วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 10:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2015, 05:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"...ผู้มีสติสัมปชัญญะ เมื่อคิดอ่านอะไรไป มันก็รู้เท่าทันไป
รู้เท่าทันว่า คิดไปแล้ว ได้สมหวังก็เอา ไม่ได้ก็แล้วไป
นี่เรียกว่า รู้เท่าทันความคิด ความต้องการของตัวเอง

ถ้าไม่ทำความรู้เท่าทันไปอย่างนี้แล้ว
เมื่อตนคิดอะไรไป อยากได้อะไร ไปแสวงหา
ไปทำไป ไม่ได้อย่างใจหวัง ก็เดือดร้อน แล้วก็เป็นทุกข์
มันเป็นอย่างนั้น ผู้ตกเป็นทาสของตัณหานั่นนะ..."

-:- หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ -:-





ตื่นมาพร้อมกับความรู้สึกสองอย่าง คือ
หนึ่ง..ดีใจ เรายังไม่ตาย เรายังหายใจอยู่
สอง..ทำใจเวลาของเราเหลือน้อย1วัน
ถ้าหากเราไม่หมั่นทำบุญ ตั้งแต่ยังมีลมหายใจอยู่
แล้วเราจะไปทำตอนไหน "ตายเมื่อไร ใครเล่าจะไปรู้"

หลวงตาม้า วิริยธโร




"ผู้หวังพึ่งร่มเงาของพระพุทธศาสนา
จึงไม่จำกัดว่าจะอยู่ที่ไหน
แม้ว่าที่ที่นั้นจะปราศจากโบสถ์ เจดีย์ วิหาร
แต่ถ้าได้เว้นชั่ว ประพฤติดี และทำจิตใจให้สะอาดแล้ว
ได้ชื่อว่าอยู่ใต้ร่มเงาพระพุทธศาสนาทุกสถานที่ดังนี้แล"

หลวงปู่จันทร์ กุสโล




อย่าสงสัยเลยว่า โลกนี้มีสถานที่ใดบ้างท่ี่่จะพาใหมีความสุขความเจริญ จะพาให้เลิศให้ประเสริฐมีความสุขความสบายจีรังถาวร ไม่มี อย่าสงสัยให้เสียเวลาและทุกข์ไปเปล่า ทั่งเป็นความประมาทด้วย มีแต่เรื่อง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เต็มตัวของมัน เมื่อมาเกี่ยวข้องกับเรา เราก็กลายเป็นตัว อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนัตฺตา พัวพันกันไปกับส่ิงเหล่านี้ ซึ่งล้วนแต่เป็นการส่ังสมทุกข์แก่ตนทั้งน้ัน แม้ส่ิงน้ันเขาจะเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ตามสภาพของเขา เขาก๋็ไม่ได้รับผลเป็นความทุกข์ความทรมานเหมือน อนิจฺจํ ทุกขํ อนตฺตา ซึี่งเกิดขึ้นภายในใจเราท่ี่ไปเกี่ยวข้องพัวพันกันส่ิงเหล่าน้ันเลย
อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ที่เกาะกินอยู่ภายในใจนี้เป็นส่ิงสำคัญมาก จงพากันกำจัดให้ได้ เอาให้เห้น พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาองค์เอกแท้ๆ ไม่มีใครทัดเทียมในโลกธาตุนี้ ธรรมที่แสดงออกก้เป็นธรรมี่เต็มภูมิเต้มฐานไม่บกพร่องต้ังแต่ต้นจนอวสาน ถึงที่สุดคือ วิมุตติพระนิพพานไม่มีใครเสมอ นี่แลคือ สรณะของผู้หวังพ้นทุกข์ในวัฎฎสงสารจะพึงยึดพึงเกาะให้แน่นภายในใจและการปฎิบัติดำเนินทางปฎิปทา สรณะนี่ละเป็นจุดทึจะให้ความสมหวังแก่พวกเรา
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
จากหนังสือ "ธรรมแท้ ปรากฎที่ใจ"





โลกนี้มีความเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยไป จะอยู่ที่โน่นก็เปลี่ยนแปลง อยู่ที่นี่หรือที่ไหนก็เปลี่ยนแปลงเพราะพวกเราทั้งหลายอยู่ได้ด้วย การเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง เราก็อยู่ไม่ได้ หายใจ ออกมาแล้วก็เปลี่ยนเป็นหายใจเข้า แล้วก็หายใจออก ไม่เช่นนั้น ก็อยู่ไม่ได้ ออกไปหมดก็อยู่ไม่ได้ ลมเข้ามาแล้วไม่ออกก็อยู่ไม่ได้ เราทั้งหลายอยู่ในโลกนี้ก็เป็นของโลก มันเป็นของๆ โลก ไม่ควรทำความน้อยใจ ไม่ควรทำความเสียใจใดๆ เราต้องเป็นผู้มีจิตใจ เข้มแข็ง จะตกไปอยู่ที่ไหนก็สร้างแต่คุณงามความดี แม้หมดชีวิต ก็อย่าทิ้งคุณงามความดี

ธรรมจากหลวงปู่ชา สุภัทโท




"..อย่าเอาแต่นั่งหลับตา ใช้ไม่ได้ คนที่หลับตาเก่งนานๆ จะนึกว่าจะได้กรรมฐานดี ฉันไม่เชื่อ เพราะถ้าจะดีจริงๆ มันต้องดีทั้งหลับตา ดีทั้งลืมตา ดีทั้งอยู่ในที่สงัด ดีทั้งที่เวลาร่างกายปกติและก็ดีทั้งที่เวลาร่างกายไม่ปกติ

และก็ดีทั้งในขณะที่คนเขาด่าเรา อารมณ์ของเราจะต้องสม่ำเสมอกัน ไม่ขึ้นไม่ลง ใครเขาสรรเสริญก็เฉย ใครเขานินทาว่าร้ายก็เฉย อารมณ์เงียบสงัด เสียงเงียบสงัดเราก็เฉย เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจโวยวาย เราก็เฉย ลงเฉยเสียหมด มันก็หมดเรื่องกัน

ความจริงการเจริญพระกรรมฐานนี้ เป็นการเจริญเพื่อทรงสติสัมปชัญญะ และก็เป็นการเจริญให้มีหิริและโอตตัปปะ คือมีความละอายต่อความชั่วเกรงกลัวผลของความชั่ว

ใช้เวลานั่งสมาธิเสมอไปจิตใจเราจึงจะกำหนดถึงพระกรรมฐานอย่างนี้ใช้ไม่ได้ ต้องใช้อารมณ์ของเรานี้นึกถึงกรรมฐานเป็นปกติตลอดวัน .."

หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง




"อานุภาพการสวดมนต์และเสียงสาธุการ"

สมัยที่ท่านพระอาจารย์มั่นพักอยู่บนดอยปะหร่อง (เชียงใหม่) กับพระอาจารย์มนู ตอนเช้าเที่ยวบิณฑบาต พอให้พรเสร็จ ท่านได้สอนให้ชาวบ้านกล่าวสาธุพร้อมกันด้วยเสียงสูง ท่าน(พระอาจารย์มั่น)เล่าเป็นเชิงตลกว่า มือทั้งสองข้างของเขาชูขึ้นข้างบนเหมือนบั้งไฟจะขึ้นสู่ท้องฟ้า ว่างั้น..

วันหนึ่ง ท่านนั่งพักในส่วนที่ทำเป็นที่พักกลางวัน มีเทพพวกหนึ่งมาจากเขาจิตรกูฏ มาถามท่านว่า.. "เสียงสาธุ สาธุนั้น สาธุอะไร สะเทือนสะท้านทุกวัน พวกเทพทั้งหลายได้ฟัง มีความสุขไปตามๆ กัน"

ท่านมาพิจารณาว่า.. "เสียงอะไร ที่ไหน จึงระลึกได้ว่า เสียงสาธุการของชาวบ้านตอนถวายทานนั่นเอง"

พอรับทราบแล้วพวกเทพก็กล่าวว่า.. "เขาก็สาธุการด้วย" แล้วทำประทักษิณเวียนขวาลากลับไป ส่วนมากพวกเทพเขาจะทำอย่างนั้น

ท่านพระอาจารย์มั่น เลยมาพิจารณาต่อได้ความว่า..

"พุทธมนต์นั้นใครสวดก็ตาม จะเป็นกิจวัตรของพระสงฆ์เช้า เย็น หรือชาวพุทธทุกคน สวดมนต์ระลึกในใจ มีอานุภาพแผ่ไปได้หมื่นจักรวาล

สวดออกเสียงพอฟังได้ มีอานุภาพแผ่ไปได้แสนจักรวาล

สวดมนต์เช้าเย็นธรรมดา มีอานุภาพแผ่ไปได้แสนโกฏิจักรวาล

สวดเต็มเสียงสุดกู่ มีอานุภาพแผ่ไปได้อนันตจักรวาล

แม้สัตว์ที่อาศัยอยู่ในสามภพ และที่สุดอเวจีมหานรก ยังได้รับความสุข เมื่อแว่วเสียงพุทธมนต์ผ่านลงไปถึงชั่วขณะชั่วครู่หนึ่ง ดีกว่าหาความสุขไม่ได้เลยตลอดกาล"

นี้คืออานิสงส์ของพระพุทธมนต์

ท่านพระอาจารย์มั่นว่าอย่างนี้..(พระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี)
จากหนังสือ "รำลึกวันวาน" หลวงตาทองคำ จารุวัณโณ



โลกต้องการคนดีไม่ใช่เพื่อให้มารับรางวัล
แต่เพื่อมาช่วยกันทำชีวิตและสังคมให้ดีขึ้น
ไม่พึงทำดีเพื่อนำความดีมาเสริมตัวตน
แต่พึงสละตนเพื่อเสริมความดี
คนดีอย่างแท้จริง เสียสละแม้กระทั่ง
การที่จะให้คนอื่นรู้ว่า ตนได้ทำความดี...

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.ปยุตโต)




"นิทานธรรม หลวง ปู่ ครูบาชัยยะวงศา"
"ทำบุญ สอง สลึง ทำให้แผ่นดินไหว "

ในอตี๋ตะกาล ล่วงมาแล้ว สมัย องค์พระผู้มีพระภาคเจ้า ยังทรงพระชนย์อยู่ มีพระยาเจ้าเมือง เมืองหนึ่ง มีใจ ศรัทธาปรารถนาจะ ถวาย ผ้า กฐิน เป็นทาน
จึงได้ ป่าวประกาศไปทั่ว บ้านเมือง เพื่อ เชิญชวนให้ ชาวเมืองได้ร่วม ทำบุญ ในครั้งนี้
ข่าวทราบถึง มหาเศรษฐี สอง คน ผัวเมีย มีเงินทองอยู่ ๘๘ โกฏิ เขาทั้งสอง เกิด ความศรัทธา ปิติยินดี ในกองบุญกฐินนั้น จึงตั้งใจที่จะร่วมถวายทาน ผ้ากฐิน ตกกลางคืนมา สองผัวเมียก็มาคิดว่า ตัวเรานี้ มีข้าวของมากมาย แต่ไม่มีอันใดเลย ที่หามาด้วย น้ำพักน้ำแรงของตน มีแต่ใช้คนอื่นหามา มัน จะ เกิด อานิสงส์แก่เรามากไหมหนอ เมื่อคิดอย่างนั้น ผู้เป็นผัวจึง ชวน เมีย ว่า พรุ่งนี้เช้า เราพากันไป เกี่ยว หญ้ามาขาย เอาเงินที่ได้ด้วยน้ำพักน้ำแรง เรา ไป ทำบุญ มันจักได้บุญมาก ผู้เป็นเมียจึงตอบตกลง พอรุ่งเช้า ก็พากันถือเคียวเที่ยวเกี่ยวหญ้า กลางแดดร้อน ได้ หญ้า มาสามมัด จึงเอามาสาง เอามาล้าง เเล้ว มอบให้คนใช้นำไปขายให้คนเลี้ยงมา ได้เงินมา สามสลึง จึงมอบ ให้คนใช้ สลึงหนึ่ง ผัวเอา สลึงหนึ่ง เมียได้ สลึงหนึ่ง สองคนผัวเมีย ได้เงิน สอง สลึง แล้ว จึงพากัน นำ เงินนั้นมาชำระล้าง ด้วยน้ำอบน้ำหอม ตั้ง จิต อธิษฐาน ยก เงินขึ้นเหนือหัว แล้ว ตั้ง สัจจะอธิษฐาน ด้วยความปิติยินดี แล้วคิดว่า นี่เเหละ คือเงินที่ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรา เรา จะ ได้ บุญมาก
จากนั้น สอง คน ผัวเมีย มหาเศรษฐี จึงเดินทางไปที่บ้านของพระยาเจ้าเมือง พอไปถึงก็เดินเข้าไปในบ้าน ไปหยุดตรงที่เขาตั้งขัน รับบริจาคทานบุญกฐินไว้ เขาจึงพากัน หย่อนเงินลง "แก๊ก แก๊ก " แล้วก็เดิน ออกไป พอ พระยาเจ้าเมืองเห็นจึงเดินมาดูในขัน เห็น เงิน อยู่สองสลึง จึงเกิดโทสะโกรธขึ้น เป็นฟืนเป็นไฟ "ว่า ไอ้อี สองคนนี้ มัน เป็น ถึง มหาเศรษฐี มีข้าวของ ๘๘ โกฏิ มาตระหนี่ ดูถูกดูแคลนกู กูตั้งกองบุญกฐิน เอา เงิน มา ร่วม นิดเดียว จึง หยิบ เงิน คว้างทิ้งลงพื้น กระเด็นไปตกข้างกำแพง
พอถึงเวลา พระยาเจ้าเมือง และบริวารชาวบ้านชาวเมืองจึงพากัน แห่ผ้ากฐินเข้าไปสู่อาราม เพื่อ จะ ถวาย พระพุทธเจ้า ครานั้นแผ่นดินไหวสนั่นไปทั่ว บังเกิดต้น กัลปพฤกษ์ งอกขึ้น ตรง ที่ เงิน สอง สลึง ตก อยู่ พระยาเจ้าเมืองดีใจ ว่า กูนี้ เป็ผู้มีบุญมาก ทำบุญกฐินแผ่นดินพอไหว ต้นไม้ กั ลปพฤกษ์พองอก จึงวิ่งเข้าไปหมายจัก หยิบ เงินทองข้าวของ ที่ ห้อย อยู่ บน กิ่งกัลปพฤกษ์ แต่เข้าไม้ถึงเกิด ร้อนขึ้น นัยตาแทบแตก ใครก็เข้าไม่ถึง มี แต่ สอง คน ผัวเมีย มหาเศรษฐี เท่านั้นที่เข้าไปได้ และนำต้นกัลปพฤกษ์ มาวางบนฝ่ามือได้พอดี
เมื่อนั้น องค์พระพุทธเจ้า จึงได้ตรัสว่า "เหตุที่แผ่นดินไหว และ ต้นกัลปพฤกษ์ งอกขึ้นนั้น มิใช่ เพราะนาบุญ ของท่านพระยาเจ้าเมือง เป็นเพราะ อานิสงส์ของสองคนผัวเมียมหาเศรษฐี นั่นแหละ " คนเราอย่าได้นับประมาท ลาสา ดูถูกดูแคลน คนที่เขาทำบุญน้อยนิด เพราะเขาอาจจะแลกด้วยชีวิตถึงจะได้ เงินนั้นมาทำบุญ เขา อาจจะ ได้ อานิสงส์มากว่าเรา ที่มีเงินแสนเงินล้าน อีกก็ได้
"บุญมิได้วัด กันที่ ค่า ของ ทรัพย์สินเงินทอง แต่ มัน อยู่ ที่กำลังใจ นั่นแหละ" ( บางที ชาวไร่ชาวที่ยากจน นำเงินน้อยนิดที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงของตนมา ทำบุญ อาจจะ ได้ อานิสงส์ มากกว่าคนรวยๆ ที่ได้เงินมาง่ายๆ เสียอีกเน้อ




“ศาสนาพุทธ สอนอะไร?”

ครั้งหนึ่ง..เคยมีชาวตะวันตก ที่หวังแจ้งเกิดในหลักธรรม ได้ยิงคำถามตรงประเด็นแบบไม่ถนอมน้ำใจคนที่ต้องตอบ ว่า..“ศาสนาพุทธ สอนอะไร?”
แทนการตอบคำถาม..หลวงพ่อท่านได้ชี้นิ้ว ไปที่ก้อนหินเขื่องบนกระดาน “ยกก้อนหินนั้น ขึ้นมาสิโยม”
ฝรั่งนายนั้น ทำตามที่หลวงพ่อบอก
“หนักไหม” ท่านถาม
“หนักครับ” ฝรั่งเจ้าของปุจฉา ที่ตนเองคิดว่าลึกล้ำ ร้องตอบ
หลวงพ่อ จึงไขปริศนาธรรมนั้น ว่า..
“อะไรมันหนัก ก็วางลงเถิด สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน มีเพียงเท่านี้”
หลวงปู่ชา สุภัทโท



มาตาปิตุอุปฏฺฐานํ คือให้บำรุงอุปถัมภ์อุปัฏฐากพ่อแม่ของเราให้ดีๆ นี้มหาคุณอยู่ตรงนี้ ท่านแสดงไว้ แล้วถ้าว่าผิดกับท่านทั้งสองนี้ว่าผิดมาก เท่ากับทำความผิดแก่พระอรหันต์องค์หนึ่ง ถ้าทำความถูกต้องดีงามบำรุงรักษาท่าน ก็เท่ากับได้บำรุงรักษาพระอรหันต์องค์หนึ่ง นี่ท่านแสดงไว้ในธรรมนะ เพราะมหาคุณอยู่กับพ่อกับแม่ทั้งนั้น เดี๋ยวนี้เราไม่มีงานอะไรทำ พูดจริงๆ นะ งานทั้งหมดอะไรที่เป็นสาระสำคัญที่เราทำแล้วให้เรามาเป็นอย่างนี้ ได้มาจากไหน มาจากพ่อกับแม่ พ่อแม่เอาชีวิตจิตใจแลกเลย ลูกแต่ละคนๆ ตั้งแต่อยู่ในท้อง พ่อกับแม่นี้ประคองตลอดเวลา จะเป็นจะตายอะไรไม่สนใจ ขอให้ลูกในท้องได้มีความเป็นอยู่อย่างสะดวกสบาย จากนั้นก็มีครรภรักษา ยาสำหรับรักษาครรภ์
.
พอตกคลอดออกมาแล้วทีนี้เอาละนะ พ่อวิ่งทางหนึ่งแม่วิ่งทางหนึ่งที่จะมาบำรุงรักษาลูก ตั้งแต่วันเกิดมา เด็กคนนี้จนกระทั่งโตขึ้นมา พอรู้เดียงสาภาวะเลี้ยงตัวได้แล้ว พ่อแม่ทุ่มชีวิตจิตใจไปมากขนาดไหน ตั้งแต่ขณะอยู่ในท้องมา พิจารณาซิ เราประมวลหมดมันเป็นเองของมันนะ นี้เราก็ไม่เคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ไม่มีคุณใดอื่นใดจะยิ่งกว่าคุณของบิดามารดา พิจารณาหมดแล้ว เด่นอยู่จุดนี้จุดเดียว เด่นเอามากทีเดียวจนกระทั่งฝังลึก แต่ไม่เคยได้พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง คุณของบิดามารดานี้มากที่สุดนะ เลี้ยงเรามาไม่ว่าใครก็ตามพ่อแม่เลี้ยงมาทั้งนั้นๆ สละชีวิตไว้หมดกับเรา เกิดเป็นผู้เป็นคนมาขนาดนี้ จากพ่อแม่ทั้งนั้น ให้จำเอาไว้นะ
.
อย่าลืมบุญลืมคุณ อย่าฝ่าอย่าฝืน อย่าถกอย่าเถียง อย่าทำก่อกรรมก่อเวรกับท่าน ให้สร้างความดีต่อท่าน ฟังโอวาทคำสั่งสอน อุปถัมภ์อุปัฏฐากท่านให้ดี ถึงจะดีขนาดไหนก็สู้ท่านอุปถัมภ์อุปัฏฐากเราไม่ได้เข้าใจไหม ท่านอุปถัมภ์อุปัฏฐากเรานี้ โอ๋ยเอาตายเข้าว่าเลย เราอุปถัมภ์อุปัฏฐากท่านบางที แม่ทำไมบ่นนักล่ะ ก็ให้กินเมื่อสักครู่นี้แล้วจะกินอะไรอีก มันเถียงแม่ พวกน่าตีปาก เข้าใจไหม

.....................................................................

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓




อิจฺฉาย พชฺฌตี โลโก อิจฺฉาวินยาย มุจฺจติ
อิจฺฉาย วิปฺปหาเนน สพฺพํ ฉินฺทติ พนฺธนํ.
โลกถูกความอยากผูกมัดไว้ จะหลุดได้เพราะกำจัดความอยาก,
เพราะละความอยากเสียได้ จึงชื่อว่าตัดเครื่องผูกทั้งปวงได้.
(พุทฺธ) สํ. ศ. ๑๕/๕๖.



“..อันตนเองไม่ได้พิจารนาตัวเอง ว่าตนยังชั่วอยู่ ก็ไม่รู้ว่าตนชั่ว
บางคนน่ะ ก็ไปแส่หาแส่มอง แต่คนอื่น..
หาว่าแต่คนอื่นเขาไม่ดี สำคัญว่าตนดีฝ่ายเดียว
อย่างนี้นะ เป็นอุปกิเลสอย่างหนา ไม่ใช่อย่างบางนะ แบบนี้..”
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ




"..ความเป็นจริงแล้วตัวทุกข์นั่นแหละคือตัวสัจจธรรมแท้ๆ
แต่เราก็อ้อมอันนี้เสีย ไม่อยากจะดูทุกข์

หรืออย่างคนที่แก่ๆเราก็ไม่อยากจะดู
อยากจะดูแต่คนหนุ่มเป็นเสียอย่างนั้น
ทุกข์นี้ไม่อยากจะดู เมื่อไม่อยากจะดูทุกข์มันก็ไม่รู้จักทุกข์
ตลอดกี่ภพกี่ชาติก็ไม่รู้จักทุกข์

ทุกข์นี้เป็นตัวอริยสัจจ์ เป็นสัจจธรรม
ถ้าเราเห็นทุกข์ ก็เป็นเหตุให้เราแก้ไข
อย่างเช่นว่า ทางที่นี่มันรก ไปไม่ค่อยจะได้
ไปแล้วมันก็รกอยู่นั่นแหละ ความคิดมันก็เกิดขึ้นมา
ทำอย่างไรหนอทางนี้มันจึงจะง่าย
ไปทุกวัน คิดทุกวัน จิตนี้มันเกิดความคิดอย่างนี้
เพราะสิ่งที่ไม่สะดวกคือตัวปัญหา ตัวปัญหามันเกิดขึ้นมา
มันถึงหาทางเฉลยแก้ปัญหาอันนั้น

ถ้าเราไม่ทุกข์มันก็ไม่มีปัญหา
เมื่อไม่มีปัญหาก็ไม่มีเหตุให้พิจารณาอะไรเลย..."

หลวงปู่ชา สุภัทโท
ธรรมะที่หยั่งรู้ยาก


-:- ความเป็นมาแห่งพุทธภาษิต -:-

เทวดาตนหนึ่งทูลถามว่า “อะไรเล่าเป็นมิตรติดตามตนไปถึงภพหน้า?” พระพุทธเจ้าจึงตรัสภาษิตนี้ตอบ

บุญชื่อว่าเป็นมิตร เพราะทำกิจให้สำเร็จร่วมกัน บุญนี้เป็นดุจเพื่อนสนิท ติดตามผู้ทำบุญไปเสมอ, เมื่อมีโอกาสอันเหมาะสม ก็จักอำนวยการให้ผู้นั้นประสบประโยชน์สุขทันที... .




"ธรรมเหล่าใด " .. ก็คือใจของเราเอง
เป็นไปเพื่อความอยากใหญ่ อยากดี อยากเด่น
เป็นไปเพื่อความโลภ ความโกรธ ความหลง
เป็นไปเพื่อมักมาก สะสมกองกิเลส
เป็นไปด้วยความเพลิดเพลินด้วยหมู่คณะ
ไม่อยากปรารภศีล ไม่อยากปรารภสมาธิ
ไม่อยากฟังเทศน์ ฟังธรรม
" ธรรมเหล่านั้น " .. คือธรรมหม้อนรก ไม่ใช่ธรรมพระพุทธเจ้า
เท่านี้ก็เห็นแล้ว โอ้ ..ผู้นั้นชอบนรก เด้ มันไม่ชอบธรรมะ.."

หลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต



ชมรมพุทธธรรมกรรมฐานมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
ขอเชิญร่วมโครงการ "ธรรมะสัญจร ครั้งที่ 12"
ระหว่างวันที่ 19-22 กุมภาพันธ์ 2559
ณ จังหวัดสกลนคร มุกดาหาร กาฬสินธ์ มหาสารคาม
โทรมาแจ้งที่เบอร์ 085-5526596(มอส)





ชุมนุมพุทธธรรมกรรมฐาน ม.ธรรมศาสตร์
จัดค่ายปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ "ตามรอยธรรม ย้ำรอยครู" ครั้งที่ 7
ระหว่างวันที่ 5-13 มกราคม 2559
ณ วัดป่าภูผาผึ่ง จังหวัดกาฬสินธุ์
Tel 0868378537




ขอเชิญร่วมทำบุญสร้างพระอุโบสถและซื้อที่ดินถวายหลวงปู่บุญส่ง ฐิตสาโร วัดสันติวนาราม อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 36 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร