วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 16:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2016, 16:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


โยม : หลวงปู่ครับ ผมจะขอนับถือแค่ พระพุทธ กับ พระธรรมนะครับ เพราะพระสงฆ์ทุกวันนี้ มีแต่เรื่องเสื่อมเสีย ผมว่าพระแท้ๆ หมดแล้วจากพุทธศาสนาไปแล้ว !!!

หลวงปู่ : ถ้าเป็นอย่างนั้น แสดงว่า โยมก็ไม่นับถือ อาตมาด้วยสิ

โยม : เปล่าครับๆ หลวงปู่ ผมยังเคารพศรัทธาหลวงปู่เหมือนเดิม

หลวงปู่ : อ้าว ! ไหนว่าไม่นับ ถือพระสงฆ์ไงล่ะ

โยม : เว้นหลวงปู่สิครับ

หลวงปู่ : เว้นหลวงปู่ก็แสดง ว่า หลวงปู่ก็ไม่ใช่พระสงฆ์สิ

โยม : (ทำหน้าเหมือนคิดหนัก)......

หลวงปู่ : โยม ! เวลาเขาหาเอาทองคำนั้น เขาไปหามาจากที่ไหน

โยม : ไปขุดดินแล้วร่อนแยกเอาทองมาครับ

หลวงปู่ : ดินมากหรือทองมาก

โยม : ดินมากครับผม ร่อนจากดินมาก ได้ทองแค่นิดเดียว

หลวงปู่ : มันก็เหมือนพระสงฆ์นั้นแหละ พระสงฆ์ก็ร่อนมาจากลูกชาวบ้าน ลูกสมมติ
พระสงฆ์ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์แล้วมาบวชเมื่อไหร่ มันก็มีดีบ้างเสียบ้าง จะให้ดีหมด มันก็ทำไม่ได้ ...จะให้มันเสีย หมดก็ทำไม่ได้ ...

ส่วนที่มันเป็นดินก็ อย่าเอา.....
ให้เอาส่วนที่มันเป็นทองสิ ....
ถ้าเชื่อหลวงปู่ ... ถ้าเคารพหลวงปู่ ก็จงเชื่อว่า ...
พระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีมากมาย อย่าเหมาว่าไม่ดีทั้งหมด
ขนาดคุณ ยังมีข้อเสีย จะให้ดีทั้งหมดทั้งโลกก็ไม่ได้
พระรัตนตรัย เหมือนไม้สามลำค้ำกันไว้
เอาออกอันหนึ่งมันก็ล้ม จำไว้ ....
พระก็คือนักเรียน
ผู้เป็นอริยะ คือ ผู้สอบผ่าน
ผู้ประพฤติไม่เหมาะสม คือ ผู้สอบตก
ให้สงสารคนสอบตก อย่าไปเกลียดคนสอบตก เพราะไม่มีใครอยากจะสอบตก...





ทาน คือ การให้ จะให้สื่งใด ให้ใครก็ตาม จะเป็นวัตถุทาน ให้ทานกำลังแรงกาย ให้ธรรมทาน หรือจะเป็นวิทยาทานไดๆก็ตาม

ด้วยความเสียสละโดยไม่หวังผลตอบแทน นอกจากความดีที่จะเป็นประโยชน์แก่ตนนี้เท่านั้น ท่านเรียกว่าทาน

อำนาจแห่งทานนี้จะเป็นสิ่งสนับสนุน ให้ผู้ไปเกิดในสถานที่นั้นให้มีความอุดมสมบูรณ์ ไม่อดอยากขาดแคลน

ฉะนั้นเมื่อร่างกายยังพอเป็นไปได้อยู่ จับทำอะไรได้อยู่ จึงไม่ควรประมาท ให้เร่งขวนขวายทำเสียแต่บัดนี้

นี่ก็เป็นความดีประเภทหนึ่ง แต่สุดท้ายเรียกว่า"บุญ" เช่นเดียวกัน


..หลวงปู่ยังโกรธอยู่ไหมครับ..มีโยมคนหนึ่งถามหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ตอบว่า"โกรธอยู่ แต่ไม่เอา"
รัก โลภ โกรธ หลง เปนของคู่โลก ผู้ที่ท่านละได้
ก็ละที่ กาย วาจา ใจ ของท่าน แต่สิ่งเหล่านั้นก็คงอยู่..ในโลก




การปฏิบัติหน้าที่ประจำวัน
ก็เหมือนการปฏิบัติธรรม
เพียงให้มีสติระลึกรู้"และรู้สึกตัว
ทุกขณะที่ทำ"เช่นซักผ้าต้องการให้ผ้านั้นสะอาดที่สุด"ใจเราก็เหมือนกันถ้าหมั่น
ชำระจิตชำระใจอยู่เสมอ"จะสะอาดขึ้น
ทุกครั้งไม่มีหม่นหมองลงได้เลย"อดทน
หมั่นทำความเพียรกัน"ความสิ้นไปแห่งทุกข์คงอีกไม่ไกล"ด้วยความปรารถนาดี




"จิตไม่สงบทำให้สงบด้วยบทบริกรรมภาวนา คำนี้ลูกหลานจำให้ดีนะ หลวงตาได้เดินผ่านมาเรียบร้อยแล้วจึงมาสอนด้วยความแน่ใจและแม่นยำ ไม่คลาดเคลื่อนจากหลักความจริงที่ได้ปฏิบัติมา ถ้าจิตมันดีดมันดิ้นมาก วิชาที่จะฝึกทรมานจิตใจนี้มีหลายประเภท ท่านสอนไว้ในธุดงค์ ๑๓ ข้อ ล้วนแล้วแต่อุบายวิธีการที่จะฝึกทรมานจิตใจให้หายพยศลงเป็นลำดับ อันนี้วิธีการที่เราจะทำความพากเพียรก็เป็นหน้าที่ของเราโดยตรง อุบายวิธีที่จะหนุนความพากเพียรของเราให้ได้ผลเป็นที่พอใจ มันแล้วแต่ผู้จะฝึกหัดตนเองอย่างไร บางคนนอนน้อยก็มี อยู่รุกขมูลร่มไม้ในป่าในเขา ที่แจ้งลอมฟาง แล้วแต่จะเป็นความสะดวกในการบำเพ็ญซึ่งเป็นสถานที่มีเสือร้าย แต่ก่อนมีเยอะนะ พวกอันตรายพวกเสือร้ายเป็นต้น ถ้าอยู่ในที่เช่นนั้นมันกลัว เมื่อมันกลัวมาก ๆ ให้นึกคำบริกรรมติดกับใจไม่ให้ไปคิดถึงเสือถึงยักษ์ถึงผีถึงเปรตถึงมารอะไรแหละ ให้คิดอยู่กับคำบริกรรม เช่นเรานึก พุทโธ เป็นต้น อันนี้แล้วแต่ท่านผู้ใดจะชอบ
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕




ให้ตำหนิติชมตัวเอง‬ "..เขายกยอสรรเสริญบ้างก็เป็นบ้าไปเสีย เขาตำหนิติเตียนก็เป็นบ้าไปอีกแบบหนึ่ง เขาชมก็เป็นบ้าไปอีกแบบหนึ่ง มันมีแต่บ้าเต็มบ้านเต็มเมือง หลงลมปากกัน ประสาลมปาก จะให้ใครมาชม เราชมเราเองยิ่งดี เราตั้งเราเองนี่ดีกว่าคนอื่นมาตั้ง คนอื่นมาตั้งเขาปลดได้ เขาชมเรานี้เขาตำหนิเราได้ เราชมเราเองเป็นไรไป ถ้าไม่กลัวเขาหาว่าบ้าหลงชมตัวเองน่ะ

อย่างหลวงตาบัวจะชมหลวงตาบัวก็ชมได้ นี่หลวงตาบัวดีนะว่างั้น ใครจะว่าอะไรก็หลวงตาบัวดีจริง ๆ เป็นยังไง เมื่อคืนนี้ขี้แตกจนไม่ได้นอนเลย จะเป็นอะไรไปมันผิดเมื่อไร ก็มันขี้แตกจริง ๆ ก็ว่าขี้แตก พูดตามความจริงนี่ ดีนะหลวงตาบัวขี้แตกไม่ได้นอนเลย กินอะไรเข้าไปผิดไม่รู้ นี่ชมก็ได้ตำหนิก็ได้ตำหนิเจ้าของ ทีนี้ไม่ดีตรงไหนแก้เจ้าของตรงนั้นซิ แก้ตรงนั้นมันก็ดีนั่นซิ อันนี้ไม่สนใจแก้เจ้าของไม่สนใจชมเจ้าของ ให้แต่คนอื่นมาชมจนเป็นบ้า คนนั้นดีอย่างนั้นคนนี้ดีอย่างนี้ เขายกยอเท่านั้นก็เป็นบ้าไปแล้ว พวกหูเบาเหมือนนู่นนี่.."
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๓๗





ขลังภายนอก‬ "..ไปหาพระมีแต่หาของขลัง ๆ ดูฤกษ์ดูยามดูดวงชะตาราศี ดวงไหนมันก็อยู่ในนี้หมด หลวงตาก็เคยดู ถ้าเราได้ดูแล้วไม่มีผิดแล้วเอาจนเข็ดจะว่าไง ใครมาให้เราดู-เราดูให้ถูกเสียงเปรี้ยงอย่างไม่ผิดเลย แล้วก็เข็ดคนนั้นไม่มาดูอีกแหละ มาพอยื่นฝ่ามือมานี่ เราโบกมือไม่ต้องเรื่องฝ่ามือนั่น หลังมือเราก็ดูได้ถ้าเราจะดูแล้ว เราว่าอย่างนี้ ที่ไหนดูได้หมด คนทั้งคนเราดูได้หมด ทายจะไม่ให้ผิด แล้วลองทายซิ นี่ตั้งแต่เป็นเด็กแม่หวดเรื่อยใช่ไหม เอาแล้วนะนั่น ตั้งแต่เป็นเด็กแม่หวดเรื่อยใช่ไหม ถ้าว่าแม่ไม่หวดแม่ไม่ดุบ้างเหรอ เอาจนถูก พอเสร็จจากนั้นแล้ววันหลังไม่มาดูอีก นั่นถ้าดูต้องดูอย่างนั้นซีมันถึงแม่นยำ

ไปดูสุ่มสี่สุ่มห้าหลอกกันไป ว่าจะขึ้นสวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้แล้วลงไปจมนรก ไปปล้นไปสะดมเขาก็ต้องไปดูฤกษ์ดูยามเสียก่อนว่าเวลาไหนดี ๆ ครั้นไปปล้นถูกเขาฆ่าเอา ไม่ทราบว่าอันไหนดี เจ้าของชั่วมันก็เป็นอย่างนั้นละซี มี..ตำรับตำรา โอ๋ย เต็มมือ เวลาตายแล้วไปดูตำราเต็มกระเป๋า เข้าเวลานั้นดีเข้าเวลานี้ดี ดูยามเข้าไปปล้นเขา ถูกเขาฆ่าน่ะซิ ค้นในกระเป๋ามีตั้งแต่ตำรา นี่เห็นแล้วนะไม่ได้มาอวดพูดเฉย ๆ หลอกโลกนะ เป็นอย่างนั้นละ เห็นไหมตำราเป็นอย่างนั้น มันดีอยู่กับคนชั่วอยู่กับคน ให้ปฏิบัติตัวของตนให้ดีซิ นี่ไม่ปฏิบัติตัวเอง ไม่สนใจ มีแต่อยากดี ๆ ใช้ไม่ได้ ตลอดวันตายก็ไม่ดี.."
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๓๗




"การนิมิตเห็นดวงหฤทัย"

หลวงปู่อุ่น ชาคโร
วัดป่าหนองคำ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

หลวงปู่อุ่น ชาคโร ถามหลวงปู่มั่นถึงการนิมิตเห็นดวงหฤทัย

ตอนหนึ่งความว่า

ข้าพเจ้ากราบเรียนท่านพระอาจารย์มั่นว่า " กระผมขอโอกาสกราบ

เรียน การนิมิตเห็นดวงหฤทัย (หัวใจ) ของคนตั้งปลายขึ้นข้างบนนั้น

เป็นอะไร" ท่านเลยอธิบายไปว่า " ที่จริงดวงหฤทัยของคนนั้นก็ตั้งอยู่

ธรรมดานี้แหละ อันมันเป็นต่างๆ นานา ตามเรานิมิตเห็นนั้น มันเป็นนิมิต

เทียบเคียงคือปฏิภาคนิมิตนั้นเอง ที่ท่านเห็นว่ามันตั้งขึ้นนั้น แสดงถึง

จิตของคนนั้นมีกำลังทางสมาธิ ถ้าจิตตั้งขึ้นและปลายแหลม กกใหญ่

คล้ายดอกบัวตูมกำลังเบ่งบานนั้น แสดงว่าจิตคนนั้นมีกำลังทางสมาธิ

และปัญญาแล้ว ถ้าน้ำเลี้ยงดวงหฤทัยมีสีต่างๆกัน กันนั้น หมายถึงจริต

ของคน เช่น โทสจริตนั้นหฤทัยเป็นสีแดง ถ้าราคะจริตน้ำเลี้ยงหฤทัย

เป็นสีแดงเข้มๆ ถ้าจริตของคนที่หลุดพ้นไปแล้วเป็นน้ำหฤทัยขาว

สะอาดเลื่อมเป็นปภัสสรเหมือนทองหลอมแล้วอยู่ในเตาเลื่อมอย่างนั้นแหละ

ถ้าดวงหฤทัยเหี่ยวๆแห้งๆ นั้นหมายถึงจิตของคนนั้นไม่มีกำลังทางจิต

คือ ศรัทธาพลัง วิริยะพลัง สติพลัง สมาธิพลัง ปัญญาพลัง ถ้าธรรมทั้ง

ห้าอย่างนี้ไม่มีในจิตแล้ว ท่านว่าอบรมไม่ขึ้น ไม่เป็นไป จะสั่งสอน

ทรมานสักปานใดไม่มีประโยชน์เลย ถ้าดวงหฤทัยของคนนั้นมีกกเบ่ง

บานเหมือนดอกบัว อบรมสั่งสอนไปได้ผลตามคาดหมายจริงๆ" ท่านว่า

"ผมเองเคยเพ่งดวงหฤทัยของผมเอง เห็นเลื่อมเป็นแสงเลยทีเดียว เพ่ง

ไปเพ่งมาปรากฏว่าแตกใส่ดวงตา" นี้เป็นคำพูดของท่าน ท่านจึง

อธิบายว่า "คนในประเทศไทยนี้ ดวงหฤทัยต่างหมู่อยู่ ๓ องค์คือดวง

หฤทัยปรากฏมีจานหรือแท่นรองสวยงามดี พระ ๓ องค์นี้ องค์หนึ่งคือ

ท่านสมเด็จมหาวีรวงค์(ติสโส อ้วน) ท่านตายไปแล้ว ส่วน ๒ องค์นั้นยัง

อยู่" ท่านพระอาจารย์มั่นพูดว่า " บุญวาสนาบารมีพระ ๓ องค์นี้แปลกๆ

" หมู่เพื่อนมากนี้นึกว่า ท่านอาจารย์นี้ท่านดูคนไม่ใช่ดูแต่หูชิ้นตาหนัง

เหมือนคนเรา ท่านสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาต้องดูด้วยตานอกตาในเสียก่อน

ไม่เหมือนปุถุชนเรา




‎จะรักษาจิตอย่างไร‬ การรักษาจิตนั้นก็คือการภาวนา การภาวนานั้นเป็นอย่างไร ก็เหมือนอย่างเราท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่เดี๋ยวนี้ คือนั่งขัดสมาธิ ขาขวาทับขาซ้าย มือเบื้องขวาทับมือเบื้องซ้าย ตั้งกายให้ตรง แล้วกำหนดลมหายใจเข้าลมหายใจออก แล้วก็บริกรรมพุทโธ บริกรรมพุทโธในจิต เพื่อให้จิตของเราอยู่กับ พระพุทธเจ้า เพราะพระองค์เป็นนาถะ คือเป็นที่พึ่ง เราก็ควรที่จะเสกสรรจิตของเราให้อยู่กับพระพุทธเจ้า เสกสรรจิตของเรานั้นให้เป็นพุทธะ ให้เป็นพุทโธ เราจะไม่เสกสรรอะไรอย่างอื่น เราจะกำหนดจิตของเราและเสกคาถาในจิตของเรา คือพุทโธเท่านั้น เราจะไม่นำเรื่องอะไร ต่าง ๆ เข้ามาคิด และเราจะไม่สนกับเรื่องอะไรนอกจากพุทโธ เราจะดึงพุทโธนั้นเข้าหาจิต และดึงจิตของเราเข้าหาพุทโธ เพราะว่าพุทโธนั้นได้แก่ คุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระพุทธเจ้านั้นอยู่ที่ไหน คุณของพระพุทธเจ้าก็อยู่ที่ใจเรา พระพุทธเจ้าท่านคอยเราอยู่เสมอ คอยเราอยู่ที่หัวใจเรา แต่พวกเรานั้นโดยมากมักจะไม่เข้าไปหาท่าน ยังคิดว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ประเทศอินเดีย หรือว่าพระพุทธเจ้านั้นอยู่ที่ปรินิพพาน แต่แท้จริงพุทธะคือผู้รู้องค์นี้ที่อยู่กับเรา พุทธะองค์นี้ที่คอยเราอยู่ แต่เรานั้นไม่ค่อยเสกสรรจิตของตัวเองให้เป็นพุทธะขึ้นมา เราไม่ได้เข้าไปหาท่าน มีแต่ออกไปหาข้างนอก คิดว่าท่านอยู่ในถ้ำ คิดว่าท่านอยู่ในป่าดงพงลึก แต่แท้จริงนั้นพุทธะคือพระพุทธเจ้าองค์นี้ประจำกับพวกเราทุกท่าน แต่เราก็ไม่ได้เข้าไปหา มีแต่หาออกไปข้างนอก แทนที่เราจะมาเสกสรรจิตของเรานี้ให้เป็นพุทธะ คือพุทโธขึ้นมาเราก็ไม่ได้นึก ไม่ได้คิดกัน

หลวงปู่บุญเพ็ง กัปปโก




"ป่าช้าที่หนึ่ง คือเรานั่งทับตัวเองอยู่นี้แล เป็นป่าช้าของเราที่จะตายในวันหนึ่งแน่นอน ป่าช้าอันดับที่สอง สัตว์ตายเกลื่อนอยู่ตามดินตามหญ้าในน้ำบนบก ตายเกลื่อนไปหมด แต่เราไม่เรียกว่าที่นั้นเป็นป่าช้าที่นี้เป็นป่าช้า แม้ที่สุดหม้อข้าวหม้อแกงของเราที่มาหุงต้มแกงสัตว์กินกันอยู่ทุกวัน ๆ เราก็ไม่เรียกว่าป่าช้า เราเรียกว่าหม้อแกงไปเสีย ความจริงก็คือป่าช้าต้มสัตว์เผาสัตว์ในเตาไฟของเรานั้นแล ในเตาไฟเราเต็มไปด้วยป่าช้า เราก็ไม่เคยมอง ไม่เคยเห็น มีแต่เห็นอาหารอร่อยจากชีวิตของสัตว์เอามาต้มมาตุ๋นมาลาบมาแกงแล้วกินกัน ก็ว่าเอร็ดอร่อยจนลืมเนื้อลืมตัวว่าตัวจะไม่ตายเหมือนสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ กลายมาเป็นป่าช้าของเราดังที่เห็นอยู่นี้ ลืมคิดกันไปเสียหมด"
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕



" บุคคลใด ปฏิบัติชอบแล้ว
บุคคลนั้นย่อมพิจารณา ความเป็นไป
แห่งสังขารทั้งหลาย ย่อมเห็นความเกิด
ความแก่ ความเจ็บไข้ และความตาย
ในสังขารทั้งหลาย ย่อมไม่เห็นความสุข
ความยินดีน้อยหนึ่ง ใน สังขารทั้งหลายเหล่านั้น
ย่อมไม่เห็นซึ่งอะไร ในเบื้องต้น ท่ามกลาง
หรือที่สุด ในสังขารทั้งหลายนั้น
ซึ่งจะเข้าถึงความเป็น ของควรถือเอา
อุปมาบุรุษไม่เห็น ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง
ในก้อนเหล็กแดง อันร้อนอยู่ตลอดวัน
ที่เข้าถึงความเป็นของ ควรจับถือสักแห่งเดียว
ฉันใด บุคคลพิจารณา เห็นความเกิด ความแก่
ความเจ็บไข้ และความตาย
ในสังขารทั้งหลาย ย่อมไม่เห็นความสุข
ความยินดีในสังขาร เหล่านั้นแม้น้อยหนึ่งฉันนั้น "
(โอวาทธรรม หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)




บอกบุญผ้าป่าสร้างหลังคาอุโบสถ
https://www.facebook.com/tanakornponggy ... 1308350751



ร่วมทำบุญชื้อน้ำดื่มถวายหลวงพ่อชูชาติ(และผู้คนมาที่มาปฎิบัติธรรมและทำบุญ)
ณ สำนักสงฆ์ส่วนป่าเฉลิมพระเกียรติ
ต บุฝ้าย อ ประจันตคาม จ ปราจีนบุรี
https://www.facebook.com/permalink.php? ... 4541284416



ขอเชิญพี่น้องทุกท่าน ร่วมเป็นเจ้าภาพ กองบุญ มหากุศล 2 บุญใหญ่ ในกองเดียว ร่วมบุญกองละ 30 บาท หรือ ตามศรัทธา
https://www.facebook.com/vitoon9522/pos ... 1771071523




นำสมเด็จองค์ปางจักรพรรดิปฐมทองคำมาเลี่ยมทองคำเพื่อไว้ติดประคำ เพื่อถวายครูบาอภิชัยขาวปีในงานเปลี่ยนผ้าครอง 3 มีนาคม 2559 ปัจจัยในการเลี่ยมทอง 4,900 บาทขอเชิญร่วมบุญตามกำลังศรัทธา
https://www.facebook.com/jaroonroj.chop ... 1826037898




ขอเชิญร่วมบุญเป็นเจ้าภาพสปอตไลท์ฉายพระประธานอุโบสถวัดบ้านห้วยน้ำขาวในเวลากลางคืนชุดละ 3,500 บาทหรือร่วมบุญตามกำลังศรัทธา
https://www.facebook.com/jaroonroj.chop ... 8706035210



บุญสร้างระฆังถวายวัด‬ (ปิดรับ15มี.ค.)
ร่วมกองบุญจัดสร้าง "ระฆังทองเหลือง" กองบุญละ 100 บาท จำนวน 210 กองบุญ หรือ ตามศรัทธา ถวายวัดวารีสาน อ.ภูเรือ จ.เลย
https://www.facebook.com/54762388194715 ... 87/?type=3




พระครูสุธีปริยัติโกศล (พระมหา ดร.มนัส กิตติสาโร) วัดมัชฌิมวัน บ้านดงกลาง อ.เขาสมิง จ.ตราด จากรายการเสบียงบุญ แจ้งข่าวงานบุญในรายการดังนี้
1. เจ้าภาพเททองหล่อพระร่วงโรจนฤทธิ์ ทรงยืน ความสูง 2.50 เมตร เพื่อนำไปประดิษฐานที่วัดมัชฌิมวัน จ.ตราด
1.1 เจ้าภาพประธานหลัก 40 กองทุน กองทุนละ 10,000 บาท
1.2 เจ้าภาพประธานร่วม 40 กองทุน กองทุนละ 5,000 บาท
โดยจะมีงานเททองหล่อพระ ณ วัดสวัสดิวารีสีมาราม ในวันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม 2559 เวลา 18.09 น.
ร่วมบุญกับพระครูสุธีปริยัติโกศล
โทร 087-919-2020




ขอเชิญทุกท่านร่วมทำบุญ และจัดซื้อตะเกียงน้ำมันพืช ขนาด 160 ซม. เพื่อนำถวาย สำนักสงฆ์ม่อนเจดีย์ จ.ลำปาง ในวันที่ 17 เมษายน 2559
https://www.facebook.com/photo.php?fbid ... 185&type=3


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 115 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร