจุบัน คุณเหล่านี้กำลังจะหมดไปหายไป เวลานี้ ความหมายอะไรเหล่านี้แทบจะไม่เหลืออยู่เลย


เพราะฉะนั้น แม้ว่าสมัยก่อนก็มีของขลัง พระเครื่อง เป็นต้น แต่ของขลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ก็ไม่เหมือนกันแล้วกับที่มีในสมัยก่อน มันวิปลาสคลาดเคลื่อนออกไปแล้ว


เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะมีสิ่งเหล่านี้ ก็ควรให้ถูกต้อง ให้ได้หลักของโบราณ อย่าไปดูถูกคนโบราณว่าไม่ได้ความ นึกว่าท่านก็มีของขลังสิ่งศักดิ์สิทธิไสยศาสตร์ แต่ที่จริงเราแพ้ท่านแน่นอน ท่านมีหลัก แต่เราไม่มีหลักเลย เราไม่สามารถ และไม่คิดจะใช้สิ่งเหล่านี้มาเป็นสื่อนำเข้าสู่ธรรม ฝ่ายหนึ่งก็คิดจะหาลาภ อีกฝ่ายหนึ่งก็หวังจะได้โชคลาภ อยู่ไต้ครอบงำของระบบผลประโยชน์กันหมด


ถ้าหากว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของขลังเหล่านี้ยังเป็นเครื่องเรียกร้องข้อกำหนดทางศีลธรรมอยู่ มันก็ยังมีคุณค่าทางพระพุทธศาสนาอยู่ นอกจากนั้น ยังเป็นสื่อนำหรือโยงเราเข้าสู่ธรรมะด้วย โดยเฉพาะในเลาที่ท่านให้ของดี และท่านถือเป็นโอกาสที่จะสั่งสอนธรรมนั้น คนที่จะเอาของดีจะตั้งใจฟังธรรมที่ท่านสอนอย่างจริงจัง เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะใช้สิ่งเหล่านี้ก็ควรจะต้องใช้ให้ถูกต้อง


ที่ว่ามานี้ เป็นเรื่องที่ขอนำมาเล่าให้เห็นว่า สภาพความคลาดเคลื่อน ทั้งจากหลักการของพระพุทธศาสนา ทั้งจากประเพณีนิยมในสังคมไทยของเราเอง ได้เป็นไปถึงขนาดไหนแล้ว มันจึงทำให้สังคมของเราวิปริตผันแปรไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2016, 19:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข) คนไทยสมัยนี้ นับถือพระพุทธศาสนาเป็นหลักหรือนับถือไสยศาสตร์เป็นหลัก



เรื่องที่พูดในตอนนี้ เป็นการให้ช่วยกันพิจารณาตอบคำถามว่า “เวลานี้ คนไทยนับถือพระพุทธศาสนาเป็นหลักหรือนับถือไสยศาสตร์เป็นหลัก” ซึ่งรวมทั้งคำถามว่า “สมัยก่อนก็ให้ของขลัง สมัยนี้ก็มีของขลัง ต่างกันอย่างไร?” ได้พูดมายืดยาว เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญ จึงขอสรุปไว้ด้วย


ถ้าคนไทยนับถือพระพุทธศาสนาเป็นหลัก ไสยศาสตร์เป็นเพียงสิ่งพ่วงแฝงมา สังคมจะมีพฤติการณ์ ดังนี้

๑. ความนับถือหลักการของพระพุทธศาสนา และการสอนธรรมจะปรากฏเด่นเป็นพื้น ส่วนของขลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพไสย์ จะมีเพียงพ่วงแฝงหรือแอบอยู่ และใช้เพียงเป็นเครื่องปิดช่องความหวั่นใจ ทำนองคติเอาฤทธิ์ไว้ปราบฤทธิ์


๒. การให้หรือการปฏิบัติเกี่ยวกับของขลัง เป็นต้น นั้น จะเน้นที่การกำกับข้อปฏิบัติทางศีลธรรม หรือใช้เป็นสื่อสู่การสอนธรรม


๓. ของขลัง เป็นต้นเป็นของให้เปล่า ไม่มีราคา เพราะเป็นสื่อคุณค่าทางนามธรรม


๔. เป็นของให้ยาก และหายาก ไม่เกลื่อนกลาด และผนวกอยู่กับคุณค่าทางจิตใจ เช่นโยงไปถึงบรรพบุรุษบุรพการี


ถ้าพฤติการณ์เป็นไปในทางตรงข้ามจากนี้ ก็แสดงว่า คนไทยนับถือไสยศาสตร์เป็นหลัก พุทธศาสนาเป็นเพียงสิ่งประกอบเลือนรางอยู่ คือ


๑. การเชื่อถือทางไสยศาสตร์ และการหวังพึ่ง อำนาจลี้ลับปรากฏเด่นเป็นพื้นในสังคม ชาวพุทธไม่รู้หลักการของพระพุทธศาสนา การสอนธรรมเพียงแอบๆอยู่


๒. ของขลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องของการสนองกิเลส ในการหาผลประโยชน์ ความกลัวภัย และการแก่งแย่งดิ้นรนต่อสู้กันของมนุษย์ปุถุชน ไม่เป็นสื่อดึงคนขึ้นสู่คุณธรรมความดีงาม และการพัฒนาชีวิตของตน ไม่มีการกำกับศีลธรรม


๓. เป็นของมีราคา และมุ่งเงินทอง ของตอบสนอง แม้กระทั่งเป็นการซื้อขาย


๔. เป็นของหาง่าย มีเกลื่อนกลาด จนอาจกลายเป็นความศักดิ์สิทธิ์ที่ซื้อขายได้ด้วยเงิน ด้อยคุณค่าทางจิตใจ


อีกเรื่องหนึ่ง การที่ต้องยอมรับความจริงว่า ความเชื่อถือเกี่ยวกับอำนาจลี้ลับและหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์เทพไสย์เหล่านี้ จะมีอยู่ต่อไป เพียงแต่ให้เป็นสิ่งแฝงแอบอยู่หรือเป็นเรื่องเบ็ดเตล็ด โดยให้พระพุทธศาสนาเป็นหลักอยู่ ก็ควรพอใจ ข้อนี้ มีเหตุผลสำคัญ คือ

๑. เป็นนิสัยของปุถุชน เมื่อมีชีวิตอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมและความเป็นไปที่ตนเองไม่รู้ทั่วถึงและบังคับไม่ได้ มีความเข้มแข็งและปัญญาไม่พอ ยังมีความหวาดหวั่นต่อสิ่งที่ไม่รู้และไม่อาจคาดหมาย จึงมีความโน้มเอียงที่จะหวังพึ่งอำนาจเร้นลับภายนอก จะพ้นไปได้มากหรือน้อย ก็อยู่ที่ฝ่ายธรรมจะทำหน้าที่ได้เพียงใด


๒. ความเชื่อผีสางสิ่งศักดิ์สิทธิ และลัทธิพราหมณ์มีอยู่ก่อนพระพุทธศาสนาเข้ามา และอยู่ในสังคมไทยคู่เคียงกับพระพุทธศาสนา จนถึงปัจจุบัน เป็นความจริงตามสภาพประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม


๓. หลักการของพระพุทธศาสนา ไม่มีการบังคับศรัทธา ไม่ใช้กำลังหรือวิธีบังคับ โดยถือตามหลักธรรมชาติของมนุษย์ว่า ปัญญาเป็นสิ่งยัดเยียดให้กันไม่ได้ จึงต้องยอมรับเขาตามที่เขาเป็นอยู่ แล้วเข้าไปช่วยเหลือแนะนำสั่งสอนด้วยเมตตากรุณาให้เขาพัฒนาขึ้นมา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2016, 20:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระสมัยก่อน เมื่อเห็นลูกศิษย์เป็นคนดี จะออกเรือน จะย้ายถิ่น เป็นต้น ท่านก็มอบของดีเช่นพระเครื่องเป็นต้นให้ แล้วกำกับด้วยหลักศีลธรรมสำหรับปฏิบัติ ท่านก็เลียนแบบพระพุทธเจ้านั่นเอง


ตัวอย่าง ก็เช่นที่ว่า


ครั้งหนึ่ง อุชชัยพราหมณ์ได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และกราบทูลว่า ตนจะไปอยู่ต่างถิ่น จะขอให้พระพุทธองค์แสดงธรรม ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขปัจจุบัน และธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขภายหน้า

พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า

“ดูกรพราหมณ์ ธรรม ๔ ประการนี้ เป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขปัจจุบัน กล่าวคือ อุฏฐานสัมปทา อารักขสัมปทา กัลยาณมิตตตา สมชีวิตา


๑) อุฏฐานสัมปทา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรหาเลี้ยงชีพด้วยความขยันในการงาน ไม่ว่าจะเป็นกสิกรรม ก็ดี พาณิชยกรรม ก็ดี โครักขกรรม ก็ดี ราชการทหาร ก็ดี ราชการพลเรือน ก็ดี ศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ดี เธอเป็นผู้ขยัน ชำนิชำนาญ ไม่เกียจคร้าน ในงานนั้น ประกอบด้วยปัญญาเครื่องสอบสวนตรวจตรา รู้จักวิธีปฏิบัติในเรื่องนั้นๆ สามารถทำ สามารถจัดการ นี้เรียกว่า อุฏฐานสัมปทา


๒) อารักขสัมปทา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรมีโภคทรัพย์ ที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร เก็บรวบรวมขึ้นด้วยกำลังแขน อย่างอาบเหงื่อต่างน้ำ เป็นของชอบธรรม ได้มาโดยธรรม เธอจัดการรักษาคุ้มครองทรัพย์เหล่านั้น โดยพิจารณาว่า ทำอย่างไร ราชาทั้งหลายจะไม่พึงริบโภคะเหล่านี้ของเราเสีย พวกโจรไม่พึงลักไปเสีย ไฟไม่พึงไหม้เสีย น้ำไม่พึงพาไปเสีย ทายาทอัปรีย์ก็จะไม่พึงเอาไปเสีย นี้เรียกว่า อารักขสัมปทา


๓) กัลยาณมิตตตา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรเข้าอยู่อาศัยในคามหรือนิคมใดก็ตาม เธอเข้าสนิทสนมสนทนาปราศรัย ถกถ้อยปรึกษา กับท่านที่เป็นคหบดีบ้าง บุตรคหบดีบ้าง พวกคนหนุ่มที่มีความประพฤติเป็นผู้ใหญ่บ้าง คนสูงอายุที่มีความประพฤติเป็นผู้ใหญ่บ้าง ผู้ประกอบด้วยศรัทธา ประกอบด้วยศีล ประกอบด้วยจาคะ ประกอบด้วยปัญญา เธอศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยศรัทธา ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยศรัทธา ศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยศีล ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยศีล ศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยจาคะ ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยจาคะ ศึกษาเยี่ยงอย่างความเพียบพร้อมด้วยปัญญา ของท่านผู้เพียบพร้อมด้วยปัญญา นี้เรียกว่า กัลยาณมิตตตา


๔) สมชีวิตา เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรเลี้ยงชีวิพอเหมาะ ไม่ให้ฟุ่มเฟือยเกินไป ไม่ให้ฝืดเคืองเกินไป โดยรู้เข้าใจทางเพิ่มพูนและทางลดถอยแห่งโภคทรัพย์ ว่าทำอย่างนี้ รายได้ของเราจึงจะเหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจึงจักไม่เหนือรายได้ เปรียบเหมือนคนชั่งตาชั่งหรือลูกมือคนชั่งยกตาชั่งขึ้นแล้ว ย่อมรู้ว่าหย่อนไปเท่านั้น หรือเกินไปเท่านี้


“ถ้าหากกุลบุตร นี้ รายได้น้อย แต่เลี้ยงชีวิตอย่างฟุ้งเฟ้อ ก็จะมีผู้กล่าวว่าเอาได้ว่า กุลบุตรผู้นี้ ...กินใช้ทรัพย์สมบัติเหมือนคนกินมะเดื่อ ถ้ากุลบุตรนี้มีรายได้มาก แต่เลี้ยงชีวิตอย่างฝืดเคือง ก็จะมีผู้กล่าวว่าเอาได้ว่า กุลบุตรผู้นี้ คงจะตายอย่างคนอนาถา แต่เพราะกุลบุตรนี้เลี้ยงชีวิตพอเหมาะ...นี้เรียกว่า สมชีวิตา



"ดูกรพราหมณ์ โภคะที่เกิดขึ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมี อบายมุข (ช่องทางเสื่อม) ๔ ประการ คือ เป็นนักเลงหญิง เป็นนักเลงสุรา เป็นนักเลงการพนัน มีมิตรชั่วสหายชั่ว ฝักใฝ่ในคนชั่ว เปรียบเหมือนอ่างเก็บน้ำแหล่งใหญ่ มีทางไหลเข้า ๔ ทาง มีทางไหลออก ๔ ทาง หากคนปิดทางน้ำเข้าเสีย เปิดแต่ทางน้ำออก อีกทั้งฝนก็ไม่ตกต้องตามฤดูกาล เมื่อเป็นเช่นนี้ อ่างเก็บน้ำใหญ่นั้น เป็นอันหวังได้แต่ความลดน้อยลงอย่างเดียว ไม่มีความเพิ่มขึ้นได้เลย...



“ดูกรพราหมณ์ โภคะที่เกิดขึ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมี อายมุข (ช่องทางเพิ่มขึ้น) ๔ ประการ คือ ไม่เป็นนักเลงหญิง ไม่เป็นนักเลงสุรา ไม่เป็นนักเลงการพนัน มีมิตรดี มีสหายดี ใฝ่ใจในกัลยาณชน เปรียบเหมือนอ่างเก็บน้ำใหญ่ ใหญ่ มีทางไหลเข้า ๔ ทาง มีทางไหลออก ๔ ทาง หากคนเปิดทางน้ำเข้า ปิดทางน้ำออก และฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล เมื่อเป็นเช่นนี้ อ่างเก็บน้ำใหญ่นั้น เป็นอันหวังได้แต่ความเพิ่มพูนอย่างเดียว ไม่มีความลดน้อยลงเลย...

“ดูกรพราหมณ์ ธรรม ๔ ประการ เหล่านี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขปัจจุบัน แก่กุลบุตร”

จากนั้น ตรัสแสดงธรรม ๔ ประการ ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขเบื้องหน้า หรือประโยชน์ล้ำเลยตาเห็น (สัมปรายิกัตถะ) คือ สัทธาสัมปทา ศีลสัมปทา จาคสัมปทา และปัญญาสัมปทา

(องฺ.อฏฺฐก.23/145/294)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2016, 20:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เมื่อประมาณ ๕๐ ปีมาแล้ว ที่อำเภอศรีประจันต์ มีท่านขุนผู้หนึ่งเก่งมากในการปราบโจร ชื่อขุนศรีประจันต์รักษา เลื่องลือกันว่าท่านขุนมีของดีหนังเหนียวอยู่ยงคงกระพัน


วันหนึ่ง ท่านขุนศรี ฯ ไปปราบโจร แต่ถูกยิงตาย อ้าว! ทำไมล่ะ ชาวบ้านลือกันแซดว่า ตอนนั้น ไม่ทราบเกิดอะไรขึ้น ท่านขุนศรี ฯ โกรธโจรขึ้นมา ก็เผลอไปด่าแม่โจร พอด่าแม่โจรปั๊บ โจรก็ยิงมาปังเดียว ตายเลย เขาบอกว่าอย่างนั้น



ตำบลศรีประจันต์ เดิมชื่อว่า ตำบลกระพุ้ง มาในราวปี พ.ศ. 2480 ได้มีนายสม มีทองคำ เป็นกำนันคนแรก และได้ประกอบคุณงามความดีเป็นจำนวนมาก จึงได้รับการแต่งตั้งนามใหม่ว่า "ขุนศรีประจันต์รักษา" ราษฎรเห็นว่าชื่อตำบลเก่า ไม่เหมาะสม และได้ทราบว่ากำนันเปลี่ยนนามใหม่จึงขนานนามว่า "ตำบลศรีประจันต์" มาจนทุกวันนี้

http://www.nklsthailand.com/SriPrachan.html

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2016, 10:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ได้บวชเป็นพระแต่ปลุกเสกพระมาใหเช่าได้ด้วยหรือ

ขอเล่าเลยนะคะ คือเราสงสัยคะ แฟนเรามาเล่าให้ฟังว่าเค้านับถืออาจารย์คนนี้มาก อาจารย์คนนี้มีลูกศิษย์เยอะแยะมากมาย และมีของดีสารพัด

แรกๆเราคิดว่า อาจารย์นี้คือพระคะ แต่ไม่ใช้คะ อาจารย์ในที่นี้คือ คนธรรมดาไม่ได้บวชเป็นพระ แต่เปิดสำนักสักยันต์ อาจารย์มีรอยสักเต็มตัว

ส่วนลูกศิษย์ที่ไปสักก็มีแต่รอยสักเต็มตัว เค้าก็จะมีค่าสัก ค่าไหว้ครู ตามปกติ แต่ที่เราสงสัยคือแฟนเราไปโอนเงินให้อาจารย์คะ เราเลยสงสัย

ค่าอะไร เค้าบอก ค่าพระ อาจารย์จะปลุกเสกขึ้น ของดี ของมงคล และแฟนเราก็ได้แนะนำเพื่อนๆเค้าที่เป็นศิษย์เอกของอาจารย์ให้รู้จัก

คือแบบ เราไม่ได้ดูถูกนะ ศิษย์เอกแต่ละคนคือเรียนไม่จบ รอยสักเต็มตัว แต่ละคนไม่มีหน้าที่การงานที่มั่นคง ตอนนี้แฟนเรามากล่อมให้เราเชื่อคะ

จะพาเราไปไหว้ ขอเป็นศิษย์นั้นนี้ คือเราไม่ได้ลบลู่นะคะ แต่คือไม่ใช่พระ แต่ทำพระมาให้เช่าแบบนี้ได้หรอคะ

http://pantip.com/topic/35518654


อาตี๋สักมังกร

https://www.youtube.com/watch?v=Qq0z8oBmKTs


อ้างคำพูด:
ไม่ใช่พระ แต่ทำพระมาให้เช่าแบบนี้ได้หรอคะ


โฮฮับว่าไง :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2016, 16:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปาฐกถา พุทธาคม กับ ไสยเวทย์ (หรือไสยศาตร์) โดย อ.เสถียร โพธินันทะ :b1:

https://www.youtube.com/watch?v=klkEWujoEnc


อีก

https://www.youtube.com/watch?v=CpUUuuRrEog

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 42 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron