วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 05:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2015, 19:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นการทายาหม่องเนี่ยพิจารณาลักษณะธาตุ
มือป้ายยาหม่องสัมผัสแข็งที่มือนุ่มที่ยาหม่อง
ตัวยาหม่องเองก็ครบทั้งสี่ธาตุมีกลิ่นด้วยแสบร้อน
การขยับมือก็มีการไหวๆตึงหย่อนก็เป็นธาตุลมที่เคลื่อน
การทายาซึมลงผิวที่เป็นธาตุ4ก็มีทั้งซึมซาบของเนื้อยาธาตุ4
:b12:
:b55: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2015, 19:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


มหาภูตรูป...มีอยู่จริงก็เฉพาะในวัฎฎะสงสาร..นี้...แต่ไม่มีในนิพพาน..

ผมจึงเห็นว่ามหาภูตรูป...ก็ไม่มีอยู่จริง...

ก็ขนาด..จิต..ละเอียดกว่ามหาภูตรูป..ยังไม่มีอยู่จริงเลย..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2015, 20:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
เช่นการทายาหม่องเนี่ยพิจารณาลักษณะธาตุ
มือป้ายยาหม่องสัมผัสแข็งที่มือนุ่มที่ยาหม่อง
ตัวยาหม่องเองก็ครบทั้งสี่ธาตุมีกลิ่นด้วยแสบร้อน
การขยับมือก็มีการไหวๆตึงหย่อนก็เป็นธาตุลมที่เคลื่อน
การทายาซึมลงผิวที่เป็นธาตุ4ก็มีทั้งซึมซาบของเนื้อยาธาตุ4
:b12:
:b55: :b55:

:b16:
กายกับยาหม่องเป็นรูปในปรมัตถ์ที่ไม่รู้อะไรเลย
ที่รู้คือจิตไปรู้ธาตุทั้งสี่ถ้ารู้เป็นวัตถุสิ่งของก็เป็นมิจฉาทิฐิ
แต่ถ้ารู้เป็นธาตุแต่ละธาตุไม่ต้องเรียกชื่อก็คือจิตสัมมาทิฐิ
ที่่เจตนารู้ตรงลักษณะธาตุที่กำลังปรากฎตามความเป็นจริง
:b20:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2015, 20:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
มหาภูตรูป...มีอยู่จริงก็เฉพาะในวัฎฎะสงสาร..นี้...แต่ไม่มีในนิพพาน..

ผมจึงเห็นว่ามหาภูตรูป...ก็ไม่มีอยู่จริง...

ก็ขนาด..จิต..ละเอียดกว่ามหาภูตรูป..ยังไม่มีอยู่จริงเลย..

:b1:
ทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นธัมมะ
อยู่ที่ว่าปล่อยวางสิ่งที่เคยมีได้ม๊ะ
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2015, 20:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
มหาภูตรูป...มีอยู่จริงก็เฉพาะในวัฎฎะสงสาร..นี้...แต่ไม่มีในนิพพาน..

ผมจึงเห็นว่ามหาภูตรูป...ก็ไม่มีอยู่จริง...

ก็ขนาด..จิต..ละเอียดกว่ามหาภูตรูป..ยังไม่มีอยู่จริงเลย..

:b1:
ทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นธัมมะ
อยู่ที่ว่าปล่อยวางสิ่งที่เคยมีได้ม๊ะ
:b12:
:b32: :b32:

:b13:
ธัมมะทั้งหลายเป็นอนัตตา
จิตที่ไปรู้นิพพานนั้นก็ไม่เที่ยง
นิพพานจึงเกิดจากจิตที่ดับอวิชชา
วิชชาเกิดจากรู้ความจริงค่อยๆละกิเลส
:b22:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 19 ก.ย. 2015, 23:42, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2015, 20:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
นิพพานของผู้รู้ไม่อยู่ในกฎของไตรลักษณ์
เพราะเหลือแต่สภาพจิตที่เป็นอภิธรรมล้วน
ยังมีจิตครองร่างที่มีสติระลึกรู้อนัตตาธรรม
เมื่อทิ้งร่างจึงเข้าสู่ความเที่ยงที่เป็นสูญญตา
เป็นจิตที่มั่นคงด้วยปัญญาตรงทางสายกลาง
จิตท่านผู้สิ้นกิเลสทนทุกข์กายแต่ไม่ทุกข์ใจ
เพื่อดำรงพระธรรมไม่ให้อันตรธานอบรมจิต
เป็นอัตตาหิ อัตโนนาโถและดำรงพระธรรม
ที่ถึงพร้อมและเข้าใจความจริงตามคำสอน
:b8:
:b31: :b31


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 20 ก.ย. 2015, 03:56, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2015, 20:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


wink
ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาอยู่รอโปรดเวไนยสัตว์
ถ้าท่านไม่เมตตาท่านทิ้งร่างอันสกปรกนั้นไปแล้ว
กายอันนี้มันเป็นของหนักยิ่งแก่ก็ยิ่งลำบากมากนะ
:b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2015, 22:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
45648.ท่านเห็นความงดงาม ในการสนทนาธรรม แล้วหรือยัง

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=45648

ไม่รู้อะไรทำให้คิดไปค้นหา..คิริมานนทสูตร..

เลยไปพบกระทู้เก่า ...

ทั้งคิริมานนทสูตร..อโนทิสสูตร..

พบมิตราพดีดี..ที่สมัยนั้น..ตนเองก็คิดไม่ได้..ที่คิดได้ก็ไม่ได้อย่างที่กำลังเป็น..
:b8: :b8: :b8:

อ ะไรอะไร..มันก็เปลี่ยนนะ...ไม่มีอะไรไม่เปลี่ยน

และ..มันก็โชคดีนะ..ที่ไม่มีอะไรไม่เปลี่ยน....ไม่งั้น..ก็โง่ไม่เปลี่ยน...วนเวียนสวัฏฏะก็ไม่เปลี่ยน..ซิ..ว่ามั้ย

rolleyes rolleyes rolleyes


:b5: :b5: :b5:

อ๊บซ์ คิดรัยอยู่นี่...

:b6: :b6: :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2015, 02:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศิริพงศ์ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ศิริพงศ์ เขียน:
สมัยก่อนนะครับมีแต่สาวกเขาใช้คำของพระพุทธเจ้าแสดงธรรมกันเรียกว่ามุขปาฐะจำปากต่อปากกันมา. จนปริภาชกนอกศาสนาเขาชื่นชมกันว่าสาวกของพระองค์รักและเคารพพระองค์มาก. สาวกจะใช้คำพระองค์สนทนากันเป็นบริษัทที่เลิศ แต่สมัยนี้มีแต่คำแต่งขึ้นมาใหม่เอามาสนทนาธรรมกัน. ขนาดสั่งห้ามก็ยังทำกันเลย แย่จังนะครับ

ผิดแล้วครับ
ในพระสูตรหนึ่งคือ วิสาขสูตร
คำแต่งใหม่ หรือคำทั่วไปเป็นภาษาชาวบ้านชาวเมือง ไม่เป็นถ้อยคำพุทธวจนะ ก็สามารถสนทนากันได้
หากการสนทนานั้นมีความหมายนับเนื่องในนิพพาน ที่พระพุทธองค์สอนสั่ง

พระพุทธองค์ ก็ยังสรรเสริญครับ
เราไม่จำเป็นต้องพูดพุทธวจนะตลอดเวลาที่สนทนาธรรมก็ได้ครับ

Quote Tipitaka:
[๔๘] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็โดยสมัยนั้นแล ท่าน
วิสาขปัญจาลิบุตร ได้ชี้แจงภิกษุทั้งหลาย ในอุปัฏฐานศาลาให้เห็นแจ้ง ให้
สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาอันเป็นวาจาของชาวเมือง
สละสลวย ปราศจากโทษ ให้เข้าใจความได้แจ่มแจ้ง นับเนื่องในนิพพาน ไม่
อิงวัฏฏะ
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงออกจากที่เร้นในสายัณห์สมัย เสด็จ
ไปยังอุปัฏฐานศาลา แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ ครั้นแล้วตรัสถามภิกษุ
ทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ใครหนอ ชี้แจงภิกษุทั้งหลายในอุปัฏฐานศาลา
ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาอันเป็นวาจา-
*ของชาวเมือง สละสลวย ปราศจากโทษ ให้เข้าใจความได้แจ่มแจ้ง นับเนื่อง
ในนิพพาน ไม่อิงวัฏฏะ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่าน
วิสาขปัญจาลิบุตร ชี้แจงภิกษุทั้งหลายในอุปัฏฐานศาลาให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน
ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาอันเป็นวาจาของชาวเมือง สละสลวย
ปราศจากโทษ ให้เข้าใจความได้แจ่มแจ้ง นับเนื่องในนิพพาน ไม่อิงวัฏฏะ

ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านวิสาขปัญจาลิบุตรว่า ดีละ ดีละ
วิสาขะ เป็นการดีแล้ววิสาขะ ที่เธอชี้แจงภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน
ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาอันเป็นวาจาของชาวเมือง สละสลวย
ปราศจากโทษ ให้เข้าใจความได้แจ่มแจ้ง นับเนื่องในนิพพาน ไม่อิงวัฏฏะ ฯ

คนที่ไม่พูด ชนทั้งหลายย่อมรู้ไม่ได้ว่า เป็นพาลหรือบัณฑิต
ส่วนคนที่พูด ชนทั้งหลายย่อมรู้ว่า เป็นผู้แสดงอมตบท
บุคคลพึงยังธรรมให้สว่างแจ่มแจ้ง พึงยกย่องธงของฤาษี
ทั้งหลาย ฤาษีทั้งหลายมีสุภาษิตเป็นธง เพราะว่าธรรมเป็น
ธงของพวกฤาษี ฯ

สงสัยท่านเช่นนั้นจะเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะนะครับ คำที่เป็นวาจาชาวบ้านนับเนื่องด้วยนิพพาน นั้นพระองค์ไม่ได้ห้ามครับ. เพราะนั้นก็คือการสนทนาโดยใช้คำที่มีความหมายของพระตถาคตเจ้าครับ ท่านห้ามเรื่องนอกแนวเช่นการเมือง. การค้า. แต่งใหม่ต่างหาก. แต่ถ้าเป็นคำของพระองค์ก็ถือว่าเป็นบริษัทที่เลิศครับ

อ้างคำพูด:
แต่สมัยนี้มีแต่คำแต่งขึ้นมาใหม่เอามาสนทนาธรรมกัน. ขนาดสั่งห้ามก็ยังทำกันเลย แย่จังนะครับ

คุณไม่ได้บอกนี่ครับ ว่า แต่งใหม่แนวการเมือง การค้า แต่คุณบอกว่าคำแต่งใหม่เอามาสนทนาาธรรมกัน
ดังนั้น

หากคำแต่งใหม่ นับเนื่องในนิพพาน ไม่อิงวัฏฏะ ปราศจากโทษ ....ก็สนทนากันไปไม่แย่หรอกครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2015, 06:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
มหาภูตรูป...มีอยู่จริงก็เฉพาะในวัฎฎะสงสาร..นี้...แต่ไม่มีในนิพพาน..

ผมจึงเห็นว่ามหาภูตรูป...ก็ไม่มีอยู่จริง...

ก็ขนาด..จิต..ละเอียดกว่ามหาภูตรูป..ยังไม่มีอยู่จริงเลย..

:b1:
ทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นธัมมะ
อยู่ที่ว่าปล่อยวางสิ่งที่เคยมีได้ม๊ะ
:b12:
:b32: :b32:

:b13:
ธัมมะทั้งหลายเป็นอนัตตา
จิตที่ไปรู้นิพพานนั้นก็ไม่เที่ยง
นิพพานจึงเกิดจากจิตที่ดับอวิชชา
วิชชาเกิดจากรู้ความจริงค่อยๆละกิเลส
:b22:

:b12:
ท่านกบคิดสับสนแล้วว่าอะไรมีจริงอะไรไม่มีจริง
จิตไม่เคยตายเพราะจิตเป็นนักท่องเที่ยวค่ะ
ตายแล้วไม่สูญจากจิตเสวยนิพพาน
เพราะเป็นอิสระไม่ถูกครอบงำ
จิตจึงเป็นธัมมะธาตุเป็นธาตุรู้
ก็จิตเป็นธรรมชาติหลุดพ้น
ต้องอยู่กะปัจจุบันธรรม
คิดอนาคตไม่ได้
คิดที่ปัจจุบัน
จิตเป็นไง
ละอะไร
ได้บ้าง
บวช?
:b32: :b32:
ต้องดูว่าจิตเราถึงธรรมธาตุไหม
ถ้ายังเกิดอีกชัวร์ๆเด๋วคิดว่า
ไม่มีเลยขี้เกียจไม่ทำอะไร
ได้ที่ไหนเพราะทุกอย่าง
เป็นคุณธรรมที่ต้องรู้
เป็นคุณนะทำไม่ใช่
คิดเอาว่าไม่มี
ต้องหลุดพ้น
ด้วยจิตที่มี
นั่นแหละ
:b16: :b12: :b16:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 19 ก.ย. 2015, 23:45, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2015, 06:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
กิเลสหลอกให้เราทำกรรมมานานมาก
รู้แล้วก็ต้องพยายามแก้ไขรั่วตรงไหน
ก็ต้องอุดถ้าอุดไม่ไหวเรือนชำรุดไป
ก็ต้องหาที่อยู่ใหม่เลือกได้ดีกว่า
ไปตามยถากรรมจริงๆเลยน๊า
:b14:
เอาชอบแบบไหนเลือกเอาท่านกบ
ไม่ประมาทธรรมแม้เพียงเล็กน้อย
เลือกได้ก็ต้องความรู้คู่คุณธรรม
:b31: :b31: :b31:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2015, 07:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ศิริพงศ์ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ศิริพงศ์ เขียน:
สมัยก่อนนะครับมีแต่สาวกเขาใช้คำของพระพุทธเจ้าแสดงธรรมกันเรียกว่ามุขปาฐะจำปากต่อปากกันมา. จนปริภาชกนอกศาสนาเขาชื่นชมกันว่าสาวกของพระองค์รักและเคารพพระองค์มาก. สาวกจะใช้คำพระองค์สนทนากันเป็นบริษัทที่เลิศ แต่สมัยนี้มีแต่คำแต่งขึ้นมาใหม่เอามาสนทนาธรรมกัน. ขนาดสั่งห้ามก็ยังทำกันเลย แย่จังนะครับ

ผิดแล้วครับ
ในพระสูตรหนึ่งคือ วิสาขสูตร
คำแต่งใหม่ หรือคำทั่วไปเป็นภาษาชาวบ้านชาวเมือง ไม่เป็นถ้อยคำพุทธวจนะ ก็สามารถสนทนากันได้
หากการสนทนานั้นมีความหมายนับเนื่องในนิพพาน ที่พระพุทธองค์สอนสั่ง

พระพุทธองค์ ก็ยังสรรเสริญครับ
เราไม่จำเป็นต้องพูดพุทธวจนะตลอดเวลาที่สนทนาธรรมก็ได้ครับ

Quote Tipitaka:
[๔๘] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็โดยสมัยนั้นแล ท่าน
วิสาขปัญจาลิบุตร ได้ชี้แจงภิกษุทั้งหลาย ในอุปัฏฐานศาลาให้เห็นแจ้ง ให้
สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาอันเป็นวาจาของชาวเมือง
สละสลวย ปราศจากโทษ ให้เข้าใจความได้แจ่มแจ้ง นับเนื่องในนิพพาน ไม่
อิงวัฏฏะ
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงออกจากที่เร้นในสายัณห์สมัย เสด็จ
ไปยังอุปัฏฐานศาลา แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ ครั้นแล้วตรัสถามภิกษุ
ทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ใครหนอ ชี้แจงภิกษุทั้งหลายในอุปัฏฐานศาลา
ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาอันเป็นวาจา-
*ของชาวเมือง สละสลวย ปราศจากโทษ ให้เข้าใจความได้แจ่มแจ้ง นับเนื่อง
ในนิพพาน ไม่อิงวัฏฏะ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่าน
วิสาขปัญจาลิบุตร ชี้แจงภิกษุทั้งหลายในอุปัฏฐานศาลาให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน
ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาอันเป็นวาจาของชาวเมือง สละสลวย
ปราศจากโทษ ให้เข้าใจความได้แจ่มแจ้ง นับเนื่องในนิพพาน ไม่อิงวัฏฏะ

ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านวิสาขปัญจาลิบุตรว่า ดีละ ดีละ
วิสาขะ เป็นการดีแล้ววิสาขะ ที่เธอชี้แจงภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน
ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาอันเป็นวาจาของชาวเมือง สละสลวย
ปราศจากโทษ ให้เข้าใจความได้แจ่มแจ้ง นับเนื่องในนิพพาน ไม่อิงวัฏฏะ ฯ

คนที่ไม่พูด ชนทั้งหลายย่อมรู้ไม่ได้ว่า เป็นพาลหรือบัณฑิต
ส่วนคนที่พูด ชนทั้งหลายย่อมรู้ว่า เป็นผู้แสดงอมตบท
บุคคลพึงยังธรรมให้สว่างแจ่มแจ้ง พึงยกย่องธงของฤาษี
ทั้งหลาย ฤาษีทั้งหลายมีสุภาษิตเป็นธง เพราะว่าธรรมเป็น
ธงของพวกฤาษี ฯ

สงสัยท่านเช่นนั้นจะเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะนะครับ คำที่เป็นวาจาชาวบ้านนับเนื่องด้วยนิพพาน นั้นพระองค์ไม่ได้ห้ามครับ. เพราะนั้นก็คือการสนทนาโดยใช้คำที่มีความหมายของพระตถาคตเจ้าครับ ท่านห้ามเรื่องนอกแนวเช่นการเมือง. การค้า. แต่งใหม่ต่างหาก. แต่ถ้าเป็นคำของพระองค์ก็ถือว่าเป็นบริษัทที่เลิศครับ

อ้างคำพูด:
แต่สมัยนี้มีแต่คำแต่งขึ้นมาใหม่เอามาสนทนาธรรมกัน. ขนาดสั่งห้ามก็ยังทำกันเลย แย่จังนะครับ

คุณไม่ได้บอกนี่ครับ ว่า แต่งใหม่แนวการเมือง การค้า แต่คุณบอกว่าคำแต่งใหม่เอามาสนทนาาธรรมกัน
ดังนั้น

หากคำแต่งใหม่ นับเนื่องในนิพพาน ไม่อิงวัฏฏะ ปราศจากโทษ ....ก็สนทนากันไปไม่แย่หรอกครับ

การขยายอรรถความหมายยังคงอยู่นั้นไม่ต่างอะไรกับพุทธวจน. พระองค์กล่าวว่าตรวจลงมหาปเทส4มีความหมายลงตัวก็ใช้ได้. แต่แต่งใหม่เพิ่มเติมไปในความหมายก็ไม่ได้นะครับ. ไม่ใช่พูดเรื่องอื่นก็ไม่ได้. เช่นกุศลกรรมมี10ก็ต้อง10เพิ่มเป็น11ก็ไม่ถูก
๔. ทรงบอกเหตุแห่งความอันตรธานของคำสอนเปรียบด้วยกลองศึก
ภิกษุทั้งหลาย ! เรื่องนี้เคยมีมาแล้ว : กลองศึกของกษัตริย์พวกทสารหะ เรียกว่า
อานกะ มีอยู่. เมื่อกลองอานกะนี้ มีแผลแตกหรือลิ, พวกกษัตริย์ทสารหะได้หา
เนื้อไม้อื่นทำเป็นลิ่ม เสริมลงในรอยแตกของกลองนั้น (ทุกคราวไป) ภิกษุทั้งหลาย!
เมื่อเชื่อมปะเข้าหลายครั้งหลายคราวเช่นนั้น นานเข้าก็ถึงสมัยหนึ่ง ซึ่งเนื้อไม้เดิม
ของตัวกลองหมดสิ้นไปเหลืออยู่แต่เนื้อไม้ที่ทำเสริมเข้าใหม่เท่านั้น ;
ภิกษุทั้งหลาย ! ฉันใดก็ฉันนั้น : ในกาลยืดยาวฝ่ายอนาคต จักมีภิกษุทั้งหลาย,
สุตตันตะเหล่าใด ที่เป็นคำของตถาคต เป็นข้อความลึกมีความหมายซึ่ง เป็นชั้น
โลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วยเรื่องสุญญตา, เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่.
เธอจักไม่ฟังด้วยดี จักไม่เงี่ยหูฟัง จักไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และจักไม่สำคัญว่า
เป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน. ส่วนสุตตันตะเหล่าใด ที่นักกวีแต่งขึ้นใหม่ เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์กลอน มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นเรื่อง
นอกแนว เป็นคำกล่าวของสาวก, เมื่อมีผู้นำสูตรที่นักกวีแต่งขึ้นใหม่เหล่านั้นมา
กล่าวอยู่, เธอจักฟังด้วยดี จักเงี่ยหูฟัง จักตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และจักสำคัญว่า
เป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียนไป.
ภิกษุทั้งหลาย ! ความอันตรธานของสุตตันตะเหล่านั้น ที่เป็นคำของ
ตถาคต เป็นข้อความลึก มีความหมายซึ้ง เป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วย
เรื่องสุญญตา จักมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ แล.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ย. 2015, 21:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
45648.ท่านเห็นความงดงาม ในการสนทนาธรรม แล้วหรือยัง

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=45648

ไม่รู้อะไรทำให้คิดไปค้นหา..คิริมานนทสูตร..

เลยไปพบกระทู้เก่า ...

ทั้งคิริมานนทสูตร..อโนทิสสูตร..

พบมิตราพดีดี..ที่สมัยนั้น..ตนเองก็คิดไม่ได้..ที่คิดได้ก็ไม่ได้อย่างที่กำลังเป็น..
:b8: :b8: :b8:

อ ะไรอะไร..มันก็เปลี่ยนนะ...ไม่มีอะไรไม่เปลี่ยน

และ..มันก็โชคดีนะ..ที่ไม่มีอะไรไม่เปลี่ยน....ไม่งั้น..ก็โง่ไม่เปลี่ยน...วนเวียนสวัฏฏะก็ไม่เปลี่ยน..ซิ..ว่ามั้ย

rolleyes rolleyes rolleyes


eragon_joe เขียน:
:b5: :b5: :b5:

อ๊บซ์ คิดรัยอยู่นี่...

:b6: :b6: :b6:


โอ้ะ..โอว... :b12: :b12: :b12:
คิดดี..คิดดี.. :b9:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 27 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร