วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 18:49  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2015, 23:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2014, 07:47
โพสต์: 33

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การที่เรามาพบเจอกัน เป็น พ่อ เเม่ พี่ น้อง ศัตรู คู่รัก มีปัจจัยหลักๆอะไรค้ะ ที่ทำให้คนเรามาพบเจอกัน
อย่างการพยาบาทจองเวร ไม่อโหสิกรรม ก้ทำให้มาพบเจอกันอีก แล้วเมื่อเรามีความโกรธ ความไม่พอใจ หรือมีความรัก และกิเลสต่างๆ กับใครนี้ทำให้เราต้องเกิดมาพบเจอกับคนๆนั้นอีกรึป่าว หรือเฉพาะเเค่การจองเวร ไม่ยอมอโหสิกรรม ทำให้ต้องมาพบเจอ จองเวรกันอีก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2015, 01:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


pang99 เขียน:
การที่เรามาพบเจอกัน เป็น พ่อ เเม่ พี่ น้อง ศัตรู คู่รัก มีปัจจัยหลักๆอะไรค้ะ ที่ทำให้คนเรามาพบเจอกัน
อย่างการพยาบาทจองเวร ไม่อโหสิกรรม ก้ทำให้มาพบเจอกันอีก แล้วเมื่อเรามีความโกรธ ความไม่พอใจ หรือมีความรัก และกิเลสต่างๆ กับใครนี้ทำให้เราต้องเกิดมาพบเจอกับคนๆนั้นอีกรึป่าว หรือเฉพาะเเค่การจองเวร ไม่ยอมอโหสิกรรม ทำให้ต้องมาพบเจอ จองเวรกันอีก


เจอแต่ที่เป็นลักษณะบุญนะครับ บาปยังหาไม่เจอๆ แล้วจะมาแปะไว้ให้ s006
อ้างคำพูด:
 พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรคฤหบดีและคฤหปตานี ถ้าภรรยาและสามี
ทั้งสอง หวังจะพบกันและกันทั้งในปัจจุบันทั้งในสัมปรายภพไซร้ ทั้งสองเทียว
พึงเป็นผู้มีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน
ภรรยาและสามีทั้งสองนั้น ย่อมได้พบกันและกันทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ ฯ
                          ภรรยาและสามีทั้งสองเป็นผู้มีศรัทธา รู้ความประสงค์ของ
                          ผู้ขอ มีความสำรวม เป็นอยู่โดยธรรม เจรจาคำที่น่ารักแก่
                          กันและกัน ย่อมมีความเจริญรุ่งเรืองมาก มีความผาสุก
                          ทั้งสองฝ่ายมีศีลเสมอกัน รักใคร่กันมาก ไม่มีใจร้ายต่อกัน
                          ประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว ทั้งสองเป็นผู้มีศีลและวัตร
                          เสมอกัน ย่อมเป็นผู้เสวยกามารมณ์ เพลิดเพลินบันเทิงใจ
                          อยู่ในเทวโลก ฯ


สมชีวสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 642&Z=1669

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2015, 13:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


pang99 เขียน:
การที่เรามาพบเจอกัน เป็น พ่อ เเม่ พี่ น้อง ศัตรู คู่รัก มีปัจจัยหลักๆอะไรค้ะ ที่ทำให้คนเรามาพบเจอกัน
อย่างการพยาบาทจองเวร ไม่อโหสิกรรม ก้ทำให้มาพบเจอกันอีก แล้วเมื่อเรามีความโกรธ ความไม่พอใจ หรือมีความรัก และกิเลสต่างๆ กับใครนี้ทำให้เราต้องเกิดมาพบเจอกับคนๆนั้นอีกรึป่าว หรือเฉพาะเเค่การจองเวร ไม่ยอมอโหสิกรรม ทำให้ต้องมาพบเจอ จองเวรกันอีก


สัตว์ทั้งหลายล้วนเคยเป็นพ่อแม่ลูกพี่น้องกันมาทั้งนั้น
พุทธดำรัสว่า สัตว์ทั้งหลายในสังสารวัฏ แทบไม่มีเลยที่จะไม่เคยเป็นแม่ เป็นพ่อ เป็นพี่ชายน้องชาย เป็นพี่สาวน้องสาว เป็นบุตร เป็นธิดาของกันและกันมาก่อน
ท่านกล่าวไว้แบบนี้เพื่อให้รู้ว่าสังสารวัฏฏ์อันยาวนานทุกภพทุกภูมิเราเคยเกิดมาแล้วแทบทั้งนั้น(เว้นสุทธาวาสภูมิ)
เช่นว่าเราอาจเกิดเป็นปลาเห็นไหมว่าเราจะมีพี่น้องท้องเดียวกันนับเป็นพันเป็นหมื่นทีเดียวนี่เอาแค่เกิดครั้งเดียวนะแต่ว่าเราเกิดมาแล้วจนนับไม่ถ้วนนี่ซิ มันจะต้องมีพี่มีน้องพ่อแม่มากมายขนาดไหน ในชาติที่เกิดเราก็เคยสร้างทั้งมิตรและศัตรูไว้มากมายขนาดไหน บางคนในชาตินี้พอเห็นกันก็ชอบ บางคนแค่เห็นกันก็ไม่ชอบ บางคนไม่เคยรู้จักกันเลยถึงกับฆ่ากันก็มีบางคนก็ไปขอลูกคนอื่นมาเป็นสะไภ้บ้างเขยบ้างให้มารับสมบัติตนที่มี มีเยอะแยะพรรณาไม่หมดเพราะพิมพ์ทางโทรศัพท์

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2015, 14:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue งงๆค่ะ..เป็นคนทำความเข้าใจอะไรยาก..แต่ยินดียิ่งในเมตตาค่ะ :b8:
ขอถามว่าเข้าใจถูกรึเปล่านะคะ
คำว่า..ชาติ..สายโลกุตระ
หมายถึง การหยุดปรุงแต่งใดๆใช่ใหมคะ
อ่านแล้วให้รู้สึกได้ว่า(เพ้อไปเองอีกไม่รู้นะ :b9: :b9: )
อยู่อย่างว่างๆ ว่างทั้งความรู้สึกนึกคิดใดๆ
การนึกคิดขึ้นมาครั้งหนึ่ง..ก็คือ1ชาติ
:b8: :b8: :b8:

ปล.แค่พยายามทำความเข้าใจนะคะ..ด้วยปัญญาอันน้อยนิด..กรุณาแนะนำด้วยค่ะ :b29: :b29:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2015, 15:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


ต้องย้อนถอยไปในเรื่องสองเรื่องที่ต้อง ทำความเข้าใจ สัจจะความจริง ๒ เรื่องครับนั่นคือ สมมติสัจจะ ๑ ปรมัตถสัจจะ ๑ ชาติแบบเป็นสัตว์สมมติตัวตนบุคคลเราเขา ในทางโลก ทางโลกียธรรม คือแบบสมมติสัจจะ ส่วนแบบ ให้รู้ปรมัตถธรรม จิต เจตสิก รูป โดยสภาพธรรมตามจริง เพื่อละความเห็นผิดในสัตว์บุคคล ตัวตนเราเขา เพิกถอนสมมติ ไม่หลงสมมติ อันนี้เป็นทางมุ่งไปสู่โลกุตตระธรรม พ้นโลก พ้นสมมุติ พ้นสมุทัย พ้นภาวตัณหาและวิภาวตัณหา ความเกิดในภพ ฯลฯ แปะตัวอย่าง ชาติ ในความหมายตามพระสูตร และอรรถกถา

อ้างคำพูด:
[๒๙๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชาติเป็นไฉน ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลงเกิด เกิดจำเพาะ ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบ ใน หมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ อันนี้เรียกว่าชาติ ฯ


อ้างคำพูด:
ส่วนบาลี ขนฺธานํ ปาตุภาโว ความปรากฏแห่งขันธ์ทั้งหลายนี้ กล่าวโดยปรมัตถ์. ความปรากฏแห่งขันธ์ทั้งหลายนั่นแล ที่แยกเป็นขันธ์หนึ่ง ขันธ์สี่และขันธ์ห้า ในบรรดาหมู่สัตว์ที่มีขันธ์หนึ่งเป็นต้นนั่นเอง ไม่ใช่ความปรากฏแห่งบุคคล. แต่เมื่อความปรากฏแห่งขันธ์นั้นมีอยู่. ก็สมมติเรียกกันว่า บุคคลปรากฏดังนี้. 

               คำว่า อายตนานํ ปฏิลาโภ ความได้อายตนะทั้งหลาย ความว่า อายตนะทั้งหลายปรากฏอยู่นั่นแล เป็นอันชื่อว่าได้มา นั้นชื่อว่าความได้มาที่กล่าวได้ว่าความปรากฏแห่งอายตนะเหล่านั้น.


ยังมี ชาติใน นัยของ ปฏิจสมุปบาท เพื่อดับ ชาติชรามรณะ คือพ้นความเกิดความดับ ตามสายปฏิจสมุปบาท

ส่วนในอภิธรรม จำแนกจิตไว้ โดยชาติมี กุศล อกุศล วิบากและกิริยา ข้อนี้ศึกษาเพิ่มเติมได้ในอภิธรรมนะครับว่าเป็นกุศลมีจิตได้กี่ดวง เป็นอกุศล มีจิตได้กี่ดวง...ที่นี้เอาเฉพาะคำถาม ๑ มโนทวาราวัชชนะจิต (จิตที่คำนึงถึงอารมณ์,ตัดสินอารมณ์) ๑ ขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ความรู้สึกที่คำนึง ใคร่ควรอยู่เกิดความว่างในขณะนั้นๆ อันนี้เรียกว่า วิญญาณกิจ ๑๔ ไม่ว่าจะเกิดการกระทบรับรู้อารมณ์ใดๆ ถ้าเป็นกุศล อกุศล วิบากหรือกิริยา นั่นแปลว่า ก็สิ้นสุด สำเร็จกิจ หน้าที่ หรือกระบวนการของจิตหนึ่งๆ ลงไปแล้วนั่นเอง สักแต่ว่าจิต คำนึงถึงอารมณ์ ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตนเราเขา สักแต่รูปแต่นามนั่นเองเป็นหน้าที่ของจิตก็ว่าได้ ไม่มีเราไปทำ แต่อย่างใด :b41:

การหยุดปรุงแต่ง เป็นหน้าที่ของปัญญาครับ การเท่าทันความรู้สึกนึกคิดเป็นหน้าที่ของสติ เรียกเป็นกิจหนึ่งกิจ จะง่ายกว่า ส่วนคำว่าชาติ ในโลกุตตระ เพียงแต่จะเอามาพูดกันสั้นๆ ให้เข้าใจว่า ที่เราเข้าใจคำว่า ชาตินี้ ชาติหน้า อาจยังไกล ไม่ใกล้ที่ พระองค์ทรงบัญญัติเอาไว้เลย ตามที่ยกมาครับ :b8:

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2015, 16:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue ขอบคุณค่ะ นายฏีกาน้อย :b8:
cry cry ส่วนตัวยังยากที่จะทำความเข้าใจ วันนี้แค่พอเข้าใจก่อนนะคะ :b9: :b9:
พยายามต่อไป :b27: :b27: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2015, 16:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2015, 19:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


นอกจากบุญทำให้เจอกันแล้ว....บาปกรรมก็ทำให้มาเจอกันได้ด้วย

ดูเรื่องนี้ซิคับ..
ยักษ์กินบุตร..

๔. เรื่องความเกิดขึ้นของนางกาลียักษิณี [๔]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภหญิงหมันคนใดคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า “ น หิ เวเรน เวรานิ ” เป็นต้น.

มารดาหาภรรยาให้บุตร
ดังได้สดับมา บุตรกุฎุมพีคนหนึ่ง เมื่อบิดาทำกาละแล้ว ทำการงานทั้งปวง ทั้งที่นา ทั้งที่บ้าน ด้วยตนเอง ปฏิบัติมารดาอยู่, ต่อมา มารดาได้บอกแก่เขาว่า “พ่อ แม่จักนำนางกุมาริกามาให้เจ้า.”
บุ. แม่ อย่าพูดอย่างนี้เลย, ฉันจักปฏิบัติแม่ไปจนตลอดชีวิต.
ม. พ่อ เจ้าคนเดียวทำการงานอยู่ ทั้งที่นาและที่บ้าน, เพราะเหตุนั้น แม่จึงไม่มีความสบายใจเลย, แม่จักนำนางกุมาริกามาให้เจ้า.
เขาแม้ห้าม (มารดา) หลายครั้งแล้วได้นิ่งเสีย. มารดานั้นออกจากเรือน เพื่อจะไปสู่ตระกูลแห่งหนึ่ง.
ลำดับนั้น บุตรถามมารดาว่า “แม่จะไปตระกูลไหน?” เมื่อมารดาบอกว่า “จะไปตระกูลชื่อโน้น” ดังนี้แล้ว ห้ามการที่จะไปตระกูลนั้นเสียแล้ว บอกตระกูลที่ตนชอบใจให้. มารดาได้ไปตระกูลนั้นหมั้นนางกุมาริกาไว้แล้ว กำหนดวัน (แต่งงาน) นำนางกุมาริกาคนนั้นมา ได้ทำไว้ในเรือนของบุตร. นางกุมาริกานั้นได้เป็นหญิงหมัน.
ทีนั้น มารดาจึงพูดกะบุตรว่า “พ่อ เจ้าให้แม่นำนางกุมาริกามาตามชอบใจของเจ้าแล้ว บัดนี้ นางกุมาริกานั้นเป็นหมัน, ก็ธรรมดา ตระกูลที่ไม่มีบุตรย่อมฉิบหาย, ประเพณีย่อมไม่สืบเนื่องไป, เพราะฉะนั้น แม่จักนำนางกุมาริกาคนอื่นมา (ให้เจ้า)” แม้บุตรนั้นกล่าวห้ามอยู่ว่า “อย่าเลย แม่” ดังนี้ ก็ยังได้กล่าว (อย่างนั้น) บ่อยๆ.
หญิงหมันได้ยินคำนั้น จึงคิดว่า “ธรรมดา บุตรย่อมไม่อาจฝืนคำมารดาบิดาไปได้, บัดนี้ แม่ผัวคิดจะนำหญิงอื่น ผู้ไม่เป็นหมันมาแล้ว ก็จักใช้เราอย่างทาสี, ถ้าอย่างไร เราพึงนำนางกุมาริกาคนหนึ่งมาเสียเอง” ดังนี้แล้ว จึงไปยังตระกูลแห่งหนึ่ง ขอนางกุมาริกาเพื่อประโยชน์แก่สามี, ถูกพวกชนในตระกูลนั้นห้ามว่า “หล่อนพูดอะไรเช่นนั้น” ดังนี้แล้ว จึงอ้อนวอนว่า “ฉันเป็นหมัน ตระกูลที่ไม่มีบุตร ย่อมฉิบหาย บุตรีของท่านได้บุตรแล้ว จักได้เป็นเจ้าของสมบัติ, ขอท่านโปรดยกบุตรีนั้นให้แก่สามีของฉันเถิด” ดังนี้แล้ว ยังตระกูลนั้นให้ยอมรับแล้ว จึงนำมาไว้ในเรือนของสามี.
ต่อมา หญิงหมันนั้นได้มีความปริวิตกว่า “ถ้านางคนนี้จักได้บุตรหรือบุตรีไซร้ จักเป็นเจ้าของสมบัติแต่ผู้เดียว, ควรเราจะทำนางอย่าให้ได้ทารกเลย.”

เมียหลวงปรุงยาทำลายครรภ์เมียน้อย
ลำดับนั้น หญิงหมันจึงพูดกะนางนั้นว่า “ครรภ์ตั้งขึ้นในท้องหล่อนเมื่อใด ขอให้หล่อนบอกแก่ฉันเมื่อนั้น.” นางนั้นรับว่า “จ้ะ” เมื่อครรภ์ตั้งแล้ว ได้บอกแก่หญิงหมันนั้น. ส่วนหญิงหมันนั้นแลให้ข้าวต้มและข้าวสวยแก่นางนั้นเป็นนิตย์. ภายหลัง นางได้ให้ยาสำหรับทำครรภ์ให้ตกปนกับอาหารแก่นางนั้น. ครรภ์ก็ตก [แท้ง]. เมื่อครรภ์ตั้งแล้วเป็นครั้งที่ ๒ นางก็ได้บอกแก่หญิงหมันนั้น. แม้หญิงหมันก็ได้ทำครรภ์ให้ตก ด้วยอุบายอย่างนั้นนั่นแลเป็นครั้งที่ ๒.
ลำดับนั้น พวกหญิงที่คุ้นเคยกัน ได้ถามนางนั้นว่า “หญิงร่วมสามีทำอันตรายหล่อนบ้างหรือไม่? นางแจ้งความนั้นแล้ว ถูกหญิงเหล่านั้นกล่าวว่า “หญิงอันธพาล เหตุไร หล่อนจึงได้ทำอย่างนั้นเล่า?” หญิงหมันนี้ได้ประกอบยาสำหรับทำครรภ์ให้ตกให้แก่หล่อน เพราะกลัวหล่อนจะเป็นใหญ่, เพราะฉะนั้น ครรภ์ของหล่อนจึงตก, หล่อนอย่าได้ทำอย่างนี้อีก.” ในครั้งที่ ๓ นางจึงมิได้บอก.
ต่อมา [ฝ่าย] หญิงหมันเห็นท้องของนางนั้นแล้วจึงกล่าวว่า “เหตุไร? หล่อนจึงไม่บอกความที่ครรภ์ตั้งแก่ฉัน” เมื่อนางนั้นกล่าวว่า “หล่อนนำฉันมาแล้ว ทำครรภ์ให้ตกไปเสียถึง ๒ ครั้งแล้ว, ฉันจะบอกแก่หล่อนทำไม?” จึงคิดว่า “บัดนี้ เราฉิบหายแล้ว” คอยแลดูความประมาทของนางกุมาริกานั้นอยู่, เมื่อครรภ์แก่เต็มที่แล้ว, จึงได้ช่อง ได้ประกอบยาให้แล้ว ครรภ์ไม่อาจตก เพราะครรภ์แก่ จึงนอนขวาง [ทวาร]. เวทนากล้าแข็งขึ้น. นางถึงความสิ้นชีวิต.๑-
____________________________
๑- ชีวิตกฺขยํ

นางตั้งความปรารถนาว่า “เราถูกมันให้ฉิบหายแล้ว, มันเองนำเรามา ทำทารกให้ฉิบหายถึง ๓ คนแล้ว, บัดนี้ เราเองก็จะฉิบหาย, บัดนี้ เราจุติจากอัตภาพนี้ พึงเกิดเป็นนางยักษิณี อาจเคี้ยวกินทารกของมันเถิด” ดังนี้แล้ว ตายไปเกิดเป็นแม่แมวในเรือนนั้นเอง. ฝ่ายสามีจับหญิงหมันแล้ว กล่าวว่า “เจ้าได้ทำการตัดตระกูลของเราให้ขาดสูญ” ดังนี้แล้ว ทุบด้วยอวัยวะทั้งหลายมีศอกและเข่าเป็นต้นให้บอบช้ำแล้ว. หญิงหมันนั้นตายเพราะความเจ็บนั้นแล แล้วได้เกิดเป็นแม่ไก่ในเรือนนั้นเหมือนกัน.

ผลัดกันสังหารคนละชาติด้วยอำนาจผูกเวร
จำเนียรกาลไม่นาน แม่ไก่ได้ตกฟองหลายฟอง. แม่แมวมากินฟองไก่เหล่านั้นเสีย. ถึงครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ มันก็ได้กินเสียเหมือนกัน. แม่ไก่ทำความปรารถนาว่า “มันกินฟองของเราถึง ๓ ครั้งแล้ว เดี๋ยวนี้ มันก็อยากกินตัวเราด้วย, เดี๋ยวนี้ เราจุติจากอัตภาพนี้แล้ว พึงได้กินมันกับลูกของมัน” ดังนี้แล้ว จุติจากอัตภาพนั้น ได้เกิดเป็นแม่เสือเหลือง.
ฝ่ายแม่แมวได้เกิดเป็นแม่เนื้อ. ในเวลาแม่เนื้อนั้นคลอดลูกแล้วๆ แม่เสือเหลืองก็ได้มากินลูกทั้งหลายเสียถึง ๓ ครั้ง. เมื่อเวลาจะตาย แม่เนื้อทำความปรารถนาว่า “พวกลูกของเรา แม่เสือเหลืองตัวนี้กินเสียถึง ๓ ครั้งแล้ว เดี๋ยวนี้มันจักกินตัวเราด้วย. เดี๋ยวนี้ เราจุติจากอัตภาพนี้แล้ว พึงได้กินมันกับลูกของมันเถิด” ดังนี้แล้ว ได้ตายไปเกิดเป็นนางยักษิณี.
ฝ่ายแม่เสือเหลืองจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้เกิดเป็นกุลธิดา๑- ในเมืองสาวัตถี. นางถึงความเจริญแล้ว ได้ไปสู่ตระกูลสามีในบ้านริมประตู [เมือง].
____________________________
๑- หญิงสาวของตระกูล หญิงสาวในตระกูล หรือหญิงสาวมีตระกูล

ในกาลต่อมา นางได้คลอดบุตรคนหนึ่ง. นางยักษิณีจำแลงตัวเป็นหญิงสหายที่รักของเขามาแล้ว ถามว่า “หญิงสหายของฉันอยู่ที่ไหน?” พวกชาวบ้านได้บอกว่า “เขาคลอดบุตรอยู่ภายในห้อง” นางยักษิณีฟังคำนั้น แสร้งพูดว่า “หญิงสหายของฉันคลอดลูกเป็นชายหรือหญิงหนอ, ฉันจักดูเด็กนั้น” ดังนี้แล้ว เข้าไปทำเป็นแลดูอยู่ จับทารกกินแล้วก็ไป. ถึงในหนที่ ๒ ก็ได้กินเสียเหมือนกัน. ในหนที่ ๓ นางกุลธิดามีครรภ์แก่ เรียกสามีมาแล้ว บอกว่า “นาย นางยักษิณีตนหนึ่งกินบุตรของฉันเสียในที่นี้ ๒ คนแล้วไป, เดี๋ยวนี้ ฉันจักไปสู่เรือนแห่งตระกูลของฉันคลอดบุตร” ดังนี้แล้ว ไปสู่เรือนแห่งตระกูล คลอด [บุตรที่นั่น].
ในกาลนั้น นางยักษิณีนั้นถึงคราวส่งน้ำ. ด้วยว่า นางยักษิณีทั้งหลายต้องตักน้ำจากสระอโนดาตทูนบนศีรษะมา เพื่อท้าวเวสสวัณ ตามวาระ ต่อล่วง ๔ เดือนบ้าง ๕ เดือนบ้างจึงพ้น (จากเวร) ได้. นางยักษิณีเหล่าอื่นมีกายบอบช้ำ ถึงความสิ้นชีวิตบ้างก็มี.
ส่วนนางยักษิณีนั้น พอพ้นจากเวรส่งน้ำแล้วเท่านั้น ก็รีบไปสู่เรือนนั้น ถามว่า “หญิงสหายของฉันอยู่ที่ไหน?” พวกชาวบ้านบอกว่า “ท่านจักพบเขาที่ไหน? นางยักษิณีตนหนึ่งกินทารกของเขาที่คลอดในที่นี้, เพราะฉะนั้น เขาจึงไปสู่เรือนแห่งตระกูล” นางยักษิณีนั้นคิดว่า “เขาไปในที่ไหนๆ ก็ตามเถิด จักไม่พ้นเราได้” ดังนี้แล้ว อันกำลังเวรให้อุตสาหะแล้ว วิ่งบ่ายหน้าไปสู่เมือง.
ฝ่ายนางกุลธิดา ในวันเป็นที่รับชื่อให้ทารกนั้นอาบน้ำ ตั้งชื่อแล้ว กล่าวกะสามีว่า “นาย เดี๋ยวนี้ เราพากันไปสู่เรือนของเราเถิด” อุ้มบุตรไปกับสามี ตามทางอันตัดไปในท่ามกลางวิหาร มอบบุตรให้สามีแล้ว ลงอาบน้ำในสระโบกขรณีข้างวิหารแล้ว ขึ้นมารับเอาบุตร, เมื่อสามีกำลังอาบน้ำอยู่, ยืนให้บุตรดื่มนม แลเห็นนางยักษิณีมาอยู่ จำได้แล้ว ร้องด้วยเสียงอันดังว่า “นาย มาเร็วๆ เถิด นี้นางยักษิณีตนนั้น” ดังนี้แล้ว ไม่อาจยืนรออยู่จนสามีนั้นมาได้ วิ่งกลับบ่ายหน้าไปสู่ภายในวิหารแล้ว.

เวรไม่ระงับด้วยเวร แต่ระงับได้ด้วยไม่ผูกเวร
ในสมัยนั้น พระศาสดาทรงแสดงธรรมอยู่ในท่ามกลางบริษัท. นางกุลธิดานั้นให้บุตรนอนลงเคียงหลังพระบาทแห่งพระตถาคตเจ้า แล้วกราบทูลว่า “บุตรคนนี้ ข้าพระองค์ถวายแด่พระองค์แล้ว ขอพระองค์ประทานชีวิตแก่บุตรข้าพระองค์เถิด”
สุมนเทพผู้สิงอยู่ที่ซุ้มประตู ไม่ยอมให้นางยักษิณีเข้าไปข้างใน.
พระศาสดารับสั่งเรียกพระอานนทเถระมาแล้ว ตรัสว่า “อานนท์ เธอจงไปเรียกนางยักษิณีนั้นมา” พระเถระเรียกนางยักษิณีนั้นมาแล้ว.
นางกุลธิดากราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นางยักษิณีนี้มา”
พระศาสดาตรัสว่า “นางยักษิณีจงมาเถิด, เจ้าอย่าได้ร้องไปเลย” ดังนี้แล้ว ได้ตรัสกะนางยักษิณีผู้มายืนอยู่แล้วว่า “เหตุไร? เจ้าจึงทำอย่างนั้น ก็ถ้าพวกเจ้าไม่มาสู่เฉพาะหน้าพระพุทธเจ้าผู้เช่นเราแล้ว เวรของพวกเจ้าจักได้เป็นกรรมตั้งอยู่ชั่วกัลป์ เหมือนเวรของงูกับพังพอน, ของหมีกับไม้สะคร้อ และของกากับนกเค้า, เหตุไฉน พวกเจ้าจึงทำเวรและเวรตอบแก่กัน? เพราะเวรย่อมระงับได้ด้วยความไม่มีเวร หาระงับได้ด้วยเวรไม่”
ดังนี้แล้ว ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า
๔. น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ
อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนฺตโน
“ในกาลไหนๆ เวรทั้งหลายในโลกนี้ ย่อมไม่ระงับ
ด้วยเวรเลย ก็แต่ย่อมระงับได้ด้วยความไม่มีเวร,
ธรรมนี้เป็นของเก่า.”

http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... 0&i=11&p=4


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2015, 20:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เวรไม่ระงับด้วยเวร แต่ระงับได้ด้วยไม่ผูกเวร 
ในสมัยนั้น พระศาสดาทรงแสดงธรรมอยู่ในท่ามกลางบริษัท. นางกุลธิดานั้นให้บุตรนอนลงเคียงหลังพระบาทแห่งพระตถาคตเจ้า แล้วกราบทูลว่า “บุตรคนนี้ ข้าพระองค์ถวายแด่พระองค์แล้ว ขอพระองค์ประทานชีวิตแก่บุตรข้าพระองค์เถิด” 
สุมนเทพผู้สิงอยู่ที่ซุ้มประตู ไม่ยอมให้นางยักษิณีเข้าไปข้างใน. 
พระศาสดารับสั่งเรียกพระอานนทเถระมาแล้ว ตรัสว่า “อานนท์ เธอจงไปเรียกนางยักษิณีนั้นมา” พระเถระเรียกนางยักษิณีนั้นมาแล้ว. 
นางกุลธิดากราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นางยักษิณีนี้มา” 
พระศาสดาตรัสว่า “นางยักษิณีจงมาเถิด, เจ้าอย่าได้ร้องไปเลย” ดังนี้แล้ว ได้ตรัสกะนางยักษิณีผู้มายืนอยู่แล้วว่า “เหตุไร? เจ้าจึงทำอย่างนั้น ก็ถ้าพวกเจ้าไม่มาสู่เฉพาะหน้าพระพุทธเจ้าผู้เช่นเราแล้ว เวรของพวกเจ้าจักได้เป็นกรรมตั้งอยู่ชั่วกัลป์ เหมือนเวรของงูกับพังพอน, ของหมีกับไม้สะคร้อ และของกากับนกเค้า, เหตุไฉน พวกเจ้าจึงทำเวรและเวรตอบแก่กัน? เพราะเวรย่อมระงับได้ด้วยความไม่มีเวร หาระงับได้ด้วยเวรไม่” 


:b8: :b8: :b8:
อ่านดูแล้วคิดถึงสมัยเป็นเด็กค่ะ คุณกบ :b12:
เคยเอามาคิดเป็นจริงเป็นจัง..ติดใจสงสัยมาเป็นนานเลย :b9: :b9:
ว่าหากกรรมมีจริง....ชาติก่อนเราไปฆ่าเขา ชาตินี้เขาถึงมาฆ่าเรา
แล้วชาติหน้าเราก็ต้องไปฆ่าเขาอีก ก็เหมือนวงเวียน วนไปวนมาซ้ำๆ

:b14: เอามาคิดแบบให้ยุ่งยากใจเลยจริงนะข้อนี้..คิดๆ..แล้วก็คิด
คิดจนปวดหัว ก็เห็นว่าเป็นสิ่งไม่ดี..เราก็ไม่อยากจะทำ..แต่จะต้องทำเหรอ..
แล้ววนเวียนอย่างนี้..จะมีจุดจบได้ยังไง :b20:

จนได้เข้ามาปฏิบัติ..ถึงพอเข้าใจ..เรื่องของจิตใจ..มันเหมือนรู้ขึ้นมา :b27:
แต่ก็ยังแค่พอเข้าใจค่ะวันนี้..แค่พอเข้าใจ ผิดหรือถูกค่อยประคับประคองต่อไป :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2015, 20:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2015, 07:43 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2876


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 33 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร