ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ทางสายกลาง http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=50525 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 7 |
เจ้าของ: | bigtoo [ 16 ก.ค. 2015, 12:34 ] |
หัวข้อกระทู้: | ทางสายกลาง |
อยู่ในตัวของทุกคนแค่ปลุกมันขึ้นมา สุขหรือทุกข์ก็ทำอะไรเราไม่ได้ |
เจ้าของ: | เปลี่ยนชื่อใหม่ [ 16 ก.ค. 2015, 15:54 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทางสายกลาง |
ขอวิธี ด้วยสิครับ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 16 ก.ค. 2015, 19:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทางสายกลาง |
...จิตต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าของ...แค่ฝึกคิดชีวิตก็เปลี่ยนใหม่ได้...ทรงสอนให้รู้ตามความจริง... ...ไม่ได้ทรงบังคับให้ทุกคนออกบวช...การบรรลุธรรมเป็นปัญญาที่ถึงพร้อมของผู้บรรลุความจริง... ...ทุกอย่างมีแล้วที่ตัว...แต่ไม่รู้ไม่คิดค้นลงไป...อายตนะ6อยู่ที่ไหน...ก็กายกับจิตเดี๋ยวนี้พร้อม... ...ทรงแยกย่อยละเอียดยิบว่าทุกอย่างเป็นธัมมะ เป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา...ไม่มีเราแต่ไม่รู้... ...ต้องคิดค่ะ...แล้วก็นำมาตรึกตรองพิจารณาว่าจริงไหมที่ตัวมีพร้อม...ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ... ...จะต้องรอพาตัวเองไปเพื่อหาที่ไหนไหม...ในเมื่อที่ทรงแสดงในพระไตรปิฎกก็มีเด๊ีี๋ยวนี้แล้ว... ...จิตมีไหม กายมีไหม คิดมีไหม ได้ยินมีไหม เห็นมีไหม ได้กลิ่นมีไหม รู้รสมีไหม เด๋วนี้เอง... ...แต่รู้ไหมว่าทุกทางทั้ง6ทาง...ทรงแสดงไว้แยกกันเกิด-ดับและแต่ละทางเกิดพร้อมกันไม่ได้เลย... ...แม้เห็นเพียงทางเดียวเกิดแล้วดับไม่กลับมาเกิดอีก...กะพริบตา1ทีคือเห็นอันใหม่...ทั้ง6ทางใหม่หมด... ...สภาพรู้คือจิตไปรู้ไปยึดความเกิดดับทีละ1ทั้ง6ทางรวมกัน...ทรงแสดงว่า6ทางเกิดพร้อมกันไม่ได้เลย... ...สิ่งที่มีที่กำลังปรากฎเพียงปรากฎชั่วคราวแล้วดับ...ด้วยความไม่เข้าใจความจริงจึงหลงนิมิตร... ...หลงว่ามีทุกอย่างตามที่คิดเอาเอง...โดยไม่ศึกษาคือฟังคำอธิบายให้เข้าใจตามเป็นจริงก่อน... ...เช่นสภาพธรรม...แข็ง...สัมผัสแข้งก็ให้รู้ว่าแข็งที่กระทบแล้วก็ดับ...ไม่ต้องไปคิดว่ามือจับปากกา... ...ทั้ง6ทางจะสามารถระลึกรู้ตามคำสอนได้ทีละ1...คิดเย็นกะแข็งพร้อมกันไม่ได้...ทั้ง6ทางต้องรู้ทั่ว... ...ถ้าไม่รู้ก็กลับไปฟังคำอธิบายคำสอนใหม่...แล้วคิดตามว่าทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มี... ...อภิธรรม...ละเอียดก็ที่กายกะจิตที่ยังมีลมหายใจเด๋วนี้เอง...จะหาไหม...ต้องเดินทางไปไหนหรือไม่... ...ถ้าไม่รู้ที่ตัวทั่วพร้อมทั้ง6ทางที่กำลังมีกำลังปรากฎเด๋วนี้...จะไปกำหนดนั่งหลับตาให้เกิดปัญญามิได้... ...วิปัสสนาก็คือวิปัสสนึกนี่แหละ...นั่งไปก็นึกไป..เดินไปก็นึกไป...ยืนไปก็คิดไป...นอนไปก็คิดไป... ...แล้วจะรู้ว่าเวลาที่จะคิดน่ะน้อยมาก...เพราะหลงเพลิดเพลินไปกับความอยากเห็นเรื่องอื่นไม่ใช่คำสอน... ...ทางสายกลางไม่ใช่การทรมาณตนแล้วจะเกิดปัญญา...ทรงแสดงธรรมให้ผู้ฟังคิดพิจารณาตาม... ...สมัยที่ทรงแสดงพระธรรมสดๆของพระพุทธเจ้านั้น...อย่าลืมว่าไม่มีตำรา...ฟังเสียงในฟิล์มค่ะ... ...การศึกษาสมัยนี้ก็เช่นกัน...อย่าไปอ่านแล้วก็คิดเองเพราะคิดยังไงก็คิดเองไม่ได้...ต้องฟังคำจริง... ...ที่มีผู้ที่อธิบายให้เข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจน...ชีวิตที่ปกติน่ะมีแล้วทั้งหมดตามคำสอนคิดเห็นตรงหรือยัง... ...ห้ามอดอาหาร ห้ามทรมารตน ไม่ทรงบังคับการออกบวช แต่การสิ้นกิเลสที่บังคับอายุขัยหากไม่บวช... ...ครั้งพุทธกาล...ทรงแสดงความจริงเพื่อให้ผู้ฟังเห็นโทษความติดข้องรู้สึกเบื่อหน่ายการครองเรือน... ...ไม่ได้ทรงบังคับให้ทุกคนออกบวช...แต่ทรงแสดงธรรมเพื่อให้เห็นโทษของความยึดถือในตัวตน... ...เมื่อมีผู้ฟังแล้วเกิดปัญญาจนบรรลุธรรมแต่ละขั้น...ทั้ง4บริษัทที่เข้าถึงความจริงมีปัญญาพร้อม... ...โดยเฉพาะการบรรลุธรรมสูงสุดถึงความเป็นพระอรหันต์จะต้องตายใน1วันจำเป็นต้องถือเพศบรรพชิต... ...จึงมีการเอ่ยพระวาจาที่เป็นการบวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทา...เพราะจะสิ้นชีวิตต้องถือเพศสูงสุด... ...จะเห็นได้ว่าเมื่อมีหญิงบรรลุความเป็นพระอรหันต์จึงมีภิกษุณี...ผู้ที่ออกบวชสมัยนั้นล้วนเป็นกษัตริย์... ...ลูกเศรษฐีกะดุมพี...ต่างได้สละสมบัติทางโลกนับเป็นระดับโกฏิโดยไม่มีความเสียดายเพราะเห็นโทษ... ...ละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์...คือละความไม่รู้ก่อนค่ะ...ไม่รู้ทุกอย่างที่กำลังมีตามที่พระองค์บอก... ...อนิจัง ทุกขัง อนัตตา ก็มีพร้อมอยู่ที่กายกับจิตที่กำลังปรากฏตลอดเวล...แต่ยังไม่รู้ความจริงค่ะ... |
เจ้าของ: | bigtoo [ 16 ก.ค. 2015, 19:23 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทางสายกลาง |
Rosarin เขียน: Kiss ลูกศิษย์อาจารย์สุจินก็รู้ได้ประมาณนี้แหล่ะ เข้าไม่ถึงอานาปานสติหรอกเพราะท่านคิดว่าไม่เหมาะแก่บุคคลคลทั่วไป.
...จิตต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าของ...แค่ฝึกคิดชีวิตก็เปลี่ยนใหม่ได้...ทรงสอนให้รู้ตามความจริง... ...ไม่ได้ทรงบังคับให้ทุกคนออกบวช...การบรรลุธรรมเป็นปัญญาที่ถึงพร้อมของผู้บรรลุความจริง... ...ทุกอย่างมีแล้วที่ตัว...แต่ไม่รู้ไม่คิดค้นลงไป...อายตนะ6อยู่ที่ไหน...ก็กายกับจิตเดี๋ยวนี้พร้อม... ...ทรงแยกย่อยละเอียดยิบว่าทุกอย่างเป็นธัมมะ เป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา...ไม่มีเราแต่ไม่รู้... ...ต้องคิดค่ะ...แล้วก็นำมาตรึกตรองพิจารณาว่าจริงไหมที่ตัวมีพร้อม...ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ... ...จะต้องรอพาตัวเองไปเพื่อหาที่ไหนไหม...ในเมื่อที่ทรงแสดงในพระไตรปิฎกก็มีเด๊ีี๋ยวนี้แล้ว... ...จิตมีไหม กายมีไหม คิดมีไหม ได้ยินมีไหม เห็นมีไหม ได้กลิ่นมีไหม รู้รสมีไหม เด๋วนี้เอง... ...แต่รู้ไหมว่าทุกทางทั้ง6ทาง...ทรงแสดงไว้แยกกันเกิด-ดับและแต่ละทางเกิดพร้อมกันไม่ได้เลย... ...แม้เห็นเพียงทางเดียวเกิดแล้วดับไม่กลับมาเกิดอีก...กะพริบตา1ทีคือเห็นอันใหม่...ทั้ง6ทางใหม่หมด... ...สภาพรู้คือจิตไปรู้ไปยึดความเกิดดับทีละ1ทั้ง6ทางรวมกัน...ทรงแสดงว่า6ทางเกิดพร้อมกันไม่ได้เลย... ...สิ่งที่มีที่กำลังปรากฎเพียงปรากฎชั่วคราวแล้วดับ...ด้วยความไม่เข้าใจความจริงจึงหลงนิมิตร... ...หลงว่ามีทุกอย่างตามที่คิดเอาเอง...โดยไม่ศึกษาคือฟังคำอธิบายให้เข้าใจตามเป็นจริงก่อน... ...เช่นสภาพธรรม...แข็ง...สัมผัสแข้งก็ให้รู้ว่าแข็งที่กระทบแล้วก็ดับ...ไม่ต้องไปคิดว่ามือจับปากกา... ...ทั้ง6ทางจะสามารถระลึกรู้ตามคำสอนได้ทีละ1...คิดเย็นกะแข็งพร้อมกันไม่ได้...ทั้ง6ทางต้องรู้ทั่ว... ...ถ้าไม่รู้ก็กลับไปฟังคำอธิบายคำสอนใหม่...แล้วคิดตามว่าทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มี... ...อภิธรรม...ละเอียดก็ที่กายกะจิตที่ยังมีลมหายใจเด๋วนี้เอง...จะหาไหม...ต้องเดินทางไปไหนหรือไม่... ...ถ้าไม่รู้ที่ตัวทั่วพร้อมทั้ง6ทางที่กำลังมีกำลังปรากฎเด๋วนี้...จะไปกำหนดนั่งหลับตาให้เกิดปัญญามิได้... ...วิปัสสนาก็คือวิปัสสนึกนี่แหละ...นั่งไปก็นึกไป..เดินไปก็นึกไป...ยืนไปก็คิดไป...นอนไปก็คิดไป... ...แล้วจะรู้ว่าเวลาที่จะคิดน่ะน้อยมาก...เพราะหลงเพลิดเพลินไปกับความอยากเห็นเรื่องอื่นไม่ใช่คำสอน... ...ทางสายกลางไม่ใช่การทรมาณตนแล้วจะเกิดปัญญา...ทรงแสดงธรรมให้ผู้ฟังคิดพิจารณาตาม... ...สมัยที่ทรงแสดงพระธรรมสดๆของพระพุทธเจ้านั้น...อย่าลืมว่าไม่มีตำรา...ฟังเสียงในฟิล์มค่ะ... ...การศึกษาสมัยนี้ก็เช่นกัน...อย่าไปอ่นแล้วก็คิดเองเพราะคิดยังไงก็คิดเองไม่ได้...ต้องฟังคำจริง... ...ที่มีผู้ที่อธิบายให้เข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจน...ชีวิตที่ปกติน่ะมีแล้วทั้งหมดตามคำสอนคิดเห็นตรงหรือยัง... ...ห้ามอดอาหาร ห้ามทรมารตน ไม่ทรงบังคับการออกบวช แต่การสิ้นกิเลสที่บังคับอายุขัยหากไม่บวช... ...ครั้งพุทธกาล...ทรงแสดงความจริงเพื่อให้ผู้ฟังเห็นโทษความติดข้องรู้สึกเบื่อหน่ายการครองเรือน... ...ไม่ได้ทรงบังคับให้ทุกคนออกบวช...แต่ทรงแสดงธรรมเพื่อให้เห็นโทษของความยึดถือในตัวตน... ...เมื่อมีผู้ฟังแล้วเกิดปัญญาจนบรรลุธรรมแต่ละขั้น...ทั้ง4บริษัทที่เข้าถึงความจริงมีปัญญาพร้อม... ...โดยเฉพาะการบรรลุธรรมสูงสุดถึงความเป็นพระอรหันต์จะต้องตายใน1วันจำเป็นต้องถือเพศบรรพชิต... ...จึงมีการเอ่ยพระวาจาที่เป็นการบวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทา...เพราะจะสิ้นชีวิตต้องถือเพศสูงสุด... ...จะเห็นได้ว่าเมื่อมีหญิงบรรลุความเป็นพระอรหันต์จึงมีภิกษุณี...ผู้ที่ออกบวชสมัยนั้นล้วนเป็นกษัตริย์... ...ลูกเศรษฐีกะดุมพี...ต่างได้สละสมบัติทางโลกนับเป็นระดับโกฏิโดยไม่มีความเสียดายเพราะเห็นโทษ... ...ละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์...คือละความไม่รู้ก่อนค่ะ...ไม่รู้ทุกอย่างที่กำลังมีตามที่พระองค์บอก... |
เจ้าของ: | Rosarin [ 16 ก.ค. 2015, 19:34 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทางสายกลาง |
...ทุกอย่างเป็นธัมมะ...ใครจะไปบังคับใครให้เชื่อใครได้เล่า...เชื่อตัวเองยังเชื่อไม่ได้เลยจะตกนรกเอา... ...ถ้าข้าพเจ้าบอกว่าเป็นศิษย์ใครแลัวจะหนาวน๊า...ลองไปดูผังภพภูมิสิบรรลุฌาน3เกิดที่ไหนเอ่ย... |
เจ้าของ: | bigtoo [ 16 ก.ค. 2015, 19:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทางสายกลาง |
Rosarin เขียน: rolleyes ทำไมต้องหนาวล่ะครับ
...ทุกอย่างเป็นธัมมะ...ใครจะไปบังคับใครให้เชื่อใครได้เล่า...เชื่อตัวเองยังเชื่อไม่ได้เลยจะตกนรกเอา... ...ถ้าข้าพเจ้าบอกว่าเป็นศิษย์ใครแลัวจะหนาวน๊า...ลองไปดูผังภพภูมิสิบรรลุฌาน3เกิดที่ไหนเอ่ย... |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 16 ก.ค. 2015, 21:48 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทางสายกลาง |
เล็งตรงกลาง ดีดี..นะครับ เห็นซ้ายสุด....มั้ย เห็นขวาสุด....มั้ย ทีนี้...ตรงกลาง..ก็คอนเฟิร์ม..ละว่า...ไอ้เส้นประ..นะ...ตรงกลาง..แน่ |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 16 ก.ค. 2015, 22:12 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทางสายกลาง |
Rosarin เขียน: rolleyes ...... ...ถ้าข้าพเจ้าบอกว่าเป็นศิษย์ใครแลัวจะหนาวน๊า...ลองไปดูผังภพภูมิสิบรรลุฌาน3เกิดที่ไหนเอ่ย... ชักจะหนาว..แล้วซิ.. |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 16 ก.ค. 2015, 22:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทางสายกลาง |
อยากรู้..เหมือนกัน..ตายแล้วไปไหน อ้างคำพูด: อานิสงส์ทุติยฌาน ฌานทั้งหมด เป็นอารมณ์สมาธิที่ทำจิตใจให้พร้อมด้วยสติสัมปชัญญะ เวลาจะทำ การงานก็มีความทรงจำดี จิตใจไม่เลอะเลือนฟุ้งซ่าน เป็นอารมณ์รักษาโรคประสาทได้ดี ที่สุด นอกจากนี้ เวลาจะตายก็มีสติสัมปชัญญะดีไม่หลงตาย ถ้าตายในระหว่างฌานท่านว่า ทุติยฌานที่เป็นโลกียฌานให้ผลดังนี้ ก. ทุติยฌานหยาบ ให้ผลไปเกิดในพรหมโลกชั้นที่ ๔ ข. ทุติยฌานกลาง ให้ผลไปเกิดในพรหมโลกชั้นที่ ๕ ค. ทุติยฌานละเอียด ให้ผลไปเกิดในพรหมโลกชั้นที่ ๖ http://www.larnbuddhism.com/grammathan/meditation2.html |
เจ้าของ: | Rosarin [ 16 ก.ค. 2015, 23:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทางสายกลาง |
ขอรู้ตติยฌานค่ะท่านกบ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 16 ก.ค. 2015, 23:36 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทางสายกลาง |
กบนอกกะลา เขียน: อยากรู้..เหมือนกัน..ตายแล้วไปไหน อ้างคำพูด: อานิสงส์ทุติยฌาน ฌานทั้งหมด เป็นอารมณ์สมาธิที่ทำจิตใจให้พร้อมด้วยสติสัมปชัญญะ เวลาจะทำ การงานก็มีความทรงจำดี จิตใจไม่เลอะเลือนฟุ้งซ่าน เป็นอารมณ์รักษาโรคประสาทได้ดี ที่สุด นอกจากนี้ เวลาจะตายก็มีสติสัมปชัญญะดีไม่หลงตาย ถ้าตายในระหว่างฌานท่านว่า ทุติยฌานที่เป็นโลกียฌานให้ผลดังนี้ ก. ทุติยฌานหยาบ ให้ผลไปเกิดในพรหมโลกชั้นที่ ๔ ข. ทุติยฌานกลาง ให้ผลไปเกิดในพรหมโลกชั้นที่ ๕ ค. ทุติยฌานละเอียด ให้ผลไปเกิดในพรหมโลกชั้นที่ ๖ http://www.larnbuddhism.com/grammathan/meditation2.html Tatiyachan บรรลุคือเลยแล้วถึงจตุตฌานแล้วค่ะระดับจิตเกินชั๋นหลักสิบน๊าท่านกบ |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 17 ก.ค. 2015, 04:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทางสายกลาง |
Rosarin เขียน: Kiss ขอรู้ตติยฌานค่ะท่านกบ เอาใหม่...เอาใหม่... อ้างคำพูด: อานิสงส์ฌานที่ ๓ ฌานที่ ๓ นี้ ถ้าทรงไว้ได้จนตาย ในขณะตาย ตายในระหว่างฌานที่ ๓ ท่านว่า จะไม่หลงตาย เมื่อมีชีวิตอยู่ ก็จะเป็นคนมีอารมณ์แช่มชื่นเบิกบานตลอดเวลา หน้าตา สดชื่นผ่องใส เมื่อตายแล้ว ฌาน ๓ ย่อมส่งผลให้เกิดเป็นพรหม คือ ฌานที่ ๓ หยาบ ให้ผลไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๗ ฌานที่ ๓ กลาง ให้ผลไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๘ ฌานที่ ๓ ละเอียด ให้ผลไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๙ ฌาน ๓ ที่เป็นโลกียฌานให้ผลอย่างนี้ ถ้าเอาฌาน ๓ ไปเป็นกำลังของวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาจะมีกำลังกล้า ตัดกิเลสให้เด็ดขาดได้โดยรวดเร็ว อาจได้บรรลุมรรคผลเบื้องสูงใน ชาตินี้โดยไม่ชักช้านัก ผลของท่านที่ทรงฌาน ๓ ไว้ได้มีผลดังกล่าวมาแล้วนี้ http://www.larnbuddhism.com/grammathan/meditation3.html |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 17 ก.ค. 2015, 05:17 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทางสายกลาง |
ต่ออีกนิด... อ้างคำพูด: จตุตถฌาน หรือ จตุตถสมาบัติ
จตุตถะ แปลว่าที่ ๔ จตุตถฌานจึงแปลว่าฌานที่ ๔ ฌานที่ ๔ นี้มีอารมณ์ ๒ เหมือนฌาน ๓ แต่ผิดกันที่ฌาน ๓ มีสุขกับเอกัคคตา สำหรับฌานที่ ๔ นี้ ตัดความสุข ออกเสียเหลือแต่ เอกัคคตา และเติมอุเบกขาเข้ามาแทน ฉะนั้น อารมณ์ของฌาน ๔ จึงมีอารมณ์ผิดแผกจากฌาน ๓ ตรงที่ตัดความสุขออกไป และเพิ่มการวางเฉยเข้ามา แทนที่ อาการของฌาน ๔ ฌาน ๔ เมื่อนักปฏิบัติ ปฏิบัติถึงมีอาการดังนี้ จะไม่ปรากฏลมหายใจเหมือนสภาพฌานอื่นๆ เพราะลมละเอียดจน ไม่ปรากฏว่ามีลมหายใจ ในวิสุทธิมรรคท่านว่า ลมหายใจไม่มีเลย แต่บางอาจารย์ ท่านว่า ลมหายใจนั้นมี แต่ลมหายใจละเอียดจนไม่มีความรู้สึกว่าหายใจ ตามนัยวิสุทธิ- มรรคท่านกล่าวถึงคนที่ไม่มีลมหายใจไว้ ๔ จำพวกด้วยกัน คือ ๑. คนตาย ๒. คนดำน้ำ ๓. เด็กในครรภ์มารดา ๔.ท่านที่เข้าฌาน ๔ รวมความว่า ข้อสังเกตที่สังเกตได้ชัดเจน ในฌาน ๔ ที่เข้าถึงก็คือ ไม่ปรากฏว่ามีลมหายใจการที่ฌาน ๔ เมื่อเข้าถึงแล้ว และ ขณะที่ทรงอยู่ในระดับของฌาน ๔ ไม่ปรากฏว่ามีลมหายใจนี้เป็นความจริง มีนักปฏิบัติ หลายท่านที่พบเข้าแบบนี้ถึงกับร้องเอะอะโวยวายบอกว่าไม่เอาแล้วเพราะเกรงว่าจะตาย เพราะไม่มีลมหายใจบางรายที่อารมณ์สติสมบูรณ์หน่อยก็ถึงกับค้นคว้าควานหาลมหายใจ เมื่ออารมณ์จิตตกลงระดับต่ำกว่าฌานที่ ๔ ในที่สุดก็พบลมหายใจที่ปรากฏอยู่กับปลาย จมูกนั่นเอง อารมณ์จิตเมื่อเข้าสู่ระดับฌาน ๔ จะมีอารมณ์สงัดเงียบจากอารมณ์ ภายนอกจริง ๆ ดับเสียง คือ ไม่ได้ยินเสียง ดับสุข ดับทุกข์ทางกายเสียจนหมดสิ้น มี อารมณ์โพลงสว่างไสวเกินกว่าฌานอื่นใด มีอารมณ์สงัดเงียบ ไม่เกี่ยวข้องด้วยร่างกาย เลย กายจะสุข จะทุกข์ มดจะกิน ริ้นจะกัดอันตรายใดๆ จะเกิด จิตในระหว่างตั้งอยู่สมาธิ ที่มีกำลังระดับฌาน ๔ จะไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น เพราะฌานนี้กายกับจิตแยกกันเด็ดขาดจริงๆ ไม่สนใจข้องแวะกันเลย ดังจะเห็นในเรื่องของลมหายใจ ความจริงร่างกายนี้จำเป็นมาก ในเรื่องหายใจเพราะลมหายใจเป็นพลังสำคัญของร่างกาย พลังอื่นใดหมดไป แต่อัสสาสะ ปัสสาสะ คือลมหายใจยังปรากฏ ที่เรียกกันตามภาษาธรรมว่า ผัสสาหารยังมีอยู่ ร่างกาย ก็ยังไม่สลายตัว ถ้าลมหายใจที่เรียกว่าผัสสาหารหยุดเมื่อไร เมื่อนั้นก็ถึงอวสานของการ ทรงอยู่ของร่างกาย ฉะนั้น ผลการปฏิบัติที่เข้าถึงระดับฌาน ๔ จึงจัดว่าลมหายใจยังคงมี ตามปกติที่ไม่รู้ว่าหายใจก็เพราะว่าจิตแยกออกจากกายอย่างเด็ดขาดโดยไม่รับรู้อาการ ของร่างกายเลย อาการที่จิตแยกจากร่างกาย เพื่อให้เข้าใจชัดว่า จิตแยกออกจากร่างกายได้จริงเพียงใด เมื่อท่านเจริญสมาธิถึง ฌาน ๔ จนคล่องแคล่วชำนิชำนาญดีแล้ว ให้ท่านเข้าสู่ฌาน ๔ แล้วถอยจิตออกมาหยุดอยู่ เพียงอุปจารฌาน แล้วอธิษฐานว่า ขอร่างกายนี้จงเป็นโพรงและกายอีกกายหนึ่งจงปรากฏ แล้วเข้าฌาน ๔ ใหม่ ออกจากฌาน ๔ มาหยุดอยู่เพียงอุปจารฌาน ท่านจะเห็นกายเป็น โพรงใหญ่ มีกายของเราเองปรากฏขึ้นภายในกายเดิมอีกกายหนึ่ง ที่ท่านเรียกในมหาสติ- ปัฏฐานว่ากายในกาย จะบังคับให้กายในกายท่องเที่ยวไปในร่างกายทุกส่วน แม้แต่เส้น ประสาทเล็กๆ กายในกายก็จะไปได้สะดวกสบายเหมือนเดินในถ้ำใหญ่ ๆ ต่อไปจะบังคับ กายใหม่นี้ออกไปสู่ภพใด ๆ ก็ไปได้ตามประสงค์ ที่ท่านเรียกว่า "มโนมยิทธิ แปลว่า มีฤทธิ์ทางใจนั่นเอง" พลังของฌาน ๔ มีพลังมากอย่างนี้ ท่านที่ได้ฌาน ๔ แล้วท่าน จะฝึกวิชชาสาม อภิญญาหกหรือปฏิสัมภิทาญาณ ก็ทำได้ทั้งนั้น เพราะวิชชาการที่จะฝึก ต่อไปนั้น ก็ใช้พลังจิตระดับฌาน ๔ นั่นเอง จะแตกต่างกันอยู่บ้างก็เพียงอาการในการ เคลื่อนไปเท่านั้น ส่วนอารมณ์ที่จะใช้ก็เพียงฌาน ๔ ซึ่งเป็นของที่มีอยู่แล้วเปรียบเสมือน นักเพาะกำลังกาย ถ้ามีกำลังกายสมบูรณ์แล้วจะทำอะไรก็ทำได้เพราะกำลังพอจะมีสะดุด บ้างก็ตรงเปลี่ยนแนวปฏิบัติใหม่ จะยุ่งใจบ้างในระยะต้นพอเข้าใจเสียแล้วก็ทำได้คล่อง เพราะกำลังพอ ท่านที่ได้ฌาน ๔ แล้วก็เช่นเดียวกัน เพราะงานส่วนอภิญญาหรือวิชชาสาม ก็ใช้พลังจิตเพียงฌาน ๔ เท่านั้น ท่านที่ได้ฌาน ๔ จึงเป็นผู้มีโอกาสจะทำได้โดยตรง เสี้ยนหนามของฌาน ๔ เสี้ยนหนาม หรือศัตรูตัวสำคัญของฌาน ๔ ก็คือ "ลมหายใจ" เพราะถ้าปรากฏว่า มีลมหายใจปรากฏเมื่อเข้าฌาน ๔ ก็จงทราบเถิดว่า จิตของท่านมีสมาธิต่ำกว่าฌาน ๔ แล้วจงอย่าสนใจกับลมหายใจเลยเป็นอันขาด อานิสงส์ของฌาน ๔ ท่านที่ทรงฌาน ๔ ไว้ได้ ในขณะที่มีชีวิตอยู่ จะมีอารมณ์แช่มชื่นตลอดวัน เวลาจะแก้ปัญหาของตนเองได้อย่างอัศจรรย์ ท่านที่ได้ฌาน ๔ สามารถจะทรงวิชชาสาม อภิญญาหก ปฏิสัมภิทาญาณได้ ถ้าท่านต้องการ ท่านที่ได้ฌาน ๔ สามารถจะเอาฌาน ๔ เป็นกำลังของวิปัสสนาญาณชำระ กิเลสให้หมดสิ้นไป อย่างช้าภายใน ๗ ปี อย่างกลางภายใน ๗ เดือน อย่างเร็วภายใน ๗ วัน หากท่านไม่เจริญวิปัสสนา ท่านทรงฌาน ๔ ไว้มิให้เสื่อม ขณะตาย ตาย ในระหว่างฌานที่จะได้ไปเกิดในพรหมโลกสองชั้นคือ ชั้นที่ ๑๐ และชั้นที่ ๑๑ |
เจ้าของ: | asoka [ 17 ก.ค. 2015, 05:57 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ทางสายกลาง | ||
ตรงที่เอาความยินดียินร้ายในโลกออกเสียได้นั่นแหละจะเป็นทางสายกลางของการเดินจิต จิตไม่ติดข้างใดข้างหนึ่งเขาย่อมจะไหลไปตรงกลางด้วยอำนาจกระแสของกาลเวลา มีผัสสะเกิดขึ้นเอายินดีออกได้ก็จะตกมาอยู่ที่ เฉย ตรงกลาง มีผัสสะเกิดขึ้นเอายินร้ายออกได้ก็จะตกมาอยู่ที่ เฉย ตรงกลาง เป็นกลางอยู่ได้บ่อยๆนานๆจนชำนาญ ก็จะลงไปสู่ ปกติ ที่ปกตินั่นแหละเป็นความกลางอย่างยิ่ง เป็นธรรม เป็นปรมัตถธรรม จิตจะไหลเร็วแรงพุ่งดิ่งสู่ อมตะธรรม คือ นิพพาน อันเป็นที่สุดสิ้นการเดินทางอันยาวนาน
|
เจ้าของ: | bigtoo [ 17 ก.ค. 2015, 07:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทางสายกลาง |
Rosarin เขียน: rolleyes
กบนอกกะลา เขียน: อยากรู้..เหมือนกัน..ตายแล้วไปไหน อ้างคำพูด: อานิสงส์ทุติยฌาน ฌานทั้งหมด เป็นอารมณ์สมาธิที่ทำจิตใจให้พร้อมด้วยสติสัมปชัญญะ เวลาจะทำ การงานก็มีความทรงจำดี จิตใจไม่เลอะเลือนฟุ้งซ่าน เป็นอารมณ์รักษาโรคประสาทได้ดี ที่สุด นอกจากนี้ เวลาจะตายก็มีสติสัมปชัญญะดีไม่หลงตาย ถ้าตายในระหว่างฌานท่านว่า ทุติยฌานที่เป็นโลกียฌานให้ผลดังนี้ ก. ทุติยฌานหยาบ ให้ผลไปเกิดในพรหมโลกชั้นที่ ๔ ข. ทุติยฌานกลาง ให้ผลไปเกิดในพรหมโลกชั้นที่ ๕ ค. ทุติยฌานละเอียด ให้ผลไปเกิดในพรหมโลกชั้นที่ ๖ http://www.larnbuddhism.com/grammathan/meditation2.html Tatiyachan บรรลุคือเลยแล้วถึงจตุตฌานแล้วค่ะระดับจิตเกินชั๋นหลักสิบน๊าท่านกบ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 7 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |