วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 03:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 68 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2016, 18:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ดูๆแล้วนึกขำ นึกถึงครูสมพรสอนลิง

https://www.youtube.com/watch?v=EuahTyASqcM

พวกเราเอาแต่พูดๆ วาดภาพสิ่งที่มองไม่เห็น (นามธรรม) ว่าเป็นนั่นเป็นนี่ น่าจะเป็นยังงั้น น่าจะเป็นยังงี้ บางทีก็นึกถึงคนสติไม่ดี ขออภัยถ้าพูดตรงเกินไป :b32:

:b32: :b32: :b32: กรัชกายเป็นครู :b32: :b32: :b32: โฮฮับจะยอมเป็นศิษย์ไหม :b13:


ไปสอนกันสองคนเงียบลับหูลับตาคนเถอะ แบบว่า l o v e แปลว่าอะไรจ๊ะน้องโรสจ๋า
แหม่พี่กายละก็ บ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ โรสเขินนะค่ะ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2016, 20:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ดูๆแล้วนึกขำ นึกถึงครูสมพรสอนลิง

https://www.youtube.com/watch?v=EuahTyASqcM

พวกเราเอาแต่พูดๆ วาดภาพสิ่งที่มองไม่เห็น (นามธรรม) ว่าเป็นนั่นเป็นนี่ น่าจะเป็นยังงั้น น่าจะเป็นยังงี้ บางทีก็นึกถึงคนสติไม่ดี ขออภัยถ้าพูดตรงเกินไป :b32:

:b32: :b32: :b32: กรัชกายเป็นครู :b32: :b32: :b32: โฮฮับจะยอมเป็นศิษย์ไหม :b13:


ไปสอนกันสองคนเงียบลับหูลับตาคนเถอะ แบบว่า l o v e แปลว่าอะไรจ๊ะน้องโรสจ๋า
แหม่พี่กายละก็ บ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ โรสเขินนะค่ะ :b32:

cool
:b32: โฮฮับใช้มุกนี้แก้เก้อเวลาไปไม่รอดตลอดเลยนะเตงนะ :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2016, 20:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
มีใครพอบอกลักษณะ หรือ ความหมายคำว่าปัญญาได้บ้างขอรับ :b1: :b10:

วิญญาณ : รู้ตามสภาพสภาวะ
สัญญา : รู้จำเครื่องกำหนดหมาย
เวทนา : รู้สึกเหมือนการรับประทาน
ปัญญา : รู้ชัดซึ่งกิจ กิจมีหลายสิ่ง ปํญญาก็มีหลายสิ่ง



วิญญาน ไม่ใช่รู้ตามสภาพสภาวะ
แต่วิญญาน ทำให้กายใจรู้ถึงการกระทบก็คือ.....รู้อายตนะนั้นเอง

เช่นนั้น เขียน:
สัญญา : รู้จำเครื่องกำหนดหมาย


เลอะเทอะ! สัญญาคือองค์ธรรมที่ทำหน้าที่จำลักษณะผลของธรรมที่มากระทบ...ก็คือหมายรู้ในเวทนา

เช่นนั้น เขียน:
เวทนา : รู้สึกเหมือนการรับประทาน

:b32: เวทนาคือ ลักษณะหลังจากเกิดการกระทบ เช่น เสียงดัง ค่อย ขม หวาน นี้ทำให้เกิดเวทนาทั้งสิ้น

เช่นนั้น เขียน:
ปัญญา : รู้ชัดซึ่งกิจ กิจมีหลายสิ่ง ปํญญาก็มีหลายสิ่ง


:b32: อย่าพูดมั่วซิลุงเช่นนั้น รู้ชัดซึ่งกิจ ท่านเรียกว่า ....จิตตะในอิทธิบาท

ส่วนปัญญาก็คือ ลักษณะของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของธรรม
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้นเอง :b13:

tongue
:b1:
ปัญญามีหลายระดับ ขณะนี้ที่กำลังมีจริงๆคือ ยังไม่ประจักษ์ความจริง ของการเกิดดับแต่ละ1ขณะจิต
ปัญญาแรกคือเข้าใจว่าคำสอนตรงความจริงแน่ๆ แต่ใจเรายังไม่รู้ตามเป็นจริง เพียงฟังให้เริ่มเข้าใจก่อน
ว่าธรรมเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะเกิด-ดับสั้นแสนสั้นกระพริบตา1ครั้งยังนับไม่ทันเลยทั้ง6โลก
โฮฮับก็ยังไม่รู้ความจริง ทุกคนนั่นแหละยังไม่รู้ความจริงของจิตแต่ละ1ขณะที่กำลังเกิดดับของจิตตนเอง
จึงต้องฟังให้มากเพื่อจะได้เข้าใจและมีความเห็นตรงความเห็นถูกต้องตามเป็นจริงว่าทุกอย่างเป็นธัมมะ
มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นธรรมดา แต่เราไม่รู้เพราะเรามีอุปาทานขันธ์ ยึดมั่นในกายและใจที่มีนี้
:b16:
คำว่าไม่ใช่เรา คือความจริงที่สภาพธรรมที่มีการเกิด-ดับนั้น เป็นการปรากฏของสิ่งที่มีจริงแต่ละ1อย่าง
ได้แก่ การปรากฏของธาตุต่างๆ ทั้งรูปธาตุ และนามธาตุ หลากหลายมาก เป็นจิตแต่ละดวงต่างเดินทาง
คือจิตท่องเที่ยวผ่านตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นโลกของความคิด 2 อย่างคือคิดดีกับคิดไม่ดีที่หลงผิด
ว่ามีสัตว์ บุคคล ตัวตน วัตถุ สิ่งของต่างๆมากมายเต็มโลกเต็มสงสารไปหมด นั่นแค่ภาพมายาลวงจิต
ให้หลงผิด คิดว่าเป็นจริงเป็นจัง ไม่สามารถละคลายความยึดมั่นถือมั่นลงได้ หากไม่ได้ยินคำสอนเลย
:b13:
วิญญาณก็คือจิต เอาง่ายเลย ก็คือความรู้สึกนึกคิดนั่นแหละคือจิต
เวทนาคือสุข-ทุกข์-เฉยๆ ก็คือแค่รู้อยู่ว่ามีความรู้สึกแบบไหนใน3แบบนั่น
สัญญาคือจำ มี2อย่างคือจำได้กับจำไม่ได้ เป็นปกติที่มีการจำทุกสิ่งที่ปรากฏ
สังขารคือการปรุงแต่งไปตามการรับรู้ที่จำไว้แล้วตามเวทนาและสัญญาเดิมสังขารก็ปรุงต่อ
เมื่อปรุงเสร็จเรียบร้อยก็คือเก็บสะสมเป็นจิตขณะใหม่ทั้งหมดแต่ละ1ขณะนั้นไม่มีจิตขณะเก่าเลย
:b11:
จึงเรียกว่า จิต+เจตสิก+รูป มีการเกิดดับสืบต่อทีละ 1ขณะไม่ขาดสาย จะเข้าใจได้ต้องค่อยๆศึกษา
ไม่ใช่อ่านเรื่องราวแล้วก็จำเรื่องราวต่างๆไป แต่ไม่เข้าใจความจริงของธัมมะทีละ1ขณะจิตที่จิตตนสะสม
ทั้งหมดที่แต่ละคนต่างสะสมน่ะเกิดขึ้นมีชั่วคราวให้รู้ความจริงได้ตอนที่กำลังมีสิ่งที่ตั้งอยู่ชั่วคราวให้รู้ได้
สติไม่สามารถรู้สิ่งที่มีตอนเกิดและตอนดับได้ แต่สติสามารถรู้สิ่งที่กำลังมีที่ปรากฏว่ามีจริงๆเท่านั้นน๊า
อย่างอื่นเทียบได้ว่าไม่มีเพราะเป็นนิมิตที่ปรากฏที่เกิดดับสืบจิตหลายขณะต่อเนื่องเสมือนไม่มีการดับเลย
:b17: :b17:

Onion_L
ดูความเลอะเทอะในการอธิบายธรรมสิคะท่าน ไม่เห็นจะมีสาระธรรมที่แสดงว่ามีปัญญาสักกะนิดนึงอ่ะ
อ้างคำพูด:
เลอะเทอะ! สัญญาคือองค์ธรรมที่ทำหน้าที่จำลักษณะผลของธรรมที่มากระทบ...ก็คือหมายรู้ในเวทนา

:b32:
เคยได้ยินเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต เห็นธรรมในธรรม
โฮฮับเห็นสัญญาในเวทนาอย่างนั้นน่ะหรือ สัญญาก็คือสัญญาไม่ใช่เหรอ หุหุหุ
โฮฮับสัญญาน่ะจำทุกอย่างนั้นแหละ แต่สัญญาไม่จำว่าทุกอย่างเป็นธัมมะ 555555555
:b32: :b32:

tongue
เห็นๆอยู่นะไหนล่ะสัญญาชอบจำเวทนาความทุกข์ใจที่เอาชนะเค้าไม่ได้งั้นสินะโฮฮับ
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2016, 21:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


wink
:b12:
น้องว่าอันนี้พี่โฮน่าจะขอบใจพี่กายหน่อยเพื่อสามัคคคีธรรม
พี่กายลำบ๊ากลำบากพิมพ์มาอธิบายช่วยแก้เขินให้พี่โฮนะโรสว่า
:b17:
กรัชกาย เขียน:
ขอร่วมวาดภาพด้วย แต่วาดจากหลักฐานทางคัมภีร์ศาสนานะ


สัญญา วิญญาณ ปัญญา เป็นเรื่องของความรู้ทั้ง ๓ อย่าง แต่เป็นองค์ธรรมต่างข้อกัน และอยู่คนละขันธ์

สัญญาเป็นขันธ์หนึ่ง

วิญญาณเป็นขันธ์หนึ่ง

ปัญญาอยู่ในสังขารก็อีกขันธ์หนึ่ง


ปัญญา * แปลกันว่า ความรอบรู้ เติมเข้าอีกว่า ความรู้ทั่ว ความรู้ชัด คือ รู้ทั่วถึงความจริงหรือรู้ตรงตามความเป็นจริง ท่านอธิบายขยายความกันออกไปต่างๆ เช่นว่า รู้เหตุรู้ผล รู้ดีรู้ชั่ว รู้ถูกรู้ผิด รู้ควรไม่ควร รู้คุณรู้โทษ รู้ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ รู้เท่าทันสังขาร รู้องค์ประกอบ รู้เหตุปัจจัย รู้ที่ไปที่มา รู้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งทั้งหลาย รู้ตามความเป็นจริง รู้ถ่องแท้ เข้าใจถ่องแท้ รู้เข้าใจสภาวะ รู้คิด รู้พินิจพิจารณา รู้วินิจฉัย รู้ที่จะจัดแจงจัดการหรือดำเนินการอย่างไรๆ


แปลกันอย่างง่ายๆ พื้นๆ ปัญญา คือความเข้าใจ (หมายถึงเข้าใจถูก เข้าใจชัด หรือเข้าใจถ่องแท้) เป็นการมองทะลุสภาวะ หรือมองทะลุปัญหา

ปัญญาช่วยเสริมสัญญาและวิญญาณ ช่วยขยายขอบเขตของวิญญาณให้กว้างขวางออกไปและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ส่องทางให้สัญญามีสิ่งกำหนดหมายรวมเก็บได้มากขึ้น

เพราะเมื่อเข้าใจเพียงใด ก็รับรู้และกำหนดหมายในวิสัยแห่งความเข้าใจเพียงนั้น

เหมือนคิดโจทย์เลขคณิตข้อหนึ่ง เมื่อยังคิดไม่ออก ก็ไม่มีอะไรให้รับรู้และกำหนดหมายต่อไปได้ ต่อเมื่อเข้าใจ คิดแก้ปัญหาได้แล้ว ก็มีเรื่องให้รับรู้ และกำหนดหมายต่อไปอีก


ปัญญา ตรงข้ามกับโมหะ ซึ่งแปลว่าความหลง ความไม่รู้ ความเข้าใจผิด
สัญญาและวิญญาณหาตรงข้ามกับโมหะไม่ อาจกลายเป็นเหยื่อของโมหะไปด้วยซ้ำ เพราะเมื่อหลง เข้าใจผิดไปอย่างใดก็รับรู้และกำหนดหมายเอาไว้ผิดๆอย่างนั้น
ปัญญาช่วยแก้ไขให้วิญญาณและสัญญาเดินถูกทาง


สัญญา และ วิญญาณ อาศัยอารมณ์ที่ปรากฏอยู่จึงทำงานไปได้ สร้างภาพเห็นภาพขึ้นไปจากอารมณ์นั้น

แต่ปัญญาเป็นฝ่ายจำนงต่ออารมณ์ ริเริ่มกระทำต่ออารมณ์ (เพราะอยู่ในหมวดสังขาร) เชื่อมโยงอารมณ์นั้น กับ อารมณ์นี้ กับ อารมณ์โน้นบ้าง พิเคราะห์ส่วนนั้นกับส่วนนี้กับส่วนโน้นของอารมณ์บ้าง เอาสัญญาอย่างโน้นอย่างนี้มาเชื่อมโยงกันหรือพิเคราะห์ออกไปบ้าง มองเห็นเหตุ เห็นผล เห็นความสัมพันธ์ ตลอดถึงว่าจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร
หาเรื่องมาให้วิญญาณ และสัญญารับรู้ และกำหนดหมายเอาไว้อีก


พระสารีบุตร เคยตอบคำถามเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างวิญญาณกับปัญญาว่า คนมีปัญญา รู้ (= รู้ชัด, เข้าใจ) ว่านี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ทางให้ถึงความดับทุกข์

ส่วนวิญญาณ รู้ (= รู้แยกต่าง) ว่าเป็นสุข รู้ว่าเป็นทุกข์ รู้ว่าไม่ใช่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์

แต่

ปัญญาและวิญญาณนั้น ก็เป็นองค์ธรรมที่ปนเคล้าหรือระคนกันอยู่ ไม่อาจแยกออกบัญญัติข้อแตกต่างกันได้

กระนั้นก็ตาม ความแตกต่างก็มีอยู่ในแง่ที่ว่า ปัญญาเป็นภาเวตัพพธรรม คือ เป็นสิ่งที่ควรฝึกอบรมทำให้เจริญขึ้น ให้เพิ่มพูนแก่กล้าขึ้น

ส่วนวิญญาณเป็นปริญไญยธรรม คือ เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้หรือทำความรู้จักให้เข้าใจ รู้เท่าทันสภาวะและลักษณะของมันตามความเป็นจริง * (* ม.มู.๑๒/๔๙๔/๕๓๖)




ในคัมภีร์รุ่นอรรถกถา เช่น วิสุทธิมัคค์เป็นต้น อธิบายความแตกต่างระหว่างสัญญา วิญญาณ และปัญญาไว้ว่า สัญญาเพียงรู้จักอารมณ์ว่า เขียว เหลือง เป็นต้น (คือรู้อาการของอารมณ์) ไม่อาจให้ถึงความเข้าใจลักษณะคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้

วิญญาณรู้อารมณ์ว่า เขียว เหลือง เป็นต้น ได้ด้วย ทำให้ถึงความเข้าใจลักษณะคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้ด้วย (คือเข้าใจตามที่ปัญญาบอก) แต่ไม่อาจส่งให้ถึงความปรากฏแห่งมรรค (คือ ให้ตรัสรู้อริยสัจไม่ได้)

ส่วนปัญญาทั้งรู้อารมณ์ ทั้งให้ถึงความเข้าใจลักษณะ และทั้งส่งให้ถึงความปรากฏขึ้นแห่งมรรค


ท่านอุปมาเหมือนคน ๓ คน มองดูเหรียญกษาปณ์

สัญญาเปรียบ เหมือนเด็กยังไม่เดียงสา มองดูเหรียญแล้วรู้แต่รูปร่าง ยาว สั้น เหลี่ยม กลม สี และลวดลายแปลกๆ สวยงามของเหรียญนั้น ไม่รู้ว่าเป็นของที่เขาตกลงกัน ใช้เป็นสื่อการแลกเปลี่ยนซื้อขาย

วิญญาณเปรียบเหมือนชาวบ้านเห็นเหรียญแล้วรู้ทั้งรูปร่างลวดลาย และรู้ว่าใช้เป็นสื่อการซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ แต่ไม่รู้ซึ้งลงไปว่า เหรียญนี้แท้ เหรียญนี้ปลอม มีโลหะอะไรผสมกี่ส่วน

ปัญญาเปรียบ เหมือนเหรัญญิก ซึ่งรู้ทุกแง่ที่กล่าวมาแล้ว และรู้ชำนาญจนกระทั่งว่า จะมองดูก็รู้ ฟังเสียงเคาะก็รู้ ดม ชิม หรือเอามือชั่งดูก็รู้ รู้ตลอดไปถึงว่า เหรียญนี้ทำที่นั้นๆ ผู้ชำนาญคนนั้นๆทำ


อนึ่ง ปัญญาไม่ได้เกิดขึ้นเสมอไป บางที มีแต่สัญญาและวิญญาณ หาได้มีปัญญาด้วยไม่
แต่คราวใดมีปัญญาเกิดร่วมด้วย กับ สัญญา และวิญญาณ คราวนั้นก็ยากที่จะแยกให้เห็นความแตกต่างจากกันและกัน


เมื่อชาลีและกัณหา เดินถอยหลังลงไปซ่อนตัวในสระน้ำ ด้วยเข้าใจว่า ผู้ตามหาเห็นรอยเท้าแล้วจะเข้าใจว่า เธอทั้งสองขึ้นมาแล้วจากสระน้ำ ความคิดที่ทำเช่นนั้น ก็เรียกว่า เป็นปัญญา

ต่อมา เมื่อพระเวสสันดรทอดพระเนตรเห็นรอยเท้าของลูกทั้งสองแล้ว ก็รู้ทันทีว่าลูกทั้งสองเดินถอยหลังไปซ่อนอยู่ในสระน้ำ เพราะมีแต่รอยเท้าเดินขึ้นอย่างเดียว ไม่มีรอยลง อีกทั้งรอยนั้นก็กดหนักทางส้นเท้า ความรู้เท่าทันนี้ ก็เรียกว่าเป็นปัญญา

ในกรณีนี้ จะเห็นได้ว่า ปัญญามีความรอบคอบ และลึกซึ้งกว่ากัน ซึ่งเกี่ยวพันไปถึงการที่ปัญญาใช้ประโยชน์จากสัญญาด้วย


การที่เจ้าชายสิทธัตถะ ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย แล้วคำนึงเห็นความทุกข์ที่มวลมนุษย์ต้องประสบทั่วสากล
และ
เข้าใจถึงภาวะที่สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงแท้ ล้วนเกิดขึ้นแล้วปรวนแปรและสิ้นสุดด้วยแตกดับ ควรระงับความทุกข์อันเนื่องมาจากสาเหตุนั้นเสีย ความเข้าใจนั้นก็เรียกว่าเป็นปัญญา

เมื่อพระพุทธเจ้าจะประดิษฐานพระพุทธศาสนาในแคว้นมคธ ได้เสด็จไปโปรดพวกกัสสปชฎิล ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวมคธ ให้เลื่อมใส ยอมรับคำสอนของพระองค์ก่อน
พระปรีชาอันให้ดำริที่จะกระทำเช่นนั้นก็เรียกว่าเป็นปัญญา


ปัญญาเป็นคำกลาง สำหรับความรู้ประเภทที่กล่าวแล้ว และปัญญานั้นมีหลายขั้นหลายระดับ เช่น แบ่งเป็นโลกียปัญญา โลกุตรปัญญา เป็นต้น

มีคำศัพท์หลายคำ ที่ใช้ในความหมายจำเพาะ หมายถึง
ปัญญาในขั้นใดขั้นหนึ่ง
ระดับใดระดับหนึ่ง
แง่ใดแง่หนึ่ง หรือเนื่องด้วยกิจเฉพาะ
คุณสมบัติเฉพาะ หรือประโยชน์เฉพาะบางอย่าง เช่น วิปัสสนา สัมปชัญญะ ญาณ วิชชา ปริญญา อภิญญา ปฏิสัมภิทา เป็นต้น

………….

ที่อ้างอิง *

* ปัญญา มักแปลกันว่า wisdom หรือ understanding


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2016, 05:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บอกตั้งหลายครั้งแล้วว่า ศาสดาโฮ คนขวางโลก เขาว่าซ้าย โฮก็ว่าขวา เขาเดินหน้า โฮก็ว่าถอยหลัง เขาถอยหลัง โฮก็เอาหัวเดิน คิกๆๆ

คือ เขาเข้าใจพุทธธรรมผิดแต่ต้นแล้ว เมื่อเข้าใจคำสอนของพระบรมศาสดาผิด พี่โฮพูดอะไรดำริเรื่องใดผิดหมดแหละ เหมือนตั้งโจทก์ผิด ผลลัพธ์ที่ได้ผิดหมด
เช่นไปคิดว่า ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ชีวิตนีี่นี้ นี่ก็ผิด
พระพุทธเจ้าไม่เคยจำแนกชีวิตใคร นี่ก็ผิด
ขันธ์ ๕ เกิดในกายใจของเรา นี่ก็ผิด

กรัชกายจะพูดให้เถียงอีกก็ได้ว่า ที่แต่ละคนๆแต่ละชีวิตๆบนโลกใบนี้ (ไม่ใช่เฉพาะปทท.) ใช้ ขันธ์ ๕ (ชีวิต) นี่ กิน ถ่าย ผสมพันธ์ (ตรงๆเซ็นเซอร์ :b13: ) นอน ทำนั่นทำนี่คิดนั่นคิดนี่กันอยู่นี่แหละ :b13: :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2016, 05:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วางตำราเทียบยืนยันคำพูดข้างบน นี่มันขันธ์ ๕ หรือ ชีวิต ทั้งเพ



ฉฬังคุเบกขา อุเบกขามีองค์ ๖ คือ ด้วยตาเห็นรูป หู ได้ยินเสียง จมูก ดมกลิ่น ลิ้น ลิ้มรส กายถูกต้องโผฏฐัพพะ ใจรู้ธรรมารมณ์แล้วไม่ดีใจ ไม่เสียใจ วางจิตอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ (ขุ.ม.29/413/289) เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของพระอรหันต์ ซึ่งมีอุเบกขาด้วยญาณ คือ ด้วยความรู้เท่าทันถึงสภาวะของสิ่งทั้งหลาย อันทำให้ไม่ถูกความชอบ ความยินดี ยินร้าย ครอบงำ ในการรับรู้อารมณ์ทั้งหลาย ตลอดจนไม่หวั่นไหวเพราะโลกธรรมทั้งปวง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2016, 05:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อุเบกขาจิต หรือวางจิตอุเบกขานั่น คนทั่วๆไปอย่างเราๆท่านๆ พูดนะพูดได้ แต่ทำจิตทำใจให้เป็นอุเบกขา มิใช่ทำได้ง่ายเลย ดูตัวอย่างอุเบกขาที่สอนๆกันว่าให้มีอุเบกขาๆ เป็นไง


ดิฉันฝึกหัดนั่งสมาธิวิปัสสนาแนวทาง (ตัดออก) คือนั่งดูลมหายใจเข้าออกเฉยๆ ไม่บริกรรม และให้ดูเวทนาที่เกิดในร่างกายแล้วให้มีอุเบกขา

คอร์สแรกที่ดิฉันไปศึกษาเรียนรู้เป็นเวลา10 วัน และหลังจากนั้นดิฉันก็กลับมาปฎิบัติที่บ้าน สม่ำเสมอ วันละหลายครั้ง บางทีก็หลายชั่วโมงติดต่อกัน

ล่วงเข้ามาประมาณเดือนที่ 3 ดิฉันมีอาการ ร้อนที่ร่างกายทุกส่วน และเกิดอาการปวดศีรษะเหมือนมีเข็มเป็น ร้อยๆเล่มอยู่ในหัว บางที แข็ง ตึง มึน ทึบอยู่ในหัว จนยากที่จะอธิบาย จนขนาดต้องไปเอกซ์เรย์แต่ไม่มีอะไรผิดปรกติ

อาการมันลงมาที่มือข้างซ้าย และ กรามบน ขมับ 2 ข้าง เหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งอยู่ตลอดเวลาเป็นที่ทรมานมาก

ระยะ หลังมาดิฉันก็เลยนั่งบ้างไม่นั่งบ้าง เพราะปวดหัวเหลือเกิน บาง อาการไม่สามารถบอกมาเป็นตัวอักษรได้ว่ารู้สึกอย่างไร อาการเป็นตลอด เวลา 2 - 4 ชั่วโมง ทั้งหลับทั้งตื่น ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ไปหาหมอฝังเข็ม ฝังมา 9 ครั้ง ไม่มีทีท่าว่าจะทุเลา อาการยังมี ตลอด ดิฉันก็ได้แต่อุเบกขา ทำใจไป คิดไปต่างๆนานา เวลานั่งก็ขออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง

ตอนนี้นับระยะเวลาเป็นมากว่า 2 ปี ได้แต่หวังว่าผู้รู้ทั้งหลายคงช่วยอนุเคราะห์คนมีกรรมคนนี้ด้วย ขอได้โปรดเมตตาช่วยด้วยนะคะ


ภาคสนามนี่ ผู้สอนต้องผ่านสนามรบมาแล้วอย่างโชกโชน เพราะขันธ์ ๕ -กายใจ - ชีวิต มันพิสดาร 1000 ลึก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2016, 20:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อุเบกขาจิต หรือวางจิตอุเบกขานั่น คนทั่วๆไปอย่างเราๆท่านๆ พูดนะพูดได้ แต่ทำจิตทำใจให้เป็นอุเบกขา มิใช่ทำได้ง่ายเลย ดูตัวอย่างอุเบกขาที่สอนๆกันว่าให้มีอุเบกขาๆ เป็นไง


ดิฉันฝึกหัดนั่งสมาธิวิปัสสนาแนวทาง (ตัดออก) คือนั่งดูลมหายใจเข้าออกเฉยๆ ไม่บริกรรม และให้ดูเวทนาที่เกิดในร่างกายแล้วให้มีอุเบกขา

คอร์สแรกที่ดิฉันไปศึกษาเรียนรู้เป็นเวลา10 วัน และหลังจากนั้นดิฉันก็กลับมาปฎิบัติที่บ้าน สม่ำเสมอ วันละหลายครั้ง บางทีก็หลายชั่วโมงติดต่อกัน

ล่วงเข้ามาประมาณเดือนที่ 3 ดิฉันมีอาการ ร้อนที่ร่างกายทุกส่วน และเกิดอาการปวดศีรษะเหมือนมีเข็มเป็น ร้อยๆเล่มอยู่ในหัว บางที แข็ง ตึง มึน ทึบอยู่ในหัว จนยากที่จะอธิบาย จนขนาดต้องไปเอกซ์เรย์แต่ไม่มีอะไรผิดปรกติ

อาการมันลงมาที่มือข้างซ้าย และ กรามบน ขมับ 2 ข้าง เหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งอยู่ตลอดเวลาเป็นที่ทรมานมาก

ระยะ หลังมาดิฉันก็เลยนั่งบ้างไม่นั่งบ้าง เพราะปวดหัวเหลือเกิน บาง อาการไม่สามารถบอกมาเป็นตัวอักษรได้ว่ารู้สึกอย่างไร อาการเป็นตลอด เวลา 2 - 4 ชั่วโมง ทั้งหลับทั้งตื่น ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ไปหาหมอฝังเข็ม ฝังมา 9 ครั้ง ไม่มีทีท่าว่าจะทุเลา อาการยังมี ตลอด ดิฉันก็ได้แต่อุเบกขา ทำใจไป คิดไปต่างๆนานา เวลานั่งก็ขออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง

ตอนนี้นับระยะเวลาเป็นมากว่า 2 ปี ได้แต่หวังว่าผู้รู้ทั้งหลายคงช่วยอนุเคราะห์คนมีกรรมคนนี้ด้วย ขอได้โปรดเมตตาช่วยด้วยนะคะ


ภาคสนามนี่ ผู้สอนต้องผ่านสนามรบมาแล้วอย่างโชกโชน เพราะขันธ์ ๕ -กายใจ - ชีวิต มันพิสดาร 1000 ลึก


Kiss
ผู้มีจิตเป็นอุเบกขาคือผู้ที่บรรลุฌานจิตชั้นตติยฌาน ตามลิ้งค์ข้างล่าง
http://www.dhammajak.net/forums/posting.php?mode=quote&f=1&p=396965
onion onion onion

walaiporn เขียน:
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมาธิภาวนาอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบันเป็นไฉน



ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน
มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่

บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่
มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกายเพราะปีติสิ้นไป

บรรลุตติยฌานที่พระอริยะสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้
เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข


บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข
เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้
มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนานี้
อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อความอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 68 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 73 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร