วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 03:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 68 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2016, 21:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
onion
ดูให้ดี สังเกตพิจารณากันให้ลึกซึ้ง ปัญญานำหน้ามาก่อนเสมอ ศีล สมาธิจึงเกิดและดีตาม
แล้วจากนั้น ปัญญา ศีล สมาธิจึงเป็นเหตุปัจจัยเกื้อหนุนกัน สนับสนุนกันขึ้นไปจนถึงความวิมุติหลุดพ้น
:b38:
ปัญญามีอยู่ 3 ขั้นตอนคือ
1.สุตมยปัญญา ปัญญาที่ได้จากการฟังการศึกษา ปัญญาข้อนี้สำคัญเป็นบาทฐานให้ปัญญาที่เกิดตามมาอีก 2 อย่างและเจริญงอกงามตาม

2.จินตมยปัญญา ปัญญาที่ได้จากการค้นคิดพิจารณาข้อธรรมที่ได้สุตตะมา ปัญามรรค 2ข้อในมรรค 8 คือสัมมาทิฏฐิ = ดู เห็น รู้ กับสัมมาสังกัปปะ=สังเกต พิจารณา ก็เริ่มเจริญขึ้นในปัญญาหมวดนี้

3.ภานามยปัญญา ปัญญาที่ได้จากการภาวนา ทำจริงอย่างเช่นการเจริญสติปัฏฐาน 4 เป็นต้น

ดั้งนั้น ตื้นๆฟังง่าย คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

แต่ลึกๆฟังยากแต่เป็นความจริงยิ่งคือ
ปัญญา ศีล สมาธิ
:b37:

กบนอกกะลา เขียน:
ไม่เห็นต้องใช้ความลึกซึ่งอะไรเลย...ก็เห็นๆอยู่แล้วว่า..มรรคแปดนั้น..ปัญญานำ

ตรงที่ต้องใช้ความลึกซึ่ง..อโสกะกลับไม่ใช้..หรือใช้ไม่เป็น


นั้นคือ..การโยนิโสมนสิการ

อโสกะ...ครับ...การโยนิโสมนสิการ..นี้...เป็นงัยละคับ....เป็นอาการคิดอะป้าว?...


asoka เขียน:

:b41:
ถามเรื่องโยนิโสมนสิการหรือกบ

โยนิโส=ฉลาดแยบคายมีปัญญาและสติพร้อม

มนสิการ = ตั้งใจ

ลองรวมกันดู จะเห็นว่าเอาปัญญานำหน้าในการทำงานหรือเจริญมรรค
onion


ถามว่า..ทำงัย..ใช่เป็นอาการใช้ความคิดรึเปล่า?..

กลับตอบว่า..แปลว่าอะไร.. :b32: :b32:

นี้ก็ไม่รู้ว่า..ที่ตัวเองแปล...นั้นนะ...ถูกหรือผิด?..แล้วทำจริงเขาทำยังงัย... :b9: :b9:

:b12:
อ้อ!....ต้องขออภัยตอบมาแค่โยนิโสมนสิการ แต่ไม่ได้ตอบข้อถัดไปเลยทำให้กบเครียดและเกิดอารมณ์ค้าง
:b13:
โยนิโสนี่มีทั้งใช้ความคิดและไม่ใช้ความคิดนะกบ
ถ้ามีแต่สังเกตอย่างเดียวนี่ไม่ต้องใช้ความคิด เป็นการเอาสติปัญญามาตามดูตามรู้สภาวธรรมที่เกิดขึ้นและปรวนแปรไปจนสภาวธรรมเหล่านั้นดับไปหมดไปเปลี่ยนไปหลังจากนั้นจึงค่อยใช้ความคิดนึกมาพิจารณา วิเคราะห์หาเหตุหาผลสรุปผลเป็นคำพูดคำอธิบายออกมา โยนิโส โดยสังเกตนี่แหละที่จะทำให้เกิดการบรรลุธรรมจริงๆ

ส่วนโยนิโสที่ใช้ความคิดนึกไปด้วยนั้น ท่านเรียกว่า "พิจารณา" เป็นการดูไปคิดไป คนส่วนใหญ่หรือนักปฏิบัติใหม่ๆมักจะทำอย่างนี้กันเพราะสำคัญผิดว่าปัญญาต้องเกิดจากการคิดนึกเอาอย่างเดียว
โยนิโสแบบนี้จะไม่ทำให้บรรลุธรรมได้ทันที แต่ก็เป็รเหตุปัจจัยส่งต่อขึ้นไปสู่ความบรรลุธรรม

โยนิโสแบบไม่คิดนึกนั่นเป็นวิปัสสนาแท้ๆ
ส่วนโยนิโสที่ต้องคิดนึกไปด้วยนั้นเป็นวิปัสสนาเทียมบางท่านก็เรียกว่า "วิปัสสนึก"

รู้รึยังกบทีนี้
onion


:b32: :b32: :b32:
สัตว์โลก...เป็นไปตามกรรม..

มานะ..เป็นกิเลส..ทำอะไรลงไปก็เป็นกรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2016, 21:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


จะนิ่งสังเกต..ยังงัย...หากจับประเด็นไม่ออก..คิดไม่เป็น...มันก็ไปกระตุ้นปัญญาที่หลับไหลให้ตื่นขึ้นมาไม่ได้ดอก..อโสกะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2016, 05:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:

ปัญญาจะเกิดได้ต้องอาศัยวิปัสสนาญาน เหตุนี้ญานจึงเกิดก่อนปัญญา

ปัญญามีอย่างเดียวคือไตรลักษณ์


ญานก็คืออย่างเดียว.......ก็คือสภาวะที่รู้สภาพธรรมไปตามจริง

ส่วนที่มีหลายอย่างก็คือ................สภาพธรรม

ในพระสูตรที่ว่า ....ญานเหล่านี้รวมเป็น๗๓อย่าง ไม่ใช่หมายถึงญาน๗๓ญาน
แต่มันหมายถึงสภาพธรรมที่เป็นจริง๗๓อย่าง
ความรู้เรื่องวิปัสสนา ความรู้เรื่องญาน ปัญญา และสภาพธรรมที่เป็นจริง.......ก็คือ วิชชา

พระพุทธองค์ แสดง เหตุปัจจัย 8 ประการ เพื่อให้ได้ปัญญา
Quote Tipitaka:
[๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุ ๘ ประการ ปัจจัย ๘ ประการนี้ ย่อม
เป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงาม
ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งปัญญาที่ได้แล้ว

๘ ประการเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใด
รูปหนึ่งผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก
และความเคารพไว้อย่างแรงกล้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๑
ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว

เธออาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่ง ผู้ตั้งอยู่ใน
ฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก และความ
เคารพไว้อย่างแรงกล้านั้นแล้ว เธอเข้าไปหาแล้วไต่ถาม สอบถามเป็นครั้งคราวว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภาษิตนี้เป็นอย่างไร เนื้อความแห่งภาษิตนี้เป็นอย่างไร ท่าน
เหล่านั้นย่อมเปิดเผยข้อที่ยังไม่ได้เปิดเผย ทำให้แจ้งข้อที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง และ
บรรเทาความสงสัยในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยหลายประการแก่เธอ ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๒ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อ
ความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ

เธอฟังธรรมนั้นแล้ว ย่อมยังความสงบ ๒ อย่าง คือ ความสงบกายและ
ความสงบจิต ให้ถึงพร้อม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๓ ย่อม
เป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ

เธอเป็นผู้มีศีล สำรวมระวังในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร
มีปรกติเห็นภัยในโทษแม้มีประมาณน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๔ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ
เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ

เธอเป็นพหูสูต ทรงจำสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ได้ยินได้ฟังมาก
ทรงจำไว้ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ ซึ่งธรรมทั้งหลายอันงาม
ในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ
ทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัย
ข้อที่ ๕
ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ

เธอย่อมปรารภความเพียรเพื่อละอกุศลธรรม เพื่อความพร้อมมูลแห่ง
กุศลธรรม เป็นผู้มีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรม
ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๖ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อ
ความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ

อนึ่ง เธอเข้าประชุมสงฆ์ ไม่พูดเรื่องต่างๆ ไม่พูดเรื่องไม่เป็นประโยชน์
ย่อมแสดงธรรมเองบ้าง ย่อมเชื้อเชิญผู้อื่นให้แสดงบ้าง ย่อมไม่ดูหมิ่นการนิ่ง
อย่างพระอริยเจ้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๗ ย่อมเป็นไป
เพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ

อนึ่ง เธอพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมในอุปาทานขันธ์ ๕ ว่า
รูปเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งรูปเป็นดังนี้ ความดับแห่งรูปเป็นดังนี้ เวทนาเป็น
ดังนี้ ... สัญญาเป็นดังนี้ ... สังขารทั้งหลายเป็นดังนี้ ... วิญญาณเป็นดังนี้ ความ
เกิดขึ้นแห่งวิญญาณเป็นดังนี้ ความดับแห่งวิญญาณเป็นดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๘ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหม
จรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงาม ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ
http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=23&A=3111&Z=3197&pagebreak=0

ปัญญามีหลายสิ่ง
ญาณจึงมีหลายสิ่ง

ปัญญามาก่อน
ญาณจึงมาภายหลัง

ปัญญา การรู้ชัด
ญาณ เข้าถึงความรู้ชัดแล้ว

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2016, 07:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
พระพุทธองค์ แสดง เหตุปัจจัย 8 ประการ เพื่อให้ได้ปัญญา
Quote Tipitaka:
[๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุ ๘ ประการ ปัจจัย ๘ ประการนี้ ย่อม
เป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงาม
ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งปัญญาที่ได้แล้ว

๘ ประการเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใด
รูปหนึ่งผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก
และความเคารพไว้อย่างแรงกล้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๑
ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว

เธออาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่ง ผู้ตั้งอยู่ใน
ฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก และความ
เคารพไว้อย่างแรงกล้านั้นแล้ว เธอเข้าไปหาแล้วไต่ถาม สอบถามเป็นครั้งคราวว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภาษิตนี้เป็นอย่างไร เนื้อความแห่งภาษิตนี้เป็นอย่างไร ท่าน
เหล่านั้นย่อมเปิดเผยข้อที่ยังไม่ได้เปิดเผย ทำให้แจ้งข้อที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง และ
บรรเทาความสงสัยในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยหลายประการแก่เธอ ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๒ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ
เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว

ปัญญามีหลายสิ่ง
ญาณจึงมีหลายสิ่ง

ปัญญามาก่อน
ญาณจึงมาภายหลัง

ปัญญา การรู้ชัด
ญาณ เข้าถึงความรู้ชัดแล้ว



ลุงเช่นนั้นไม่เข้าใจคำว่า.......ความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2016, 08:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
พระพุทธองค์ แสดง เหตุปัจจัย 8 ประการ เพื่อให้ได้ปัญญา
Quote Tipitaka:
[๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุ ๘ ประการ ปัจจัย ๘ ประการนี้ ย่อม
เป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงาม
ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งปัญญาที่ได้แล้ว

๘ ประการเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใด
รูปหนึ่งผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก
และความเคารพไว้อย่างแรงกล้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๑
ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว

เธออาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่ง ผู้ตั้งอยู่ใน
ฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก และความ
เคารพไว้อย่างแรงกล้านั้นแล้ว เธอเข้าไปหาแล้วไต่ถาม สอบถามเป็นครั้งคราวว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภาษิตนี้เป็นอย่างไร เนื้อความแห่งภาษิตนี้เป็นอย่างไร ท่าน
เหล่านั้นย่อมเปิดเผยข้อที่ยังไม่ได้เปิดเผย ทำให้แจ้งข้อที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง และ
บรรเทาความสงสัยในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยหลายประการแก่เธอ ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๒ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ
เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว

ปัญญามีหลายสิ่ง
ญาณจึงมีหลายสิ่ง

ปัญญามาก่อน
ญาณจึงมาภายหลัง

ปัญญา การรู้ชัด
ญาณ เข้าถึงความรู้ชัดแล้ว



ลุงเช่นนั้นไม่เข้าใจคำว่า.......ความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว



ชอบคำพูดของปราชญ์ อยู่ประโยคหนึ่ง คือ ท่านว่า พูดๆๆๆ ในสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา ให้เห็นด้วยคำพูด (ลึกเกินไปมั้ย) พูดในสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา ให้เห็นด้วยคำพูด :b8: :b20:

ตย. เช่นแม่ใช้ให้ลูกไปตักน้ำใส่ตุ่ม ลูกจ๋าไปตักน้ำให้เต็มตุ่มนะลูก

ลูกเข้าใจเลยว่า ตัวเองต้องตักน้ำใส่ตุ่มให้เต็มเปี่ยมให้บริบูรณ์

แต่ที่พูดๆกันอยู่นี่ เหมือนพูดถึงผีสางนางไม้นางตะเคียน ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตา ให้เห็นด้วยคำพูด คิกๆๆ (เข้าใจไหมนะ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2016, 08:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
พระพุทธองค์ แสดง เหตุปัจจัย 8 ประการ เพื่อให้ได้ปัญญา
[quote-tipitaka][๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุ ๘ ประการ ปัจจัย ๘ ประการนี้ ย่อม
เป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงาม
ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว
ปัญญา การรู้ชัด
ญาณ เข้าถึงความรู้ชัดแล้ว


ลุงเช่นนั้นไม่เข้าใจคำว่า.......ความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว

โฮฮับ
เหตุปัจจัย 8 ประการ เพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์
คือปัญญาเพื่อหยั่งลงสู่กระแสแห่งพรหมจรรย์ เพื่อการละสมุทัยคือเหตุแห่งทุกข์ เช่นโสดาปัติมรรคเป็นต้น
มรรคปัญญาที่ได้มา จำเป็นต้องมีการทำให้บริบูรณ์ เจริญขึ้น บริบูรณ์มากขึ้น จนในที่สุดทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
คืออรหัตผล

อย่าตัดตอน พุทธพจน์ ออกเป็นส่วนๆ ตามใจตนเอง อรรถเนื้อความจะคลาดเคลื่อนไปโฮฮับ

ปัญญา รู้ชัด
ญาณเข้าถึงความรู้ชัด

ปัญญามีหลายสิ่ง
ญาณจึงมีหลายสิ่ง

พระพุทธองค์แสดงธรรมอย่างประณีต ให้ผู้มีศรัทธาได้ศึกษาปฏิบัติตามได้

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2016, 09:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2010, 23:02
โพสต์: 93

ชื่อเล่น: tongka
อายุ: 36
ที่อยู่: tongka34@gmail,com

 ข้อมูลส่วนตัว


เราเห็นว่า...
ทั้งสามอย่างอิงอาศัยกันและกันนั่นแหละ ทั้งสามอย่างทำหน้าที่สนับสนุนกันและกันไปตลอดเส้นทางจนกว่าจะถึงวิมุติหลุดพ้นโน้นแหละ ควรยกย่องทั้งสามอย่างไม่ควรที่จะพูดยกย่องธรรมอย่างหนึ่งข่มธรรมอย่างหนึ่งเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2016, 09:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
พระพุทธองค์ แสดง เหตุปัจจัย 8 ประการ เพื่อให้ได้ปัญญา
Quote Tipitaka:
[๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุ ๘ ประการ ปัจจัย ๘ ประการนี้ ย่อม
เป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงาม
ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งปัญญาที่ได้แล้ว

๘ ประการเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใด
รูปหนึ่งผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก
และความเคารพไว้อย่างแรงกล้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๑
ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว

เธออาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่ง ผู้ตั้งอยู่ใน
ฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก และความ
เคารพไว้อย่างแรงกล้านั้นแล้ว เธอเข้าไปหาแล้วไต่ถาม สอบถามเป็นครั้งคราวว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภาษิตนี้เป็นอย่างไร เนื้อความแห่งภาษิตนี้เป็นอย่างไร ท่าน
เหล่านั้นย่อมเปิดเผยข้อที่ยังไม่ได้เปิดเผย ทำให้แจ้งข้อที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง และ
บรรเทาความสงสัยในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยหลายประการแก่เธอ ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๒ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ
เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว

ปัญญามีหลายสิ่ง
ญาณจึงมีหลายสิ่ง

ปัญญามาก่อน
ญาณจึงมาภายหลัง

ปัญญา การรู้ชัด
ญาณ เข้าถึงความรู้ชัดแล้ว



ลุงเช่นนั้นไม่เข้าใจคำว่า.......ความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว



ชอบคำพูดของปราชญ์ อยู่ประโยคหนึ่ง คือ ท่านว่า พูดๆๆๆ ในสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา ให้เห็นด้วยคำพูด (ลึกเกินไปมั้ย) พูดในสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา ให้เห็นด้วยคำพูด :b8: :b20:

ตย. เช่นแม่ใช้ให้ลูกไปตักน้ำใส่ตุ่ม ลูกจ๋าไปตักน้ำให้เต็มตุ่มนะลูก

ลูกเข้าใจเลยว่า ตัวเองต้องตักน้ำใส่ตุ่มให้เต็มเปี่ยมให้บริบูรณ์

แต่ที่พูดๆกันอยู่นี่ เหมือนพูดถึงผีสางนางไม้นางตะเคียน ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตา ให้เห็นด้วยคำพูด คิกๆๆ (เข้าใจไหมนะ)

Kiss
:b1:
สำหรับปัญญาต้องดับโมหะก่อน รู้ชัดว่าไม่มีตัวตน รู้ความจริงที่แท้จริงเที่ยงแท้
ถ้ายังไม่รู้ความจริง พูดน่ะเขาเรียกว่า รู้แค่เปลือกนอกเพราะตัวตนรู้ความจริงไม่ได้
ปัญญาน่ะรู้ รู้ชัดเนี่ย เป็นความรู้ที่ละเอียดที่ว่ามีแต่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน คือวิชชา
ที่เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ที่ปรากฏตามความเป็นจริง และได้ประจักษ์แจ้งแน่ชัดจึงแทงตลอดธรรม
:b20:
:b16: :b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2016, 12:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
[๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุ ๘ ประการ ปัจจัย ๘ ประการนี้ ย่อม
เป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงาม
ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งปัญญาที่ได้แล้ว

๘ ประการเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใด
รูปหนึ่งผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก
และความเคารพไว้อย่างแรงกล้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๑
ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้วฯลฯ


โฮฮับ เขียน:
ลุงเช่นนั้นไม่เข้าใจคำว่า.......ความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว


พระสูตรที่ลุงเช่นนั้นยกมา จะมีบทสรุปอยู่๒ประเด็นคือ....
"เหตุ ๘ ประการ ปัจจัย ๘ ประการนี้ ย่อม
เป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงาม
ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งปัญญาที่ได้แล้ว"
........๑

"ความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว"........๑

คำว่าความบริบูรณ์ของปัญญาที่ได้แล้ว................นี้หมายถึงปัญญามีอยู่ก่อนหน้าแล้ว
และเหตุที่แห่งความเจิญบริบูรณ์แห่งปัญญาทั้ง๘......นี้หมายถึงสุตตะ

บุคคลย่อมใช้ปัญญาที่มีอยู่ก่อนแล้ว ฟังหรืออ่านเพื่อให้ปัญญาเจริญบริบูรณ์ยิ่งๆขึ้นไป
ตรงกับหลักของสุตตมยปัญญา ....ใช้ปัญญาในการฟังและอ่านพระธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2016, 12:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ
เหตุปัจจัย 8 ประการ เพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์
คือปัญญาเพื่อหยั่งลงสู่กระแสแห่งพรหมจรรย์ เพื่อการละสมุทัยคือเหตุแห่งทุกข์ เช่นโสดาปัติมรรคเป็นต้น
มรรคปัญญาที่ได้มา จำเป็นต้องมีการทำให้บริบูรณ์ เจริญขึ้น บริบูรณ์มากขึ้น จนในที่สุดทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
คืออรหัตผล

อย่าตัดตอน พุทธพจน์ ออกเป็นส่วนๆ ตามใจตนเอง อรรถเนื้อความจะคลาดเคลื่อนไปโฮฮับ


มันไม่ใช่อย่างที่ลุงมั่วครับ ปัจจัยทั้ง๘ประการท่านหมายถึง.......สุตตะ
และผมก็ไม่ได้ตัดทอนอะไรเพียงแต่ชี้ให้เห็นถึงแก่นของพระธรรม.....ลุงจะได้เลิกปรุงแต่งบัญญัติ

คำว่า "เหตุปัจจัย 8 ประการ เพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์"
นี่หมายถึง เหตุปัจจัยทั้ง๘ปรการ(สุตตะ) เพื่อความเจริญบริบูรณ์ของปัญญา....ซึ่งปัญญาที่ว่า หมายถึง
พรหมจรรย์อันเป็นเบื้องต้น

เช่นนั้น เขียน:
ปัญญา รู้ชัด
ญาณเข้าถึงความรู้ชัด


ปัญญาไม่ใช่ รู้ชัด ปัญญาคือลักษณะของธรรมอันเป็นไตรลักษณ์

ตัวญานนั้นแหล่ะ...ความรู้ชัด

เช่นนั้น เขียน:
ปัญญามีหลายสิ่ง
ญาณจึงมีหลายสิ่ง


ปัญญาและญาน เป็นอนัตตา มันมีหลายสิ่งไม่ได้

ที่มีหลายสิ่งหมายถึงสภาพธรรม

เช่นนั้น เขียน:
พระพุทธองค์แสดงธรรมอย่างประณีต ให้ผู้มีศรัทธาได้ศึกษาปฏิบัติตามได้


อย่าอ้างพุทธองค์ ถ้าพุทธองค์ยังอยู่คงจะด่าลุงว่า....ไอ้พวกโมฆะบุรุษแน่ๆ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2016, 12:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongka เขียน:
เราเห็นว่า...
ทั้งสามอย่างอิงอาศัยกันและกันนั่นแหละ ทั้งสามอย่างทำหน้าที่สนับสนุนกันและกันไปตลอดเส้นทางจนกว่าจะถึงวิมุติหลุดพ้นโน้นแหละ ควรยกย่องทั้งสามอย่างไม่ควรที่จะพูดยกย่องธรรมอย่างหนึ่งข่มธรรมอย่างหนึ่งเลย


ก่อนอื่นผมว่า คุณ"ตงก้า"วางอัตตาลงก่อนแล้วค่อยคุยไม่ดีกว่าอื่น
แบกตัวตนอย่างนั้นไม่รู้สึกหนักบ่าหรือไงครับ

ใช้คำแทนตัวว่า"เรา"เนี่ย คิดว่าตัวเองเป็นใครครับ....มานะแท้หนอ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2016, 13:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ
เหตุปัจจัย 8 ประการ เพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์
คือปัญญาเพื่อหยั่งลงสู่กระแสแห่งพรหมจรรย์ เพื่อการละสมุทัยคือเหตุแห่งทุกข์ เช่นโสดาปัติมรรคเป็นต้น
มรรคปัญญาที่ได้มา จำเป็นต้องมีการทำให้บริบูรณ์ เจริญขึ้น บริบูรณ์มากขึ้น จนในที่สุดทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
คืออรหัตผล

อย่าตัดตอน พุทธพจน์ ออกเป็นส่วนๆ ตามใจตนเอง อรรถเนื้อความจะคลาดเคลื่อนไปโฮฮับ


มันไม่ใช่อย่างที่ลุงมั่วครับ ปัจจัยทั้ง๘ประการท่านหมายถึง.......สุตตะ
และผมก็ไม่ได้ตัดทอนอะไรเพียงแต่ชี้ให้เห็นถึงแก่นของพระธรรม.....ลุงจะได้เลิกปรุงแต่งบัญญัติ

คำว่า "เหตุปัจจัย 8 ประการ เพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์"
นี่หมายถึง เหตุปัจจัยทั้ง๘ปรการ(สุตตะ) เพื่อความเจริญบริบูรณ์ของปัญญา....ซึ่งปัญญาที่ว่า หมายถึง
พรหมจรรย์อันเป็นเบื้องต้น

เช่นนั้น เขียน:
ปัญญา รู้ชัด
ญาณเข้าถึงความรู้ชัด


ปัญญาไม่ใช่ รู้ชัด ปัญญาคือลักษณะของธรรมอันเป็นไตรลักษณ์

ตัวญานนั้นแหล่ะ...ความรู้ชัด

เช่นนั้น เขียน:
ปัญญามีหลายสิ่ง
ญาณจึงมีหลายสิ่ง


ปัญญาและญาน เป็นอนัตตา มันมีหลายสิ่งไม่ได้

ที่มีหลายสิ่งหมายถึงสภาพธรรม

เช่นนั้น เขียน:
พระพุทธองค์แสดงธรรมอย่างประณีต ให้ผู้มีศรัทธาได้ศึกษาปฏิบัติตามได้


อย่าอ้างพุทธองค์ ถ้าพุทธองค์ยังอยู่คงจะด่าลุงว่า....ไอ้พวกโมฆะบุรุษแน่ๆ :b32:

cool
:b12:
ปัญญาเป็นสภาพรู้ที่เกิดร่วมกับโสภณเจตสิกอื่นๆที่ทำให้ระลึกรู้สภาพธรรมตามเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงๆ
ว่าทุกอย่างเป็นธัมมะ และธัมมะทั้งหลายเป็นอนัตตา ความรู้ยิ่งเห็นจริงรู้ชัดเจนมันก็เกิดดับตามเหตุปัจจัย
:b32:
โฮฮับ เขียน:
tongka เขียน:
เราเห็นว่า...
ทั้งสามอย่างอิงอาศัยกันและกันนั่นแหละ ทั้งสามอย่างทำหน้าที่สนับสนุนกันและกันไปตลอดเส้นทางจนกว่าจะถึงวิมุติหลุดพ้นโน้นแหละ ควรยกย่องทั้งสามอย่างไม่ควรที่จะพูดยกย่องธรรมอย่างหนึ่งข่มธรรมอย่างหนึ่งเลย


ก่อนอื่นผมว่า คุณ"ตงก้า"วางอัตตาลงก่อนแล้วค่อยคุยไม่ดีกว่าอื่น
แบกตัวตนอย่างนั้นไม่รู้สึกหนักบ่าหรือไงครับ

ใช้คำแทนตัวว่า"เรา"เนี่ย คิดว่าตัวเองเป็นใครครับ....มานะแท้หนอ :b32:

wink
:b32: อยากบอกว่าห้องประชุมทุกห้องเปิดกว้างให้ทุกคนมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น ใจกว้างๆสิโฮฮับ
:b11: ดูสิมีสมาชิกมาร่วมแจมให้สุภาพกว่านี้ไม่ได้หรือ ขวางโลกคือขวางธรรม ตะแบงลงข้างกระทู้ละ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2016, 15:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2014, 11:29
โพสต์: 64

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
Quote Tipitaka:
[๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุ ๘ ประการ ปัจจัย ๘ ประการนี้ ย่อม
เป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงาม
ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งปัญญาที่ได้แล้ว

๘ ประการเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใด
รูปหนึ่งผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก
และความเคารพไว้อย่างแรงกล้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๑
ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้วฯลฯ


โฮฮับ เขียน:
ลุงเช่นนั้นไม่เข้าใจคำว่า.......ความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว


พระสูตรที่ลุงเช่นนั้นยกมา จะมีบทสรุปอยู่๒ประเด็นคือ....
"เหตุ ๘ ประการ ปัจจัย ๘ ประการนี้ ย่อม
เป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงาม
ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งปัญญาที่ได้แล้ว"
........๑

"ความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว"........๑

คำว่าความบริบูรณ์ของปัญญาที่ได้แล้ว................นี้หมายถึงปัญญามีอยู่ก่อนหน้าแล้ว
และเหตุที่แห่งความเจิญบริบูรณ์แห่งปัญญาทั้ง๘......นี้หมายถึงสุตตะ

บุคคลย่อมใช้ปัญญาที่มีอยู่ก่อนแล้ว ฟังหรืออ่านเพื่อให้ปัญญาเจริญบริบูรณ์ยิ่งๆขึ้นไป
ตรงกับหลักของสุตตมยปัญญา ....ใช้ปัญญาในการฟังและอ่านพระธรรม



คำว่าความบริบูรณ์ของปัญญาที่ได้แล้ว................นี้หมายถึงปัญญามีอยู่ก่อนหน้าแล้ว

แล้ว มีประโยคว่า "ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้"
หมายถึงอย่างไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2016, 16:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
Quote Tipitaka:
[๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุ ๘ ประการ ปัจจัย ๘ ประการนี้ ย่อม
เป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงาม
ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งปัญญาที่ได้แล้ว

๘ ประการเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใด
รูปหนึ่งผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก
และความเคารพไว้อย่างแรงกล้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๑
ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้วฯลฯ


โฮฮับ เขียน:
ลุงเช่นนั้นไม่เข้าใจคำว่า.......ความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว


พระสูตรที่ลุงเช่นนั้นยกมา จะมีบทสรุปอยู่๒ประเด็นคือ....
"เหตุ ๘ ประการ ปัจจัย ๘ ประการนี้ ย่อม
เป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงาม
ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งปัญญาที่ได้แล้ว"
........๑

"ความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว"........๑

คำว่าความบริบูรณ์ของปัญญาที่ได้แล้ว................นี้หมายถึงปัญญามีอยู่ก่อนหน้าแล้ว
และเหตุที่แห่งความเจิญบริบูรณ์แห่งปัญญาทั้ง๘......นี้หมายถึงสุตตะ

บุคคลย่อมใช้ปัญญาที่มีอยู่ก่อนแล้ว ฟังหรืออ่านเพื่อให้ปัญญาเจริญบริบูรณ์ยิ่งๆขึ้นไป
ตรงกับหลักของสุตตมยปัญญา ....ใช้ปัญญาในการฟังและอ่านพระธรรม

wink
โฮฮับเป็นบุคคลที่ใช้ปัญญาที่มีอยู่ก่อนแล้วในการฟังและอ่านพระธรรมหราาาาา
555แล้วโฮฮับเอากิเลสที่โฮฮับมีอยู่ก่อนแล้วเอาไปแอบซ่อนไว้ที่ไหนค๊าาาาาา
กิเลสมันดับไปหมดเลยเหรอถึงคิดว่าตัวเองคิดได้ถูกต้องตามคำสอนแล้วววววว
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2016, 18:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ
เหตุปัจจัย 8 ประการ เพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์
คือปัญญาเพื่อหยั่งลงสู่กระแสแห่งพรหมจรรย์ เพื่อการละสมุทัยคือเหตุแห่งทุกข์ เช่นโสดาปัติมรรคเป็นต้น
มรรคปัญญาที่ได้มา จำเป็นต้องมีการทำให้บริบูรณ์ เจริญขึ้น บริบูรณ์มากขึ้น จนในที่สุดทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
คืออรหัตผล

อย่าตัดตอน พุทธพจน์ ออกเป็นส่วนๆ ตามใจตนเอง อรรถเนื้อความจะคลาดเคลื่อนไปโฮฮับ


มันไม่ใช่อย่างที่ลุงมั่วครับ ปัจจัยทั้ง๘ประการท่านหมายถึง.......สุตตะ
และผมก็ไม่ได้ตัดทอนอะไรเพียงแต่ชี้ให้เห็นถึงแก่นของพระธรรม.....ลุงจะได้เลิกปรุงแต่งบัญญัติ

คำว่า "เหตุปัจจัย 8 ประการ เพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์"
นี่หมายถึง เหตุปัจจัยทั้ง๘ปรการ(สุตตะ) เพื่อความเจริญบริบูรณ์ของปัญญา....ซึ่งปัญญาที่ว่า หมายถึง
พรหมจรรย์อันเป็นเบื้องต้น

เช่นนั้น เขียน:
ปัญญา รู้ชัด
ญาณเข้าถึงความรู้ชัด


ปัญญาไม่ใช่ รู้ชัด ปัญญาคือลักษณะของธรรมอันเป็นไตรลักษณ์

ตัวญานนั้นแหล่ะ...ความรู้ชัด

เช่นนั้น เขียน:
ปัญญามีหลายสิ่ง
ญาณจึงมีหลายสิ่ง


ปัญญาและญาน เป็นอนัตตา มันมีหลายสิ่งไม่ได้

ที่มีหลายสิ่งหมายถึงสภาพธรรม

เช่นนั้น เขียน:
พระพุทธองค์แสดงธรรมอย่างประณีต ให้ผู้มีศรัทธาได้ศึกษาปฏิบัติตามได้


อย่าอ้างพุทธองค์ ถ้าพุทธองค์ยังอยู่คงจะด่าลุงว่า....ไอ้พวกโมฆะบุรุษแน่ๆ :b32:

cool
:b12:
ปัญญาเป็นสภาพรู้ที่เกิดร่วมกับโสภณเจตสิกอื่นๆที่ทำให้ระลึกรู้สภาพธรรมตามเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงๆ
ว่าทุกอย่างเป็นธัมมะ และธัมมะทั้งหลายเป็นอนัตตา ความรู้ยิ่งเห็นจริงรู้ชัดเจนมันก็เกิดดับตามเหตุปัจจัย
:b32:
โฮฮับ เขียน:
tongka เขียน:
เราเห็นว่า...
ทั้งสามอย่างอิงอาศัยกันและกันนั่นแหละ ทั้งสามอย่างทำหน้าที่สนับสนุนกันและกันไปตลอดเส้นทางจนกว่าจะถึงวิมุติหลุดพ้นโน้นแหละ ควรยกย่องทั้งสามอย่างไม่ควรที่จะพูดยกย่องธรรมอย่างหนึ่งข่มธรรมอย่างหนึ่งเลย


ก่อนอื่นผมว่า คุณ"ตงก้า"วางอัตตาลงก่อนแล้วค่อยคุยไม่ดีกว่าอื่น
แบกตัวตนอย่างนั้นไม่รู้สึกหนักบ่าหรือไงครับ

ใช้คำแทนตัวว่า"เรา"เนี่ย คิดว่าตัวเองเป็นใครครับ....มานะแท้หนอ :b32:

wink
:b32: อยากบอกว่าห้องประชุมทุกห้องเปิดกว้างให้ทุกคนมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น ใจกว้างๆสิโฮฮับ
:b11: ดูสิมีสมาชิกมาร่วมแจมให้สุภาพกว่านี้ไม่ได้หรือ ขวางโลกคือขวางธรรม ตะแบงลงข้างกระทู้ละ :b32:


ความเห็นพี่โฮก็เป็นความเห็นเหมือนกันนี่นา น้องโรสก็จะมาน้อยอกน้อยใจแทนคนอื่นทำไม
เดียวเขาไม่พอใจก็คงแก้ต่างหรือตอบโต้มาเองนั้นแหล่ะ ทำไมน้องโรสจะต้องเอากิเลสคนอื่น
มาใส่ตัวเองเรื่อยเชียว :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 68 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 26 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron