ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
อยากศึกษาพระอภิธรรม ต้องค่อยๆ เรียนรู้ไป http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=49266 |
หน้า 5 จากทั้งหมด 5 |
เจ้าของ: | AAAA [ 10 ก.ค. 2018, 09:03 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: อยากศึกษาพระอภิธรรม ต้องค่อยๆ เรียนรู้ไป | ||
4Aขออนุโมทนาสาธุการค่ะ
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 07 ก.ย. 2018, 09:15 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: อยากศึกษาพระอภิธรรม ต้องค่อยๆ เรียนรู้ไป | ||
.................
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 19 ม.ค. 2021, 09:12 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อยากศึกษาพระอภิธรรม ต้องค่อยๆ เรียนรู้ไป |
< ประโยชน์ของการศึกษาพระอภิธรรม > อาจารย์เทพฤทธิ์ สาธิตการมณี ประโยชน์ของการศึกษาพระอภิธรรมมีมากมาย แต่พอสรุปที่สำคัญๆได้โดยสังเขปดังต่อไปนี้ ๑. การศึกษาพระอภิธรรมทำให้เข้าถึงแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา เพราะพระอภิธรรมเกิดจากพระสัพพัญญุตญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าการศึกษาพระอภิธรรมจึงเป็นการเข้าถึงพระปัญญาคุณของพระพุทธองค์อย่างแท้จริง เพราะหากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มาตรัสรู้แล้ว แม้คำว่าพระอภิธรรมก็จะไม่มีใครเคยได้ยินเลย และในพระไตรปิฎกนี้ พระอภิธรรมเปรียบเสมือนแก่นของต้นไม้ พระสูตรเปรียบเสมือนเปลือกของต้นไม้ ส่วนพระวินัยเปรียบเหมือนกระพี้หุ้มต้นไม้ แม้ทั้ง ๓ ส่วนจะช่วยกันรักษาต้นไม้ให้ดำรงอยู่ได้ เหมือนพระไตรปิฎกจะช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่ได้ แต่พระอภิธรรมก็มีความสำคัญลึกซึ้ง และมีความสำคัญกว่าเพราะมีมากถึง ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ดังนั้น การได้มีโอกาสศึกษาพระอภิธรรมจึงเป็นการสร้างและเพิ่มพูนปัญญาได้เป็นอย่างมาก ๒. การศึกษาพระอภิธรรมทำให้เราเข้าใจการทำงานของร่างกายและจิตใจ ซึ่งเป็นธรรมชาติที่อยู่ในตัวเราและของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อให้รู้และเข้าใจการทำงานร่วมกันของร่างกายและจิตใจ ว่ากายก็อาศัยเนื่องกับใจ แต่ใจก็ต้องอาศัยเกิดอยู่ในร่างกายนี้ เมื่อศึกษาแล้วจะทำให้เรารู้ถึงกระบวนการทำงานของจิตขณะยังไม่รับอารมณ์ใหม่ที่เรียกว่า "ภวังคจิต" และเข้าใจการทำงานเพื่อรับอารมณ์ใหม่ของจิตที่เรียกว่า "วิถีจิต" ได้เรียนรู้ขั้นตอนการทำงานของจิตแต่ละดวงในวิถีจิต ว่ามีขั้นตอนการทำงานอย่างไรและรู้ได้ว่าวิถีจิตนี้แหละ มีการทำกรรมตรงชวนะในวิถี ซึ่งสำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์แล้ว เจตนากรรมตรงชวนจิตนี้แหละจะส่งผลให้เกิดวิบากคือผลของกรรม ให้ได้รับในอนาคตอย่างแน่นอน ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ตราบเท่าที่ยังไม่เข้าสู่การปรินิพพาน ๓. เมื่อเราเข้าใจการทำงานของเจตนากรรมแล้วแม้เราจะรู้ว่าเราบังคับบัญชาจิตให้ทำแต่ความดีและไม่ให้ทำความชั่วไม่ได้ เพราะจิตก็เป็นอนัตตา แต่เราก็สามารถอบรมจิตให้ทำความชั่วให้น้อยลงได้ และอบรมให้ทำความดีให้เพิ่มขึ้นได้จากความเข้าใจในการเรียนแล้วนำมาพิจารณาให้เกิดโยนิโสมนสิการบ่อยๆยิ่งฝึกมามาก กิเลสก็น้อยลงมาก กุศลก็เกิดเพิ่มขึ้นมาก ๔. ทำให้เรารู้ว่า แม้เราจะควบคุมอกุศลวิบากที่จะเกิดกับเราไม่ให้เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะอกุศลกรรมที่เราทำไว้ในอดีต เมื่อปัจจัยถึงพร้อมแล้ว ย่อมส่งผลเป็นอกุศลวิบาก ให้เราต้องได้รับอย่างแน่นอน แต่การศึกษาพระอภิธรรมนี้จะทำให้เราสามารถทำกุศลต่างๆใหม่ๆให้เกิดขึ้นเป็นอาจิณกรรม ซึ่งกุศลนี้แหละมีอำนาจในการลดทอนผลของอกุศลวิบากให้เบาบางลงจนอาจให้ผลได้ไม่ทันก็ได้ ซึ่งผู้ที่ไม่เคยศึกษาพระอภิธรรมไม่สามารถรู้ถึงกระบวนการทำงานของการจิตได้ และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการศึกษาพระอภิธรรมทำให้เรารู้ว่าเมื่ออกุศลวิบากกำลังให้ผล ก็เป็นผลกรรมของเราที่ทำไว้เองในอดีต การรับเอาอกุศลวิบากเท่ากับเรากำลังใช้หนี้กรรมเก่า ซึ่งหนี้ใช้แล้วย่อมหมดไป เราก็จะยอมรับในอกุศลวิบากของเรานี้ ทำให้เราไม่ต้องทุกข์ร้อนกับอกุศลวิบากหรือจะทุกข์ก็มีแต่น้อยเพราะเราเกิดปัญญาเข้าใจการทำงานของกรรม ว่าจะยอมรับหรือไม่ยอมรับก็ต้องรับ แต่เมื่อรับเอาอกุศลวิบากแล้วเราไม่เกิดทุกข์ได้ แต่ผู้ที่ไม่ศึกษาเรื่องของกรรมนี้มักจะไม่ยอมรับเอาอกุศลวิบาก เมื่อรับแล้วก็มีแต่เกิดความทุกข์ คร่ำครวญตีโพยตีพายว่าเราไม่เคยทำความชั่วเลย แล้วทำไมเรื่องร้ายๆเช่นนี้ต้องมาเกิดกับเราด้วย แต่ความจริงแม้ชาตินี้ไม่เคยทำ แต่อดีตชาติต้องเคยทำไว้อย่างแน่นอน มีคำกล่าวไว้ว่า "เมื่อเราทำกรรม แม้เราลืมกรรมไปแล้ว แต่กรรมไม่เคยลืมเรา" ๕. เมื่อเราศึกษาเรื่องอภิธรรมแล้ว จะทำให้เราเข้าใจในเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างสนิทใจว่าตราบใดที่เรายังไม่หมดกิเลส เราก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดในภพน้อยภพใจต่อไปอีกอย่างแน่นอน และการเรียนพระอภิธรรมทำให้เราสามารถเลือกเกิดในภพที่มีความสะดวกในการเจริญกุศลให้มากๆเพื่อมรรคผลนิพพานได้อีกด้วย ๖. การศึกษาพระอภิธรรม ทำให้เราเชื่อเรื่องนรกและสวรรค์ได้โดยสนิทใจ คนส่วนมากมักกล่าวกันว่า สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจ คือขณะใจมีความสุขก็เหมือนสวรรค์ แต่ขณะที่ใจมีความทุกข์ก็เหมือนกำลังตกนรก นั่นเป็นเพียงโวหาร และทำให้คนไม่เชื่อเรื่องสวรรค์และนรกว่ามีอยู่จริง ในพระสูตร พระพุทธองค์ทรงแสดงอดีตชาติของพระองค์ว่าเคยเกิดทั้งในนรก เกิดเป็นเปรต สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา และรูปพรหม ในขณะที่ยังเวียนว่ายสร้างบารมีเพื่อสัมมาสัมโพธิญาณ ซึ่งคำกล่าวของพระพุทธองค์เป็นสัจธรรม ความจริงอย่างแน่นอน หลายท่านเมื่อไม่เชื่อเรื่องนรกจึงกล้าทำความชั่วอย่างมากมาย แต่เมื่อตาย แล้ว ไปเกิดในนรก ก็จะมีความคิดว่า ถ้ารู้อย่างนี้เราจะไม่ทำความชั่วเช่นนั้นอย่างเด็ดขาด แต่ก็สายไปแล้ว แม้พวกเราก็เคยเวียนว่ายในภพน้อยภพใหญ่เมื่อเกือบทุกภพแล้ว (เว้นสุทธาวาสภูมิ ๔) และส่วนใหญ่ มักจะเกิดในอบายภูมิ ๔ เป็นส่วนมาก ดังนั้นการเรียนพระอภิธรรมแล้วนำมาใช้ประพฤติปฏิบัติให้เกิดสติ และหิริโอตัปปะ ก็จะเป็นการป้องกันอบายภูมิได้เป็นอย่างดี ๗. พระอภิธรรมแสดงสภาวะธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม คือ มีเพียงสภาพของรูปและนามเท่านั้น แต่ก็มีการแสดงถึงบัญญัติธรรมที่เป็นสมมติสัจจะด้วย เพื่อให้เกิดภาษาที่ใช้สื่อสารปรมัตถสัจจะนั้น ให้เกิดความเข้าใจ และยังปฏิเสธความเป็นสัตว์บุคคลตัวตนว่า ไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงสภาพของรูปธรรมและนามธรรมที่เรียกว่าขันธ์๕ ที่เป็นไปตามอำนาจแห่งกรรมเท่านั้น และธรรมทั้งหลายก็ล้วนบังคับบัญชาให้เป็นไปตามความต้องการของเราไม่ได้ แต่ต้องเป็นไปตามอำนาจของเหตุปัจจัยต่างๆ ที่มาประชุมกัน ถ้าปัจจัยไม่พร้อม ธรรมนั้นก็ไม่เกิด ถ้าปัจจัยพร้อม ธรรมนั้นก็เกิด หมดเหตุปัจจัย ธรรมนั้นก็ดับ ดั่งที่พระอัสสชิแสดงแก่ท่านอุปติสสะ หรือพระสารีบุตรว่า "ธรรมทั้งหลายมีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งความเกิด และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณเจ้ามีปกติกล่าวเช่นนี้" เท่ากับพระอภิธรรมปฏิเสธเรื่อง พระเจ้าผู้สร้างโลกว่าไม่มีอยู่จริง ๘. การศึกษาพระอภิธรรม ทำให้เข้าใจเรื่องของรูป-นาม สามัญลักษณะ และวิเสสลักษณะของรูปนามนั้นๆ อันจะนำมาเป็นอารมณ์ของการเจริญวิปัสสนา เพื่อความพ้นจากวัฏฏทุกข์ได้เป็นอย่างดี เมื่อปฏิบัติจนปัญญาเข้าไปรู้แจ้งแทงตลอดในสภาวะของรูปนาม ตามกิจในอริยสัจ ๔ แล้ว ย่อมนำมาซึ่งความสิ้นอาสวะกิเลส หลุดพ้นจากตัณหาทั้งปวง ไม่มีการสืบต่อแห่งรูปนามขันธ์ ๕ ในอนาคตชาติอีกโดยเด็ดขาด ๙. การศึกษาพระอภิธรรมทำให้เราเกิดปัญญาสัมมาทิฏฐิ และคลายความเห็นผิดต่างๆ ทั้งที่เป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิ สักกายทิฐิ มงคลตื่นข่าว และสีลัพพตปรามาส คือการยึดถือข้อปฏิบัติผิด ที่ไม่อยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าปฏิบัติแล้วเข้าถึงมรรค ผล นิพพานได้ ดังนั้นการศึกษาพระอภิธรรมจึงเปรียบเสมือนการศึกษาแผนที่ เพื่อให้รู้เส้นทางที่ถูกต้องของการเดินทางเมื่อเข้าใจเส้นทางอย่างถูกต้องแล้ว โอกาสจะหลงทางก็ไม่มี การศึกษาพระอภิธรรมก็เช่นกัน เป็นการศึกษาอารมณ์ของการเจริญวิปัสสนาอย่างถูกต้อง ดังนั้นเมื่อลงมือปฏิบัติจริงก็จะไม่ปฏิบัติผิดแล้วอย่างแน่นอน แต่ก็ต้องระวังผู้ที่ดัดแปลงวิธีปฏิบัติด้วย เพราะมีบางสำนักดัดแปลงเพิ่มเติมวิธีปฏิบัติให้ผิดเพี้ยนจากเดิมโดยอ้างว่าทำเช่นนั้นแล้วจะทำให้ปฏิบัติได้ง่าย ขึ้นซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงบุคคลนั้นก็คงจะเก่งกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะวิธีการทั้งง่ายและยากสำหรับผู้มีปัญญาน้อยและมากพระพุทธองค์ก็ทรงแสดงไว้หมดแล้ว ดังนั้นผู้ที่เข้าใจพระอภิธรรมเป็นอย่างดี เขาจะเกิดปัญญาวิเคราะห์ได้ว่าคำสอนใดถูกเหตุผล คำสอนใดไม่ถูกเหตุผล ก็จะได้ไม่หลงกับคำสอนผิดๆนั้น ๑๐. การศึกษาพระอภิธรรมเป็นการสั่งสมปัญญาบารมีที่ประเสริฐที่สุดไม่มีวิทยาการใดๆในโลกที่ศึกษาแล้วเกิดปัญญารู้แจ้งโลกอย่างถ้วนเท่ากับการศึกษาพระอภิธรรม การศึกษาพระอภิธรรมจึงเท่ากับเป็นการช่วยกันรักษาพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้มีโอกาสศึกษากันต่อไป เท่ากับเป็นการช่วยสืบ ต่ออายุของพระพุทธศาสนาให้ดำรงมั่นคงถาวรในโลกมนุษย์ให้นานตราบเท่าที่เหตุปัจจัยจะเป็นไปได้ ๑๑. การศึกษาพระอภิธรรมทำให้เข้าใจในเหตุและผลของธรรมทั้งหลายได้อย่างถูกต้อง ทำให้สามารถถ่ายทอดพระธรรมคำสอนให้ผู้อื่นได้รู้ตาม สามารถตอบคำถามของผู้ที่สงสัยได้อย่างมีเหตุผล และยังเป็นปัจจัยแก่การบรรลุ "ปฏิสัมภิทาญาณ" ได้อีกด้วย ผู้ที่ไม่แตกฉานในอภิธรรมไม่อาจได้มาซึ่งปฏิสัมภิทาญาณ และมีการแสดงไว้ว่า "ธรรมกถึก" คือผู้แสดงธรรม ควรที่จะเรียนรู้พระอภิธรรมให้แตกฉานอีกด้วย เพราะจะทำให้การแสดงธรรมนั้นลึกซึ้งมากขึ้น และทำให้ไม่ตีความพระสูตรผิดๆ เหมือนบางท่านที่ปฏิเสธพระอภิธรรมว่าไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า ทำให้ตนแสดงธรรมผิดสภาวธรรม ผิดเหตุผลอยู่มากมายหลายเรื่องเพราะการไม่ศึกษาพระอภิธรรมนั่นเอง ซึ่งมีแสดงไว้ว่าการพูดธรรมะผิดๆมีโอกาสไปอบายได้ง่ายๆ ดังนั้นผู้ที่จะแสดงธรรมก็ต้องสังวรระวังในข้อนี้ด้วย ถ้าเข้าใจสภาวะธรรมยังไม่ถูกต้อง อาจลงอบายได้ ๑๒. ผู้ที่ไม่ศึกษาพระอภิธรรม มักจะมีศรัทธามากกว่าปัญญา เมื่อศรัทธาที่ขาดปัญญาจะทำให้ถูกหลอกลวงให้เกิดความหลงงมงายได้ง่าย ดังนั้นศรัทธาที่ประกอบกับปัญญา จะทำให้เกิดวิริยะ สติ และสมาธิได้ง่าย เมื่อมีอินทรีย์ ๕ ที่แก่กล้าก็จะสามารถวิเคราะห์การแสดงธรรมของบุคคลต่างๆได้อย่างมีเหตุผล เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อที่ถูกเหตุผล ไม่เชื่อในสิ่งที่ไม่ถูกเหตุผล แม้แต่พระพุทธองค์ก็ทรงแสดงไว้ใน "เกสปุตตสูตร" หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "กาลามสูตร" ว่า ๑. อย่าเพิ่งด่วนเชื่อ เพราะการฟังตามกันมา ๒. อย่าเพิ่งด่วนเชื่อเพราะมีการสืบต่อๆกันมา ๓. อย่าเพิ่งด่วนเชื่อเพราะการเล่าลือกันมา ๔. อย่าเพิ่งด่วนเชื่อด้วยการอ้างตำรา ๕. อย่าเพิ่งด่วนเชื่อเพราะอาศัยตรรกะหรือการคิดเอาเอง ๖. อย่าเพิ่งด่วนเชื่อเพราะการอนุมานหรือคาดคะเนเอง ๗. อย่าเพิ่งด่วนเชื่อเพราะคิดตามความเชื่อของเราหรือมโนเอาเอง ๘. อย่าเพิ่งด่วนเชื่อว่าตรงกับทฤษฎีที่มีผู้แสดงไว้ ๙. อย่าเพิ่งด่วนเชื่อเพราะมองเห็นลักษณะว่าน่าจะเป็นไปได้ ๑๐. อย่าเพิ่งด่วนเชื่อเพราะ ว่าพระท่านมีคนนับถือมาก หรือท่านเป็นครูของเรา หรือท่านมีความรู้มาก แต่ให้พิจารณาว่าถูกต้องตามเหตุผลที่ไม่มีข้อขัดแย้งใดๆ ธรรมนั้นเป็นกุศลหรืออกุศล ถ้าเป็นอกุศลมีโทษ ก็ละความเชื่อนั้นเสีย ถ้าเป็นกุศลมีคุณประโยชน์ก็เชื่อและพึงปฏิบัติตามเป็นต้น สรุปว่าประโยชน์ของการเรียนอภิธรรมมีมากมายเหลือคณานับ ที่ยกมาแสดงนี้เป็นเพียงบางส่วนเท่าที่ปัญญาของผู้เขียนเฉพาะอธิบายได้ อภิธรรมจึงเปรียบเสมือนแก้วมณีที่มีค่ามากเหลือประมาณ ผู้ใดได้ศึกษาและเข้าใจในเหตุผลของพระอภิธรรมแล้ว จะเกิดความรู้สึกว่า "เป็นโชคดีของเราอย่างมหาศาลแล้วที่ได้มีโอกาสมาศึกษาความรู้ที่สูงส่งเช่นนี้ สิ่งนี้มีค่ายิ่งกว่าทรัพย์ใดๆในโลก" จึงขอฝากท่านสมาชิกทั้งหลายว่าหากมีเวลาควรหาโอกาสเก็บเกี่ยวทรัพย์อันประเสริฐติดตัวไปในอนาคต คือการศึกษาพระอภิธรรมให้ได้นะครับ ที่มา: ปัญญาสาร ฉบับที่ ๑๔๖ มูลนิธิแนบมหานีรานนท์ อ่านโดย โดย คุณกรองกาญจน์ https://youtu.be/yQSIa3vC2Bg |
หน้า 5 จากทั้งหมด 5 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |