วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 15:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2015, 16:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2015, 21:55
โพสต์: 1067

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


huh huh huh


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2015, 00:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้มีมหากรุณาธิคุณทางโลกครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2015, 10:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


อิธะ ภิกขะเว
ภิกษุทั้งหลาย !

อะริยะสาวะโก
ปะฏิจจะสะมุปปาทัญเญวะ
สาธุกัง โยนิโสมะนะสิกะโรติ
อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
ย่อมกระทำไว้ในใจ
โดยแยบคายเป็นอย่างดี
ซึ่ง ปฏิจจสมุปบาท นั่นเทียว

ดังนี้ว่า




อิมัสมิง สะติ อิทัง โหติ
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี

อิมัสสุปปาทา อิทัง อุปปัชชะติ
เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้
สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น

อิมัสมิง อะสะติ อิทัง นะ โหติ
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี

อิมัสสะ นิโรธา อิทัง นิรุชฌะติ
เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้
สิ่งนี้จึงดับไป

ยะทิทัง
ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ




อะวิชชาปัจจะยา สังขารา
เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย
จึงมีสังขารทั้งหลาย

สังขาระปัจจะยา วิญญาณัง
เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย
จึงมีวิญญาณ

วิญญาณะปัจจะยา นามะรูปัง
เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย
จึงมีนามรูป

นามะรูปะปัจจะยา สะฬายะตะนัง
เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย
จึงมีสฬายตนะ

สะฬายะตะนะปัจจะยา ผัสโส
เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย
จึงมีผัสสะ

ผัสสะปัจจะยา เวทะนา
เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย
จึงมีเวทนา

เวทะนาปัจจะยา ตัณหา
เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย
จึงมีตัณหา

ตัณหาปัจจะยา อุปาทานัง
เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย
จึงมีอุปาทาน

อุปาทานะปัจจะยา ภะโว
เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย
จึงมีภพ

ภะวะปัจจะยา ชาติ
เพราะมีภพเป็นปัจจัย
จึงมีชาติ

ชาติปัจจะยา
ชะรามะระณัง โสกะปะริเทวะ
ทุกขะโทมะนัสสุปายาสา สัมภะวันติ
เพราะมีชาติเป็นปัจจัย
ชรา มรณะ
โสกะ ปริเทวะ
ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะ
ทั้งหลายจึงเกิดขึ้นครบถ้วน

เอวะเมตัสสะ เกวะลัสสะ
ทุกขักขันธัสสะ สะมุทะโย โหติ
ความเกิดขึ้นพร้อม
แห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้
ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้




อะวิชชายะเตววะ
อเสสะวิราคะนิโรธา สังขาระนิโรโธ
เพราะความจางคลายดับไป
โดยไม่เหลือแห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว
จึงมีความดับแห่งสังขาร

สังขาระนิโรธา วิญญาณะนิโรโธ
เพราะมีความดับแห่งสังขาร
จึงมีความดับแห่งวิญญาณ

วิญญาณะนิโรธา นามะรูปะนิโรโธ
เพราะมีความดับแห่งวิญญาณ
จึงมีความดับแห่งนามรูป

นามะรูปะนิโรธา สะฬายะตะนะนิโรโธ
เพราะมีความดับแห่งนามรูป
จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ

สะฬายะตะนะนิโรธา ผัสสะนิโรโธ
เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะ
จึงมีความดับแห่งผัสสะ

ผัสสะนิโรธา เวทะนานิโรโธ
เพราะมีความดับแห่งผัสสะ
จึงมีความดับแห่งเวทนา

เวทะนานิโรธา ตัณหานิโรโธ
เพราะมีความดับแห่งเวทนา
จึงมีความดับแห่งตัณหา

ตัณหานิโรธา อุปาทานะนิโรโธ
เพราะมีความดับแห่งตัณหา
จึงมีความดับแห่งอุปาทาน

อุปาทานะนิโรธา ภะวะนิโรโธ
เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน
จึงมีความดับแห่งภพ

ภะวะนิโรธา ชาตินิโรโธ
เพราะมีความดับแห่งภพ
จึงมีความดับแห่งชาติ

ชาตินิโรธา
ชะรามะระณัง โสกะ ปะริเทวะ
ทุกขะโทมะนัสสุปายาสา นิรุชฌันติ
เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล
ชรา มรณะ
โสกะ ปริเทวะ
ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะ
ทั้งหลายจึงดับสิ้น

เอวะเมตัสสะ เกวะลัสสะ
ทุกขักขันธัสสะ นิโรโธ โหตีติ
ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้
ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2015, 14:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:


อะวิชชาปัจจะยา สังขารา
เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย
จึงมีสังขารทั้งหลาย

สังขาระปัจจะยา วิญญาณัง
เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย
จึงมีวิญญาณ

วิญญาณะปัจจะยา นามะรูปัง
เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย
จึงมีนามรูป

นามะรูปะปัจจะยา สะฬายะตะนัง
เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย
จึงมีสฬายตนะ

สะฬายะตะนะปัจจะยา ผัสโส
เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย
จึงมีผัสสะ

ผัสสะปัจจะยา เวทะนา
เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย
จึงมีเวทนา

เวทะนาปัจจะยา ตัณหา
เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย
จึงมีตัณหา

ตัณหาปัจจะยา อุปาทานัง
เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย
จึงมีอุปาทาน

อุปาทานะปัจจะยา ภะโว
เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย
จึงมีภพ

ภะวะปัจจะยา ชาติ
เพราะมีภพเป็นปัจจัย
จึงมีชาติ

ชาติปัจจะยา
ชะรามะระณัง โสกะปะริเทวะ
ทุกขะโทมะนัสสุปายาสา สัมภะวันติ
เพราะมีชาติเป็นปัจจัย
ชรา มรณะ
โสกะ ปริเทวะ
ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะ
ทั้งหลายจึงเกิดขึ้นครบถ้วน

เอวะเมตัสสะ เกวะลัสสะ
ทุกขักขันธัสสะ สะมุทะโย โหติ
ความเกิดขึ้นพร้อม
แห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้
ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้



ปฎิจจสมุปบาท มี ๑๒ องค์เหมือนโซ่ร้อยกันเป็นวงกลม
ทำยังไงหมู่สัตว์จึงจะออกได้ อยากรู้ว่าเงื่อนหรือรอยต่อ
ของปฎิจจสมุปบาท มีกี่เงื่อนระหว่างอะไรกับอะไรครับ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2015, 11:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
walaiporn เขียน:


อะวิชชาปัจจะยา สังขารา
เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย
จึงมีสังขารทั้งหลาย

สังขาระปัจจะยา วิญญาณัง
เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย
จึงมีวิญญาณ

วิญญาณะปัจจะยา นามะรูปัง
เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย
จึงมีนามรูป

นามะรูปะปัจจะยา สะฬายะตะนัง
เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย
จึงมีสฬายตนะ

สะฬายะตะนะปัจจะยา ผัสโส
เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย
จึงมีผัสสะ

ผัสสะปัจจะยา เวทะนา
เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย
จึงมีเวทนา

เวทะนาปัจจะยา ตัณหา
เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย
จึงมีตัณหา

ตัณหาปัจจะยา อุปาทานัง
เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย
จึงมีอุปาทาน

อุปาทานะปัจจะยา ภะโว
เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย
จึงมีภพ

ภะวะปัจจะยา ชาติ
เพราะมีภพเป็นปัจจัย
จึงมีชาติ

ชาติปัจจะยา
ชะรามะระณัง โสกะปะริเทวะ
ทุกขะโทมะนัสสุปายาสา สัมภะวันติ
เพราะมีชาติเป็นปัจจัย
ชรา มรณะ
โสกะ ปริเทวะ
ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะ
ทั้งหลายจึงเกิดขึ้นครบถ้วน

เอวะเมตัสสะ เกวะลัสสะ
ทุกขักขันธัสสะ สะมุทะโย โหติ
ความเกิดขึ้นพร้อม
แห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้
ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้



ปฎิจจสมุปบาท มี ๑๒ องค์เหมือนโซ่ร้อยกันเป็นวงกลม
ทำยังไงหมู่สัตว์จึงจะออกได้ อยากรู้ว่าเงื่อนหรือรอยต่อ
ของปฎิจจสมุปบาท มีกี่เงื่อนระหว่างอะไรกับอะไรครับ






อวิชชากับผัสสะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2015, 12:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


อวิชชากับผัสสะ เหอ ๆๆ
เข้าใจแล้วหระ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2015, 12:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ถามมา

ลุงหมาน เขียน:


ปฎิจจสมุปบาท มี ๑๒ องค์เหมือนโซ่ร้อยกันเป็นวงกลม
ทำยังไงหมู่สัตว์จึงจะออกได้ อยากรู้ว่าเงื่อนหรือรอยต่อ
ของปฎิจจสมุปบาท มีกี่เงื่อนระหว่างอะไรกับอะไรครับ




ตอบไป

walaiporn เขียน:
อวิชชากับผัสสะ





ปฏิกิริยา

ลุงหมาน เขียน:
อวิชชากับผัสสะ เหอ ๆๆ
เข้าใจแล้วหระ





ปากบอกว่า "เข้าใจ
แต่การแสดงออก คนละเรื่อง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2015, 12:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
ถามมา

ลุงหมาน เขียน:


ปฎิจจสมุปบาท มี ๑๒ องค์เหมือนโซ่ร้อยกันเป็นวงกลม
ทำยังไงหมู่สัตว์จึงจะออกได้ อยากรู้ว่าเงื่อนหรือรอยต่อ
ของปฎิจจสมุปบาท มีกี่เงื่อนระหว่างอะไรกับอะไรครับ




ตอบไป

walaiporn เขียน:
อวิชชากับผัสสะ





ปฏิกิริยา

ลุงหมาน เขียน:
อวิชชากับผัสสะ เหอ ๆๆ
เข้าใจแล้วหระ





ปากบอกว่า "เข้าใจ
แต่การแสดงออก คนละเรื่อง


ก็เข้าว่าไม่รู้ไง จะได้ไม่สงสัย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2015, 16:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อวิชชา กับ ผัสสะ
smiley smiley

อ้างคำพูด:
ปฎิจจสมุปบาท มี ๑๒ องค์เหมือนโซ่ร้อยกันเป็นวงกลม
ทำยังไงหมู่สัตว์จึงจะออกได้ อยากรู้ว่าเงื่อนหรือรอยต่อ
ของปฎิจจสมุปบาท มีกี่เงื่อนระหว่างอะไรกับอะไรครับ


ปฏิจจสมุปบาท ไม่ได้เป็นวงกลม แต่เป็นการอิงอาศัยกันของสภาวะธรรมต่างๆ อันเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่ทุกข์ที่บังเกิดขึ้น
เงื่อน คือจุดสังเกตที่ถูกชี้แจง ถึงความเป็นเหตุเป็นปัจจัย เท่านั้น ไม่ได้เป็นรอยต่อรอยอะไร
เช่น เชือกเส้นยาวววววว ไม่มีที่สุด แต่ถ้าจะทำที่สังเกต ก็โดยการผูกเงื่อนเป็นปม ๆ แล้วอธิบาย
จุดสังเกตต่างๆ เส้นเชือกอันยาวไม่มีที่สุดนั้น.

ดังนั้นคำถาม จึงเกิดจากความเข้าใจคลาดเคลื่อนในปฏิจจสมุปบาท

ใครเป็นพ่อเป็นแม่
กล่าวโดยสมมติ คือพ่อ แม่ เป็นบุคคลโดยปัจจุบัน
กล่าวโดยสัจจสภาวะ
สภาวะที่สร้างภพสร้างชาติ คือ ตัณหา(แม่) โดยมีอวิชชาเป็นหัวหัว(พ่อ)

โดยเพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย อาสวะจึงมี
และเพราะมีอาสวะเป็นปัจจัย อวิชชาจึงมี

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2015, 17:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
อ้างคำพูด:
อวิชชา กับ ผัสสะ
smiley smiley

อ้างคำพูด:
ปฎิจจสมุปบาท มี ๑๒ องค์เหมือนโซ่ร้อยกันเป็นวงกลม
ทำยังไงหมู่สัตว์จึงจะออกได้ อยากรู้ว่าเงื่อนหรือรอยต่อ
ของปฎิจจสมุปบาท มีกี่เงื่อนระหว่างอะไรกับอะไรครับ


ปฏิจจสมุปบาท ไม่ได้เป็นวงกลม แต่เป็นการอิงอาศัยกันของสภาวะธรรมต่างๆ อันเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่ทุกข์ที่บังเกิดขึ้น
เงื่อน คือจุดสังเกตที่ถูกชี้แจง ถึงความเป็นเหตุเป็นปัจจัย เท่านั้น ไม่ได้เป็นรอยต่อรอยอะไร
เช่น เชือกเส้นยาวววววว ไม่มีที่สุด แต่ถ้าจะทำที่สังเกต ก็โดยการผูกเงื่อนเป็นปม ๆ แล้วอธิบาย
จุดสังเกตต่างๆ เส้นเชือกอันยาวไม่มีที่สุดนั้น.

ดังนั้นคำถาม จึงเกิดจากความเข้าใจคลาดเคลื่อนในปฏิจจสมุปบาท

ใครเป็นพ่อเป็นแม่
กล่าวโดยสมมติ คือพ่อ แม่ เป็นบุคคลโดยปัจจุบัน
กล่าวโดยสัจจสภาวะ
สภาวะที่สร้างภพสร้างชาติ คือ ตัณหา(แม่) โดยมีอวิชชาเป็นหัวหัว(พ่อ)

โดยเพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย อาสวะจึงมี
และเพราะมีอาสวะเป็นปัจจัย อวิชชาจึงมี





ก่อนที่คุณเช่นนั้นจะโพสแบบนี้
ควรถามลุงหมานก่อนดีกว่ามั๊งว่า เขาหมายถึงสิ่งใด



กับคำถาม

อ้างคำพูด:
ปฎิจจสมุปบาท มี ๑๒ องค์เหมือนโซ่ร้อยกันเป็นวงกลม
ทำยังไงหมู่สัตว์จึงจะออกได้ อยากรู้ว่าเงื่อนหรือรอยต่อ
ของปฎิจจสมุปบาท มีกี่เงื่อนระหว่างอะไรกับอะไรครับ



ที่วลัยพรไม่ถามลุงหมานว่า ที่ลุงหมานถามมานี่ หมายถึงอะไรบ้าง
เพราะตีความตามที่ลุงหมานถามมา คือ

อ้างคำพูด:
ปฎิจจสมุปบาท มี ๑๒ องค์เหมือนโซ่ร้อยกันเป็นวงกลม
ทำยังไงหมู่สัตว์จึงจะออกได้



ตรงนี้ ดูจากคำถามนี้ "เป็นวงกลม" "ทำยังไงหมู่สัตว์จึงจะออกได้"
วลัยพรจึงตีความคำถามนี้ว่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับ
เหตุและปัจจัยที่ทำให้เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ

คำตอบแรกที่วลัยพรตอบไป จึงเป็น อวิชชา


กับคำถามต่อมา

"อยากรู้ว่าเงื่อนหรือรอยต่อ ของปฎิจจสมุปบาท มีกี่เงื่อนระหว่างอะไรกับอะไรครับ"

กับคำถามนี้ ลุงหมานไม่ได้เจาะจงชี้ชัดว่า หมายถึงสภาพธรรมใด
จึงย้อนกลับไปดูคำถามแรกว่า ลุงหมานถามเกี่ยวกับอะไร

เมื่อเขาถามเกี่ยวกับเหตุและปัจจัยที่ทำให้เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ
คำตอบที่สอง คือ ผัสสะ

ผัสสะ เป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา

เมื่อผัสสะเกิด มีผลกระทบทางใจ
กิเลสเป็นเพียงปลายเหตุ หากแค่รู้ว่ามีเกิดขึ้น
ถึงจะมีแรงกระตุ้นอยากให้ตอบโต้ก็ตาม
แค่รู้ว่ามีความอยากจะทำ แต่พยายามระงับไว้
แต่ไม่ปล่อยให้ก้าวล่วงออกมา ให้เกิดเป็นวีกรรม กายกรรม
เหตุไม่มี ผลจะมาจากไหน ภพชาติการเกิดเวียนว่ายในสังสารวัฏ จึงเกิดขึ้นสั้นลง เพราะเหตุนี้



เพราะอวิชชาที่มีอยู่ ความไม่รู้ชัดในผัสสะที่เกิดขึ้น
จึงปล่อยใจตามแรงกิเลส ตัณหาความทะยานอยากที่เกิดขึ้น
ปล่อยให้ก้าวล่วงออกมา กลายเป็นวีกรรม กายกรรม
ภพชาติการเวียนว่าย ในสังสารวัฏ จึงมีบังเกิดขึ้นเพราะเหตุนี้

.............................................................................

ภิกษุ ท. ! ธาตุที่สามารถสลัดซึ่งสิ่งที่ควรสลัด ๕ อย่างเหล่านี้ มีอยู่.
ห้าอย่างอย่างไรเล่า ?

ห้าอย่างคือ :-

ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งกามทั้งหลาย,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในกามทั้งหลาย ;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งเนกขัมมะ,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในเนกขัมมะ.

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดีปราศจาก กามทั้งหลายด้วยดี ;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลายอันทำ ความคับแค้นและเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะกามเป็นปัจจัย ; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.
อาการอย่างนี้ นี้ เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งกามทั้งหลาย.


ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก,
คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งพ๎ยาบาท,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในพ๎ยาบาท;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งอัพ๎ยาบาท,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในอัพ๎ยาบาท.

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจากพ๎ยาบาทด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้น และเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะพ๎ยาบาทเป็นปัจจัย; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.
อาการอย่างนี้ นี้ เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งพ๎ยาบาท.



ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก,
คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งวิหิงสา,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในวิหิงสา ;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งอวิหิงสา,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในอวิหิงสา,

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจาก วิหิงสาด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้น และเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะวิหิงสาเป็นปัจจัย; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.
อาการอย่างนี้ นี้เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งวิหิงสา.



ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก,
คือ เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งรูปทั้งหลาย,
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไป ในรูปทั้งหลาย ;

แต่เมื่อ ภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งอรูป,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในอรูป.

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจากรูปทั้งหลายด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้นและเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะรูปทั้งหลายเป็นปัจจัย; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.
อาการอย่างนี้ นี้เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่งรูปทั้งหลาย.



ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นยังมีอีก, คือ
เมื่อภิกษุ กระทำในใจอยู่ซึ่งสักกายะ
จิตก็ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไปในสักกายะ;

แต่เมื่อภิกษุนั้น กระทำในใจอยู่ซึ่งความดับแห่งสักกายะ,
จิตก็แล่นไป ก็เลื่อมใส ก็ตั้งอยู่ ก็น้อมไป ในความดับแห่งสักกายะ,

จิตของเธอนั้น ชื่อว่าถึงดี อบรมดี ออกดี หลุดพ้นดี ปราศจากสักกายะด้วยดี;
และเธอนั้นหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลาย อันทำความคับแค้นและเร่าร้อน
ที่เกิดเพราะสักกายะ เป็นปัจจัย ; เธอก็ไม่ต้องเสวยเวทนานั้น.
อาการอย่างนี้ นี้เรากล่าวว่า ธาตุเป็นเครื่องสลัดเสียซึ่ง สักกายะ.



นันทิ (ความเพลิน) ในกาม ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ;
นันทิในพ๎ยาบาท ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ;
นันทิในวิหิงสา ก็ไม่นอนตาม (ในจิต)ของเธอ ;
นันทิในรูป ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ ;
นันทิในสักกายะ ก็ไม่นอนตาม (ในจิต) ของเธอ.

เธอนั้น เมื่อกามนันทิก็ไม่นอนตาม พ๎ยาปาท นันทิก็ไม่นอนตาม วิหิงสานันทิก็ไม่นอนตาม
รูปนันทิก็ไม่นอนตาม สักกายนันทิก็ไม่นอนตาม ดังนี้แล้ว ;



ภิกษุ ท. ! เรากล่าวภิกษุนี้ว่า ปราศจากอาลัยตัดตัณหาขาดแล้ว รื้อถอนสังโยชน์ได้แล้ว
กระทำที่สุด แห่งกองทุกข์ได้แล้ว เพราะรู้เฉพาะซึ่งมานะโดยชอบ.

ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล ธาตุที่สามารถสลัดซึ่งสิ่งที่ควรสลัด ๕ อย่าง.
– ปญฺจก. อํ. ๒๒/๒๗๒/๒๐๐.

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2015, 23:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เข้าใจสิ่งที่คุณวลัยพรเขียนครับ
ก็ยังเช่นเดิม
คำถาม "ปฎิจจสมุปบาท มี ๑๒ องค์เหมือนโซ่ร้อยกันเป็นวงกลม
ทำยังไงหมู่สัตว์จึงจะออกได้ อยากรู้ว่าเงื่อนหรือรอยต่อ
ของปฎิจจสมุปบาท มีกี่เงื่อนระหว่างอะไรกับอะไรครับ
"

เป็นคำถามที่คลาดเคลื่อนอยู่ดีครับ
หมู่สัตว์เกิดตาย ตายเกิด ก็ดำเนินไปตามกฏเกณฑ์ของปฏิจสมุปบาท ไม่ใช่อยู่ในวังวนภายในกฏปฏิจสมุปบาท ไม่มีการออกจากส่วนใดส่วนหนึ่งของปฏิจสมุปบาท
เงื่อนเป็นเพียงข้อเท็จจริง ซี่งทำให้เห็นชัดในกฏเกณฑ์นี้ ไม่ใช่รอยต่อใดๆ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2015, 04:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:

ผัสสะ เป็นปัจจัยให้ เวทนา

ภะวะ เป็นปัจจัยให้ ชาติ



เข้าใจหละเหตุเพราะว่า ไม่เข้าใจคำถาม okนะ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2015, 11:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
เข้าใจสิ่งที่คุณวลัยพรเขียนครับ
ก็ยังเช่นเดิม
คำถาม "ปฎิจจสมุปบาท มี ๑๒ องค์เหมือนโซ่ร้อยกันเป็นวงกลม
ทำยังไงหมู่สัตว์จึงจะออกได้ อยากรู้ว่าเงื่อนหรือรอยต่อ
ของปฎิจจสมุปบาท มีกี่เงื่อนระหว่างอะไรกับอะไรครับ
"

เป็นคำถามที่คลาดเคลื่อนอยู่ดีครับ
หมู่สัตว์เกิดตาย ตายเกิด ก็ดำเนินไปตามกฏเกณฑ์ของปฏิจสมุปบาท ไม่ใช่อยู่ในวังวนภายในกฏปฏิจสมุปบาท ไม่มีการออกจากส่วนใดส่วนหนึ่งของปฏิจสมุปบาท
เงื่อนเป็นเพียงข้อเท็จจริง ซี่งทำให้เห็นชัดในกฏเกณฑ์นี้ ไม่ใช่รอยต่อใดๆ





เข้าใจละคุณเช่นนั้น

มันเป็นเขาเรียกอะไรนะ สมบัติสำนวนของแต่ละคน

แต่สิ่งที่วลัยพรตอบไปนั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์ สำหรับบุคคลที่ปรารถนา จะนำพระธรรมคำสอน
ไปกระทำเพื่อดับเหตุแห่งทุกข์ จึงได้แนบพระธรรมคำสอนเป็นหลัก

ส่วนใครนึกคิดอย่างไร เป็นเรื่องของเหตุและปัจจัยของผู้นั้น

วันเวลาก็เคลื่อนผ่านไปเรื่อยๆ มองสิ่งที่เป็นประโยชน์
นำพระธรรมคำสอนที่มีอยู่ กระทำเพื่อดับเหตุแห่งทุกข์ ที่มีอยู่

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 05 พ.ค. 2015, 11:26, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2015, 11:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
walaiporn เขียน:

ผัสสะ เป็นปัจจัยให้ เวทนา

ภะวะ เป็นปัจจัยให้ ชาติ



เข้าใจหละเหตุเพราะว่า ไม่เข้าใจคำถาม okนะ





มันก็เป็นเหตุและปัจจัยของลุงหมานนะ
จะนึกคิดอย่างไร มันก็เหตุของลุงหมาน
แล้วกระทำสิ่งใดต่อ(ตามความนึกคิด) นั่นก็เหตุใหม่ของลุงหมาน


วลัยพรบอกในสิ่งที่ควรบอก
ไม่ได้บอกว่า "จงมาเชื่อฉัน"

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2015, 19:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


s002 s002 s002

นะโม


มะโน


คือพ่อแม่ที่แท้จริง

แท้จริง...คือ..มีอยู่จริง...ไม่เปลี่ยนแปลง

สิ่งใดเปลี่ยนแปลงได้...สิ่งนั้น..มีอยู่ก็ไม่ได้มีอยู่จริง

:b12: :b12:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 127 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร