วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 23:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2015, 18:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


พระธรรมของพระพุทธเจ้านั้นไม่อาจค้นพบได้ด้วยตำราต่างๆ
ถ้าท่านต้องการจะรู้เห็นจริง ด้วยตัวของท่านเองว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนอะไร
ท่านไม่จำเป็นต้องวุ่นวายกับตำรับตำราเลย
จงเฝ้าดูจิตของท่านเอง
พิจารณาให้รู้เห็นว่าความรู้สึกต่างๆ (เวทนา) เกิดขึ้นและดับไปอย่างไร
ความนึกคิดเกิดขึ้นและดับไปอย่างไร
อย่าได้ผูกพันอยู่กับสิ่งใดเลย
จงมีสติอยู่เสมอ เมื่อมีอะไรๆ เกิดขึ้นให้ได้รู้ได้เห็น
นี่คือทางที่จะบรรลุถึงสัจธรรมของพระพุทธองค์
จงเป็นปกติธรรมดา ตามธรรมชาติ
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่าน ทำขณะอยู่ที่นี่เป็นโอกาสแห่งการฝึกปฏิบัติ
เป็นธรรมะทั้งหมดเมื่อท่านทำวัตรสวดมนตร์อยู่ พยายามให้มีสติ
ถ้าท่านกำลังเทกระโถนหรือล้างส้วมอยู่
อย่าคิดว่าท่านกำลังทำบุญทำคุณให้กับผู้หนึ่งผู้ใด
มีธรรมะ อยู่ในการเทกระโถนนั้น
อย่ารู้สึกว่า ท่านกำลังฝึกปฏิบัติอยู่เฉพาะเวลานั่งขัดสมาธิเท่านั้น
พวกท่าน บางคนบ่นว่า ไม่มีเวลาพอที่จะทำสมาธิภาวนา
แล้วเวลาหายใจเล่ามีเพียงพอไหม
การทำสมาธิภาวนาของท่านคือการมีสติระลึกรู้
และการรักษาจิตให้เป็นปกติตามธรรมชาติในการกระทำทุกอิริยาบถ

ตอบปัญหาธรรมแก่พระสงฆ์
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี


"สติ" เป็นของสำคัญมากในทางความเพียร
ถ้าขาดสติวรรคใดตอนใด เรียกว่า ขาดความเพียรแล้ว
เดินจงกรมอยู่ ก็ไม่มีความหมาย นั่งสมาธิอยู่ ก็ไม่มีความหมาย

(พระธรรมคำสอน...หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)


"หนี้สงฆ์"

ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ คนที่กินข้าวที่พระอนุญาตแล้ว ทำไมถึงตกนรก และพระที่ให้ก็ต้องตกนรกด้วยครับ....?

หลวงพ่อ : ถ้าอาหารที่พระให้ต้องเป็นของญาติโยมที่ถวายเฉพาะองค์นั้น ไม่มีโทษแน่ แต่ที่เป็นอย่างนี้ต้องเป็นอาหารที่เขาถวายเป็นส่วนกลาง คือเป็นของสงฆ์ ของสงฆ์นั้นพระองค์ใดองค์หนึ่งไม่มีสิทธิ์ให้ นอกจากสงฆ์จะประชุมตกลงให้พระองค์นั้นเป็นผู้จ่ายแทนสงฆ์

ตัวอย่างของสงฆ์เช่น อาหารวันพระ ที่มีข้าวใส่บาตรเหลือมากๆ แล้วทายกใส่ถ้วยเอาไปกินบ้าน โดยที่คณะสงฆ์ไม่มีส่วนรู้เห็น อย่างนี้ แม้แต่เจ้าอาวาสเองยังไม่มีสิทธิ์ให้ตามลำพัง บางทีกินอาหารที่พระฉันเหลือ ถ้าพระอนุญาตแล้วไม่มีโทษ (สำหรับโยมที่ไปในงาน ทางวัดเขาตั้งใจเลี้ยงก็ไม่เป็นไร)

แต่บางท่านก็หยิบของที่พระฉันแล้วเอามาเฉยๆ บางท่านก็ขอเอาดื้อๆ ให้หรือไม่ให้ก็ตาม ออกปากขอแล้วยกไปเลย พระยังไม่ทันอนุญาติ ท่านทายกประเภทนี้ ท่านช่วยยกคนที่กินกับท่านลงอเวจีแบบสะดวก เมื่อจะขอต้องดูว่าอาหารมากไหม ถ้ามากจนเหลือเฟือ ก็ขอให้พระท่านให้ตามความพอใจของท่าน เพราะท่านอาจมีกังวลนำอาหารไปให้ใครก็ได้ ที่ท่านมีภาระต้องเลี้ยง ถ้าถือเอาตามความพอใจก็ต้องถือว่าแย่งอาหารจากพระมีโทษ 100 เปอร์เซ็นต์

และอาหารถวายพระพุทธรูป ก็เหมือนกัน อาหารประเภทนี้ดูเหมือนจะเป็นเหยื่อล่อให้ทายกลงอเวจีสะดวกสบายมาก อาหารที่เขานำมาวัด เขาตั้งใจถวายพระสงฆ์ การนำไปถวายพระพุทธรูปนั้นเป็นความดี เพราะเป็นพุทธานุสสติด้วย เป็นพุทธบูชาด้วย แต่อาหารประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องใช้มาก เพราะพระพุทธรูปไม่ได้ฉัน ท่านจะฉันหรือไม่ฉันก็ตาม อาตมาคิดว่าทายกทายิกาไม่มีสิทธิ์จะกิน หลายวัดหรือส่วนใหญ่ ทายกมักจะเอาอาหารดีๆ และมากๆ ไปทุ่มเทถวายพระพุทธรูป

เมื่อพระฉันเสร็จแล้ว ต่างก็ยกเอามากิน ตอนนี้ไม่ถูกด้วยประการทั้งปวง ต้องเอาไว้ถวายพระตอนเพลจึงจะถูก ทายกทายิกาจะกินได้เฉพาะอาหารที่เหลือเป็นแดนจากพระฉันเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์สถาปนาตนเองเป็น ลูกศิษย์พระพุทธรูป แต่ประการใด

รวมความว่า ของที่ถือว่าเป็นของสงฆ์นั้น คือของในวัดทุกประการที่เขาถวายเป็นของสงฆ์แล้ว แม้แต่ดอกไม้ ผลไม้ในวัดเศษไม้ที่คิดว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว เอามาทำฟืนบ้าง ทำอย่างอื่นเล็กๆ น้อยๆ บ้าง จงอย่าคิดว่าไม่มีบาป แม้แต่เศษกระเบื้องที่ทิ้งแล้ว ก็เป็นของสงฆ์ มีผลเสมอกัน

เว้นไว้แต่ดอกไม้ผลไม้ที่พระหรือท่านผู้ใดปลูกในวัด ถ้าท่านเจ้าของยังอยู่ในเขตวัดนั้นและท่านอนุญาติ อย่างนี้เอามาได้ไม่บาป ด้วยท่านเจ้าของมีสิทธิ์สมบูรณ์ให้ได้ รับมาได้ไม่มีโทษ ถ้าท่านผู้ปลูกออกไปจากวัดนั้นหรือตายไปแล้ว ของนั้นเป็นของสงฆ์โดยตรง ไปเอามามีโทษตามกำลังบาป ขโมยของสงฆ์

และอีกประการ หนึ่ง วัดร้างที่ไม่มีพระอยู่ แต่มีสภาพเป็นวัด กับที่ของสงฆ์ที่เป็นไร่นาไปแล้ว ไม่มีสภาพเป็นวัด ถ้าเราไปนำมานิดเดียวแม้แต่หญ้าต้นเดียว เขาถือว่า เป็นหนี้สงฆ์ อันนี้อันตรายมาก สมัยหลวงพ่อปาน ท่านก็แนะนำให้คน ชำระหนี้สงฆ์ บาทสองบาทสลึงสองสลึง บางคนไม่มีเงืนเอามาทำงานแทน ทำอะไรก็ได้ไม่บังคับ คือ ดายหญ้าก็ตามไม่เอาค่าแรง

โดย..พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)


อ่านใจธรรมชาติ
มีความอยากแต่ปัญญาไม่มี มันอยากด้วยความหลง มันก็เป็นตัณหา
ถึงแม้ไม่อยาก มันก็มีความหลง มันก็เป็นตัณหา
ความจริง ธรรมมะมันอยู่ตรงนั้นแหละ อยู่ตรงความอยาก กับความไม่อยากนั่นแหละ
ความจริงทั้งสองอย่างนี้ หรือทั้งคู่มันตัวเดียวกันทั้งนั้น พระพุทธเจ้าของเรา
และสาวก ท่านก็อยากเหมือนกัน แต่อยากของท่านเป็นเพียงอาการของจิตเฉยๆ
หรือไม่อยากของท่านก็เป็นอาการของจิตเฉยๆเหมือนกันมันวูบเดียวเท่านั้นก็หายไปแล้วผู้มีปํญญานั้นอยากก็ไม่มีอุปาทาน ไม่อยากก็ไม่มีอุปาทาน เป็นสักแต่ว่า อยากหรือไม่อยากเท่านั้นถ้าพูดตามความจริงนั้น มันก็เป็นแค่อาการของจิต ถ้าเรามาตะครุบมันอยู่ที่ใกล้ๆมันก็เห็นชัดดังนี้นการพิจารณาไม่ใช่รู้ไปที่อื่น มันรู้ตรงนี้แหละ เหมือนชาวประมงทอดแหถูกปลาตัวใหญ่ก็กลัว กลัวปลาออกจากแห ใจก็ยิ่งดิ้นรนระวังตระครุบไป ตระครุบมาอยู่นั่นแหละ ปลามันก็ออกจากแห ค่อยๆทำมันแต่อย่าไปห่างจากมัน ค่อยๆคลำมันไปเรื่อยๆอย่างนั้นแหละ อย่าปล่อยมัน หรือไม่อยากรู้มัน พยายามทำมันไปเรื่อยๆให้เป็นปฎิปทา ขี้เกียจเราก็ทำ
ไม่ขี้เกียจเราก็ทำ ทำการปฎิบัติ ไปเรื่อยๆอย่างนี้
(หลวงพ่อชา สุภัทโท)


"คนเราเกิดมาทำไมหรือ ก็เกิดมาเพื่อดับกิเลสตนเองน่ะซี !
อย่ามัวแบกทุกข์อวิชชาอยู่เลย อย่าได้ประมาทนิ่งนอนใจนะ
ให้สำรวมกาย วาจา ใจ ให้เต็มตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ให้ศรัทธามั่นในโลกุตตรธรรม จะได้รู้แจ้งธรรม พ้นเกิดแก่เจ็บตาย"

หลวงปู่บุดดา ถาวโร


อุบายการขัดเกลากิเลส

มีอยู่ปีหนึ่งท่านอาจารย์แหวนกับท่านอาจารย์ตื้อ ได้รับกิจนิมนต์ขณะเดินธุดงค์ผ่านจังหวัดสุโขทัย ศรีสัชนาลัย โยมเขาจะทำบุญเลี้ยงพระวันแต่งงาน

ตอนเช้าเขาเลี้ยงพระอาหารทั้งคาวทั้งหวาน และที่ดีที่สุดคือขนมจีนน้ำยาของชอบของท่านอาจารย์แหวน

วันนั้นคาวหวานอย่างอื่นไม่ฉัน ให้โยมเขาประเคนกระจาดเส้นข้าวปุ้น และหม้อน้ำยาให้ก็เอาเส้นลงในบาตร เทน้ำยาลง ฉันอิ่มแล้วก็นั่งเทิ้งอิงหมอนอยู่

เสร็จพิธีของเขาแล้วก็รีบด่วนกลับวัด พอถึงวัดยื่นบาตรขึ้นกุฏิ ตัวท่านอาจารย์แหวนก็ลงไปฟูมน้ำอยู่หลังวัด แช่อยู่ในน้ำจนเที่ยงวัน ขนมจีนได้น้ำแล้วมันขึ้นอืดเต็มอัดอยู่ในกระเพาะ อยู่มิได้ทุรนทุราย พอขึ้นมาจากน้ำก็อาเจียนออกจนหมด เป็นขี้รากเขียว

นับแต่วันนั้นมาก็เป็นอันหมดในความอยากที่จะฉัน หมดความอาลัยในรสชาติของขนมจีนน้ำยา

ผู้ข้าฯ ถามว่า... “ทำไมท่านอาจารย์เล่นแก่แท้”

“สอนมัน มันอยากกินก็ให้มันกิน มันอิ่มจนล้นแล้วมันก็ไม่อยากอีก”... ท่านอาจารย์แหวนตอบแล้วก็หัวเราะ

“ส่วนท่านอาจารย์ตื้อนั้น อยากจะฉันนมข้นหวาน อันนี้อยู่วัดป่าห้วยน้ำริน วันใดก็คิดถึงแต่นมข้นหวาน วันใดก็คิดอยากฉัน

ได้ปัจจัยมาจากไปสวดมนต์คนตาย ใช้ให้เด็กน้อยวัดไปซื้อมาให้ ๑๐ กระป๋อง เป็นนมข้นหวานตราทหาร กระป๋องมันสูงกว่ากระป๋องนมข้นสมัยนี้

ได้มาก็เอามีดพับเจาะแทงเป็นสองรูตรงข้ามกัน เอาใส่แก้วผสมน้ำร้อนฉัน ไม่ทันใจเปิดได้แล้ว ก็ยกขึ้นดูดกลืนๆ หมดกระป๋องนี้เอากระป๋องนี้ หมดกระป๋องนี้เอากระป๋องนี้ หมดไปได้ ๙ กระป๋อง เหลือกระป๋องสุดท้ายเปิดแล้วว่าจะฉันมันอิ่มก่อน

อึกอักจากท้องลุกได้มือจับเสากุฎิได้ยื่นหน้าออกนอกกุฏิอวกออกจนหมด ตีรวนมวนท้อง อาเจียนออกหมดทั้งจังหันที่ฉันเข้าไป จนเหนื่อยอ่อน ระทวย จากนั้นมาไม่คิดถึงมันอีกเลย

ท่านอาจารย์ตื้อว่า... “ดัดสันดานปาก ดัดกกลิ้น กินให้มันตาย ทำไมมันจึงอยาก”

(อุบายการขัดเกลากิเลสของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งสององค์ผู้มีปฏิปทาคล้ายคลึงกันนับเป็นปฏิปทาอันน่าศึกษา ถือเอามาเป็นแบบอย่างมิใช่น้อย)

ธรรมะประวัติหลวงปู่จาม มหาปุญโญ



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย

ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2015, 23:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


รสมน เขียน:
"หนี้สงฆ์"

ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ คนที่กินข้าวที่พระอนุญาตแล้ว ทำไมถึงตกนรก และพระที่ให้ก็ต้องตกนรกด้วยครับ....?

หลวงพ่อ : ถ้าอาหารที่พระให้ต้องเป็นของญาติโยมที่ถวายเฉพาะองค์นั้น ไม่มีโทษแน่ แต่ที่เป็นอย่างนี้ต้องเป็นอาหารที่เขาถวายเป็นส่วนกลาง คือเป็นของสงฆ์ ของสงฆ์นั้นพระองค์ใดองค์หนึ่งไม่มีสิทธิ์ให้ นอกจากสงฆ์จะประชุมตกลงให้พระองค์นั้นเป็นผู้จ่ายแทนสงฆ์

ตัวอย่างของสงฆ์เช่น อาหารวันพระ ที่มีข้าวใส่บาตรเหลือมากๆ แล้วทายกใส่ถ้วยเอาไปกินบ้าน โดยที่คณะสงฆ์ไม่มีส่วนรู้เห็น อย่างนี้ แม้แต่เจ้าอาวาสเองยังไม่มีสิทธิ์ให้ตามลำพัง บางทีกินอาหารที่พระฉันเหลือ ถ้าพระอนุญาตแล้วไม่มีโทษ (สำหรับโยมที่ไปในงาน ทางวัดเขาตั้งใจเลี้ยงก็ไม่เป็นไร)

แต่บางท่านก็หยิบของที่พระฉันแล้วเอามาเฉยๆ บางท่านก็ขอเอาดื้อๆ ให้หรือไม่ให้ก็ตาม ออกปากขอแล้วยกไปเลย พระยังไม่ทันอนุญาติ ท่านทายกประเภทนี้ ท่านช่วยยกคนที่กินกับท่านลงอเวจีแบบสะดวก เมื่อจะขอต้องดูว่าอาหารมากไหม ถ้ามากจนเหลือเฟือ ก็ขอให้พระท่านให้ตามความพอใจของท่าน เพราะท่านอาจมีกังวลนำอาหารไปให้ใครก็ได้ ที่ท่านมีภาระต้องเลี้ยง ถ้าถือเอาตามความพอใจก็ต้องถือว่าแย่งอาหารจากพระมีโทษ 100 เปอร์เซ็นต์


พึงระวัง..ให้มากนะครับ..จุดนี้

วันพระ...หลายๆวัดพระท่านก็ให้ญาติโยม...ทานก่อนกลับบ้านกัน

ผม...จะหลีกเลี่ยง..ปลอดภัยใว้ก่อน

แต่หากเป็นพระ...ที่ค่อนข้างแน่ใจว่า..ท่าน...เป็นเจ้าของภัตนั้นๆ..(ท่านเป็นเจ้าของโดยธรรม)...อันนี้...ท่านชวน..ก็กินเลย..อิอิ :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2015, 17:42 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2876


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มี.ค. 2015, 16:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2013, 10:07
โพสต์: 406

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาครับ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2015, 11:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ธ.ค. 2008, 09:34
โพสต์: 1322


 ข้อมูลส่วนตัว


4A ขออนุโมทนาสาธุค่ะ
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 17 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร