วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 19:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 72 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2016, 20:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การเริ่มต้นที่ถูก เป็นปรโตโฆสะที่ดี ที่สร้างสัมมาทิฏฐิ

ดังความในพระไตรปิฎก แสดงหลักการสร้างเสริมสัมมาทิฏฐิไว้ ดังนี้

"ภิกษุทั้งหลาย ปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ มี ๒ ประการ ดังนี้ คือ ปรโตโฆสะ และโยนิโสมนสิการ

ปัจจัยแห่งสัมมาทิฏฐิ ๒ อย่าง ตามพุทธพจน์ที่ตรัสไว้นี้ คือ

๑. ปรโตโฆสะ = เสียงจากผู้อื่น การกระตุ้นหรือชักจูงจากภายนอก เช่น การสั่งสอน แนะนำ การถ่ายทอด การโฆษณา คำบอกเล่า ข่าวสาร ข้อเขียน คำชี้แจง อธิบาย การเรียนรู้จากผู้อื่น ในที่นี้ หมายเอาเฉพาะส่วนที่ดีงามถูกต้อง เฉพาะอย่างยิ่งการรับฟังธรรม ความรู้ หรือคำแนะนำจากบุคคลที่เป็นกัลยาณมิตร (hearing or learning from others; inducement by others)

ข้อแรกนี้ เป็นองค์ประกอบฝ่ายภายนอก ได้แก่ ปัจจัยทางสังคม อาจเรียกง่ายว่า วิธีการแห่งศรัทธา

๒. โยนิโสมนสิการ = การทำในใจโดยแยบคาย = การใช้ความคิดถูกวิธี ความรู้จักคิด คิดเป็น หรือคิดอย่างมีระเบียบ หมายถึง การรู้จักมอง รู้จักพิจารณาสิ่งทั้งหลาย โดยมองตรงตามที่สิ่งนั้นๆ มันเป็นของมัน และโดยวิธีคิดหาเหตุผล สืบค้นถึงต้นเค้า สืบสาวให้ตลอดสาย แยกแยะสิ่งนั้นๆ หรือปัญหานั้นๆ ออก ให้เห็นตามสภาวะ และตามความสัมพันธ์สืบทอดแห่งเหตุปัจจัย โดยไม่เอาความรู้สึกด้วยตัณหาอุปาทานของตนเข้าจับ (analytical reflection; reasoned or systematic attention)

ข้อสองนี้ เป็นองค์ประกอบฝ่ายภายใน ได้แก่ ปัจจัยในตัวบุคคล อาจเรียกง่ายๆว่า วิธีกา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2016, 07:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
การเริ่มต้นที่ถูก เป็นปรโตโฆสะที่ดี ที่สร้างสัมมาทิฏฐิ ดัง

ความในพระไตรปิฎก แสดงหลักการสร้างเสริมสัมมาทิฏฐิไว้ ดังนี้

"ภิกษุทั้งหลาย ปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ มี ๒ ประการ ดังนี้ คือ ปรโตโฆสะ และโยนิโสมนสิการ

ปัจจัยแห่งสัมมาทิฏฐิ ๒ อย่าง ตามพุทธพจน์ที่ตรัสไว้นี้ คือ

๑. ปรโตโฆสะ = เสียงจากผู้อื่น การกระตุ้นหรือชักจูงจากภายนอก เช่น การสั่งสอน แนะนำ การถ่ายทอด การโฆษณา คำบอกเล่า ข่าวสาร ข้อเขียน คำชี้แจง อธิบาย การเรียนรู้จากผู้อื่น ในที่นี้ หมายเอาเฉพาะส่วนที่ดีงามถูกต้อง เฉพาะอย่างยิ่งการรับฟังธรรม ความรู้ หรือคำแนะนำจากบุคคลที่เป็นกัลยาณมิตร (hearing or learning from others; inducement by others)

ข้อแรกนี้ เป็นองค์ประกอบฝ่ายภายนอก ได้แก่ ปัจจัยทางสังคม อาจเรียกง่ายว่า วิธีการแห่งศรัทธา

๒. โยนิโสมนสิการ = การทำในใจโดยแยบคาย = การใช้ความคิดถูกวิธี ความรู้จักคิด คิดเป็น หรือคิดอย่างมีระเบียบ หมายถึง การรู้จักมอง รู้จักพิจารณาสิ่งทั้งหลาย โดยมองตรงตามที่สิ่งนั้นๆ มันเป็นของมัน และโดยวิธีคิดหาเหตุผล สืบค้นถึงต้นเค้า สืบสาวให้ตลอดสาย แยกแยะสิ่งนั้นๆ หรือปัญหานั้นๆ ออก ให้เห็นตามสภาวะ และตามความสัมพันธ์สืบทอดแห่งเหตุปัจจัย โดยไม่เอาความรู้สึกด้วยตัณหาอุปาทานของตนเข้าจับ (analytical reflection; reasoned or systematic attention)

ข้อสองนี้ เป็นองค์ประกอบฝ่ายภายใน ได้แก่ ปัจจัยในตัวบุคคล อาจเรียกง่ายๆว่า วิธีกา


มั่วอีกแล้ว!!! มันตีความหมายแบบนั้นซะที่ไหนกัน
ไอ้ที่กรัชกายยกมามันเป็นภาษาศาสตร์ ไม่ใช่ภาษาธรรม

โดยเนื้อหาทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับธรรมโดยตรงมาจากพระสูตรบทนี้....

.......... [๓๗๑] ๑๒๕ เทฺวเม ภิกฺขเว ปจฺจยา สมฺมาทิฏฺิยา อุปฺปาทาย
กตเม เทฺว ปรโต จ โฆโส โยนิโส จ มนสิกาโร อิเม โข
ภิกฺขเว เทฺว ปจฺจยา สมฺมาทิฏฺิยา อุปฺปาทายาติ ฯ


............[๓๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฐิ ๒ อย่างนี้ ๒ อย่าง
เป็นไฉน คือ การโฆษณาแต่บุคคลอื่น ๑ โยนิโสมนสิการ ๑ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัจจัยเพื่อ
ความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฐิ ๒ อย่างนี้แล ฯ


อธิบาย ปรโตโฆษะและโยนิโสมนสิการ ต้องเป็นปัจจัยที่อยู่ร่วมกัน จึงจะเกิดความเป็นสัมมาทิฐิ
อย่างเช่น ถ้าได้ยินได้ฟังอะไรแล้ว(ปรโตโฆษะ) จะต้องเอาความเป็นโยนิโสมนสิการ(ปัญญา)
มาพิจารณาสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง(ปรโตโฆษะ)ทุกครั้งไป สัมมาทิฐิจึงจะเกิดได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2016, 08:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เด็กและเยาวชน ต้องปลูกฝังให้เกิดศรัทธาโดยใช้ปรโตโฆสะที่ดีช่วยนำอย่างนั้น เพราะอะไร? เพราะเด็กอายุขนาดนั้นเขายังไม่รู้จักคิด ยังคิดอะไรลึกซึ้งไม่เป็น

อย่าว่าแต่เด็กเลย แม้โฮฮับ คิกๆๆ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2016, 21:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มจร ผนึกกำลังพระสงฆ์ทั่วประเทศ จัดบวชเณรและอบรมเยาวชนสร้างคนดีคนเก่งกว่า ๖๘,๔๖๒ รูป/คน ฝึกทักษะภาษาอังกฤษปลูกฝังศีล ๕

http://www.komchadluek.net/detail/20160331/225116.html

โฮฮับ นี่ นี่


.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2016, 17:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตย. คนใช้โยนิโสมนสิการ (รู้จักคิด, คิดเป็น,คิดถูกวิธี,คิดมีเหตุผล,คิดปลุกเร้ากุศล) ยาวหน่อยโฮฮับดูนะ

อ้างคำพูด:
เริ่มจาก...ดิฉันสมัครสอบเข้าทำงานราชการในกระทรวงหนึ่ง ซึ่งมันเป็นตำแหน่งที่ดิฉันอยากสอบได้มากๆๆๆ เพราะเงินเดือนน่าพอใจ ที่สำคัญถ้าสอบได้ดิฉันจะได้ทำงานใกล้บ้าน ดิฉันก็ทำทุกวิถีทางเลยค่ะเพื่อให้สอบได้ ทั้งอ่านหนังสืออย่างเยอะ หาข้อสอบเก่าๆมาทำ นอกจากนั้นดิฉันยังคิดจะติดสินบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าจะบนเจ้าแม่ หรือเจ้าพ่อที่ไหนดี บนด้วยอะไรดี ก็หาข้อมูลใหญ่เลยค่ะ แล้วก็มาได้ข้อสรุปว่า เอาวะ!!...บนด้วยการถือศีล 5 แล้วกัน เพราะการถือศีล 5 ได้บุญ สิ่งศักดิ์สิทธิ์อาจจะชอบบุญมากกว่าหมูเห็ดเป็ดไก่ ไข่ต้ม หรือว่าพวงมาลัย...


พอคิดได้ก็เริ่มเลยค่ะ สวดมนต์ สมาทานศีล 5 นั่งสมาธิ แผ่เมตตาทุกคืนก่อนนอน แรกๆอึดอัดมากค่ะ จะทำอะไรก็กลัวผิดศีลไปหมด แล้วก็ชอบเผลอชอบลืมอยู่บ่อยๆ กว่าจะผ่านแต่ละวันไปได้โดยไม่พูดโกหก ไม่ตบยุง 2 อย่างนี้ยากมากๆกว่าจะหมดวันๆนึง..


ดิฉันก็เลยเริ่มรู้สึกว่าถ้าเรายังรู้สึก อึดอัดแบบนี้ต่อไปเราคงถือศีลได้ไม่กี่วันแน่ๆ เราต้องศึกษาจากคนอื่นบ้างแล้วว่ามีหลักในการถือศีลอย่างไร คนที่นึกถึงตอนแรกเลยก็คือ พระค่ะ... ดิฉันจึงไปโหลดเสียงธรรมของหลวงพ่อหลายองค์มาฟังเกี่ยวกับหลักในการปฏิบัติ ศีล 5 ยอมรับค่ะว่าเรื่องการฟังเทศน์มันแล้วแต่จริตคนจริงๆ ว่าจะถูกจริตกับคำสอนของพระองค์ไหน


ดิฉันฟังหลายหลวงพ่อแต่ก็ไม่รู้สึกถูกจริตเป็นพิเศษ จนได้มาฟังเสียงธรรมของหลวงพ่อองค์หนึ่งที่พอฟังปุ๊บ จิตมันหยุดนิ่งไม่อยากละจากเสียงไปไหนเลย เป็นเสียงที่ฟังง่าย คำพูดฟังง่ายๆ แต่ฟังแล้วคิดตามได้แล้วเห็นภาพ ดิฉันก็เปิดฟังเกือบทั้งวันเลยค่ะ ตั้งแต่ตื่น ระหว่างวัน จนถึงก่อนจะนอนเรียกว่าหลับไปกับเสียงธรรมของท่านเลย คำสอนของท่านก้องอยู่ในหัวตลอด ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบอกว่า ศีลนั้นน่ะ มันอยู่ที่เจตนา...พอเริ่มฟังมากๆ ปัญญาก็เริ่มเกิดเริ่มใช้ชีวิตง่ายขึ้น

ผ่านไประยะหนึ่ง... จากที่ตอนแรกดิฉันรักษาศีล ดิฉันก็ค้นพบว่าไปๆมาๆ ศีลต่างหากที่รักษาดิฉัน ชีวิตมันง่ายจังชีวิตมันดีจังที่มันใช้ชีวิต
โดยมีศีลเป็นกรอบ

พอมีศีลก็มีสติ เพราะต้องมีสติไว้พิจารณาว่าสิ่งที่เรากำลังคิดจะพูดจะทำนั้น มันผิดในหลักของศีลไหม ถ้าผิดเราจะไม่พูด ไม่ทำ....พอมีสติบ่อยๆ มันก็กลายเป็นมีสติรู้ตัวทั้งวัน พอรู้ตัวทั้งวันเวลาที่พูดหรือคุยกับใครมันกลายเป็นมองข้าม ผิวพรรณ หน้าตา ทรงผม ความจน ความรวยหรือแม้แต่ยศฐาบรรดาศักดิ์ของคนคนนั้นไปเลยค่ะ น่าทึ่งมาก มันเห็นเลยว่า คนที่เราพูดคุยด้วยอยู่นี้คำที่พูดออกมามีแต่วาจาน่ารักน่าฟัง หรือวาจาเต็มไปด้วยคำโม้โอ้อวด หรือวาจาเต็มไปด้วยโทสะคำหยาบๆคายๆ หรือพูดแต่เรื่องของคนอื่น ขี้นินทาอิจฉาคนอื่นไหม น่าคบหรือไม่น่าคบ...

พอได้ยินคำพูด มันก็บ่งบอกจิตใจของคนพูดหรือแม้แต่บ่งบอกได้เหมือนกันว่าคนที่เราพูดคุย ด้วยอยู่นั้นมีสติไตร่ตรองในคำพูดของตัวเองแค่ไหน..สติยังทำให้ดิฉันเห็นถึง พัฒนาการของจิตตัวเองเวลาที่มันมีอะไรมากระทบ เวลามีคนมาทำให้โกรธ จะด้วยคำพูดหรือการกระทำก็ตาม ดิฉันสังเกตเห็นว่าจิตมันเฉยๆ มันไม่รู้สึกโกรธตอบ ทำไมมันเฉยอย่างนั้น ถ้าเป็นเมื่อก่อนมันคงร้อนรนอยากจะเอาคืน แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า ที่ดิฉันเล่ามาทั้งหมดนี้เพียงเพราะอยากบอกเล่าถึงความมหัศจรรย์ของศีล ศีลนำมาซึ่งสติ สตินำมาซึ่งความสงบสุขในชีวิตจริงๆค่ะ โดยเฉพาะในโลกที่มันวิ่งวนวุ่นวายใบนี้..

ดิฉันยังเคยนั่งนึกเลยว่าเมื่อก่อน นี้เราอยู่มาได้ยังไงนะ โดยไม่มีสติมาเป็นเครื่องนำทางในชีวิต เมื่อก่อนเวลาเราจะตัดสินใจพูดหรือทำอะไรเรายึดหลักอะไรล่ะ...คำตอบที่ได้ คือ อารมณ์ล้วนๆค่ะ เกือบทุกเรื่องดิฉันยังไม่ทันได้คิดไตร่ตรองด้วยซ้ำ อารมณ์มันพาให้พูดให้ทำไปก่อน น่ากลัวจริงๆค่ะที่เคยมีชีวิตแบบนั้น...

ทั้งนี้ทั้งนั้นตอนนี้ดิฉันได้พบทาง สายเอกแล้ว ทางสายที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ ชีวิตก็ไม่ต้องการอะไรแล้วค่ะ ทุกสิ่งล้วนต้องทิ้งไว้ในโลก แต่ก็โชคดีที่ดิฉันสอบได้งานตามที่ตั้งใจหวังไว้จริงๆ จะด้วยการบนบานนั้นสำเร็จหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ยังไงดิฉันคงขอเดินบนทางสายนี้ไปจนกว่าเวลาของดิฉันในโลกใบนี้จะหมดไป

หากหมดเวลา ดิฉันขอเอาไปแค่จิตที่บริสุทธิ์ดวงเดียวก็พอ ดิฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การบอกเล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านที่กำลัง เริ่มคิดจะถือศีล กำลังเริ่มถือศีล หรือเพียงแต่กำลังคิดจะหยุดทำผิดศีลก็ตาม อยากบอกว่าคุณเดินมาถูกทางแล้วค่ะ^^

สุดท้ายนี้...หนูต้องกราบขอบคุณพ่อแม่ ที่ทำให้หนูมีโอกาสเกิดมาพบศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบขอบคุณครูบาอาจารย์ที่สอนให้หนูอ่านออกเขียนได้ ทำใหัหนูได้อ่านพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์....สุดท้าย ดวงจิตดวงนี้ ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น ที่ทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยพระองค์เอง


.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2016, 20:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เบื้องต้นสิ่งที่ลูกๆหลานๆได้จากพระพุทธศาสนา :b1:

รูปภาพ

http://f.ptcdn.info/589/040/000/o3f2lgn ... 5DjN-o.jpg

เมื่อเขาเติบใหญ่ขึ้นอีกทั้งได้ศึกษาคำสอนและรู้จักคิดให้ยิ่งขึ้นไปก็เกิดมีปัญญา :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 04 เม.ย. 2016, 08:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2016, 17:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บวชเณรลูกแก้ว เป็นประเพณีภาคเหนือ :b9:


.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2016, 21:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


ต้องขอบคุณ...คณะที่ทำให้บ้านเมืองนี้สงบ..แม้ชั่วคราวก็ยังดี..

ทำให้เด็ก ๆ มีโอกาสมี ปรโตโฆสะ ที่ดีดี

rolleyes rolleyes rolleyes


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2016, 08:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
มจร ผนึกกำลังพระสงฆ์ทั่วประเทศ จัดบวชเณรและอบรมเยาวชนสร้างคนดีคนเก่งกว่า ๖๘,๔๖๒ รูป/คน ฝึกทักษะภาษาอังกฤษปลูกฝังศีล ๕

http://www.komchadluek.net/detail/20160331/225116.html

โฮฮับ นี่ นี่



เจ๊แอนรู้มั้ยว่า......ธรรมมันมีสองอย่างคือ สัมมาทิฐิกับมิจฉาทิฐิ

และในความเป็นมิจฉาทิฐินั้นยังแบ่งเป็น อุทเฉกทิฐิและสัสสตทิฐิ

สถาบันไหนสอนให้บุคคลเป็นสัสสตทิฐิ ก็นับว่าสถาบันนั้นไม่ใช่พุทธศาสนาครับ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2016, 08:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ต้องขอบคุณ...คณะที่ทำให้บ้านเมืองนี้สงบ..แม้ชั่วคราวก็ยังดี..

ทำให้เด็ก ๆ มีโอกาสมี ปรโตโฆสะ ที่ดีดี

rolleyes rolleyes rolleyes


นั่นเรียกกวาดขยะซุกใต้พรม คือ การใช้อาวุธกดให้เขาสงบ มิใช่ความสงบที่ยั่งยืน :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2016, 08:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จะสอนกรัชกายกับกบนอกกะลาว่า ........ทั้งกบและกรัชกายแม้จะฟังคำพูดของอีกฝายหนึ่งแล้ว
ก็สามารถทำให้เกิดสัมมาทิฐิได้ มันไม่ใช่แต่จะฟังแต่สิ่งดีๆเพียงอย่างเดียว

การบวชเป็นเณร แล้วบอกว่าจะได้ปรโตโฆษะที่ดี......ไม่ใช่เลย
ถ้าเด็กมันไม่มีโยนิโสฯ มันก็ไม่เกิดสัมมาทิฐิ และเชื่อได้เลยว่าร้อยทั้งร้อย
ไอ้เด็กพวกนี้ไม่มีและไม่รู้จักโสนิโยแน่นอน ที่มันบวชก็เพราะตามเพื่อนบ้าง
ถูกพ่อแม่กล่อมหรือเอารางวัลมาล่อ......ว่างๆหัดไปแอบดูตามวัด จะเห็นไอ้เด็กพวกนี้
เหมือนลิงโมขยผ้าเหลืองพระมาห่ม มันซนยังกะทะโมน


ศาสนาพุทธไร้ซึ่งดร่าม่า :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2016, 16:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
จะสอนกรัชกายกับกบนอกกะลาว่า ........ทั้งกบและกรัชกายแม้จะฟังคำพูดของอีกฝายหนึ่งแล้ว
ก็สามารถทำให้เกิดสัมมาทิฐิได้ มันไม่ใช่แต่จะฟังแต่สิ่งดีๆเพียงอย่างเดียว

การบวชเป็นเณร แล้วบอกว่าจะได้ปรโตโฆษะที่ดี......ไม่ใช่เลย
ถ้าเด็กมันไม่มีโยนิโสฯ มันก็ไม่เกิดสัมมาทิฐิ และเชื่อได้เลยว่าร้อยทั้งร้อย
ไอ้เด็กพวกนี้ไม่มีและไม่รู้จักโสนิโยแน่นอน ที่มันบวชก็เพราะตามเพื่อนบ้าง
ถูกพ่อแม่กล่อมหรือเอารางวัลมาล่อ......ว่างๆหัดไปแอบดูตามวัด จะเห็นไอ้เด็กพวกนี้
เหมือนลิงโมขยผ้าเหลืองพระมาห่ม มันซนยังกะทะโมน


ศาสนาพุทธไร้ซึ่งดร่าม่า :b32:



ตอบนะ เอาชัดๆ

ช่วงปิดเทอม ให้เด็กไปร้านเกม วิ่งเล่นอยู่ตามชุมชน กับ บวชอยู่ที่วัด มีการจำกัดที่ให้อยู่ ถึงเวลานอนนอน ถึงเวลากินกิน ถึงเวลาสวดมนต์ทำวัตร ก็สวดมนต์ทำวัตร มีการสอนศีลธรรมตามตาราง

โฮฮับเลือกอย่างไหน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2016, 18:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
จะสอนกรัชกายกับกบนอกกะลาว่า ........ทั้งกบและกรัชกายแม้จะฟังคำพูดของอีกฝายหนึ่งแล้ว
ก็สามารถทำให้เกิดสัมมาทิฐิได้ มันไม่ใช่แต่จะฟังแต่สิ่งดีๆเพียงอย่างเดียว

การบวชเป็นเณร แล้วบอกว่าจะได้ปรโตโฆษะที่ดี......ไม่ใช่เลย
ถ้าเด็กมันไม่มีโยนิโสฯ มันก็ไม่เกิดสัมมาทิฐิ และเชื่อได้เลยว่าร้อยทั้งร้อย
ไอ้เด็กพวกนี้ไม่มีและไม่รู้จักโสนิโยแน่นอน ที่มันบวชก็เพราะตามเพื่อนบ้าง
ถูกพ่อแม่กล่อมหรือเอารางวัลมาล่อ......ว่างๆหัดไปแอบดูตามวัด จะเห็นไอ้เด็กพวกนี้
เหมือนลิงโมขยผ้าเหลืองพระมาห่ม มันซนยังกะทะโมน


ศาสนาพุทธไร้ซึ่งดร่าม่า :b32:



ตอบนะ เอาชัดๆ

ช่วงปิดเทอม ให้เด็กไปร้านเกม วิ่งเล่นอยู่ตามชุมชน กับ บวชอยู่ที่วัด มีการจำกัดที่ให้อยู่ ถึงเวลานอนนอน ถึงเวลากินกิน ถึงเวลาสวดมนต์ทำวัตร ก็สวดมนต์ทำวัตร มีการสอนศีลธรรมตามตาราง

โฮฮับเลือกอย่างไหน


พี่โฮเลือกให้เด็กไปเรียนพิเศษ อาจเป็น ดนตรี นาฎศิลป์หรือภาษาต่างประเทศ

ถ้าจะอ้างว่า พ่อแม่ไม่มีเงินทองให้ลูกเรียนพิเศษ

แล้วทำไมต้องผลัการะมาให้ทางวัด ไม่ให้ปู่ย่า ตายายดูแล

วัดไม่ใช่สถานรับเลี้ยงเด็กนะเว้ยเฮ้ย!

แล้วแน่ใจได้ไงว่า พวกเกย์ห่มผ้าเหลืองจะไม่ตุ๋ยเด็ก :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2016, 18:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
จะสอนกรัชกายกับกบนอกกะลาว่า ........ทั้งกบและกรัชกายแม้จะฟังคำพูดของอีกฝายหนึ่งแล้ว
ก็สามารถทำให้เกิดสัมมาทิฐิได้ มันไม่ใช่แต่จะฟังแต่สิ่งดีๆเพียงอย่างเดียว

การบวชเป็นเณร แล้วบอกว่าจะได้ปรโตโฆษะที่ดี......ไม่ใช่เลย
ถ้าเด็กมันไม่มีโยนิโสฯ มันก็ไม่เกิดสัมมาทิฐิ และเชื่อได้เลยว่าร้อยทั้งร้อย
ไอ้เด็กพวกนี้ไม่มีและไม่รู้จักโสนิโยแน่นอน ที่มันบวชก็เพราะตามเพื่อนบ้าง
ถูกพ่อแม่กล่อมหรือเอารางวัลมาล่อ......ว่างๆหัดไปแอบดูตามวัด จะเห็นไอ้เด็กพวกนี้
เหมือนลิงโมขยผ้าเหลืองพระมาห่ม มันซนยังกะทะโมน


ศาสนาพุทธไร้ซึ่งดร่าม่า :b32:



ตอบนะ เอาชัดๆ

ช่วงปิดเทอม ให้เด็กไปร้านเกม วิ่งเล่นอยู่ตามชุมชน กับ บวชอยู่ที่วัด มีการจำกัดที่ให้อยู่ ถึงเวลานอนนอน ถึงเวลากินกิน ถึงเวลาสวดมนต์ทำวัตร ก็สวดมนต์ทำวัตร มีการสอนศีลธรรมตามตาราง

โฮฮับเลือกอย่างไหน


พี่โฮเลือกให้เด็กไปเรียนพิเศษ อาจเป็น ดนตรี นาฎศิลป์หรือภาษาต่างประเทศ

ถ้าจะอ้างว่า พ่อแม่ไม่มีเงินทองให้ลูกเรียนพิเศษ

แล้วทำไมต้องผลัการะมาให้ทางวัด ไม่ให้ปู่ย่า ตายายดูแล

วัดไม่ใช่สถานรับเลี้ยงเด็กนะเว้ยเฮ้ย!

แล้วแน่ใจได้ไงว่า พวกเกย์ห่มผ้าเหลืองจะไม่ตุ๋ยเด็ก :b32:



โบร่ำโบราณ วัดเป็นแหล่งให้ความรู้ ให้การศึกษา มาระยะหลังมี รมต.บางคน แยกวัดออกจากชาวบ้าน แยกโรงเรียนออกจากวัด :b1: เพื่อเป็นการตัดตอนศาสนากับชาวบ้าน

เมื่อเป็นดังนี้ พุทธศาสนิกชนที่ว่านับถือพระพุทธศาสนาจึงห่างเหินจากศีลธรรม ก็จึงเป็นที่มาของปัญหาสังคม :b1:

เรื่องที่พูดดู ตย.วิถีชีวิตชาวเมียนมาร์

https://www.youtube.com/watch?v=59JMyp_gW80

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2016, 19:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(บวร = บ้าน-วัด-โรงเรียน)

รูปภาพ

วัดจะดี มีหลักฐาน เพราะบ้านช่วย
บ้านจะสวย เพราะมีวัด ดัดนิสัย
บ้านกับวัด ผลัดกันช่วย ยิ่งอวยชัย
ถ้าขัดกัน ก็บรรลัย ทั้งสองทาง

เปิดดู

http://f.ptcdn.info/520/041/000/o53uz31 ... d1UD-o.jpg

วัดจะดีมีหลักฐานสมภารจัด
พระในวัดร่วมด้วยช่วยเป็นสอง
ทั้งญาติโยมร่วมกันเป็นฐานรอง
แล้วทั้งสองบ้านวัดก็พัฒนา

http://pantip.com/topic/34997797

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 72 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 35 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร