วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 02:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 167 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 12  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2015, 23:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 18:22
โพสต์: 309


 ข้อมูลส่วนตัว


หลังจากออกพรรษารับกฐินเสร็จก็เก็บข้าวของกลับสู่บ้านเกิดขุนเขาแดนสงบ ท่องเที่ยวไปตามถิ่นล้านนา
เผลอแปปเดี่ยวก็ผ่านไปสี่เดือนตลอดเวลาสี่เดือนของการเดินทางได้พบได้เห็นอะไรก็มากมาย บางอย่างไม่คิดว่าจะต้องพบเจอก็เจอ ช่างเป็นประสบการณ์ที่สอนใจและน่าจดจำอย่างยิ่ง :b8: :b20:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2015, 08:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2015, 08:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ไปพบประสบการณ์ดีๆ..นำมาเล่าเป็นธรรมทานให้ชาวลานธรรมจักรฟังบ้างสิเจ้าค่ะ :b20: ..หลวงพี่หายไปนานเลยนะ..ยังอุตส่าแวะเวียนมา :b1:
ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปเจ้าค่ะ.. smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2015, 09:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 16:46
โพสต์: 412

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แสงแห่งพระธรรม เขียน:
หลังจากออกพรรษารับกฐินเสร็จก็เก็บข้าวของกลับสู่บ้านเกิดขุนเขาแดนสงบ ท่องเที่ยวไปตามถิ่นล้านนา
เผลอแปปเดี่ยวก็ผ่านไปสี่เดือนตลอดเวลาสี่เดือนของการเดินทางได้พบได้เห็นอะไรก็มากมาย บางอย่างไม่คิดว่าจะต้องพบเจอก็เจอ ช่างเป็นประสบการณ์ที่สอนใจและน่าจดจำอย่างยิ่ง :b8: :b20:


พบเห็นภายนอก หรือ ภายในครับ
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2015, 12:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2015, 21:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 18:22
โพสต์: 309


 ข้อมูลส่วนตัว


เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:
พบเห็นภายนอก หรือ ภายในครับ
:b8:



สิ่งที่เห็นก็ยังซ้อนสิ่งที่ยังไม่เห็น คนตาบอดมองเห็นแต่ภายนอก
ส่วนคนตาดีย่อมมองเห็นทั้งภายนอกและภายใน บางคนตาบอดมองไม่เห็น
คนอื่นช่วยชี้แนะให้ก็ยังไม่รู้จักเอานี้เรียกว่าบอดทั้งนอกบอดทั้งใน แล้วความบอดนั้น
ก็พาให้เดินตกเหวตกนรก :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2015, 10:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
"ธุดงควัตรเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส"

การท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆถ้ามีกุศโลบายและความแยบคาย ก็จักได้ฝึกฝนและพัฒนาตนเองไปด้วยตลอดเวลา

ตัวอย่างเช่นพระธุดงค์ที่จาริกโคจรไปในสถานที่แปลกใหม่ทุกวัน ไม่ทราบว่าพรุ่งนี้จะนอนที่ไหน ได้อาหารมาฉันอย่างไร น้ำดื่มน้ำใช้ ส้วมขับถ่ายจะเป็นฉันใด ไม่มีอะไรเตรียมไว้บริการ แล้วจะใช้ชีวิตอย่างไร จะผ่านพรุ่งนี้ไปได้อย่างไร ทั้งหมดล้วนเป็นความท้าทายน่าผจญภัย น่าลิ้มลองพิสูจน์

หลังจากได้ประสพการณ์ผ่านวันอันไม่มีคำตอบเช่นนี้มากๆ ความแข็งแกร่งและทักษะประสพการณ์ในการเอาชีวิตรอดอยู่ด้วยธรรมอยู่ตามธรรมก็จะเพิ่มทวีมากขึ้นๆจนเป็นปกติชีวิตที่อยู่กับปัจจุบัน ไม่มีเมื่อวานและพรุ่งนี้ มีแต่ "เดี๋ยวนี้"ๆๆๆและก็เดี๋วนี้
:b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2015, 14:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


แสงแห่งพระธรรม เขียน:
หลังจากออกพรรษารับกฐินเสร็จก็เก็บข้าวของกลับสู่บ้านเกิดขุนเขาแดนสงบ ท่องเที่ยวไปตามถิ่นล้านนา
เผลอแปปเดี่ยวก็ผ่านไปสี่เดือนตลอดเวลาสี่เดือนของการเดินทางได้พบได้เห็นอะไรก็มากมาย บางอย่างไม่คิดว่าจะต้องพบเจอก็เจอ ช่างเป็นประสบการณ์ที่สอนใจและน่าจดจำอย่างยิ่ง :b8: :b20:


แล้วไงต่อรอฟังอยู่นะครับท่าน
มันมีอะไรที่วิเศษมากนักหนาถึงได้ทำเป็นอ่ำอึ้งๆ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2015, 14:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


แสงแห่งพระธรรม เขียน:
เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:
พบเห็นภายนอก หรือ ภายในครับ
:b8:



สิ่งที่เห็นก็ยังซ้อนสิ่งที่ยังไม่เห็น คนตาบอดมองเห็นแต่ภายนอก
ส่วนคนตาดีย่อมมองเห็นทั้งภายนอกและภายใน บางคนตาบอดมองไม่เห็น
คนอื่นช่วยชี้แนะให้ก็ยังไม่รู้จักเอานี้เรียกว่าบอดทั้งนอกบอดทั้งใน แล้วความบอดนั้น
ก็พาให้เดินตกเหวตกนรก :b8: :b8:


ลึกซึ้งเอามากๆ ลึกเกินกว่าจะเข้าใจ
อยู่ข้อไหนหมวดไหนครับท่าน..จะได้ติดตามไปอ่าน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2015, 15:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 18:22
โพสต์: 309


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
ลึกซึ้งเอามากๆ ลึกเกินกว่าจะเข้าใจ
อยู่ข้อไหนหมวดไหนครับท่าน..จะได้ติดตามไปอ่าน


ทำไมสายปริยัติกับสายปฏิบัติถึงเทศนามีความแตกต่างกันไป แล้วแบบใหนถูกแบบใหนผิดละ
ถ้าบอกว่าสายปริยัติถูกสายปฏิบัติก็ผิด แต่ถ้าว่าสายปฏิบัติถูกสายปริยัติก็ผิด เพราะนั้นไม่ได้เอา
ความรู้จริงเป็นสิ่งตัดสินแต่เอาความชอบใจว่านั่นถูกนั่นผิดเป็นสิ่งตัดสิน แล้วก็หาความจริงไม่เจอ

ความจริงไม่ใช่มีเพียงแต่สิ่งที่ถูกบัญญัติไว้ในตำราหมวดนั้นหมวดนี้
ธรรมะไม่เพียงมีแต่ 84000 พระธรรมขันธ์ ประสบการณ์แห่งการเดินทาง
ทำให้เราได้พบได้รู้ได้สัมผัสกับความจริงที่อาจไม่ได้เขียนไว้ในตำรา วิถีชีวิตที่ต่างกัน
เส้นทางเดินที่ต่างกันย่อมเห็นอะไรๆต่างกัน ถ้าอยากรู้ อยากเห็น อยากเข้าใจ
ก็ลองออกเดินทางดูสิ :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2015, 18:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


ตกลงว่าอดรู้เพราะผลของการปฏิบัติมันพูดไม่ได้ถ้าพูดแล้วมันจีะกลายเป็นปริยัติไป
เราอาจกล่าวได้ว่าปริยัติก็เป็นผลมาจากปฏิเวธ
และยังทำให้เป็นพื้นฐานของการปฏิบัติอีกด้วย เมื่อพระพุทธเจ้าทรงบรรลุผลของการปฏิบัติ
ของพระองค์แล้ว จึงทรงแนะนำประสบการณ์ที่เป็นผลของการปฏิบัติของพระองค์นั้น
มาเรียบเรียงร้อยกรอง นำมาสั่งสอนพวกเรา คือสั่งสอนพระธรรมวินัยไว้

คำสั่งสอนของพระองค์นั้นก็มาเป็นปริยัติของพวกเรา คือสิ่งที่พวกเราจะต้องเรียนรู้
แต่ปริยัติที่เป็นผลมาจากปฏิเวธนั้นก็หมายถึงปฏิเวธของพระพุทธองค์โดยเฉพาะ
คือการปฏิบัติของพระพุทธเจ้าทรงยอมรับเท่านั้น ไม่เอาผลการปฏิบัติของโยคี ฤาษี ดาบส
นักพรต ชีไพร อาจารย์ เจ้าลัทธิ หรือ ศาสดาใดๆ

ถ้าไม่เล่าเรียนปริยัติ ก็ไม่รู้หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า การปฏิบัติของเราก็ไขว่เขว ก็ผิด
ก็เฉไฉออกนอกศาสนา ถ้าปฏิบัติผิดผลที่ได้รับก็ผิด หลอกตัวเองด้วยสิ่งที่พบซึ่งตัวเองเข้าใจผิด
ปฏิเวธก็เกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีปริยัติเป็นฐาน ปฏิบัติและปฏิเวธก็พลาดหมด
เป็นอันว่าล้มเหลวไปด้วยกันพูดง่ายๆ ว่าจากปฏิเวธของพระพุทธเจ้าก็มาเป็นปริยัติของเรา
แล้วเราก็ปฏิบัติตามปริยัตินั้น เมื่อปฏิบัติถูกต้องการบรรลุปฏิเวธก็เป็นดังพระพุทธองค์
ถ้าวงจรนี้ดำเนินไป พระศาสนาของพระพุทธเจ้าก็คงอยู่

ปริยัติที่มาจากปฏิเวธของพระพุทธเจ้าและเป็นฐานแห่งการปฏิบัติของพวกเราเหล่าพุทธบริษัททั้งหลาย
ก็อยู่ในพระไตรปิฎกนี้แหละ ฉะนั้นมองในแง่นี้ก็ได้ความว่า ถ้าเราจะรักษาปริยัติ ปฏิบัติและปฏิเวธไว้
ก็ต้องรักษาพระไตรปิฎกนั้นเอง ถ้าใครปฏิบัติตามหลักศีล สมาธิ ปัญญา ที่แสดงไว้ตามพระไตรปิฎก
ชีวิตของผู้นั้นจะกลายเป็นเหมือนตัวพระพุทธศาสนาเอง เหมือนเรารักษาพระพุทธศาสนาด้วยชีวิตของ
เราตราบเท่าชีวิตของเรายังอยู่ที่นั้น ก้าวไปถึงนั้น

อย่างนี้เรียกว่าพระพุทธศาสนาอยู่ด้วยวิธีการรักษาอย่างสูงสุด พูดได้ว่าพระไตรปิฎกมาอยู่ในตัวเรา
ไม่ใช่อยู่แค่ตัวหนังสือ

สรุปว่าเราชาวพุทธอิงอาศัยพระไตรปิฎกโดยตรงด้วยการนำเอาคำสอนมาปฏิบัติให้เกิดผลในชีวิตจริง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2015, 08:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


ความหมายของคำว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ความหมายของคำทั้ง 3 ไม่มีอะไรมาก หากนำมารวมกันก็จะได้ความหมายที่สั้นกระชับได้ใจความที่สุดว่า นำทฤษฎีมาปฏิบัติให้เกิดผล แต่ถ้าขยายความก็หมายความว่า ปริยัติหมายถึงทฤษฎี วิธีการที่จะนำไปปฏิบัติ แล้วนำวิธีที่รู้มาไปปฏิบัติ คงไม่ต้องแปลคำว่าปฏิบัติว่าหมายความว่าอย่างไร ก็มาถึงปฏิเวธ คือผลที่เราพึงได้รับจากการปฏิบัตินั้น ๆ ว่าได้ผลออกมาเป็นอย่างไร

แนวทางของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทั้งก่อนและหลังตรัสรู้ คือเริ่มต้นจากการปฏิบัติก่อน ลองผิดลองถูกอยู่นานหลายวิธี เพื่อให้เข้าถึงปฏิเวธในทั้งวิธีการที่ผิดและที่ถูกนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เริ่มต้นด้วยปฏิบัติ เมื่อถึงปฏิเวธทั้งวิธีการที่ผิดและที่ถูกแล้ว จากนั้นก็นำการปฏิบัติที่ถูกต้อง เมื่อปฏิบัติแล้วทำให้ตนพ้นทุกข์โดยมีนัยสำคัญคือแจ้งประจักษ์ในตนเอง แล้วนำปฏิเวธที่ได้ไปสร้างเป็นปริยัติในที่สุด ฉะนั้นพระพุทธเจ้าทุกพระองค์จึงเป็นผู้ที่เสียสละยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงมีคำสอนว่าหากใครไปทำร้ายพระพุทธเจ้าจึงมีบาปมหันต์ หรือแม้แต่การนำคำสอนของตนไปแนะนำคนอื่นโดยที่ตนรู้อยู่แล้วว่านั่นไม่ใช่คำสอนของพระพุทธองค์ แล้วไปแอบอ้างว่าเป็นคำสอนของพระพุทธองค์ ถ้าเป็นคำสอนที่ปรากฏจะเรียกว่า "กล่าวตู่ตถาคต" จึงเท่ากับเป็นการทำบาปอันหนักยิ่ง เพราะแนวทางเหล่านั้นเป็นการสะกัดกั้นมิให้มหาชนไปถึงเป้าหมายสูงสุดในพุทธศาสนาหรือถึงพระนิพพานนั่นเอง

ฉะนั้นผู้เขียนเองก็ต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องแยกคำสอนของตนเองออกจากคำสอนของพระพุทธองค์ หากสังเกตในบทความผู้เขียนจะแยกเอาไว้ โดยเฉพาะในส่วนเรื่องเกี่ยวกับเทพ จะไม่ปรากฏว่ามี "นี่เป็นคำสอนของพระพุทธองค์" ปรากฏ หรือแม้แต่การใช้คำว่าพระพุทธเจ้า ในหลาย ๆ บทความจะเป็นคำกลาง ๆ ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใด แต่ถ้าใช้คำว่าพระพุทธองค์ จะหมายถึงพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันที่ทำหน้าที่อยู่ นั่นหมายความว่าคุณลักษณะของความเป็นเทพจะไม่มีปรากฏอยู่ในคำสอน แล้วถ้าพิจารณาให้ดีผู้เขียนได้อธิบายไปอย่างชัดเจนแล้วว่า พระพุทธองค์ไม่ให้เราขอให้เทพช่วยพร้อมทั้งอธิบายเหตุผลไว้ด้วย

ฉะนั้นอะไรก็ตามถ้าเขียนไว้ลอย ๆ ไม่ปรากฏแหล่งที่มา หรือถ้าเขียนจะมีคำว่า "จากประสบการณ์" นั่นหมายความว่าเป็นสิ่งที่ผู้เขียนรู้เอง เมื่อเป็นสิ่งที่รู้เองเห็นเองด้วยประสบการณ์ แล้วถึงแม้เป็นสิ่งที่ถูกต้องก็ไม่สามารถอ้างอิงแหล่งที่มาได้ มิเช่นนั้นผู้เขียนจะเป็นคนกล่าวตู่ตถาคตเสียเอง ถึงแม้ผู้เขียนจะทำไปด้วยเจตนาดีเพียงใดก็ตาม เช่นผู้เขียนรู้อยู่แล้วว่าพวกเราศรัทธาพระพุทธองค์มากกว่าผู้เขียน ก็เขียนโดยกล่าวตู่ทึกทักเสียเลยว่านี่เป็นคำสอนของพระพุทธองค์เช่นนี้ก็ไม่ได้ แล้วคำสอนใด ๆ ก็ตามที่ผู้เขียนรู้เห็นมาแล้วพิสูจน์ผลได้ด้วยตนเอง แล้วคำสอนนั้นตรงกับสิ่งที่พระพุทธองค์ท่านทรงสอนไว้แล้ว ผู้เขียนก็พูดได้เต็มปากด้วยความกตัญญูว่านี่คือคำสอนของพระพุทธองค์ การปฏิบัติบูชาด้วยการนำปริยัติไปปฏิบัติเพื่อให้ถึงปฏิเวธ เป็นการแสดงความกตัญญูสุงสุดต่อพระพุทธองค์โดยไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนแล้ว ไม่ถึงกับต้องนำมาเขียนออกมาว่าเป็นเพราะอะไรถึงการปฏิบัติตามคำสอนนั้นจึงส่งผลนั้นแก่ตน

ดังนั้นการจะเป็นพุทธบุตรที่ดีของพระพุทธองค์ คือต้องนำวิธีการที่ทรงสอนมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตรงไปตรงมา สิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง คือการเรียนแต่ปริยัติ แล้วนำทฤษฎีนั้นมาถกเถียงกันเพื่อหาความถูกผิดโดยไม่ลงมือปฏิบัติ แล้วถึงแม้จะปฏิบัติแล้วแต่ขาดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการปฏิบัติ ถือว่าเป็นการไม่ให้ความเคารพทั้งต่อพระพุทธองค์เองหรือแม้แต่พระธรรมคำสอนที่พระพุทธองค์ตรัสรู้มา ด้วยเหตุผลสั้น ๆ ง่าย ๆ ก็เพราะพระพุทธองค์สอนให้นำวิธีปฏิบัติไปปฏิบัติแล้วเราปฏิบัติกันหรือไม่ ปฏิบัติแล้วได้ผลอย่างไร

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2015, 08:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


แสดงให้เห็นถึงความไม่มั่นคง
เขียนๆ ลบๆ หลอกใครๆนั้นพอหลอกได้แต่หลอกตัวเองไม่ได้
แต่อย่าให้ถึงกับไปหลอกตัวเองให้เชื่อก็แล้วกัน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2015, 20:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 18:22
โพสต์: 309


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนกลับไปเยื่อมบ้านเกิดพอดีมีพระมาอยู่รูปหนึ่งเป็นพระที่ครูบาบุญชุ่มให้อยู่ดูแลสถานที่ ท่านบ่นให้ผมฟังว่าอยู่กับชาวเขาลำบากเพราะชาวเขาไม่เข้าใจเรื่องศาสนาไม่รู้จักทำบุญ ไม่รู้จักทอดผ้าป่า ผมก็นั่งฟังไปพิจารณาไป ก็เข้าใจที่ท่านพูดดี เพราะผมเองก็เป็นคนที่นี้ หรือแม้แต่คนที่อื่นคนในเมืองที่เข้ามาในหมู่บ้านก็พูดทำนองเดียวกัน คือในช่างที่ครูบาบุญชุ่มมาอยู่จะมีคนในเมืองมาหาท่านเยอะคนเมืองก็มักจะพูดว่าชาวเขาไม่เข้าใจเรื่องศาสนาไม่รู้จักทำบุญแรกๆก็รู้สึกเฉยๆเพราะสิ่งที่เขาพูดนั้นก็ถูก แต่เมื่อเจอมากเข้าก็อดที่จะแสดงความเห็นเพราะแม้แต่ตัวผู้พูดเองก็ยังขาดความเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองพูด อย่างคนในเมืองบอกว่าชาวเขาไม่เข้าใจเรื่องศาสนานับถือผี งมงายหาเหตุผลไม่ได้ พูดง่ายๆคือล้าหลัง ที่นี้ผมก็มานั่งพิจารณาดู คนที่บอกว่าตัวเองนับถือพุทธศาสนาแต่กลับประกอบพิธีรีตองต่างๆนาๆยิ่งทางเหนือนี้ยิ่งเยอะละอย่างตอนกลับไปบ้านนี้เห็นคนในเมืองมาทำอะไรต่อมิไร นับถือพุทธก็จริงแต่ไม่เข้าใจไม่ศึกษาพระธรรมคำสอนอย่างแท้จริง ไม่รู้ว่าอันใหนเปลือกอันใหนแก่น สิ่งใหนควรประพฤติ สิ่งใหนควรนำมาปฏิบัติ นับถือพุทธเพียงแต่สืบๆกันมา ประเพณี พิธีรีตองต่างๆที่ทำๆกันมา แล้วก็หลงเข้าใจว่าการกระทำเช่นนั่นแหละคือ ศาสนา เมื่อมีความเห็น ความเข้าใจดังเช่นนั้นแล้ว พอเห็นชาวเขาที่นับถือผี ประกอบพิธีกรรมต่างจากตน ก็ว่าชาวเขาไม่เข้าใจเรื่องศาสนา ชาวเขางมงาย ทั้งๆที่คนที่พูดนั้นแหละงมงายกว่าชาวเขาที่นับถือผีเสียอีก งมงายอย่างไรละ ตนเองนับถือพุทธแท้ๆ แต่กลับไปประกอบพิธีรีตองต่างๆนาๆเชื่อโน้นเชื่อนี้ นับถือแม่ตระเคียนบ้าง เข้าทรงบ้าง นับถือเจ้าที่เจ้าทาง ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ สืบชะตา ตัดกรงตัดกรรม เสียเงินมากมาย ก็ไม่พ้นจากทุกข์สักที มิหนำซ้ำมีแต่เพิ่มความทุกข์เข้ามา แล้วสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไปทิ้งที่ใหนละทำไมไม่พากันเอามาประพฤติประฏิบัติ พากันอยู่ไกล้วัดไกล้ศาสนาเสียเปล่าไม่ได้เข้าใจในหลักคำสอนเลยแล้วจะเอาอะไรกับชาวเขาที่อยู่ไกลวัดไกลศาสนาละ ไม่ต้องไปว่าใครที่ใหนหรอกให้ดูที่ตัวเอง พิจารณาตัว ว่าศึกษาเข้าใจในหลักคำสอนแล้วพากันประพฤติประฏิบัติอย่างถูกต้องเหมาะหรือเปล่า ไม่ใช่หลงเข้าใจแต่สิ่งที่ทำๆกันมาสืบๆกันมาว่านั่นแหละคือศาสนา แล้วก็ไปว่าคนอื่นที่ทำต่างจากตนว่าทำอย่างนั้นไม่ถูก จะชาวเขาที่นับถือผี หรือชาวพุทธที่ประกอบพิธีรีตอง เชื่อโน้นเชื่อนี้ ทั้งหมดนั้นไม่ได้มีความแตกต่างอะไรเลยเพียงแต่ขั้นตอนพิธีที่แตกต่างกัน ผลที่ออกก็เหมือนๆกัน คือ ความงมงาย หาเหตุผลไม่ได้ :b41: :b41:

ถ้าเราพากันศึกษาพระธรรมคำสอนอย่างถูก ประพฤติอย่างเหมาะสมแล้ว พระธรรมคำสอนนั้นแหละ คือแสงสว่างทางใจ ที่นี้ไม่ว่าจะเป็นพระอลัชชี คนพาล หรือโจรที่สิงอยู่ในใจที่ค่อยสั่งการให้ทำอย่างโน้นทำอย่างนี้ ก็จะไม่สามารถมาหลอกเราได้ เพราะเรามีธรรมเป็นเกาะ ธรรมก็จะคุ้มคลองเราไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ไม่จำเป็นต้องไปหาพระเกจิองค์นั้นองค์นี้ให้ทำพิธีอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งเจ้าแม่ตะเคียนที่ใหนมาบอกโบ้หวย ไม่จำเป็นต้องไปเชื่อหมอดงหมอเดาหรือแม้แต่ร่างทรงที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะตายวันใหน
สิ่งเหล่านี้มีแต่เรื่องไร้สาระ :b8: :b8:

ธรรมะก็คือรู้ว่าอันใหนดี อันใหนชั่ว ทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว เป็นเหตุและผลอยู่แล้ว :b41: :b41: :b46:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2015, 20:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


คนที่พึ่งแม่ตะเคียนทอง..กะ..คนที่ปฏิบัติธรรมแต่ไม่อยากอัตคัตขาดแคลน..ก็ไม่ต่างกันหรอก..
อย่าคิดว่า..จะวิเศษกว่าคนอื่นไป..

ตอนนี้ผมกำลังซึ่งกะคำนี้เลย...ปฏิบัติแต่ก็ไม่อยากขัดสน...

ผมว่า..มันก็ครือเดียวกะพึ่งแม่ตะเคียนทอง..นั้นแหละ..


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 167 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 12  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 41 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร