วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 00:49  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 66 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2015, 18:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




vipat3.jpg
vipat3.jpg [ 18.75 KiB | เปิดดู 5741 ครั้ง ]
ถ้าไม่ศึกษาให้รู้ความจริงแล้ว ไม่เช่นนั้นแล้วจะถูกกิเลสหลอกเอาได้
หลอกให้ไปในทางที่ไม่ใช่พระนิพพาน เพราะแม้แต่ เทวดาและพรหมก็ยังโดนหลอกมาแล้วว่า
นี้คือในโลกุตตรธรรม (มรรค ผล นิพพาน) เช่นท่านอุทกดาบส และท่านอาฬารดาบส
ก็ยังถูกกิเลสหลอกไปเป็นอรูปพรหม ว่าตรงนี้แหละแดนพระนิพพาน
แม้แต่เดี๋ยวนี้ก็เช่นเดี๋ยวกันเข้าใจว่านิพพานเป็นแดนสุขาวดี คือเป็นแดนที่ไปแล้วไม่ตาย

เพราะยังบกพร่องอยู่ก็เพราะไม่รู้ปรมัตถธรรม ๔ ประการ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน สัจจ์ ๔ ปฏิจจ
ทำไมจึงไม่รู้ปรมัตถธรรม ก็เพราะ “อวิชชา” เป็นผู้ปกปิดไว้ไม่ให้เห็นความจริง
โทษของความไม่รู้ปรมัตถธรรม คือทำให้ยึด รูปนาม ขันธ์ ๕ ว่าเป็นอัตตาตัวเรา (กิเลสวัฏฏ์)
เป็นเหตุให้ทำกรรม (กัมมวัฏฏ์) ซึ่งมีผลเป็นวิบาก (วิปากวัฏฏ์) เวียนว่ายในวัฏฏทุกข์ไม่รู้จบสิ้น

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2015, 20:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ศึกษา...และ...ทำให้ได้..ด้วยครับ
ไม่งั้น...ก็ถูกกิเลสหลอกอยู่ดี

คำว่า...ไปแล้วไม่มีการตาย..เป็นคำเชิญชวนให้กับคนที่ยังยึดอยู่..มีตัวมีตนอยู่...ออกเดินทางครับ...จากที่เคยสังสมบุญบารมี..ก็เปลี่ยนมาเพิ่มอินทรีย์เพิ่มพละ....คำกล่าวที่ว่านี้ไม่ใช่มรรค..ไม่ใช่ผล....ตอนแรกเขาก็คิดว่ามีตัวมีตนแต่ไม่ตายนั้นแหละ...จน....เขาทำได้..ก็รู้เอง...นี้พวกหนึ่ง

พวกหนึ่ง....ต้องวนเวียนหาสัมภาระทำให้ตัวเองแน่ใจก่อนแล้วค่อยเดิน...พวกนี้ชอบเรียนเยอะๆ..ทฤษฎีแม่นๆ...ก่อนครับ...พอเขาทำได้....ก็รู้เองอีกว่า...ที่เข้าใจมากับของจริงเป็นอย่างไร

พวกหนึ่ง....ชั่งสังเกตุครับ...เห็นมีมืดแล้วก็มีสว่าง...มีร้อนก็มีเย็น...มีเกิดเขาก็คิดว่าต้องมีไม่เกิด...เขาเห็นว่าความทุกข์ทั้งหลายมีเพราะเกิด...หากไม่เกิดก็คงไม่ทุกข์..พวกนี้คิดได้ก็ออกเดินเลยครับ...ลองผิดลองถูก...ไม่มีใครสอนบางทีก็ทำเองจนได้...

แต่ละคน...ก็เริ่มจากความไม่รู้เหมือนกันหมด....เวลาถึงตอนรู้..ก็เหมือนกันหมดเช่นกัน...และเวลาที่คนรู้แล้วมาสอนบริวาร...เขาก็สอนตามความชอบของบริวาร...เพราะจริตนิสัยก็จะคล้ายๆกับตนเองนั้นแหละ...

คนรู้...เขาก็จะรู้เองว่า...เขามีหน้าที่รับผิดชอบต่อบริวารของตนอย่างไร...เขาก็ทำหน้าที่ของเขาเป็นหลัก...อันอื่นก็ตามโอกาส

แต่คนไม่รู้...นี้...ไม่ค่อยรู้หน้าที่ตนเองสักเท่าไร....ชอบทำตามความอยากของตนเสมอๆ...อยากสืบพระศาสนาบ้างละ....อยากทำอะไรๆให้ศาสนายั่งยืนบ้างละ...มักลืมหน้าที่ตน...ตั้งอยู่ในความประมาท


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2015, 07:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


ที่พวกเราโดนหลอกนี้ก็เจ้าตัว อวิชชา กับ ตัณหา สองตัวนี้แหละ
ที่ให้มาเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา พรหม แม้กระทั้งสัตว์เดรัจฉาน เหล่านี้
ล้วนโดนหลอกมาแล้วจนนับครั้งไม่ถ้วน วนเวียนกันอยู่อย่างนี้

บางครั้งยังเอาความสุขมาล่อ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
จนเกิดความหลงไหลยินดีพอใจ เพราะความไม่รู้เล่ห์เหลี่ยมของอวิชชากับตัณหา
เพื่อก่อภพก่อชาติอย่างไม่มีที่สิ้นสุด บุคคลที่เข้าใจและรู้ทันเขาได้หนีเรากันไปหมดแล้ว
คงเหลือแต่พวกเราที่นั่งทะเลาะกัน ว่าดีว่าเด่นจวบจนทุกวันนี้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2015, 10:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
ถ้าไม่ศึกษาให้รู้ความจริงแล้ว ไม่เช่นนั้นแล้วจะถูกกิเลสหลอกเอาได้
หลอกให้ไปในทางที่ไม่ใช่พระนิพพาน เพราะแม้แต่ เทวดาและพรหมก็ยังโดนหลอกมาแล้วว่า
นี้คือในโลกุตตรธรรม (มรรค ผล นิพพาน) เช่นท่านอุทกดาบส และท่านอาฬารดาบส
ก็ยังถูกกิเลสหลอกไปเป็นอรูปพรหม ว่าตรงนี้แหละแดนพระนิพพาน
แม้แต่เดี๋ยวนี้ก็เช่นเดี๋ยวกันเข้าใจว่านิพพานเป็นแดนสุขาวดี คือเป็นแดนที่ไปแล้วไม่ตาย

เพราะยังบกพร่องอยู่ก็เพราะไม่รู้ปรมัตถธรรม ๔ ประการ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน สัจจ์ ๔ ปฏิจจ
ทำไมจึงไม่รู้ปรมัตถธรรม ก็เพราะ “อวิชชา” เป็นผู้ปกปิดไว้ไม่ให้เห็นความจริง
โทษของความไม่รู้ปรมัตถธรรม คือทำให้ยึด รูปนาม ขันธ์ ๕ ว่าเป็นอัตตาตัวเรา (กิเลสวัฏฏ์)
เป็นเหตุให้ทำกรรม (กัมมวัฏฏ์) ซึ่งมีผลเป็นวิบาก (วิปากวัฏฏ์) เวียนว่ายในวัฏฏทุกข์ไม่รู้จบสิ้น


เมื่อกล่าวอ้างมาแบบนี้
แสดงว่า ลุงหมาน รู้ชัดในสิ่งที่เรียกว่า ปรมัตถธรรม
ที่ว่าด้วย จิต เจตสิก รูป นิพพาน แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวแล้วกัน

เกี่ยวกับบุคคลที่ลุงหมานคิดว่า กำลังถูกหลอก ช่วยแสดงให้เขาทั้งหลาย เห็นว่า
จิต เจตสิก รูป นิพพาน ที่นำมากล่าวอ้างถึงนั้น
สามารถนำมากระทำเพื่อดับเหตุแห่งทุกข์ได้อย่างไร ด้วยวิธีไหน

ที่วลัยพรกล่าวเช่นนี้เพราะ พระธรรมคำสอน ไม่ว่าจะกล่าวในแง่ใดๆ
ล้วนเป็นการกระทำเพื่อดับเหตุแห่งทุกข์

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2015, 12:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
เมื่อกล่าวอ้างมาแบบนี้
แสดงว่า ลุงหมาน รู้ชัดในสิ่งที่เรียกว่า ปรมัตถธรรม
ที่ว่าด้วย จิต เจตสิก รูป นิพพาน แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวแล้วกัน

เกี่ยวกับบุคคลที่ลุงหมานคิดว่า กำลังถูกหลอก ช่วยแสดงให้เขาทั้งหลาย เห็นว่า
จิต เจตสิก รูป นิพพาน ที่นำมากล่าวอ้างถึงนั้น
สามารถนำมากระทำเพื่อดับเหตุแห่งทุกข์ได้อย่างไร ด้วยวิธีไหน

ที่วลัยพรกล่าวเช่นนี้เพราะ พระธรรมคำสอน ไม่ว่าจะกล่าวในแง่ใดๆ
ล้วนเป็นการกระทำเพื่อ ดับเหตุแห่งทุกข์


อ้างคำพูด:
จิต เจตสิก รูป นิพพาน แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวแล้วกัน ?


อุปมาเอาดีกว่า เช่นว่า เราจะไปรบกับศัตรูที่เป็นข้าศึกที่เป็นปฏิปักษ์กับ มรรค ผล นิพพาน
เราต้องรอบรู้ว่าข้าศึกมีกำลังพลเท่าไร ใครเป็นผู้นำใครเป็นผู้สนับสนุน คอยส่งกำลังเสบียงอาหาร
ต้องรู้จักชื่อหน้าตาความสำคัญอย่างมีอาวุธอะไรที่สำคัญประจำกาย จุดอ่อนจุดแข็งของข้าศึก
เมื่อเรารอบรู้ทั้งกำลังของเรา และกำลังของเขาว่าใครจะเสียเปรียบและได้เปรียบ
จะรบเมื่อไหร่ก็ชนะเมื่อนั้น เหมือนสุภาษิตของจีนกล่าวไว้ รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง

อ้างคำพูด:
สามารถนำมากระทำเพื่อดับเหตุแห่งทุกข์ได้อย่างไร ด้วยวิธีไหน ?


คำว่าดับทุกข์ก็หมายถึงให้ถึงความเป็นสุขนั้นเอง และความสุขนั้นเราจะเอาความสุขตรงไหน
เช่น สุขในชาตินี้ สุขในชาติหน้า และสุขในที่สุด และถ้าเราจะเอาแค่สุขชาตินี้และสุขชาติหน้า
นั้นหมายถึงมันไม่ใช่สุขแท้ ดังที่พระองค์กล่าวไว้ว่า สุขเป็นของไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์
สุขที่แท้จริงมันสุขที่อยู่ในพระนิพพาน เป็นสุขที่เที่ยง และยั่งยืน ไม่มีการเกิดดับ

ฉะนั้นเราต้องเข้าใจเหตุแห่งทุกข์เหล่านี้ว่าคืออะไร พระองค์ตรัสบอกไว้แล้วว่าเหตุแห่งทุกข์
มีด้วยกัน ๖ เหตุ คือ โลภเหตุ, โทสเหตุ, โมหมเหตุ, อโลภเหตุ, อโทสเหตุ, อโมหเหตุ,
เหตุุทั้ง ๖ นี้เป็นให้เกิดอีกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมเป็นทุกข์ทั้งสิ้น ดังที่พระองค์ตรัสว่า
เกิดทุกครั้งเป็นทุกข์ทุกครั้ง ก็คือทุกข์เพราะความเกิดอีก

อ้างคำพูด:
ที่วลัยพรกล่าวเช่นนี้เพราะ พระธรรมคำสอน ไม่ว่าจะกล่าวในแง่ใดๆ
ล้วนเป็นการกระทำเพื่อ ดับเหตุแห่งทุกข์


ก็เมื่อไม่รู้เหตุแห่งทุกข์ เราจะไปดับมันที่ไหนอะไรได้ แม้แต่ให้ ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
ล้วนแล้วก็เป็นการกระทำเหตุใหม่ให้เกิดด้วยกันทั้งสิ้น ไม่เคยนึกเลยว่าการทำ
ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เพื่อจะตัดไม่ให้เหตุเกิด เช่นว่า วันนนี้ฉันไปทำบุญมาเอาบุญมาฝาก
อนุโมทนากันนะ เหล่านี้เป็นต้น ก็ลองคิดดูให้ดีนะว่าเป็นการกระทำเหตุใหม่ให้เกิดขึ้นใช่หรือไม่?
มองไม่เห็นเลยว่าเป็นการละเหตุแห่งทุกข์เลย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2015, 12:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
walaiporn เขียน:
เมื่อกล่าวอ้างมาแบบนี้
แสดงว่า ลุงหมาน รู้ชัดในสิ่งที่เรียกว่า ปรมัตถธรรม
ที่ว่าด้วย จิต เจตสิก รูป นิพพาน แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวแล้วกัน

เกี่ยวกับบุคคลที่ลุงหมานคิดว่า กำลังถูกหลอก ช่วยแสดงให้เขาทั้งหลาย เห็นว่า
จิต เจตสิก รูป นิพพาน ที่นำมากล่าวอ้างถึงนั้น
สามารถนำมากระทำเพื่อดับเหตุแห่งทุกข์ได้อย่างไร ด้วยวิธีไหน

ที่วลัยพรกล่าวเช่นนี้เพราะ พระธรรมคำสอน ไม่ว่าจะกล่าวในแง่ใดๆ
ล้วนเป็นการกระทำเพื่อ ดับเหตุแห่งทุกข์


อ้างคำพูด:
จิต เจตสิก รูป นิพพาน แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวแล้วกัน ?


อุปมาเอาดีกว่า เช่นว่า เราจะไปรบกับศัตรูที่เป็นข้าศึกที่เป็นปฏิปักษ์กับ มรรค ผล นิพพาน
เราต้องรอบรู้ว่าข้าศึกมีกำลังพลเท่าไร ใครเป็นผู้นำใครเป็นผู้สนับสนุน คอยส่งกำลังเสบียงอาหาร
ต้องรู้จักชื่อหน้าตาความสำคัญอย่างมีอาวุธอะไรที่สำคัญประจำกาย จุดอ่อนจุดแข็งของข้าศึก
เมื่อเรารอบรู้ทั้งกำลังของเรา และกำลังของเขาว่าใครจะเสียเปรียบและได้เปรียบ
จะรบเมื่อไหร่ก็ชนะเมื่อนั้น เหมือนสุภาษิตของจีนกล่าวไว้ รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง

อ้างคำพูด:
สามารถนำมากระทำเพื่อดับเหตุแห่งทุกข์ได้อย่างไร ด้วยวิธีไหน ?


คำว่าดับทุกข์ก็หมายถึงให้ถึงความเป็นสุขนั้นเอง และความสุขนั้นเราจะเอาความสุขตรงไหน
เช่น สุขในชาตินี้ สุขในชาติหน้า และสุขในที่สุด และถ้าเราจะเอาแค่สุขชาตินี้และสุขชาติหน้า
นั้นหมายถึงมันไม่ใช่สุขแท้ ดังที่พระองค์กล่าวไว้ว่า สุขเป็นของไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์
สุขที่แท้จริงมันสุขที่อยู่ในพระนิพพาน เป็นสุขที่เที่ยง และยั่งยืน ไม่มีการเกิดดับ

ฉะนั้นเราต้องเข้าใจเหตุแห่งทุกข์เหล่านี้ว่าคืออะไร พระองค์ตรัสบอกไว้แล้วว่าเหตุแห่งทุกข์
มีด้วยกัน ๖ เหตุ คือ โลภเหตุ, โทสเหตุ, โมหมเหตุ, อโลภเหตุ, อโทสเหตุ, อโมหเหตุ,
เหตุุทั้ง ๖ นี้เป็นให้เกิดอีกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมเป็นทุกข์ทั้งสิ้น ดังที่พระองค์ตรัสว่า
เกิดทุกครั้งเป็นทุกข์ทุกครั้ง ก็คือทุกข์เพราะความเกิดอีก

อ้างคำพูด:
ที่วลัยพรกล่าวเช่นนี้เพราะ พระธรรมคำสอน ไม่ว่าจะกล่าวในแง่ใดๆ
ล้วนเป็นการกระทำเพื่อ ดับเหตุแห่งทุกข์


ก็เมื่อไม่รู้เหตุแห่งทุกข์ เราจะไปดับมันที่ไหนอะไรได้ แม้แต่ให้ ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
ล้วนแล้วก็เป็นการกระทำเหตุใหม่ให้เกิดด้วยกันทั้งสิ้น ไม่เคยนึกเลยว่าการทำ
ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เพื่อจะตัดไม่ให้เหตุเกิด เช่นว่า วันนนี้ฉันไปทำบุญมาเอาบุญมาฝาก
อนุโมทนากันนะ เหล่านี้เป็นต้น ก็ลองคิดดูให้ดีนะว่าเป็นการกระทำเหตุใหม่ให้เกิดขึ้นใช่หรือไม่?
มองไม่เห็นเลยว่าเป็นการละเหตุแห่งทุกข์เลย





มันเป็นเรื่องของเหตุและปัจจัย ลุงหมานน่าจะเข้าใจนะ
หรืออาจจะไม่เข้าใจ ถึงได้กล่าวมาประมาณนี้

นำสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสไว้ มาให้อ่าน
เผื่อจะเข้าใจอะไรๆขึ้นมาบ้าง การกล่าวโทษผู้อื่น ในเรื่องเหตุปัจจัยของผู้อื่น อาจจะลดลงได้บ้าง


ภิกษุทั้งหลาย ! บาปกรรมแม้ประมาณน้อย
บุคคล บางคนทำแล้ว บาปกรรมนั้น นำเขาไปนรกได้

ส่วนบาปกรรมประมาณน้อยอย่างเดียวกันนั้น บางคนทำแล้ว
กรรมนั้นเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ไม่ปรากฏผลมาก ต่อไปเลย…

ภิกษุทั้งหลาย ! ใครกล่าวว่า
คนทำกรรม อย่างใดๆ ย่อมเสวยกรรมนั้นอย่างนั้นๆ ดังนี้

เมื่อเป็นอย่างนั้นๆ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมมีไม่ได้
ช่องทางที่จะทำที่สุดทุกข์โดยชอบก็ไม่ปรากฏ

ส่วนใครกล่าวว่า
คนทำกรรมอันจะพึงให้ผล อย่างใดๆ ย่อมเสวยผลของกรรมนั้นอย่างนั้นๆ ดังนี้
เมื่อเป็นอย่างนี้ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมมีได้
ช่องทางที่จะทำที่สุดทุกข์โดยชอบก็ย่อมปรากฏ.

ติก. อํ. ๒๐/๓๒๐/๕๔๐.

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2015, 13:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
มันเป็นเรื่องของเหตุและปัจจัย ลุงหมานน่าจะเข้าใจนะ
หรืออาจจะไม่เข้าใจ ถึงได้กล่าวมาประมาณนี้

นำสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสไว้ มาให้อ่าน
เผื่อจะเข้าใจอะไรๆขึ้นมาบ้าง การกล่าวโทษผู้อื่น ในเรื่องเหตุปัจจัยของผู้อื่น อาจจะลดลงได้บ้าง


"ผล"ทั้งหลายเกิดมาจาก"เหตุ"
เหตุและผลจะเกิดขึ้นมาลอยๆ โดยไม่มีผู้สร้างย่อมไม่มีเลย

เหตุ ก็อย่างหนึ่ง ปัจจัย ก็อย่างหนึ่ง เมื่อจะตัดเหตุได้ต้องตัดปัจจัยให้ได้เสียก่อน
การที่จะว่ากล่าวโทษผู้อื่น ยังไม่เห็นจะมีตรงไหน ก็ว่าไปตามความจริงทั้งนั้นแล

อ้างคำพูด:
ภิกษุทั้งหลาย ! บาปกรรมแม้ประมาณน้อย
บุคคล บางคนทำแล้ว บาปกรรมนั้น นำเขาไปนรกได้

ส่วนบาปกรรมประมาณน้อยอย่างเดียวกันนั้น บางคนทำแล้ว
กรรมนั้นเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ไม่ปรากฏผลมาก ต่อไปเลย…

ภิกษุทั้งหลาย ! ใครกล่าวว่า
คนทำกรรม อย่างใดๆ ย่อมเสวยกรรมนั้นอย่างนั้นๆ ดังนี้

เมื่อเป็นอย่างนั้นๆ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมมีไม่ได้
ช่องทางที่จะทำที่สุดทุกข์โดยชอบก็ไม่ปรากฏ

ส่วนใครกล่าวว่า
คนทำกรรมอันจะพึงให้ผล อย่างใดๆ ย่อมเสวยผลของกรรมนั้นอย่างนั้นๆ ดังนี้
เมื่อเป็นอย่างนี้ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมมีได้
ช่องทางที่จะทำที่สุดทุกข์โดยชอบก็ย่อมปรากฏ.


เรื่องของกรรมเป็นเรื่องอจิณไตร เป็นเรื่องที่ไม่ควรคิดตัดสินได้อยาก
บางคนทำกรรมชั่วในชาตินี้ไว้มาก ตายไปขึ้นสวรรค์ก็มี บางคนทำกรรมดีในชาตินี้ไว้มาก
ตายไปตกนรกก็มี บางคนในชาตินี้ฆ่าคนตายเกือบพันคนยังสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้
บางคนได้อภิญญามีอิทธิฤทธิ แสดงอภินิหารได้มากมายตายไปตกนรกก็มี

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2015, 16:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ต.ค. 2010, 10:42
โพสต์: 249

แนวปฏิบัติ: ไม่เอา ไม่เป็น ไม่ยึด
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่มของท่านพุทธทาส
อายุ: 32
ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: คุณ walaiporn

ถ้าคู่สนทนามองไม่เห็นในสิ่งที่คุณเห็น ก็น่าจะลองชี้ให้เขาดูนะ

ขออภัยที่สอด แต่ยินดีที่ได้เห็นว่าเพื่อนยังอยู่

:b8:

.....................................................
วงว่างยงอยู่ยั้ง อนันตกาล
ในถิ่นที่ทุกสถาน แหล่งหล้า
ยึดมั่นไป่พบพาน ประจักษ์
ยามปล่อยหยุดไขว่คว้า ถึงได้โดยพลัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2015, 18:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
อ้างคำพูด:
มันเป็นเรื่องของเหตุและปัจจัย ลุงหมานน่าจะเข้าใจนะ
หรืออาจจะไม่เข้าใจ ถึงได้กล่าวมาประมาณนี้

นำสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสไว้ มาให้อ่าน
เผื่อจะเข้าใจอะไรๆขึ้นมาบ้าง การกล่าวโทษผู้อื่น ในเรื่องเหตุปัจจัยของผู้อื่น อาจจะลดลงได้บ้าง


"ผล"ทั้งหลายเกิดมาจาก"เหตุ"
เหตุและผลจะเกิดขึ้นมาลอยๆ โดยไม่มีผู้สร้างย่อมไม่มีเลย

เหตุ ก็อย่างหนึ่ง ปัจจัย ก็อย่างหนึ่ง เมื่อจะตัดเหตุได้ต้องตัดปัจจัยให้ได้เสียก่อน
การที่จะว่ากล่าวโทษผู้อื่น ยังไม่เห็นจะมีตรงไหน ก็ว่าไปตามความจริงทั้งนั้นแล

อ้างคำพูด:
ภิกษุทั้งหลาย ! บาปกรรมแม้ประมาณน้อย
บุคคล บางคนทำแล้ว บาปกรรมนั้น นำเขาไปนรกได้

ส่วนบาปกรรมประมาณน้อยอย่างเดียวกันนั้น บางคนทำแล้ว
กรรมนั้นเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ไม่ปรากฏผลมาก ต่อไปเลย…

ภิกษุทั้งหลาย ! ใครกล่าวว่า
คนทำกรรม อย่างใดๆ ย่อมเสวยกรรมนั้นอย่างนั้นๆ ดังนี้

เมื่อเป็นอย่างนั้นๆ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมมีไม่ได้
ช่องทางที่จะทำที่สุดทุกข์โดยชอบก็ไม่ปรากฏ

ส่วนใครกล่าวว่า
คนทำกรรมอันจะพึงให้ผล อย่างใดๆ ย่อมเสวยผลของกรรมนั้นอย่างนั้นๆ ดังนี้
เมื่อเป็นอย่างนี้ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมมีได้
ช่องทางที่จะทำที่สุดทุกข์โดยชอบก็ย่อมปรากฏ.


เรื่องของกรรมเป็นเรื่องอจิณไตร เป็นเรื่องที่ไม่ควรคิดตัดสินได้อยาก
บางคนทำกรรมชั่วในชาตินี้ไว้มาก ตายไปขึ้นสวรรค์ก็มี บางคนทำกรรมดีในชาตินี้ไว้มาก
ตายไปตกนรกก็มี บางคนในชาตินี้ฆ่าคนตายเกือบพันคนยังสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้
บางคนได้อภิญญามีอิทธิฤทธิ แสดงอภินิหารได้มากมายตายไปตกนรกก็มี




ลุงหมาน เขียน:
แม้แต่ให้ ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
ล้วนแล้วก็เป็นการกระทำเหตุใหม่ให้เกิดด้วยกันทั้งสิ้น
ไม่เคยนึกเลยว่าการทำ
ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เพื่อจะตัดไม่ให้เหตุเกิด เช่นว่า วันนนี้ฉันไปทำบุญมาเอาบุญมาฝาก
อนุโมทนากันนะ เหล่านี้เป็นต้น ก็ลองคิดดูให้ดีนะว่าเป็นการกระทำเหตุใหม่ให้เกิดขึ้นใช่หรือไม่?
มองไม่เห็นเลยว่าเป็นการละเหตุแห่งทุกข์เลย





ทีนี้มองออกหรือยังว่า การกล่าวเพ่งโทษในเหตุและปัจจัยของผู้อื่น มีสภาพธรรมแบบไหน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2015, 18:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


โกเมศวร์ เขียน:
:b8: คุณ walaiporn

ถ้าคู่สนทนามองไม่เห็นในสิ่งที่คุณเห็น ก็น่าจะลองชี้ให้เขาดูนะ

ขออภัยที่สอด แต่ยินดีที่ได้เห็นว่าเพื่อนยังอยู่

:b8:



ขอบคุณคุณโกเมศน์ :b8:

วลัยพรดูไปเรื่อยๆค่ะ

หากสิ่งไหน เห็นว่า ควรบอก ก็จะสะกิดกัน
หากเจ้าตัวยืนยัน ในสิ่งที่เขาคิดว่า รู้
เมื่อสะกิดแล้ว ยังมองไม่เห็น ก็ปล่อยค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2015, 19:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
โกเมศวร์ เขียน:
:b8: คุณ walaiporn

ถ้าคู่สนทนามองไม่เห็นในสิ่งที่คุณเห็น ก็น่าจะลองชี้ให้เขาดูนะ

ขออภัยที่สอด แต่ยินดีที่ได้เห็นว่าเพื่อนยังอยู่

:b8:




ขอบคุณคุณโกเมศน์ :b8:

วลัยพรดูไปเรื่อยๆค่ะ

หากสิ่งไหน เห็นว่า ควรบอก ก็จะสะกิดกัน
หากเจ้าตัวยืนยัน ในสิ่งที่เขาคิดว่า รู้
เมื่อสะกิดแล้ว ยังมองไม่เห็น ก็ปล่อยค่ะ

ที่นี้ลุงหมานก็คงได้อาจารย์มาคอยสอดส่องดูแล มาคอยตักเตือนแล้วซินะ ขอบคุณแล้วกัน

เอ! ว่าแต่ว่าต้องให้ลุงหมานจะต้องเรียกว่า อาจารย์วลัยพร ไหมนั่น

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2015, 19:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
ถ้าไม่ศึกษาให้รู้ความจริงแล้ว ไม่เช่นนั้นแล้วจะถูกกิเลสหลอกเอาได้
หลอกให้ไปในทางที่ไม่ใช่พระนิพพาน เพราะแม้แต่ เทวดาและพรหมก็ยังโดนหลอกมาแล้วว่า
นี้คือในโลกุตตรธรรม (มรรค ผล นิพพาน) เช่นท่านอุทกดาบส และท่านอาฬารดาบส
ก็ยังถูกกิเลสหลอกไปเป็นอรูปพรหม ว่าตรงนี้แหละแดนพระนิพพาน
แม้แต่เดี๋ยวนี้ก็เช่นเดี๋ยวกันเข้าใจว่านิพพานเป็นแดนสุขาวดี คือเป็นแดนที่ไปแล้วไม่ตาย

เพราะยังบกพร่องอยู่ก็เพราะไม่รู้ปรมัตถธรรม ๔ ประการ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน สัจจ์ ๔ ปฏิจจ
ทำไมจึงไม่รู้ปรมัตถธรรม ก็เพราะ “อวิชชา” เป็นผู้ปกปิดไว้ไม่ให้เห็นความจริง
โทษของความไม่รู้ปรมัตถธรรม คือทำให้ยึด รูปนาม ขันธ์ ๕ ว่าเป็นอัตตาตัวเรา (กิเลสวัฏฏ์)
เป็นเหตุให้ทำกรรม (กัมมวัฏฏ์) ซึ่งมีผลเป็นวิบาก (วิปากวัฏฏ์) เวียนว่ายในวัฏฏทุกข์ไม่รู้จบสิ้น


walaiporn เขียน:

เมื่อกล่าวอ้างมาแบบนี้
แสดงว่า ลุงหมาน รู้ชัดในสิ่งที่เรียกว่า ปรมัตถธรรม
ที่ว่าด้วย จิต เจตสิก รูป นิพพาน แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวแล้วกัน

เกี่ยวกับบุคคลที่ลุงหมานคิดว่า กำลังถูกหลอก ช่วยแสดงให้เขาทั้งหลาย เห็นว่า
จิต เจตสิก รูป นิพพาน ที่นำมากล่าวอ้างถึงนั้น
สามารถนำมากระทำเพื่อดับเหตุแห่งทุกข์ได้อย่างไร ด้วยวิธีไหน


ที่วลัยพรกล่าวเช่นนี้เพราะ พระธรรมคำสอน ไม่ว่าจะกล่าวในแง่ใดๆ
ล้วนเป็นการกระทำเพื่อ ดับเหตุแห่งทุกข์


ก็กำลังรอชม...อยู่...ก็อยากจะรู้วิธีปฏิบัติในแนวอภิธรรม..นะครับ s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2015, 19:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
ถ้าไม่ศึกษาให้รู้ความจริงแล้ว ไม่เช่นนั้นแล้วจะถูกกิเลสหลอกเอาได้
หลอกให้ไปในทางที่ไม่ใช่พระนิพพาน เพราะแม้แต่ เทวดาและพรหมก็ยังโดนหลอกมาแล้วว่า
นี้คือในโลกุตตรธรรม (มรรค ผล นิพพาน) เช่นท่านอุทกดาบส และท่านอาฬารดาบส
ก็ยังถูกกิเลสหลอกไปเป็นอรูปพรหม ว่าตรงนี้แหละแดนพระนิพพาน
แม้แต่เดี๋ยวนี้ก็เช่นเดี๋ยวกันเข้าใจว่านิพพานเป็นแดนสุขาวดี คือเป็นแดนที่ไปแล้วไม่ตาย

เพราะยังบกพร่องอยู่ก็เพราะไม่รู้ปรมัตถธรรม ๔ ประการ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน สัจจ์ ๔ ปฏิจจ
ทำไมจึงไม่รู้ปรมัตถธรรม ก็เพราะ “อวิชชา” เป็นผู้ปกปิดไว้ไม่ให้เห็นความจริง
โทษของความไม่รู้ปรมัตถธรรม คือทำให้ยึด รูปนาม ขันธ์ ๕ ว่าเป็นอัตตาตัวเรา (กิเลสวัฏฏ์)
เป็นเหตุให้ทำกรรม (กัมมวัฏฏ์) ซึ่งมีผลเป็นวิบาก (วิปากวัฏฏ์) เวียนว่ายในวัฏฏทุกข์ไม่รู้จบสิ้น


walaiporn เขียน:

เมื่อกล่าวอ้างมาแบบนี้
แสดงว่า ลุงหมาน รู้ชัดในสิ่งที่เรียกว่า ปรมัตถธรรม
ที่ว่าด้วย จิต เจตสิก รูป นิพพาน แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวแล้วกัน

เกี่ยวกับบุคคลที่ลุงหมานคิดว่า กำลังถูกหลอก ช่วยแสดงให้เขาทั้งหลาย เห็นว่า
จิต เจตสิก รูป นิพพาน ที่นำมากล่าวอ้างถึงนั้น
สามารถนำมากระทำเพื่อดับเหตุแห่งทุกข์ได้อย่างไร ด้วยวิธีไหน


ที่วลัยพรกล่าวเช่นนี้เพราะ พระธรรมคำสอน ไม่ว่าจะกล่าวในแง่ใดๆ
ล้วนเป็นการกระทำเพื่อ ดับเหตุแห่งทุกข์


ก็กำลังรอชม...อยู่...ก็อยากจะรู้วิธีปฏิบัติในแนวอภิธรรม..นะครับ s006 s006


คุณกบน่าจะถามผิดคนแล้วหละ ต้องถามอาจารย์วลัยพรดีกว่ามั้ง เพราะเขาเป็นผู้ดูแลลุงหมานอยู่

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2015, 04:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เป็นไรคับ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2015, 14:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


อะไรๆ ก็จะยกให้เป็นของกรรมบ้างละ เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยบ้างละ
จะเป็นการที่จะปฏิเสธการกระทำของตนเอง อย่างหนึ่งละ และด้วยความไม่เข้าใจ
เรื่องเหตุปัจจัย รู้ที่ว่าดับเหตุแห่งทุกข์ไม่รู้ทั่วถึงวิธีดับเหตุอย่างไร อยากจะฆ่ากิเลสให้ตาย
ก็ไม่รู้จักหน้าตาของกิเลสเป็นอย่างไร กิเลสมีจำนวนเท่าไหร่ กิเลสตัวไหนที่ฆ่าได้ยากมาก

พระอริยบุคคล ๔ มีพระอริยะเบื้องบน ๒ เท่านั้นที่ทำลายเหตุได้ พระอริยะเบื้องต่ำ ๒
ก็ยังไม่สามารถที่จะดับเหตุได้เลยแม้แต่เหตุเดียว ทำได้เพียงทำลายปัจจัยของเหตุ
เช่นพระโสดาบันทำลายเพียง ทิฎฐิและวิจิกิจฉาซึ่งไม่ใช่ตัวเหตุ ส่วนพระสกทาคามีนั้น
ไม่ว่าปัจจัยหรือเหตุก็ดับไม่ได้เลย เพียงแค่ทำให้เบาบางลงเท่านั้น

เป็นนักปฏิบัติที่แท้จริงเขาเป็นเพียงผู้ดูเท่านั้น ไม่ใช่เป็นผู้แสดงเสียเองเล่ามาเป็นคุ้งเป็นแคว
นั่นแหละโดนกิเลสหลอกเอาไปกินทั้งนั้น ละครเรื่องนี้จบเมื่อไหร่่ก็จะรู้ได้ว่ามาผิดทางเสียนาน

ผิดถูกอย่างไรช่วยสะกิดสะเกาหน่อยก็แล้วกันนะ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 66 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 70 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร