ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
อยากศึกษาพระอภิธรรม ต้องค่อยๆ เรียนรู้ไป http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=49266 |
หน้า 4 จากทั้งหมด 5 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 31 มี.ค. 2015, 07:52 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: อยากศึกษาพระอภิธรรม ต้องค่อยๆ เรียนรู้ไป | ||
ภิกษุผู้ปฏิบัติดีใน ๓ ปิฎกได้ผลดีต่างกัน อนึ่ง ภิกษุผู้ปฏิบัติดีในพระวินัย อาศัยสีลสมบัติ ย่อมได้บรรลุวิชชา ๓ ก็เพราะตรัสจำแนกประเภทวิชชา ๓ เหล่านั้นนั่นแลไว้ในพระวินัยนั้น. ผู้ปฏิบัติดีในพระสูตร อาศัยสมาธิสมบัติ ย่อมได้บรรลุอภิญญา ๖ ก็เพราะตรัสจำแนกประเภทอภิญญา ๖ เหล่านั้นไว้ในพระสูตรนั้น. ผู้ปฏิบัติดีในพระอภิธรรมอาศัยปัญญาสมบัติ ย่อมได้บรรลุปฏิสัมภิทา ๔ ก็เพราะตรัสจำแนกประเภทปฏิสัมภิทา ๔ นั้นไว้ในพระอภิธรรมนั้นนั่นเอง. ผู้ปฏิบัติดีในปิฎกเหล่านี้ย่อมบรรลุสมบัติต่างกัน คือ วิชชา ๓ อภิญญา ๖ และปฏิสัมภิทา ๔ นี้ตามลำดับด้วยประการฉะนี้. http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... 01&i=1&p=2
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 01 เม.ย. 2015, 06:12 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: อยากศึกษาพระอภิธรรม ต้องค่อยๆ เรียนรู้ไป | ||
มรณะหรือความตายมี ๓ อย่าง คือ ขณิกมรณะ ได้แก่ ความตายแต่ละขณะ ๆ ที่จิต เจตสิก รูป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป สมมุติมรณะ ได้แก่ ความตายของสัตว์บุคคลในภพหนึ่งชาติหนึ่ง สมุจเฉทมรณะ ได้แก่ การปรินิพพานของพระอรหันต์ ซึ่งเมื่อจุติจิต เกิดและดับไปแล้ว ไม่มีปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่ออีกเลย
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 30 เม.ย. 2015, 18:31 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: อยากศึกษาพระอภิธรรม ต้องค่อยๆ เรียนรู้ไป | ||
อาจารย์สัญชัยผู้มีมานะมาก พระสารีบุตร เมื่อพบพระอัสสชิได้ฟังธรรมจากพระอัสสชิ ว่า เย ธัมมา เห ตุ ปัปภวา เตสํ เหตุง ตถาคโต เตสญฺ จ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ ยังไม่จบบทก็ได้บรรลุธรรมได้เป็นพระโสดาปัตติผล แล้วหลีกไปเพื่อจะไปพบพระโมคัลลานะ ได้พบในระหว่างทาง ก็กล่าวธรรมเช่นเดียวกับพระอัสสชิ พระโมคัลลานะก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล เช่นเดียวกัน และได้บอกกับพระโมคคัลลานะให้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าก่อน ส่วนตนจะไปพบอาจารย์สัญชัย ผู้เป็นอาจารย์ของตน เมื่อถึงสำนักของอาจารย์ อาจารย์สัญชัยก็รู้ได้ทันที่ว่า พระสารีบุตรได้บรรลุธรรมชั้นสูง จึงให้กล่าวธรรมสอนศิษย์ของตน เมื่อสอนเสร็จก็มาชักชวนอาจารย์สัญชัยให้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า อาจารย์สัญชัยจึงย้อนถามว่า คนเราในโลกนี้คนฉลาดมีมากหรือคนโง่มีมาก พระสารีบุตรก็ตอบว่าคนโง่มีมาก อาจารย์สัญชัยตอบว่างั้นเราไม่ไปเฝ้าพระผู้มีพระเจ้า เราจะขออยู่กับคนโง่ พระสารีบุตรจึงเดินออกจากสำนักของอาจารย์สัญชัย พร้อมด้วยลูกศิษย์ของอาจารย์ เดินตามมาด้วยเกือบหมดสำนัก อาจารญ์สัญชัยเห็นดังนั้นก็เกิดความเสียใจที่ลูกศิษย์ของตน ตามพระสารีบุตรไปกันหมด จนกระทั่งอกแตกตายในที่นั้น ปล. ที่เป็นเช่นนี้อาจารย์สัญชัยก็รู้นะว่า ถ้าตามพระสารีบุตรไปตัวเองก็จะต้องบรรลุธรรมชั้นสูง แต่เลือกเอาที่จะอยู่กับคนโง่คนมีมาก เพราะลาภสักการะก็มีมาก ท้ายที่สุดลูกศิษย์ของตน ไม่ใช่คนโง่เลยสักคน และอีกอย่างหนึ่งกลัวศิษย์ของตนไปนับถือพระพุทธเจ้ากันหมด จึงกล่าวได้ว่าอาจารย์สัญชัยก็เป็นผู้มีปัญญาแต่ติดตรงที่มีมานะมาก
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 03 มิ.ย. 2015, 07:38 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: อยากศึกษาพระอภิธรรม ต้องค่อยๆ เรียนรู้ไป | ||
ในวัฏฏสงสารอันยาวนานนี้ เราเคยเกิดกันมาแล้วทั้งนั้น มีนรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน เทวดา พรหม แต่ในพรหมโลกที่เราไปเกิดนั้นจะต้องได้ฌานและอภิญญาทั้งสิ้น ก็แสดงว่าเราเคยได้ฌานอภิญญามาแล้วด้วยกันทุกคนในอดีต เราจำกันได้หรือไม่ว่า เราได้เกิดมากี่ครั้งในแต่ละที่ จะหมุนไปอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก และเชื่อแน่ว่าไม่มีใครจำได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดและเบื้องต้นไม่ได้ เมื่อหมู่สัตว์ผู้มีอวิชชากางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดและเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฎ พระพุทธองค์ทรงแสดงให้เราทราบว่า ทุกคนที่เกิดมานี้ล้วนแต่มีบรรพบุรุษสืบสายกันมานับไม่ถ้วน ทั้งทางฝ่ายมารดาและบิดา โดยทรงเปรียบเทียบกับผืนแผ่นดินใหญ่นี้ว่าถ้าเราจะเอาดินมาปั้น เป็นก้อนเล็กๆเท่าเมล็ดกระเบา แล้วสมมุติให้ก้อนนี้เป็นมารดาของเรา ก้อนนี้เป็นมารดาของมารดาเราเป็นลำดับไป มารดาของมารดาเราจะไม่ถึงความสิ้นสุด แต่ดินบนผืนแผ่นดินใหญ่นี้จะพึงหมดไปเสียก่อน แม้ในฝ่ายบรรพบุรุษของบิดาก็เช่นเดียวกัน เราได้เสวยความทุกข์เดือดร้อน ร้องไห้ คร่ำครวญกันมานานไม่น้อยเลย พระพุทธองค์ ตรัสว่า น้ำตาของเราผู้ร้องไห้อยู่ในสงสารอันยาวนานนี้ ยังมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ รวมกัน เสียอีก ร่างกายของเรานั้นเล่าก็นอนทับถมพื้นดินกันมานานมิใช่น้อย จนนับประมาณมิได้ ตลอดเวลาที่เราท่องเที่ยวอยู่ในสงสารนี้ บางคราวก็จากโลกนี้ไปสู่โลกอื่น บางคราวก็จากโลก อื่นมาสู่โลกนี้ เวียนวนไปมาอยู่อย่างนี้ โดยไม่อาจกำหนดที่สุดของการเกิดของเราได้เลย ตราบเท่าที่ยังไม่เห็นอริยสัจ ๔ ทุกข์นั้นมีมากมาย แต่ไม่มีทุกข์อะไรที่น่ากลัวยิ่งกว่า ทุกข์ในวัฏฏะ อันมีการเวียนเกิดเวียนตาย ที่หาจุดจบมิได้ เกิดทีไรก็เป็นทุกข์ทีนั้น การเกิดบ่อยๆ จึงเป็นทุกข์ การไม่ต้องเกิดเป็นอะไรเลยเป็นความสุข ฉะนั้นการแสวงหาฌานแสวงหาอภิญญาล้วนแล้วยังเป็นเรื่องของการแสวงหาสังสารวัฏฏ์ที่ไม่มีสิ้นสุด
|
เจ้าของ: | eragon_joe [ 19 ก.ค. 2015, 13:43 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: อยากศึกษาพระอภิธรรม ต้องค่อยๆ เรียนรู้ไป | ||
...มาดันกระทู้.. ลุงหมาน มาโพสต์ต่อได้แล้วค่ะ...กระทู้นี้เงียบไปหลายวันแล้วนะ อิอิ
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 22 ก.ค. 2015, 06:55 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: อยากศึกษาพระอภิธรรม ต้องค่อยๆ เรียนรู้ไป | ||
eragon_joe เขียน: :b12: ...มาดันกระทู้.. ลุงหมาน มาโพสต์ต่อได้แล้วค่ะ...กระทู้นี้เงียบไปหลายวันแล้วนะ อิอิ ขอบคุณ ไบก้อน ที่ติดตามอ่าน พระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมจักรแก่ปัญจวัคคีในครั้งนั้น เสียงพระธรรมจักรได้บันลือขึ้นไปยังเทวโลกและพรหมโลกนับได้ ๒๒ ภพภูมิ ตามเครื่องหมายรูปดาวสีน้ำเงิน (ดูภาพที่แสดงไว้) ส่วนที่เป็นเป็นสีแดงนั้น คือ ๑ รูปพรหมที่ชั้นอสัญญสัตตพหรมนั้น ไม่สามารถที่ฟังได้เพราะเป็นพรหมที่แต่รูปไม่มีจิต ที่เราเรียกกันว่าพรหมลูกฟัก และอรูปพรหม ๔ ก็ไม่สามารถที่จะได้ยินเสียงพระธรรมจักรนั้นได้ ก็เพราะอรูปพรหมพวกนี้ไม่มีกาย ก็คือไม่มีหูที่จะฟังนั่นเอง อาจมีข้อสังสัยว่า อบายภูมิ ๔ ไม่ได้ยินหรือ ขอตอบว่า เพราะเสียงพระธรรมจักรจะบันลือขึ้นไปเฉพาะข้างบน
|
เจ้าของ: | เปลี่ยนชื่อใหม่ [ 26 ส.ค. 2015, 15:39 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: อยากศึกษาพระอภิธรรม ต้องค่อยๆ เรียนรู้ไป | ||
ลุงหมานครับ เริ่มต้นยังไงดีครับ หาหนังสือได้ที่ไหนบ้างครับ
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 27 ส.ค. 2015, 12:27 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: อยากศึกษาพระอภิธรรม ต้องค่อยๆ เรียนรู้ไป | ||
เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน: ลุงหมานครับ เริ่มต้นยังไงดีครับ หาหนังสือได้ที่ไหนบ้างครับ เข้าห้องเรียนครับ หนังสือมีที่ห้องเรียน
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 27 ส.ค. 2015, 13:04 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: อยากศึกษาพระอภิธรรม ต้องค่อยๆ เรียนรู้ไป | ||
ในอกุศลจิต ๑๒ พระโสดาบันประหารกิเลสได้ ๕ ดวง คือ ทิฎฐิ ๕ ดวง วิจิกิจฉา ๑ ดวง พระสกทาคามีทำกิเลสที่เหลือให้เบาบางลง พระอนาคามีปรระหารกิเลสที่เป็นโทสะได้ ๒ ดวง พระอรหันต์ประหารกิเลสที่เหลือ ๕ ดวง คือ มานะ ๔ ดวง อุทธัจจะ ๑ ดวง อกุศลจิต ๑๒ เป็นธรรมฝ่ายที่ควรต้องละ กิเลสทั้งหลาย อันมีกิเลส ๑๐ ประการ อาศัยธรรมฝ่ายนี้อยู่ ปุถุชนผู้มองเห็นภัยควรต้องเข้าไปสดับ ว่าเหตุ ๓ ประการนี้ คือ โลภเหตุ โทสเหตุ โมหเหตุ เป็นธรรมฝ่ายที่ชั่ว ผู้ที่ทำลายเหตุเหล่านี้ ย่อมเข้าถึงความหลุดพ้น ไม่กลับมาเกิดอีกในโลกทั้ง ๓
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 07 ก.ย. 2015, 06:40 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: อยากศึกษาพระอภิธรรม ต้องค่อยๆ เรียนรู้ไป | ||
ในอกุศลจิต ๑๒ พระอริยะบุคคลทั้ง ๔ ย่อมละได้ด้วยการทำมรรค ๘ ให้เกิดขึ้น โดยความพร้อมเพียงกัน ถึง ๔ ครั้ง หรืออีกนัยหนึ่ง ทำ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เกิดขึ้น องค์มรรค ๘ หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา มีดังนี้ ๑. สัมมาทิฎฐิ = ปัญญา ๒. สัมมาสังกัปปะ = ปัญญา ๓. สัมมาวาจา = ศีล ๔. สัมมากัมมันตะ = ศีล ๕. สัมมาอาชีวะ = ศีล ๖. สัมมาวายามะ = สมาธิ ๗. สัมมาสติ = สมาธิ ๘. สัมมาสมาธิ = สมาธิ องค์มรรค ๘ เป็นกัลยานมิตรที่ดี เป็นเพื่อนที่ดีที่ปลอดภัยในระหว่างเดินทาง องค์มรรค ๘ ก็ชื่อว่าทุกข์ เพราะองค์มรรค ๘ เหล่านี้ เป็นเจตสิก จึงตกอยู่ในเงื่อนไขของไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 07 ก.ย. 2015, 06:41 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: อยากศึกษาพระอภิธรรม ต้องค่อยๆ เรียนรู้ไป | ||
องค์ฌาน ๕ เป็นปฎิปักษ์ต่อนิวรณธรรม ๕ ดังนี้ ๑. วิตกเจตสิก เป็นปฎิปักษ์ต่อถีนมิทธนิวรณ์ เพราะเมื่อวิตกเจตสิกตรึกถึงแต่อารมณ์ของสมถภาวนามากขึ้นเรื่อยๆ ความท้อถอย หดหู่ และความง่วงเหงาก็ย่อมเกิดไม่ได้ ๒. วิจารเจตสิก เป็นปฎิปักษ์ต่อวิจิกิจฉานิวรณ์ เมื่อวิจารเจตสิกประคองอารมณ์ตามวิตกเจตสิกที่จรดลงในอารมณ์ของสมถภาวนาไปเรื่อยๆ ความสงสัยความไม่แน่ใจในสภาพธรรม และในเหตุผลของสภาพธรรมก็เกิดไม่ได้ ๓. ปีติเจตสิก เป็นปฎิปักษ์ต่อพยาปาทนิวรณ์ เมื่อความสงบในอารมณ์ของสมถภาวนาเพิ่มขึ้น ปีติก็เอิบอิ่มในความสงบนั้นยิ่งขึ้น ทำให้ความพยาบาทขุ่นเคืองใจเกิดไม่ได้ในระหว่างนั้น ๔. สุข (โสมนัสสเวทนา) เป็นปฎิปักษ์ต่ออุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ เมื่อกำลังเป็นสุขในอารมณ์ของ สมถภาวนาอยู่ ความเดือดร้อนใจ กังวลใจ และความฟุ้งซ่านในอารมณ์อื่นก็เกิดไม่ได้ เพราะกำลังเป็นสุขในสมถอารมณ์ในขณะนั้น ๕. เอกัคคตาเจตสิก เป็นปฎิปักษ์ต่อกามฉันทนิวรณ์ เพราะเมื่อสมาธิตั้งมั่นในอารมณ์ของสมถภาวนา แล้วก็ไม่ยินดีในกามอารมณ์ใดๆ
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 07 ก.ย. 2015, 06:43 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: อยากศึกษาพระอภิธรรม ต้องค่อยๆ เรียนรู้ไป | ||
องค์ฌานละนิวรณ์ ๕ ดังในภาพที่ประกอบ แต่องค์ฌาน ทั้ง ๕ ก็ยังไม่สามารถละ โมหะ, อหิริกะ, อโนตตัปปะ, ทิฏฐิ, มานะ, อิสสา, มัจฉริยะ, ได้ สรุปว่า สมถะกรรมฐาน ไม่สามารถทำลายกิเลสให้หมดไปได้จริง ย่อมไม่เข้าถึงความสำเร็จอันสูงสุด
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 07 ก.ย. 2015, 06:45 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: อยากศึกษาพระอภิธรรม ต้องค่อยๆ เรียนรู้ไป | ||
นิวรณ์ธรรมมี ๖ คือ กามฉันทนิวรณ์ ๑ พยาปาทนิวรณ์ ๑ ถีนมิทธนิวรณ์ ๑ อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ ๑ วิจิกิจฉานิวรณ์ ๑ อวิชชานิวรณ์ ๑ นิวรณ์ธรรมมี ๖ แต่สมถะกรรมฐาน ละนิวรณ์ ได้ ๕ เหลืออีก ๑ คือ "อวิชชานิวรณ์" เพราะเป็นธรรมที่ละเอียดมากเห็นได้ยาก อวิชชานิวรณ์นี้ประหารได้โดยวิปัสสนากรรมฐาน ที่มีในพระศาสนานี้เท่านั้น สมถะกรรมฐาน เหมือนเป็นการตัดต้นไม้ที่โคนขาด แต่ยังเหลือตอไว้ที่ยังสามารถ จะแตกเป็นลำต้นขึ้นมาใหม่ได้ ผิดกับวิปัสสนากรรมฐานที่สามารถละนิวรณ์ทั้ง ๖ ได้ เหมือนกับ ตัดต้นไม้ที่ถอนรากถอนโคนที่ไม่สามารถที่จะแตกใหม่ได้ บางท่านอาจจะเข้าใจว่านิวรณ์มีเพียงแค่ ๕ ลองกดลิ้งนี้ดูจะเห็นว่านิวรณ์มี ๖ http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... ode=%5B%5D
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 25 ก.ค. 2017, 19:22 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: อยากศึกษาพระอภิธรรม ต้องค่อยๆ เรียนรู้ไป | ||
พระอภิธรรมเรียนเรื่องที่อยู่กับตัวเราทั้งหมด
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 12 ส.ค. 2017, 10:19 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: อยากศึกษาพระอภิธรรม ต้องค่อยๆ เรียนรู้ไป | ||
..........
|
หน้า 4 จากทั้งหมด 5 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |