วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 19:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2017, 07:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"ของยืมเขามาเดี๋ยววันนึงก็ต้องคืนเขาไป"

ทางโลกเขาจะสอนเพียงทางด้านเดียว สอนวิธีหาเงินหาทอง วิธีหาลาภยศตำแหน่ง วิธีหาสรรเสริญหาความสุขต่างๆ ทางตาหูจมูกลิ้นกาย ทางโลกสอนเพียงวิธีหาเท่านั้นเอง แต่ทางโลกไม่ได้สอนวิธีปล่อยหรือวิธีคืนของที่เราหามาได้ เพราะของที่เราหามาได้นั้นมันไม่ได้เป็นของเรา เดี๋ยวเวลาเราจากโลกนี้ไปเราก็ต้องคืนของทุกอย่างที่เราหามาได้ไป ถ้าเราคืนไม่เป็นปล่อยไม่เป็นเราก็จะทุกข์มาก เวลาคนที่จะตายนี้เขาจะทุกข์กันมาก เพราะเขาปล่อยไม่เป็น คืนของไม่เป็น ไปยืมของเขามาแล้ว พอถึงเวลาจะคืน คืนไม่เป็น ปล่อยไม่เป็น ไม่ยอมคืน ไม่ยอมปล่อยก็เลยเกิดความทุกข์กันขึ้นมา

แต่ถ้าได้มาศึกษาทางธรรม ศึกษาทางการปล่อยวาง ศึกษาการคืนข้าวของต่างๆ คืนทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้มา สิ่งที่เราได้มาสิ่งแรกก็คือร่างกาย เวลาที่เรามาเกิดที่เราได้อะไรมาก่อน ออกมาจากท้องแม่ใหม่ๆ ก็มีร่างกายที่มีอาการ ๓๒ มีขน ผม เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูกเป็นต้น นี่คือสมบัติชิ้นแรกที่เราได้กัน เวลาที่เรามาเกิดในโลกนี้แล้วพ่อแม่ก็เลี้ยงดูเรา ให้อาหารให้อะไรต่างๆ พอเราโตเขาส่งให้เราไปเรียนหนังสือให้เราไปหาวิชาความรู้ เรียนจบเราก็ไปทำงาน ไปสมัครงาน เอาปริญญาไปยื่นให้เขา ได้ปริญญาตรีโทเอก เขาก็จะหางานให้เหมาะกับปริญญา ปริญญาตรีก็ได้เงินเดือนระดับหนึ่ง ปริญญาโทก็ได้อีกระดับหนึ่ง ปริญญาเอกก็ได้อีกระดับหนึ่ง พอได้เงินมาทีนี้เราก็มาซื้อสิ่งที่เราอยากได้ ซื้อข้าวซื้อของ ซื้อบ้านซื้อรถ ซื้อเสื้อผ้าซื้อเครื่องใช้ไม้สอย แล้วก็ไปซื้อคู่ครอง ไปซื้อสามีไปซื้อภรรยา ต่อมาก็ไปซื้อลูก ได้ลูกมาก็ต้องไปซื้ออาหารมาเลี้ยงลูก ก็เหมือนกับซื้อลูก ได้ภรรยาได้สามีมาก็ต้องซื้ออาหารซื้ออะไรมาเลี้ยงกัน เรารู้จักวิธีหากัน ทุกคนหากันได้ หาลาภ ยศ สรรเสริญ หาความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เพียงแต่ว่าใครจะเก่งกว่ากันเท่านั้น คนที่หาเก่งก็รวยเป็นใหญ่เป็นโต ถ้าคนหาไม่เก่งก็ไม่ใหญ่ไม่โตไม่รวยพออยู่พอกินไปวันๆ แต่ทุกคนไม่รู้ว่าของต่างๆ ที่หามาได้นี้ ไม่ได้เป็นของเรา เป็นของยืมเขามา เดี๋ยววันหนึ่งต้องคืนเขาไป ร่างกายนี้เดี๋ยวเราก็ต้องคืนเขาไป ร่างกายเวลาไม่หายใจ แสดงว่าเราคืนเขาแล้ว เขามาเอาคืนแล้ว สัปเหร่อมาขอรับไปแล้ว ใครเป็นเจ้าของร่างกาย ก็คือธรรมชาติ ดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุ ๔ ร่างกายของเรานี้ทำมาจากธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วพอถึงเวลาก็ต้องคืนเขาไป จะยินดีหรือไม่ยินดี จะยอมหรือไม่ยอมเขาไม่สนใจแล้ว เหมือนคนที่มายึดบ้านของเรา ยึดรถที่เราไปซื้อแล้วเราไม่มีเงินจ่ายเขาไม่มีเงินผ่อน เพราะขาดผ่อนเขาก็มายึด ร่างกายของเราก็เหมือนกับของที่เราไปซื้อมา หรือไปยืมเขามาไปเช่าเขามา พอถึงเวลาเขาก็จะมาเอาคืนไป สมบัติก็เหมือนกัน ลาภ ยศ สรรเสริญ เงินทองตำแหน่งประกาศเกียรติคุณต่างๆ การยกย่องสรรเสริญเยินยอ และความสุขที่เราไปได้จากการเสพรูป เสียง กลิ่น รสต่างๆ เดี๋ยวสักวันหนึ่งก็ต้องจากเราไป เงินทองนี้ถ้าเราไม่รู้จักรักษาก็อาจจะหมดได้ล้มละลายได้ ตำแหน่งถ้าเราทำงานไม่ถูกก็อาจถูกเขาปลดได้ การสรรเสริญถ้าเราทำไม่ถูกทำไม่ดีเขาก็ไม่สรรเสริญเขาก็จะตำหนิติเตียนประณามเรา แล้วรูปเสียงกลิ่นรสต่างๆ ที่เราเสพ ถ้าเราไม่มีเงินก็ไปซื้อมาไม่ได้ อยากจะดูหนังก็ไม่มีเงินซื้อหนังมาดู อยากจะฟังเพลงก็ไม่มีเงินไปซื้อแผ่นมาฟัง อยากจะไปเที่ยวก็ไม่มีเงินไปเที่ยว อันนี้คือความไม่แน่นอนของสิ่งต่างๆ ที่เราหามากันได้ ภรรยาของเราสามีของเราลูกของเรา วันดีคืนดีก็จะจากเราไปก็ได้ สามีอาจจะไปมีแฟนใหม่ก็ได้ ภรรยาอาจจะไปมีแฟนใหม่ก็ได้ หรืออาจจะตายไปก็ได้ ทางโลกเขาไม่สอนวิธีคืนของเหล่านี้ ให้คืนอย่างไรให้ปล่อยอย่างไร เพราะเวลาที่เราต้องคืนเวลาที่เราต้องปล่อย เราเลยต้องร้องห่มร้องไห้กัน มีความทุกข์กัน

แต่ถ้าเราได้มาศึกษาทางธรรมะ ได้ยินคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจะสอนให้เรารู้จักวิธีปล่อย คือสอนว่าทุกอย่างในโลกนี้มันไม่ได้เป็นของเรา เป็นของชั่วคราว เวลาเรามา เรามาตัวเปล่าๆ เราไม่มีอะไรติดตัวมา ร่างกายนี้ก็ของพ่อแม่ให้เรามา แล้วของต่างๆ เราก็หากันมาด้วยการไปเรียนวิชาต่างๆ แล้วก็ไปทำงานหาเงินไปซื้อของต่างๆ มา แล้วเดี๋ยวเวลาตายไปเราก็ต้องคืนทุกอย่างไป ร่างกายนี้ก็เอาไปไม่ได้ ข้าวของเงินทอง สามีภรรยาบุตรธิดาอะไรต่างๆ ที่เรามีนี้ ก็จะเอาไปไม่ได้ ท่านบอกว่าเรามาตัวเปล่าๆ แล้วเวลาเราไปเราก็ไปตัวเปล่าๆ เวลาเราไปทีเราทุกข์กันเพราะ เราไม่ยอมไปแบบตัวเปล่าๆ เราอยากจะเอาทุกอย่างที่เป็นของเราไปด้วย แต่เราเอาไปไม่ได้ นี่คือสิ่งที่เราจะได้เรียนรู้จากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าพวกเราเกิดมาแล้วต้อง แก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ต้องพลัดพรากจากกัน ล่วงพ้นความแก่ ความเจ็บ ความตาย ล่วงพ้นการพลัดพรากจากกันไปไม่ได้ แต่พวกเราสามารถที่จะแก่เจ็บตายพลัดพรากจากกันได้อย่างไม่มีความทุกข์ ไม่มีความเศร้าโศกเสียใจ ถ้าเราคอยสอนใจเตือนใจเราอยู่เรื่อยๆ ว่า ของทุกอย่างที่เรามีอยู่นี้มันไม่ได้เป็นของเราเป็นเหมือนของที่เรายืมเขามา เวลาเราไปยืมของเขานี้เราพร้อมที่จะคืนเจ้าของไหม พร้อมใช่ไหม เราไปยืมรถเขามาใช้พอใช้เสร็จก็เอาไปคืนเขา เราก็ไม่เห็นได้เดือดร้อนอะไร ยืมหม้อข้าวเขามาใช้เสร็จก็ไปคืนเขา ถ้าเรายินดีจะคืนมันก็ไม่ทุกข์ แต่บางคนนี้ชอบยืมแล้วทำเป็นลืม ลืมว่าไปยืมเขามา ไม่ยอมคืน (หัวเราะ) พอเจ้าของมาทวงก็โกรธเจ้าของอีก ไปว่าเขาหวงบ้าง ไปว่าเขาใจแคบบ้าง แล้วทีเราไปเอาของของเขาแล้วไม่คืนกลับ ไม่ว่าตัวเองว่าเราเลว ไปขโมยของเขามาไปโกหกเขาว่ายืมของเขามา ยืมมาแล้วก็ไม่ยอมคืนเขา กลับไปว่าคนที่เขาให้เรายืมของหาว่าขาใจแคบ เราน่ะเลวกว่าเขา เราขโมยของเขามาด้วยการไปโกหก หลอกเขาว่าเรายืมของเขามา แท้จริงก็จะเก็บเอาไว้เป็นของเรา แล้วพอเขามาทวงคืนก็โกรธเสียใจ

แต่ถ้าเรารู้ว่าไม่ได้เป็นของเรา เรายืมเขามาเดี๋ยวเขาจะมาขอคืน เราก็ยกคืนเขาไปเท่านั้นเอง จะไม่ทุกข์เลย ของทุกอย่างที่เราหามาได้ในโลกนี้ก็เหมือนกัน ไม่ได้เป็นของเราร่างกายนี้ก็ไม่ได้เป็นของเรา เป็นของพ่อแม่ให้กับเรามา เป็นของขวัญ แล้วเดี๋ยวก็ต้องคืนเจ้าของเดิมไป คืน ดิน น้ำ ลม ไฟ ไป.

สนทนาธรรมมะบนเขา
วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๐

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต






"...ใกล้ตาย จึงนึกถึงพระ มีทุกข์มาถึง จึงนึกถึงพระศาสนา พวกเฮาเมื่อไม่มีทุกข์มาถึงตัว มักไม่เห็นคุณพระศาสนา มัวเมาประมาท ปล่อยกายปล่อยใจ ให้ประพฤติทุจริตผิดศีลธรรมอยู่เป็นประจำนิสัย เห็นผิดเป็นถูก เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ต่อเมื่อได้รับทุกข์เข้า ที่พึ่งอื่นไม่มีนั่นแหละ จึงได้คิดถึงพระ คิดถึงศาสนา แต่ก็เป็นเวลาที่สายไปแล้ว..."
โอวาทธรรมคำสอน...
องค์หลวงปู่แหวน สุจิณโณ






"...ชีวิตนี้แม้น้อยนัก แต่ก็เป็นความสำคัญนัก สำคัญยิ่งกว่าชีวิตในอดีต และชีวิตในอนาคต ที่ชีวิตนี้สำคัญ ก็เพราะในชีวิตนี้เราสามารถหนีกรรมไม่ดีที่ทำไว้ในอดีตได้ และสามารถเตรียมสร้างชีวิตในอนาคตให้ดีเลิศเพียงใดก็ได้ หรือตกต่ำเพียงใดก็ได้

ชีวิตในอดีตล่วงเลยแล้ว ทำอะไรอีกไม่ได้ต่อไป แล้วชีวิตในอนาคตก็ยังไม่ถึง ยังทำอะไรไม่ได้ เช่นนี้จึงกล่าวได้ว่าชีวิตนี้สำคัญนัก พึงใช้ชีวิตนี้ให้เป็นประโยชน์ ให้สมกับความสำคัญ ของชีวิตนี้..."

พระโอวาทธรรมคำสอน..
องค์สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวัฑฺฒโน)






มองตัวเองให้มาก
จึงจะกลายเป็นคนดีได้
มัวแต่มองผู้อื่นแล้วไซร้
ก็กลายเป็นคนพาลไปไม่รู้ตัว
เพราะนิสัยคนพาล
ย่อมเพ่งโทษผู้อื่นเป็นวัตร

หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต




"ชีวิตนี้ช่างเหมือนใบไม้ร่วง เิกิดแล้วตาย ง่ายเหมือนใบไม้ที่แตกผลิแล้วก็ร่วง ในที่สุด ที่เราคิด ที่เราห่วง ก็ต้องร่วงลงจากต้น"
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ






สติตั้งที่ใจ ดูอยู่ที่ใจ มองอยู่ที่ใจ
เห็นอยู่ที่ใจ เพ่งอยู่ที่ใจ กำหนดอยู่ที่ใจ
สติตั้งที่ใจ ดูอยู่ที่ใจ กำหนดอยู่ที่ใจ พิจารณาอยู่ที่ใจ
อิริยาบถ 4 ยืน เดิน นั่ง นอน
สติอันเดียว ก็ไม่หลาย

หลวงปู่ทา จารุธัมโม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2017, 12:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


... สาธุ สาธุ สาธุ ...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 63 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร