วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 11:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 167 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 12  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2015, 21:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


แม่ตะเคียนทองมีไว้ทำไรหรือค่ะ..?
ไม่รู้จริงๆ..อยากได้ความรู้เป็นวิทยาทานค่ะ s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2015, 21:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอหวย....

:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2015, 21:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ขอหวย....

:b32: :b32:

:b24:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2015, 21:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้าว...ยัง..งง...

:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2015, 22:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 18:22
โพสต์: 309


 ข้อมูลส่วนตัว


ข้างกุฏิที่พักมีบ่อปลาแล้วมีต้นโทรอยู่ต้นหนึ่ง มีคนเข้าร่างทรงบอกว่าในบ่อมีต้นตะเคียนอยู่เจ้าแม่อยากขึ้นมาอยู่ข้างบน ก็ไปเอารถแบคโคมาขุดขุดเท่าไหร่ก็ไม่เจอคนก็มามุงกันเต็มหมด คนเข้าร่างทรงบอกว่าคนที่อยู่ที่นี้ไม่บริสุทธิ์ต้องหาคนที่ยังบริสุทธิ์มาอันเชิญถึงยอมขึ้นเพื่อความมั่นใจว่ายังบริสุทธิ์อยู่ก็ไปเอาเด็ก ป.3-ป.4มาเด็กกำลังเรียนหนังสืออยู่ก็ไปเอามา แต่ก็ยังไม่ขึ้น ร่างทรงบอกต้องไปหาพระที่มีศีลบริสุทธิ์มาอันเชิญถึงยอมขึ้น สุดท้ายก็ไม่เห็นขึ้น รถขุดโดนท่อน้ำแตกพระไม่มีน้ำใช่ ไม่สนใจสนใจแต่ต้นตะเคียน :b14: :b14:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2015, 22:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 18:22
โพสต์: 309


 ข้อมูลส่วนตัว


ในหมู่บ้านมีโยมคนหนึ่งแกชอบมาคุยกับพระแกก็เล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟัง แกบอกว่าทุกข์มากต้องเสียลูกชายไปแถมเจอแต่เรื่องไม่ดี พระที่อยู่ดูแลสถานที่ท่านก็เลยช่วยทำพิธีบังสกุลให้ พอถึงเวลาท่านก็นัดให้โยมมาหา โดยให้นอนลงแล้วเอาผ้าขาวคุมผูกสายสินแล้วมานั่งสวด หลังจากสวดเสร็จแล้วท่านก็บอกโยมพรุ้งนี้เช้าให้เอาสังฆทานพร้อมกับซองมาถวายแล้วท่านจะลดน้ำมนต์ให้โยมก็ทำตาม ผมก็นั่งดูพิจารณาไป บอกตรงๆเลยว่าผมอาย ก็พึ่งเคยเห็นพิธีแบบนี้ แถมมาเจออยู่ที่บ้านเกิดตัวเองด้วย ก็ไม่รู้ว่าพิธีนี้อยู่ในสูตรในหมวดสูตรใหน ถ้าใครรู้ก็เอามาให้อ่านหน่อยจะได้หายโง่

ชาวบ้านถือผีอุส่าหันหน้ามาหาพระ พระก็ยังพาทำพิธีแบบนี้ให้แล้วจะพ้นจากทุกข์ได้อย่างไร นี้แหละเอะอะ อะไรก็ว่าชาวเขาไม่เข้าใจเรื่องศาสนา ไม่รู้จักทำบุญ ไม่รู้จักทอดผ้าป่า ผมมานั่งพิจารณาดูถ้าชาวเขาหันหน้ามานับถือพุทธ เวลามีความทุกข์ ต้องมาสะเดาะเคราะห์ ทำพิธีบังสกุลสืบชะตา ต้องมาทำอะไรต่างๆนาตามที่พระท่านว่า ผมว่านับถือผีบรรพบุรุษแบบเดิมนั้นแหละดีแล้ว :b41: :b8:

คนที่ไม่เข้าใจศาสนาเมื่อเขาสนใจเราก็ต้องแนะนำสิ่งที่ถูกต้องให้แล้วเขาก็จะจดจำสิ่งนั้นแล้วนำไปปฏิบัติอย่างถูกต้องไม่ใช่ไปป้อนสิ่งที่ไม่ถูกให้ แล้วเขาก็จะเชื่อแบบนั้นกลายเป็นว่าเชื่อแบบผิดๆ แล้วต้องมาเป็นภาระให้คนที่มาเผยแพร่แนะนำภายหลังต้องคอยแก้ เพราะคนแรกที่สอนทำในสิ่งที่ไม่ถูกให้ดูให้เห็น ผมกลับไปบ้านพระที่อยู่เขาไม่ถูกใจอาหารชาวเขาญาติโยมก็ขนอะไรต่อมิอะไรให้พระทำฉันเองแล้วที่นี้ชาวบ้านเห็นพระทำกับข้าวฉันเองเขาก็คิดว่าเป็นพระทำกับข้าวฉันเองได้ เห็นแบบนั้นก็เชื่อแบบนั้น พอผมกลับไปชาวบ้านก็คิดว่าทำกับข้าวฉันเองได้ก็ไม่สนใจใส่บาตรเพราะคิดว่าเราทำฉันเอง ทีนี้ถ้าเราบอกว่าเป็นพระทำกับข้าวเองไม่ได้นะ ชาวบ้านก็จะมองว่าแล้วพระที่อยู่ทำไมถึงทำกับข้าวฉันเองได้ แล้วเราจะอธิบายให้ชาวบ้านอย่างไงละ จะบอกว่าพระที่ทำกับข้าวฉันเองเขาไม่รู้วินัยอย่างงั้นหรอ ถ้าเราบอกอย่างนั้นชาวบ้านก็จะคิดไปอีกละว่า ถ้าพระที่ทำกับข้าวฉันคือพระที่ไม่รู้วินัยแล้วทำไมถึงมีคนเอาของมาถวายเยอะเยะ แถมอยู่ดีกินดีไม่มีอด แล้วคนที่ว่ารู้วินัยทำไมไม่เห็นมีใครเอาของมาถวายแถมจะอดตายอีก :b8: :b8: :b41: :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2015, 07:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


มันเป็นการปลูกฝังการเชื่อกันมานานจดเกิดเป็นปมที่แก้ไม่ออก
พอพูดว่าต้นตะเคียนทุกคนจะมุ่งไปคิดถึงสี่งที่อาศัยในต้นตะเคียนทันที
ที่เรียกกันว่าเจ้าแม่ตะเคียน แถมยังมีคำผูกมัดให้แน่นขึ้นไปอีกว่า ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่

จึงทำให้คนที่ไม่เชื่อก็ถึงกับอำอึ้งไปเหมือนกัน ไม่กล้าคัดค้านต่อต้านใดๆจนมองเห็นไปว่า
เขากลายเป็นคนเชื่อในสิ่งเหล่านี้ด้วยเหมือนกัน เพราะคนที่คิดคัดค้านไม่กล้าแสดงความคิด
ที่ถูกต้องได้ เพราะถ้าพูดไปจะมีคนเชื่อเราหรือเปล่า ก็จำเป็นต้องนิ่งเฉยเป็นการเกรงใจ
หรือกลัวเกิดเหตุการณืที่ไม่คาดคิด มีปากเจ่อ ฟันหลุด ตาเขียว ก็ได้

ถ้าเราแก้ปมที่ว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ มาเป็นว่า ไม่เชื่อก็ควรทดลอง เหมือนดั่งที่พระพุทธเจ้าก็ใช้คำว่า
"เอหิปัสสิโก" ซึ่งก็หมายถึง ควรเรียกให้มาดู หรือ ท่านจงมาดูเอาเองเถิด ให้มาดูสภาพธรรมที่
มีจริงที่เป็นโลกุตตรธรรม ๙ มี มรรค ๔ ผล ๔ และ พระนิพพาน ๑

"เอหิภิกขุอุปสัมปทา" โดยการตรัสว่า เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว
ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด นี่ก็เป็นการเชิญชวน หรือท้าทาย
มองดูแล้วมันจะไม่เป็นสิ่งที่งมงายเลยถ้าเชื่อ ก็จงเปลี่ยนคำว่า "เชื่อ" ให้มาเป็น "ศรัทธา"

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2015, 08:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แสงแห่งพระธรรม เขียน:
ชาวบ้านถือผีอุส่าหันหน้ามาหาพระ พระก็ยังพาทำพิธีแบบนี้ให้แล้วจะพ้นจากทุกข์ได้อย่างไร นี้แหละเอะอะ อะไรก็ว่าชาวเขาไม่เข้าใจเรื่องศาสนา ไม่รู้จักทำบุญ ไม่รู้จักทอดผ้าป่า ผมมานั่งพิจารณาดูถ้าชาวเขาหันหน้ามานับถือพุทธ เวลามีความทุกข์ ต้องมาสะเดาะเคราะห์ ทำพิธีบังสกุลสืบชะตา ต้องมาทำอะไรต่างๆนาตามที่พระท่านว่า ...
...........


อยากให้ชาวบ้าน...พบความจริง(แล้วก็เชื่อถือศรัทธาด้วย)..มีความสุข

ผู้อยาก(คือตัวผู้อยาก)....ก็ต้องทำอะไรอะไร..ด้วย...ไม่ใช่แค่คิดได้อย่างเดียว(อันนี้ผมใช้สอนตัวเองนะ)
คิดอย่างเดียว...แต่ไม่ทำอะไร....มันก็เข้าข่าย...คิดเพ้อเจ้อฟุ่งซ่าน

อยากให้เขาเชื่อถือศรัทธาในพระธรรม..นะ
เราต้องอดทน....ต้องอดทนทุกอย่าง....อดทนในความไม่ดีของนักบวชบางคน...อดทนต่อความไม่เชื่อของเขา...ทำตามพระสัจธรรมอย่างไม่ลดละ...สะสมความอดทนมากๆ..มันก็กลายมาเป็นบารมี..อดทนที่จะทำต่อไปเป็นขันติบารมี..อดกลั่นระงับจิตใจให้มุ้งต่อการทำความอดทนต่อไปเป็นเนกขัมมบารมี....ไม่ลดละที่จะอดทนเป็นวิริยะบารมี

แล้วก่อนจะใช้ความอดทน...ผู้นั้นก็ต้องเข้าใจเห็นตามความเป็นจริงและเตือนตนเองเสมอก่อนว่า...พระสัจธรรมเป็นสิ่งที่ประเสริฐจริง...นี้เป็นปัญญาบารมี

ผู้อดทน...มีความปรารถณาพิสูจน์ความจริงให้ชาวบ้านเห็น...จึงยอมอดทน..เพื่อให้ชาวบ้านได้เห็นพระธรรมของจริง...นี้เป็นทานบารมีเข้าให้แล้ว..และความปรารถณาอันนี้ทำบ่อยๆก็เป็นอธิษฐานบารมีได้เช่นกัน

ผู้อดทน...ตั้งจิตใจว่าจะทำให้ชาวบ้านเห็นจริงในพระสัจธรรม...นี้เป็นสัจจะบารมี และความตั้งใจอันนี้ก็เพื่อให้ชาวบ้านมีความสุขจากการพบกับความจริง...อันนี้ก็เป็นเมตตาบารมี

ผู้อดทน....กระทำความอดทนเป็นปกติ....มีศีลาจารวัตนอันดีงาม...นี้ก็เป็นศีลบารมี

เมื่อเรากระทำทุกอย่างไปแล้ว...ที่สุดชาวบ้านจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่สัตว์โลก...เพราะมันก็เป็นธรรมดาอยู่เอง...ก็เพราะความมีอวิชชาของสัตว์โลก...นี้คือการเป็นผู้มีอุเบกขาอย่างมีปัญญาประกอบ...เป็นอุเบกขาบารมี..เข้าให้แล้ว

การที่จะให้เขาเชื่อ...ผู้อยาก(ให้เขาเชื่อ)..ต้องเป็นตัวอย่าง....และก็ต้องมีบารมีครบทั้ง 10 ดั่งว่ามานี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2015, 13:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 18:22
โพสต์: 309


 ข้อมูลส่วนตัว


คนส่วนใหญ่ที่เจอชอบเอามาตรฐานสังคมความเป็นอยู่ของตน และสิ่งที่ตนรู้เข้าใจมาเป็นเกณฑ์วัดมาตราฐานความเป็นอยู่ในสังคมอื่นและคิดว่าต้องทำอย่างนั้นๆผลจะเป็นอย่างนี้ๆ แต่ไม่มีความรับผิดชอบในสิ่งที่พูด พอเราบอกว่าทำแบบนี้ใช้ไม่ได้กับบางสังคม หรืออย่างนั้นอย่างนี้ เขาก็จะมาว่าเราทั้งๆที่เขาไม่เคยสัมผัสรู้เห็นวิถีชีวิตความเป็นของสังคมนั้นๆเลย ดีแต่พูดดีแต่เสนอทฤษฎี แต่ขาดวามรับผิดชอบในสิ่งที่พูด บางคนพูดแล้วทำก็จริงแต่พาทำแบบผิดๆ แล้วก็พากันหลงเชื่อแบบผิดๆ แต่ละสังคมประเพณีวัฒนธรรมมีความแตกไปกันไป สิ่งแรกเราก็ต้องทำความเข้าใจวิถีชีวิตความเชื่อความเข้าใจของสังคมนั้นๆก่อน ไม่ใช่มาถึงยัดโน้นนี้ใส่พอใส่ไม่ได้หรือไม่ได้ดั่งใจก็กล่าวว่าพวกนี้ล้าหลัง นับถือผีไม่เข้าใจศาสนา ไม่รู้จักทำบุญ ไม่รู้จักทอดผ้าป่าหาเงินให้พระใช้ ลองคิดดูชาวบ้านลำบากหาเช้ากินค่ำ แล้วเราจะไปหวังอะไรจากพวกเขา เราต้องเริ่มจากการให้ก่อนสิ เขาถึงได้สนใจเข้ามาหา แต่การให้ที่ดีที่สุดคือการทำแบบอย่างให้เขาดู อย่างเรานี้เกิดมาในครอบครัวที่จน จนที่สุดในหมู่บ้านพ่อก็ไม่รู้เรื่องทำอะไรก็ไม่ทันคนอื่น ผมเองต้องเร่ร่อนไปอยู่กับคนนั้นคนนี้เพราะความจนเป็นเหตุให้ต้องไปขโมยของชาวบ้านมากินถูกชาวบ้านดูถูกเหยียบหยาม ญาติพี่น้องก็ไม่ยอมรับ ผมเองต้องแบกรับความเจ็บปวดนี้มาตลอด แต่สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดคือการที่ถูกญาติพี่น้องตัวเองดูถูก แต่ในขณะเดียวกันผมกลับมีแต่ความเมตตาคิดอยากออกเดินทางแสวงหาความรู้เพื่อว่าวันใดวันวันหนึ่งเราจะกลับมาช่วยเหลือพวกเขาเพราะเราพิจารณาดูแล้วแม้แต่คนที่เขาเกียดชังเรา ดูถูกเรา พวกเขาก็ยังตกอยู่ภายใต้ความมืดบอดของจิต ไม่ว่ารู้อันไหนถูกอันไหนผิด ไม่มีความเมตตาปราณีเพราะไม่มีใครมาเปิดทางสู่แสงสว่างให้เปรียบเหมือนนกที่ถูกขังอยู่ในกรงถึงเวลากินอาหารก็จิกยื้อแย่งกันถึงแม้ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าจะได้รับชัยชนะแต่แล้วตนเองก็ยังถูกขังอยู่ในกรงวันยังค่ำไม่มีวันได้รับความเป็นอิสระภาพ

ฉะนั้น หลังจากเรียนป.6 ก็หนีออกจากบ้านมาบวชและไม่เคยติดต่อหรือกลับไปเยือมบ้านอีกเลยเป็เวลา 10 ปี พอพุดว่าไม่กลับไปเยื่อมบ้านคนนั้นคนนี้ก็มาว่าเราหาว่าลืมพ่อแม่ญาติพี่น้องเป็นคนอกตัญญู ก็ต้องทนให้เขาว่า คนเราต้องรู้จักพิจารณาว่าตัวเองยืนอยู่มารตฐานใหน ชาวบ้านเขาถูกเรา เขาไม่ยอมรับเรา ถ้าเรากลับไปในช่วงเวลาที่ช่วยเหลือแนะนำอะไรเขาไม่ได้ เขาก็จะยังดูถูกเรา เพราะพวกเขายังไม่รู้จักเคารพพระเณร เราก็กลัวว่าเดียวพวกเขาจะมาติเตียนพระเณรแล้วจะเป็นผลเสียต่อตัวเขาเอง รอวันที่เราพอช่วยเหลือแนะนำเขาได้ถึงค่อยกลับไป พอกลับไปสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำแบบอย่างให้เขาดู อย่างเรากลับไปก็ไปช่วยทำบ้านให้พ่ออยู่ แล้วก็ไปพักอยู่ที่ถ้ำตอนเช้าก็ออกมาบิณฑบาต ชาวบ้านบางคนคงสังสัยก็จ้องดูใหญ่เลย อย่างเวลาบิณฑบาตรนี้บ้านอื่นเข้าไม่ใส่หรอกใส่แต่บ้านญาติ ใส่เพราะบอกให้เขาใส่ แล้วต้องจัดเตรียบของให้เขาด้วยเช่นข้าวสาร หรือแม้แต่ถุงใส่แกงก็หาให้พร้อม เพราะทางบ้านเขาลำบาก ถ้าเราไม่จัดหามาให้จะกลายเป็นว่าไปรบกวนเป็นภาระให้เขาอีก เมื่อชาวบ้านเห็นเขาก็ยอมรับชื่นชมก็มาพูดคุยไถ่ถาม ทีนี้เราจะสามารถแนะนำสอนเขาพวกเขาได้ง่ายขึ้น :b17: :b17:

เพราะความเชื่อที่ปลูกฝังมาแบบผิด จึงทำให้คนหลงเชื่ออย่างผิดๆในหมู่บ้านก็ไม่ได้ใหญ่ปกติชาวบ้านก็เชื่อผิดอยู่แล้ว ก็ไม่อยากให้หันมาทางนี้แล้วยังมาเชื่อแบบผิดๆอีก ความเชื่อเดิมก็แก้ยากแล้วยังจะเพิ่มความเชื่อแบบผิดๆเข้าไปอีกจากที่ต้องมาอบรมสอนพวกเขาเริ่มจากหนึ่งกลับต้องไปเริ่มที่ลบหนึ่ง ในหมู่บ้านผมเห็นคนเมืองมาทำอะไรก็ไม่รู้ตั่งแต่ศึกษามาก็ไม่เห็นสูตรไหนหมวดไหนตรัสสอนให้ทำแบบนั้น แต่ก็พูดอะไรไม่ได้พูดไปเดียวไม่มีที่ให้อยู่ :b14: :b14: :b5: :b5:

สิ่งที่ปลุกฝั่งมาทำให้คนเชื่ออย่างไร้เหตุผล :b41: :b41: :b47: :b46:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2015, 18:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอให้เจริญในธรรมเจ้าค่ะ..
หลวงพี่อยู่ในเพศบรรพชิต..คุนน้องไม่กล้าแสดงญาณทัศนะความเห็นใดๆ..ขอเป็นผู้รับฟังที่ดีเจ้าค่ะ :b8:
เรื่องราวชีวิตหลวงพี่..หายากเหลือเกินเจ้าค่ะที..ที่ความจนทำให้..หนีไปบวชเรียน :b8:
บารมีเก่าคงเยอะอยู่..อายุยังน้อยแต่เข้าหาทางธรรมตั้งแต่วัยเด็ก..ถ้าไม่ใช่เพราะบุญจะให้เรียกว่ากรรมหรือเจ้าค่ะ :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2015, 20:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 18:22
โพสต์: 309


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนเรียนอยู่ป.3 ต้องออกจากบ้านพ่อไปอยู่กับอา แล้วก็มีพี่ชายซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกันเรียนอยุ่ป.6 มีอยุ่วันหนึ่งครูใหญ่มาเยือมที่โรงเรียนเพราะโรงเรียนเป็นสาขาของอีกหมู่บ้าน ในปีนั้นชั้นป.6 มีผู้ชายแค่คนเดียวคือพี่ชาย ครูใหญ่เห็นว่าจะจบป.6แล้วแต่ยังไม่มีที่เรียนก็เลยพาไปบวชเรียน ซึ่งในตอนนั้นเห็นว่ามีการบวชเรียนด้วยก็ตั่งความปราถณาว่าจบป.6แล้วอยากไปบวชเรียน ส่วนพี่ชายพอจบป.6แล้วครูก็พาไปบวชซึ่งเป็นโครงการบวชเรียนในความอุปถัมภ์ของหลวงพ่อเชาวลิตแล้วส่งไปเรียนอยู่วัดเขาสาบจังหวัดระยอง ซึ่งสมัยนั้นมีเด็กไปบวชเรียนเยอะมาก จำต้องสอบคัดเลือกพี่ชายแก่เป็นชาวเขาสอบสู่คนเมืองไม่ได้เลยไม่ได้บวชแล้วก็ไม่ได้เรียนต่อทุกวันนี้ก็ยังอยู่ทำไร่ทำนากับพ่อแม่ที่บ้านไปใหนไม่เป็น :b41: :b41: :b46: :b48:

ส่วนเราพอเรียนจบป.3แล้วมีฝรั่งมาหาเด็กในหมู่บ้านเพื่อส่งไปเรียนหนังสือแต่ต้องไปนับถือศาสนาคริตส์ซึ่งอาเห็นว่าดีก็เลยให้ฝรั่งมาพาเราไปเรียนซึ่งก็มีเด็กในหมู่บ้านไปด้วยกันสองคนไปเรียนหนังสืออยู่ที่ อ.แม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นโรงเรียนของศาสนาคริตส์ที่รวบรวมเอาเด็กตามเขาตามดอยหรือเด็กครอบครัวที่ยากจนมาอยุ่เรียนหนังสือ พอถึงวันอาทิตย์จะเข้าโบสถ์สวดมนต์สรรเสริญพระเจ้าเราก็สังเกตุเห็นเด็กๆคนอื่นพอถึงวันอาทิตย์จะดีใจมากพากันแต่งตัวเตรียบเข้าโบสถ์แต่เราไม่รู้เป็นอะไรไม่ชอบเข้าโบสถ์เลยแถมชอบหนีอีกต่างหาก อยู่เรียนหนังสือได้สักพักรู้สึกว่าอยู่ไม่ได้แล้วปกติก็เป็นคนไม่ปล่อยโอกาศทิ้งง่ายอยู่แล้วแต่ครั้งนี้ไม่รู้เป็นอะไรก็เลยเขียนจดหมายถึงบ้านให้อามารับก็เขียนเล่นๆเพราะไม่คิดว่าเขาจะมารับจริงปรากฏว่ามารับจริงก็เก็บของกลับบ้านเลย กลับมาเรียนต่อที่บ้าน :b41: :b41:

พอเรียนจบป.6ก็มีเหตุให้ได้มาบวชตามความตั่งใจไว้ทุกอย่างแล้วก็เป็นโครงการเดียวกับพี่ชายที่สอบไม่ผ่านส่วนเราได้มาบวชแล้วก็อยู่ยาวเลยกลับมาอีกทีพี่ชายแก่ยังทำไร่ทำนาฆ่าตัดชีวิตเหมือนตอนที่เรายังอยู่เขาจะพาเราไปดักหนูบ้าง หาปลาบ้าง เข้าป่าล่าสัตว์ เรื่องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนี้ไม่ได้มีความปราณีเลย
มีอยู่วันหนึ่งตอนเช้าเราจะไปรับบาตรที่บ้านขากลับได้เดินสวนทางกับพี่ชายที่กำลังหิวหนูนาที่จับมาอยู่ในกรง เดินสวนทางกับเราที่กำลังอุ้มบาตรอยู่ช่วงเป็นภาพที่กินใจเหลือเกิน เรามาโปรดสัตว์แต่เขายังต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเขาก็ทำหน้าเขินๆ น่าเสียดายวันถ้าวันนั้นเขาสอบผ่านคงได้บวชและอาจจะยังไม่สึก
เห็นแล้วก็รู้สึกสงสารเขา :b8: :b8: :b41: :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2015, 22:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 18:22
โพสต์: 309


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
แสดงให้เห็นถึงความไม่มั่นคง
เขียนๆ ลบๆ หลอกใครๆนั้นพอหลอกได้แต่หลอกตัวเองไม่ได้
แต่อย่าให้ถึงกับไปหลอกตัวเองให้เชื่อก็แล้วกัน


แค่อยากสื่อให้รู้ว่าคนที่เกิดมาในสภาพความเป็นอยู่อย่างเราจะทำอย่างไงถึงจะสามารถพัฒนาตนเอง
เพื่อว่าสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้ ก็ต้องเริ่มด้วยการเล่าประวัติของตัวเองแต่พอพิมข้อความโพสแล้วมาอ่านย้อนหลังรู้สึกหดหู่อย่างไงไม่รุ้ เดียวคนอื่นจะมาหาว่าแต่งเรื่องมาให้คนอื่นสงสารก็เลยลบทิ้ง :b5: :b5:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2015, 23:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 18:22
โพสต์: 309


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าเรายึดมั่นในคำสอนของพุทธเจ้า
ดำเนินชีวิตตามวิถีจิตของตนแล้วทำให้อยู่ยากอยู่ลำบากแล้วละก็
ช่วงมันเถิดช่างมันลองสักชาติหนึ่งดูจะเป็นไร เพราะท้ายที่สุด
ทุกคนล้วนจบลงที่ความตาย :b8: :b8: :b8:

เอวัง :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2015, 23:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


หนทางบรรลุธรรม...กับหนทางการมีชีวิต...บางท่านก็ไปด้วยกัน..บางท่านก็ไปคนละทาง

คนที่ไปด้วยกัน...ชีวิตทางโลก...ก็สำเร็จ..สุขสบาย..ชีวิตทางธรรมก็หมดกิเลส
คนที่ไปคนละทาง..ชีวิตทางโลก..สุดรันทด...แต่ทางธรรม..กลับหมดกิเลสได้

เราอาจจะลำบากในการใช้ชีวิตบนโลกแห่งวัฏฏสงสารนี้...แต่มันก็ไม่แน่ว่าชีวิตทางธรรมเราจะแย่...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 13:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 18:22
โพสต์: 309


 ข้อมูลส่วนตัว


onion onion


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 167 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 12  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 51 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร