วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 21:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 57 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2016, 19:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในทางธรรม เมื่อว่า ถึงการปฏิบัติทางจิต "ปัจจุบัน” หมายถึงขณะเดียว ที่กำลังเกิดขึ้น เป็นอยู่

รูปภาพ


รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2016, 20:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นอยู่ในขณะปัจจุบันนี้ มีเนื้อหารวมอยู่ในสติปัฏฐาน ๔ คือ สัมมาสติด้วย กล่าวคือ ในสติปัฏฐาน เพ่งถึงการตั้งสติระลึกรู้เต็มตื่น อยู่กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น กำลังเป็นไปอยู่ กำลังรับรู้ หรือกำลังกระทำในปัจจุบันทันทุกๆขณะ

ในทางธรรม เมื่อว่า ถึงการปฏิบัติทางจิต "ปัจจุบัน” หมายถึงขณะเดียว ที่กำลังเกิดขึ้น เป็นอยู่

ในความหมายที่ลึกลงไปนี้ เป็นอยู่ในปัจจุบัน หมายถึง มีสติตามทันสิ่งที่รับรู้เกี่ยวข้อง หรือ ต้องทำอยู่ในเวลานั้นๆ แต่ละขณะทุกๆขณะ ถ้าจิตรับรู้สิ่งใดแล้ว เกิดความชอบใจ หรือ ไม่ชอบใจขึ้น ก็ติดข้องวนเวียนอยู่กับภาพของสิ่งนั้น ที่สร้างซ้อนขึ้นในใจ ก็เป็นอันตกไปอยู่ในอดีต (เรียก ว่า ตกอดีต) ตามไม่ทันของจริง หลุดหลงพลาดไปจากขณะปัจจุบันแล้ว หรือ จิตหลุดลอยจากขณะปัจจุบัน คิดฝันไปตามความรู้สึกที่เกาะเกี่ยวกับภาพเลยไปข้างหน้าของสิ่งที่ยังไม่มา ก็เป็นอันฟุ้งไปในอนาคต

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2016, 21:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ลองฟังอีกสักตั้งว่ารู้รึยังปัจจุบันขณะ
https://m.youtube.com/watch?v=bhv1vlrPbg4
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2016, 05:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ภาคปฏิบัติทางจิต

หายใจเข้า เป็นขณะปัจจุบัน ขณะหนึ่ง
หายใจออก เป็นขณะปัจจุบัน ขณะหนึ่ง


อาการท้องพอง เป็นขณะปัจจุบัน ขณะหนึ่ง
อาการท้องยุบ เป็นขณะปัจจุบัน ขณะหนึ่ง

ท้องกำลังพองขึ้น (แทนที่จะว่า พองหนอ) แต่ไปคิดเรื่องถอยรถเหยียบแมวตาย นี่โยคีตกจากปัจจุบันขณะ หลงไปในอดีตแล้ว ฯลฯ

คิดเรื่องเหยียบแมวตาย (แทนที่จะว่า คิดหนอๆๆๆ) นึกย้อนว่าเออ เมื่อกี้ลืมกำหนด พองหนอ นี่ก็หลงไปในอดีต ตกจากขณะปัจจุบันแล้ว

เดินจงกรม ซ้าย ย่าง หนอ ขวา ย่าง หนอ .........ก็ทำนองเดียวกัน :b13: ซ้าย เป็น ซ้าย ขวา เป็น ขวา ไม่หลง

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2016, 05:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกายพูดแล้วมีตัวอย่างประกอบความเข้าใจเสมอ

ตย.จงกรมแล้ว

อ้างคำพูด:
เดินจงกรมซักพัก แว้บนึงก้มไปมองที่เท้า เห็นว่าเท้าที่เดินอยู่ไม่ใช่ตัวเรา ความรู้สึกเหมือนเรามองศพคนอื่น แต่ว่าพอเห็นเช่นนั้นความกลัวผุดขึ้น จิตมันก็เลยถอยออกมาจากความรู้สึกนั้น

ที่เห็นเช่นนี้ ปฏิบัติถูกต้องไหมครับ?
ถ้าผิด/ถูก ควรทำอย่างไรต่อไป?


ผู้เริ่มปฏิบัติทางจิต นี่ไม่แปลกเลย เพราะการกำหนดรู้ ในการก้าวเดินไปแต่ละขณะๆยังไม่ชัด

แล้วเขาก็ตกจากขณะปัจจุบันแล้วด้วย ขณะเดิน เห็นเป็นยังงั้นปุ๊บ ต้องกำหนดปั๊บ เห็นหนอ เดิน ซ้าย ย่าง หนอ เป็นต้นต่อไป รู้สึกกลัว ปุ๊บ กำหนดกลัวหนอปั๊ป เดิน ซ้าย ย่าง หนอ เป็นต้นต่อไป


คุณโรสพอเข้าใจมั้ยขอรับ :b1: :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2016, 11:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกายพูดแล้วมีตัวอย่างประกอบความเข้าใจเสมอ

ตย.จงกรมแล้ว

อ้างคำพูด:
เดินจงกรมซักพัก แว้บนึงก้มไปมองที่เท้า เห็นว่าเท้าที่เดินอยู่ไม่ใช่ตัวเรา ความรู้สึกเหมือนเรามองศพคนอื่น แต่ว่าพอเห็นเช่นนั้นความกลัวผุดขึ้น จิตมันก็เลยถอยออกมาจากความรู้สึกนั้น

ที่เห็นเช่นนี้ ปฏิบัติถูกต้องไหมครับ?
ถ้าผิด/ถูก ควรทำอย่างไรต่อไป?


ผู้เริ่มปฏิบัติทางจิต นี่ไม่แปลกเลย เพราะการกำหนดรู้ ในการก้าวเดินไปแต่ละขณะๆยังไม่ชัด

แล้วเขาก็ตกจากขณะปัจจุบันแล้วด้วย ขณะเดิน เห็นเป็นยังงั้นปุ๊บ ต้องกำหนดปั๊บ เห็นหนอ เดิน ซ้าย ย่าง หนอ เป็นต้นต่อไป รู้สึกกลัว ปุ๊บ กำหนดกลัวหนอปั๊ป เดิน ซ้าย ย่าง หนอ เป็นต้นต่อไป


คุณโรสพอเข้าใจมั้ยขอรับ :b1: :b10:

Kiss
:b32:
คนบ้าแล้วล่ะที่มองเท้าตนไม่เป็นเหตุปัจจัยของตนไม่มีตนเป็นที่พึ่งเพราะไม่รู้ค่ะ
แสดงความเห็นผิดว่ามีตัวตนเป็นเท้าเป็นข้างซ้ายข้างขวาตรงตามคำสอนไหมคะ
:b12:
ทุกอย่างเป็นธัมมะไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขาเป็นสภาพธรรมเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยจริงๆ
ถ้าเป็นเราไปกำหนดการเดินการยืนการนั่งการนอนเพื่อที่จะรู้ความจริงยังไงก็รู้ไม่ได้เป็นอกุศลจิต
:b1:
หนทางที่เป็นทางตรงที่สุดคือสร้างเหตุปัจจัยที่เป็นปัญญาก่อนให้มีความเห็นถูกเข้าใจถูกในคำสอน
ขณะที่ปัญญาเกิดไม่มีตัวตนเลยนั่นแหละปัญญานั้นเองจะปฏิบัติกิจของปัญญาตามกำลังโดยรู้เพื่อละ
ละความไม่รู้ก่อนอันดับแรกโดยการสะสมการฟังให้เกิดปัญญาต่อเนื่องทุกวันเพื่อให้สัญญาจำสิ่งที่ถูก
:b20: :b16:
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2016, 14:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกายพูดแล้วมีตัวอย่างประกอบความเข้าใจเสมอ

ตย.จงกรมแล้ว

อ้างคำพูด:
เดินจงกรมซักพัก แว้บนึงก้มไปมองที่เท้า เห็นว่าเท้าที่เดินอยู่ไม่ใช่ตัวเรา ความรู้สึกเหมือนเรามองศพคนอื่น แต่ว่าพอเห็นเช่นนั้นความกลัวผุดขึ้น จิตมันก็เลยถอยออกมาจากความรู้สึกนั้น

ที่เห็นเช่นนี้ ปฏิบัติถูกต้องไหมครับ?
ถ้าผิด/ถูก ควรทำอย่างไรต่อไป?


ผู้เริ่มปฏิบัติทางจิต นี่ไม่แปลกเลย เพราะการกำหนดรู้ ในการก้าวเดินไปแต่ละขณะๆยังไม่ชัด

แล้วเขาก็ตกจากขณะปัจจุบันแล้วด้วย ขณะเดิน เห็นเป็นยังงั้นปุ๊บ ต้องกำหนดปั๊บ เห็นหนอ เดิน ซ้าย ย่าง หนอ เป็นต้นต่อไป รู้สึกกลัว ปุ๊บ กำหนดกลัวหนอปั๊ป เดิน ซ้าย ย่าง หนอ เป็นต้นต่อไป


คุณโรสพอเข้าใจมั้ยขอรับ :b1: :b10:

Kiss
:b32:
คนบ้าแล้วล่ะที่มองเท้าตนไม่เป็นเหตุปัจจัยของตนไม่มีตนเป็นที่พึ่งเพราะไม่รู้ค่ะ
แสดงความเห็นผิดว่ามีตัวตนเป็นเท้าเป็นข้างซ้ายข้างขวาตรงตามคำสอนไหมคะ
:b12:
ทุกอย่างเป็นธัมมะไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขาเป็นสภาพธรรมเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยจริงๆ
ถ้าเป็นเราไปกำหนดการเดินการยืนการนั่งการนอนเพื่อที่จะรู้ความจริงยังไงก็รู้ไม่ได้เป็นอกุศลจิต
:b1:
หนทางที่เป็นทางตรงที่สุดคือสร้างเหตุปัจจัยที่เป็นปัญญาก่อนให้มีความเห็นถูกเข้าใจถูกในคำสอน
ขณะที่ปัญญาเกิดไม่มีตัวตนเลยนั่นแหละปัญญานั้นเองจะปฏิบัติกิจของปัญญาตามกำลังโดยรู้เพื่อละ
ละความไม่รู้ก่อนอันดับแรกโดยการสะสมการฟังให้เกิดปัญญาต่อเนื่องทุกวันเพื่อให้สัญญาจำสิ่งที่ถูก
:b20: :b16:
onion onion onion

Kiss
คนทั่วไปมองเท้าเป็นเท้าอริยบุคคลก็มองเท้าเป็นเท้าค่ะ
แต่คนทั่วไปหลงผิดเป็นจริงจังว่ามีตัวตนจริงๆยึดมั่นสุดๆค่ะ
ส่วนอริยบุคคลไม่หลงผิดในความเป็นตัวตนเพราะปล่อยวาง
ที่มีเท้าเพราะคิดค่ะลองหลับตาสิ่งใดที่ไม่ปรากฏแสดงว่าไม่มี
ก่อนจะเห็นเป็นเท้าต้องมีแสงสว่างปรากฏและมีเห็นเกิด-ดับก่อน
ถึงจะปรากฏเป็นรูปลักษณ์ของสิ่งต่างๆที่ปรากฏตามมาว่ามีเป็นนิมิต
ปกติจิตอริยบุคคลเห็นนิมิตก็ไม่ต่างจากปุถุชนค่ะรู้รึยังคะต่างกันที่มีปัญญารู้จริง
เพราะฉะนั้นปุถุชนหลงลืมเป็นปกติว่าเป็นธัมมะแต่อริยบุคคลไม่คิดคือไม่มีจริงๆค่ะ
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2016, 20:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกายพูดแล้วมีตัวอย่างประกอบความเข้าใจเสมอ

ตย.จงกรมแล้ว

อ้างคำพูด:
เดินจงกรมซักพัก แว้บนึงก้มไปมองที่เท้า เห็นว่าเท้าที่เดินอยู่ไม่ใช่ตัวเรา ความรู้สึกเหมือนเรามองศพคนอื่น แต่ว่าพอเห็นเช่นนั้นความกลัวผุดขึ้น จิตมันก็เลยถอยออกมาจากความรู้สึกนั้น

ที่เห็นเช่นนี้ ปฏิบัติถูกต้องไหมครับ?
ถ้าผิด/ถูก ควรทำอย่างไรต่อไป?


ผู้เริ่มปฏิบัติทางจิต นี่ไม่แปลกเลย เพราะการกำหนดรู้ ในการก้าวเดินไปแต่ละขณะๆยังไม่ชัด

แล้วเขาก็ตกจากขณะปัจจุบันแล้วด้วย ขณะเดิน เห็นเป็นยังงั้นปุ๊บ ต้องกำหนดปั๊บ เห็นหนอ เดิน ซ้าย ย่าง หนอ เป็นต้นต่อไป รู้สึกกลัว ปุ๊บ กำหนดกลัวหนอปั๊ป เดิน ซ้าย ย่าง หนอ เป็นต้นต่อไป


คุณโรสพอเข้าใจมั้ยขอรับ :b1: :b10:

Kiss
:b32:
คนบ้าแล้วล่ะที่มองเท้าตนไม่เป็นเหตุปัจจัยของตนไม่มีตนเป็นที่พึ่งเพราะไม่รู้ค่ะ
แสดงความเห็นผิดว่ามีตัวตนเป็นเท้าเป็นข้างซ้ายข้างขวาตรงตามคำสอนไหมคะ
:b12:
ทุกอย่างเป็นธัมมะไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขาเป็นสภาพธรรมเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยจริงๆ
ถ้าเป็นเราไปกำหนดการเดินการยืนการนั่งการนอนเพื่อที่จะรู้ความจริงยังไงก็รู้ไม่ได้เป็นอกุศลจิต
:b1:
หนทางที่เป็นทางตรงที่สุดคือสร้างเหตุปัจจัยที่เป็นปัญญาก่อนให้มีความเห็นถูกเข้าใจถูกในคำสอน
ขณะที่ปัญญาเกิดไม่มีตัวตนเลยนั่นแหละปัญญานั้นเองจะปฏิบัติกิจของปัญญาตามกำลังโดยรู้เพื่อละ
ละความไม่รู้ก่อนอันดับแรกโดยการสะสมการฟังให้เกิดปัญญาต่อเนื่องทุกวันเพื่อให้สัญญาจำสิ่งที่ถูก
:b20: :b16:
onion onion onion

Kiss
คนทั่วไปมองเท้าเป็นเท้าอริยบุคคลก็มองเท้าเป็นเท้าค่ะ
แต่คนทั่วไปหลงผิดเป็นจริงจังว่ามีตัวตนจริงๆยึดมั่นสุดๆค่ะ
ส่วนอริยบุคคลไม่หลงผิดในความเป็นตัวตนเพราะปล่อยวาง
ที่มีเท้าเพราะคิดค่ะลองหลับตาสิ่งใดที่ไม่ปรากฏแสดงว่าไม่มี
ก่อนจะเห็นเป็นเท้าต้องมีแสงสว่างปรากฏและมีเห็นเกิด-ดับก่อน
ถึงจะปรากฏเป็นรูปลักษณ์ของสิ่งต่างๆที่ปรากฏตามมาว่ามีเป็นนิมิต
ปกติจิตอริยบุคคลเห็นนิมิตก็ไม่ต่างจากปุถุชนค่ะรู้รึยังคะต่างกันที่มีปัญญารู้จริง
เพราะฉะนั้นปุถุชนหลงลืมเป็นปกติว่าเป็นธัมมะแต่อริยบุคคลไม่คิดคือไม่มีจริงๆค่ะ
:b4: :b4:



มนุษย์ คน ปุถุชน อริยบุคคล ใครเกิดก่อนกัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2016, 21:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ในทางธรรม เมื่อว่า ถึงการปฏิบัติทางจิต "ปัจจุบัน” หมายถึงขณะเดียว ที่กำลังเกิดขึ้น เป็นอยู่

รูปภาพ


รูปภาพ

s004
กรัชกายนี่มาอธิบายธรรมตามตัวหนังสือ ไม่อธิบายธรรมตามผลการปฏิบัติจริงๆ เลยเป็นการมาทำให้เรื่องที่ง่ายๆกลายเป็นเรื่องยากไม่ตรงตามสภาวธรรม

การปฏิบัติธรรมกับปัจจุบันนั้น ท่านไม่ได้ให้เอาสติปัญญาไปกำหนดรู้อยู่ที่ปัจจุบันขณะ ท่านให้กำหนดรู้ที่ "ปัจจุบันอารมณ์" มันจึงจะทันปัจจุบันและเป็น หนึ่งเดียว

ปัจจุบันขณะมันมีสภาวธรรมเกิดขึ้นพร้อมกันตั้งหลายอย่างสังเกตดูให้ดีๆสิ

ตาก็เห็นรูป หูก็ได้ยินเสียงอีก 4 ทวารที่เหลือก็กำลังรับสัมผัสตามหน้าที่ของตน
ทั้งหมดเป็นในเวลาปัจจุบันขณะเดียวกัน

แต่ธรรมชาติของจิตจะรับรู้อารมณ์ได้ครั้งละอย่างเดียว ไม่ใช่ 6 อย่างพร้อมกัน
ดังนั้นการปฏิบัติธรรมปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาต้องกำหนดพิจรณาที่อารมณ์เดียวคือปัจจุบันอารมณ์

ปัจจุบันอารมณ์คืออารมณ์ที่จิตกำลังเสวยหรือ รู้อยู่ขณะนั้น

ถ้ายังไม่ปรากฏขึ้นให้รู้ที่จิต เรียกว่า "อนาคต"
ถ้ากำลังปรากฏรู้อยู่ที่จิต เรียกว่า "ปัจจุบัน" หรือ "ปัจจุบันอารมณ์"
ถ้าดับไปจากการรับรู้ของจิต เรียกว่า "อดีตอารมณ์"

การปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติที่ปัจจุบันอารมณ์ เพราะ ปัจจุบันอารมณ์แก้ไขได้
อดีตอนาคตแก้ไขไม่ได้


เพราะฉนั้นการใช้สมมุติบัญญัติตามตำราต้องมีความละเอียดละออพอสมควรนะท่านนักวิชาการใหญ่ทั้งหลายมิฉนั้นจะทำผิดจากสภาวธรรมจริงๆ ผลก็จะได้เป็นผลปลอม

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2016, 21:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สมมติ บัญญัติ พูดจนรำคาญ

ท่านอโศก เอาชัดๆถี่ หมายถึงอะไร สมมติ บัญญัติ

1. สมมติ....

2. บัญญัติ....

ว่าไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2016, 21:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
สมมติ บัญญัติ พูดจนรำคาญ

ท่านอโศก เอาชัดๆถี่ หมายถึงอะไร สมมติ บัญญัติ

1. สมมติ....

2. บัญญัติ....

ว่าไป

:b13: :b13:
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ
กระทู้ชี้เรื่องปัจจุบัน แต่นี่จะมาชวนกันวิตกวิจารณ์เรื่องสมมุติ กับบัญญัติ
กรัชกายนี่โลเลหลายใจจริงๆ ไม่ทำให้จบเป็นเรื่องๆไป

เรื่องสมมุติ กับ บัญญัตินี่ถกเถียงกันมาตั้งนานตั้งหลายกระทู้กรัชกายก็ยังกลัวว่าอโศกะจะโง่ไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องนี้

สมมุติ คือการตั้งชื่อให้กับสิ่งต่างๆทั้งที้เป็นรูปธรรมและนามธรรม เพื่อจะได้เอาไว้สื่อสารกันให้รู้เรื่องเป็นภาษาพูดเป็นภาษาเขียนต่างๆ

บัญญัติ คือการลงมติกันว่าจะสมมุติหรือตั้งชิ่อรูปนามอันใดว่าอย่างไร

สิ่งใดที่ไม่มีสัจจะความจริงรองรับเรียกว่า สมมุติบัญญัติหรือสมมุติสัจจะ

สิ่งใดที่มีมีสัจจะความจริงรองรับเรียกว่า ปรมัตถสัจจะ

สมมุติบัญญัติทั้งหลายของทุกภาษามีความละเอียดลึกซึ้งมากการใช้จึงต้องพิจารณาให้ดีและใช้ให้ถูกต้องตามสภาวธรรมจริงๆจึงจะเกิดประโยชน์ในการสื่อสารสื่อภาษา อย่างเรื่อง

ปัจจุบันขณะ กับ ปัจจุบันอารมณ์ ที่ยกมาแจกแจงให้ฟังข้างต้น

กรัชกายจะยอมรับได้โดยดุษฎีหรือยังว่า

ปัจจุบันขณะ มีตั้งหลายอย่างเกิดขึ้น แต่
ปัจจุบันอารมณ์ มีเพียงเรื่องเดียว หนึ่งเดียว

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2016, 21:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ในทางธรรม เมื่อว่า ถึงการปฏิบัติทางจิต "ปัจจุบัน” หมายถึงขณะเดียว ที่กำลังเกิดขึ้น เป็นอยู่

รูปภาพ


รูปภาพ

s004
กรัชกายนี่มาอธิบายธรรมตามตัวหนังสือ ไม่อธิบายธรรมตามผลการปฏิบัติจริงๆ เลยเป็นการมาทำให้เรื่องที่ง่ายๆกลายเป็นเรื่องยากไม่ตรงตามสภาวธรรม

การปฏิบัติธรรมกับปัจจุบันนั้น ท่านไม่ได้ให้เอาสติปัญญาไปกำหนดรู้อยู่ที่ปัจจุบันขณะ ท่านให้กำหนดรู้ที่ "ปัจจุบันอารมณ์" มันจึงจะทันปัจจุบันและเป็น หนึ่งเดียว

ปัจจุบันขณะมันมีสภาวธรรมเกิดขึ้นพร้อมกันตั้งหลายอย่างสังเกตดูให้ดีๆสิ

ตาก็เห็นรูป หูก็ได้ยินเสียงอีก 4 ทวารที่เหลือก็กำลังรับสัมผัสตามหน้าที่ของตน
ทั้งหมดเป็นในเวลาปัจจุบันขณะเดียวกัน

แต่ธรรมชาติของจิตจะรับรู้อารมณ์ได้ครั้งละอย่างเดียว ไม่ใช่ 6 อย่างพร้อมกัน
ดังนั้นการปฏิบัติธรรมปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาต้องกำหนดพิจรณาที่อารมณ์เดียวคือปัจจุบันอารมณ์

ปัจจุบันอารมณ์คืออารมณ์ที่จิตกำลังเสวยหรือ รู้อยู่ขณะนั้น

ถ้ายังไม่ปรากฏขึ้นให้รู้ที่จิต เรียกว่า "อนาคต"
ถ้ากำลังปรากฏรู้อยู่ที่จิต เรียกว่า "ปัจจุบัน" หรือ "ปัจจุบันอารมณ์"
ถ้าดับไปจากการรับรู้ของจิต เรียกว่า "อดีตอารมณ์"

การปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติที่ปัจจุบันอารมณ์ เพราะ ปัจจุบันอารมณ์แก้ไขได้
อดีตอนาคตแก้ไขไม่ได้


เพราะฉนั้น[size=150]การใช้สมมุติบัญญัติตามตำราต้องมีความละเอียดละออ
พอสมควรนะท่านนักวิชาการใหญ่ทั้งหลายมิฉนั้นจะทำผิดจากสภาวธรรมจริงๆ ผลก็จะได้เป็นผลปลอม[/size]
onion



คิกๆๆ ถามที่พูดนี่ ๆๆ :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2016, 22:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ในทางธรรม เมื่อว่า ถึงการปฏิบัติทางจิต "ปัจจุบัน” หมายถึงขณะเดียว ที่กำลังเกิดขึ้น เป็นอยู่

รูปภาพ


รูปภาพ

s004
กรัชกายนี่มาอธิบายธรรมตามตัวหนังสือ ไม่อธิบายธรรมตามผลการปฏิบัติจริงๆ เลยเป็นการมาทำให้เรื่องที่ง่ายๆกลายเป็นเรื่องยากไม่ตรงตามสภาวธรรม

การปฏิบัติธรรมกับปัจจุบันนั้น ท่านไม่ได้ให้เอาสติปัญญาไปกำหนดรู้อยู่ที่ปัจจุบันขณะ ท่านให้กำหนดรู้ที่ "ปัจจุบันอารมณ์" มันจึงจะทันปัจจุบันและเป็น หนึ่งเดียว

ปัจจุบันขณะมันมีสภาวธรรมเกิดขึ้นพร้อมกันตั้งหลายอย่างสังเกตดูให้ดีๆสิ

ตาก็เห็นรูป หูก็ได้ยินเสียงอีก 4 ทวารที่เหลือก็กำลังรับสัมผัสตามหน้าที่ของตน
ทั้งหมดเป็นในเวลาปัจจุบันขณะเดียวกัน

แต่ธรรมชาติของจิตจะรับรู้อารมณ์ได้ครั้งละอย่างเดียว ไม่ใช่ 6 อย่างพร้อมกัน
ดังนั้นการปฏิบัติธรรมปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาต้องกำหนดพิจรณาที่อารมณ์เดียวคือปัจจุบันอารมณ์

ปัจจุบันอารมณ์คืออารมณ์ที่จิตกำลังเสวยหรือ รู้อยู่ขณะนั้น

ถ้ายังไม่ปรากฏขึ้นให้รู้ที่จิต เรียกว่า "อนาคต"
ถ้ากำลังปรากฏรู้อยู่ที่จิต เรียกว่า "ปัจจุบัน" หรือ "ปัจจุบันอารมณ์"
ถ้าดับไปจากการรับรู้ของจิต เรียกว่า "อดีตอารมณ์"

การปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติที่ปัจจุบันอารมณ์ เพราะ ปัจจุบันอารมณ์แก้ไขได้
อดีตอนาคตแก้ไขไม่ได้


เพราะฉนั้น[size=150]การใช้สมมุติบัญญัติตามตำราต้องมีความละเอียดละออ
พอสมควรนะท่านนักวิชาการใหญ่ทั้งหลายมิฉนั้นจะทำผิดจากสภาวธรรมจริงๆ ผลก็จะได้เป็นผลปลอม[/size]
onion



คิกๆๆ ถามที่พูดนี่ ๆๆ :b13:

onion
คำตอบ
สมมุติ คือการตั้งชื่อให้กับสิ่งต่างๆทั้งที้เป็นรูปธรรมและนามธรรม เพื่อจะได้เอาไว้สื่อสารกันให้รู้เรื่องเป็นภาษาพูดเป็นภาษาเขียนต่างๆ

บัญญัติ คือการลงมติกันว่าจะสมมุติหรือตั้งชิ่อรูปนามอันใดว่าอย่างไร

สิ่งใดที่ไม่มีสัจจะความจริงรองรับเรียกว่า สมมุติบัญญัติหรือสมมุติสัจจะ

สิ่งใดที่มีมีสัจจะความจริงรองรับเรียกว่า ปรมัตถสัจจะ

สมมุติบัญญัติทั้งหลายของทุกภาษามีความละเอียดลึกซึ้งมากการใช้จึงต้องพิจารณาให้ดีและใช้ให้ถูกต้องตามสภาวธรรมจริงๆจึงจะเกิดประโยชน์ในการสื่อสารสื่อภาษา อย่างเรื่อง

ปัจจุบันขณะ กับ ปัจจุบันอารมณ์ ที่ยกมาแจกแจงให้ฟังข้างต้น

กรัชกายจะยอมรับได้โดยดุษฎีหรือยังว่า

ปัจจุบันขณะ มีตั้งหลายอย่างเกิดขึ้น แต่
ปัจจุบันอารมณ์ มีเพียงเรื่องเดียว หนึ่งเดียว

s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2016, 23:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


wink
อ้างคำพูด:
มนุษย์ คน ปุถุชน อริยบุคคล ใครเกิดก่อนกัน

ทุกคนเลยค่ะไม่เว้นเลยสัก1คนต้องเกิดเป็นปุถุชนก่อนทั้งหมด
:b27:
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2016, 05:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
wink
อ้างคำพูด:
มนุษย์ คน ปุถุชน อริยบุคคล ใครเกิดก่อนกัน

ทุกคนเลยค่ะไม่เว้นเลยสัก1คนต้องเกิดเป็นปุถุชนก่อนทั้งหมด


ไม่เกิดเป็นคนก่อนหรือครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 57 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 30 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร