วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 08:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2016, 13:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ถึงแกมาวัด แต่ใจยังมีโลภ โกรธ หลง แกยังมาไม่ถึงวัด..แต่ถ้าแกอยู่ที่บ้านหรือที่ไหนๆ แต่ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง ข้าว่าแกมาถึงวัดแล้ว..
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ..





ตายคาภาวนายังดีกว่าตายคานึกถึงสิ่งของ เวลาเราจะตาย เรานึกถึงสิ่งของอันใด ใจขาดด้วย ก็ไปเป็นเขียดกะปาดบ้าง อยู่ตามรั้วอยู่ตามไร่ตามนา ถ้าเรานึกถึงหลานคนนั้นคนนี้ แล้วก็ใจขาดคาที่นั่น เราไปเกิดเป็นเป็ดเป็นไก่เขาหรือเป็นหลานเขา เวลาจะตายสำคัญ

อสัญกรรม กรรมเมื่อจวนเจียน
เวลาใกล้จะตายเห็นแสงไฟ ปรากฏเห็นแสงไฟมา ยังไม่คิดไปทางอื่นแล้วก็เลยตายในขณะนั้นก็ไปเกิดในนรก

ถ้าเวลาใกล้จะตายปรากฏเห็นท่าน้ำหรือป่าไม้ แล้วก็สิ้นลมปราณในเวลานั้นยังไม่คิดไปทางอื่น ก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน

ถ้าเวลาใกล้จะตายปรากฏว่ามืดมนอนธกาล มองไม่เห็นอะไรเลยคล้ายๆว่ากลางคืน สิ้นลมปราณในขณะนั้นก็ไปเกิดเป็นเปรต
ถ้าเวลาใกล้จะตาย ได้ปรากฏเห็นวิมานและปรากฏเห็นเทวบุตรเทวดา แล้วก็สิ้นลมปราณในขณะนั้น ก็ไปเป็นเทวบุตรเทวดาเป็นอินทร์เป็นพรหมอยู่ในสรวงสวรรค์หรือพรหมโลก

ถ้าเวลาใกล้จะตาย ปรากฏเห็นครรภ์มารดา ก็ไปถือปฏิสนธิเกิดอีกในครรภ์

ส่วนพระอรหันต์ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เวลาใกล้จะตายก็มาเห็นกายเราส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่น ลมหายใจเข้าออกเป็นต้น หรือ กระดูกท่อนใดท่อนหนึ่งเป็นต้น หรือผม ขน เล็บ ฟัน อันใดอันหนึ่งเป็นต้น หรือธาตุน้ำอันใดอันหนึ่งในสกลร่างกายเป็นต้น มีดี เสลด น้ำเลือด เหงื่อ น้ำมันข้น น้ำลาย ไขข้อ น้ำมูตร หรืออันใดอันหนึ่งเป็นต้น ต่อจากนั้นแล้วท่านก็พลิกจิต ไม่ได้ติดอยู่ในผู้รู้ทั้งหลาย ทั้งอดีต อนาคต ปัจจุบันด้วย ท่านก็เข้าสู่พระนิพพานไปซะ หาธรรมอันไม่ตาย

ถ้าเราไม่หัดไว้ทีนี้ ใกล้จะตายมาพุทโธๆแด่เด้อ พุทโธๆเด้อ พุทโธๆยังไงเมื่อมีชีวิตอยู่มันก็ยังไม่ภาวนา เดี๋ยวจะเจ็บอันนั้นปวดอันนี้ ร้องครางไปสารพัดแล้วไม่หัดไว้เดี๋ยวนี้ไม่ได้ จำเป็นต้องหัดไว้ ถ้าตายคาภาวนาพุทโธ ถึงจะมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกก็ตาม เราก็ไปสุคตินานอยู่เหมือนกัน

หลวงปู่หล้า เขมปัตโต



"มองตัวเองให้มาก..จึงจะกลายเป็นคนดีได้
มัวแต่มองผู้อื่นแล้วไซร์..ก็กลายเป็นคนพาลไปไม่รู้ตัว
เพราะนิสัยคนพาล..ย่อมเพ่งโทษผู้อื่นเป็นวัตร”
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต





เราไปที่ใด เกิดที่ใด ผลทานที่เราให้ไปนั่นแหละจะตามสนับสนุนเรา ให้เป็นคนมีความสุขความเจริญ นึกอะไรก็ไหลมาเทมา เพราะเราเคยให้มาแล้ว

สิ่งที่ให้ไปนั้นคือมิตร คือสหาย สิ่งที่พึ่งเป็นพึ่งตายของเรา เมื่อเรานึกถึง ผลทานย่อมไหลมาเทมา เมื่อนึกถึง บุญต้องมา เพราะเป็นของของเราที่เคยสร้างไว้แล้ว ให้ไปแล้วต้องกลับมาสนองตัวเราโดยไม่ต้องสงสัย..
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน..





เรื่องเกิดกับเรื่องทุกข์ มีความหมายอันเดียวกัน
เรื่องแก่กับเรื่องทุกข์ ก็มีความหมายอันเดียวกัน
เรื่องเจ็บกับเรื่องทุกข์ ก็มีความหมายอันเดียวกัน
เรื่องตายกับเรื่องทุกข์ ก็มีความหมายอันเดียวกัน
จะมีโวหารไปสักเพียงไหนก็ตาม แต่ก็มีรสชาติและความหมายอันเดียวกัน ยกเว้น “ท่านผู้พ้นไป” เสีย เหนือนอกนั้นมีความหมายอันเดียวกัน

เรื่องหนาวกับเรื่องทุกข์ต่างกันอย่างไร...อันเดียวกัน
เรื่องหิว..เรื่องกระหาย เรื่องปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ กายก็ทุกข์ ทุกข์ทางกาย ทุกข์ก็เทศน์อยู่ไม่มีกลางวันกลางคืน เราจะยึดถือว่าเป็นทุกข์หรือไม่เป็นทุกข์ก็ตาม แต่ความจริงก็เป็น “ทุกขัง อริยะสัจจัง” อยู่นั่นเอง..

หลวงปู่หล้า เขมปัตโต





“...คนเราได้ทำสมาธิมีพลังจิตแล้ว ก็เหมือนไปเรียนหนังสือ เมื่อไปเรียนทุกวันก็จะมีความรู้ เรียนจนจบมัธยมแล้วเป็นอย่างไร ความรู้เราก็ได้มากกว่าคนที่ไม่ได้เรียนเลย ทุกอย่างจึงเป็นไปอัตโนมัติ พอมาเปิดหนังสือ จับปากกาก็รู้ ก็เข้าใจ แต่คนที่ไม่ได้ไปเรียนไม่มีความรู้ เปิดหนังสือเท่าไรก็ไม่รู้ จับปากกาก็เขียนไม่ได้ การมาเรียนจึงเป็นการสะสมความรู้ เช่นเดียวกับคนที่มาเรียนสมาธิก็เป็นการสะสมพลังจิต ทำทุกวันๆ ก็เป็นการสะสมโดยไม่รู้ตัว...”
โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร




“...สังขารทั้งหลายทั้งปวงล้วนมีสภาวะดังนี้ ล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย ตั้งอยู่อย่างไม่เที่ยง แปรปรวนไปมา จนดับไปในที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่ใช่เราหรือของเราอย่างแท้จริง...”
โอวาทธรรมคำสอน..
องค์พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ






“...คนเราจะเป็นสุข เมื่อรู้จักพอดี

ไม่มีใครได้อะไรตลอดไป หรือเสียอะไรตลอดไป

ไม่มีใครหรือสิ่งไหนคงอยู่ตลอดไป โดยไม่สูญสิ้น

ขอเพียงแค่รู้จักพอดี ทุกคนจะเป็นสุข...”

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่บุดดา ถาวโร





"...ฉะนั้น 'ผู้มีสติ' จึงได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน มันมีอยู่ทุกเวลาเพราะอะไร ? เพราะเรามีความรู้อยู่ ในเวลานี้ เราจึงเรียนอยู่กลางธรรมะ จะเดินไปข้างหน้าก็ถูกธรรมะ จะถอยไปข้างหลังก็ถูกธรรมะ

ท่านจึงให้มี 'สติ' ถ้ามีสติแล้ว มันจะเห็นกำลังใจของตน เห็นจิตของตน ความรู้สึกนึกคิดของตัวเองเป็นอย่างไรก็ต้องรู้ รู้ถึงที่แล้วก็รู้แจ้งแทงตลอด เมื่อมันรอบรู้อยู่เช่นนี้ การประพฤติปฏิบัติมันก็ถูกต้องดีงามเท่านั้นแหละ..."

โอวาทธรรมคำสอน...
องค์หลวงพ่อชา สุภัทโท




"...เมื่อจิตกระทบเข้ากับอารมณ์ภายนอกอย่างไร ก็ให้หยุดอยู่แค่นั้น อย่าไปทะเลาะวิวาทโต้แย้ง อย่าไปเอออวยเห็นดีเห็นงาม จิตจะได้โอกาสก่อรูปก่อร่างเป็นตุเป็นตะ เป็นเรื่องเป็นราวยืดยาวออกไป อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์ต่อไป อย่าไปใส่ใจอีกต่อไป พอกันเพียงรู้อารมณ์เท่านี้เอง หยุดกันเพียงเท่านี้..."
โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์





"...จิตไม่มีธรรมก็คือจิตไม่มีเจ้าของ ระเหเร่ร่อน จิตมีเจ้าของต้องมีสติสตังระงับจิตใจให้มีความสงบร่มเย็น ใจก็สบาย ถ้าใจสบายแล้ว สบายหมดนะ สำคัญอยู่ที่ใจ

ความทุกข์ ความสุข รวมแล้วมาอยู่ที่ใจนี้ทั้งหมด ไม่อยู่ที่อื่น อยู่ที่ใจ ถ้าใจเราสงบแล้วก็สบาย

ถ้าใจไม่สงบแล้ว อะไรจะมีมากน้อย มันไม่มีความหมาย มันไปมีความหมายอยู่กับความสงบของใจ ให้พากันภาวนาให้จิตใจสงบบ้างนะ..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 101 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร