วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 07:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 53 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ย. 2016, 07:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จุดชี้ขาดความเสื่อมแห่งพระพุทธศาสนา

พระธรรมที่เป็นคำสอนคำบัญญัติตรัสสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดง ให้เปิดเผยปรากฏขึ้นนั้น เรียกว่า พระสัทธรรม จำนแนกเป็น ๓ ประเภท คือ

๑. ปริยัติสัทธรรม สัทธรรม คือ คำสั่งสอนที่จะต้องศึกษาเล่าเรียน ได้แก่ พระบาลีพุทธพจน์ในพระไตรปิฎก

๒. ปฏิบัติสัทธรรม สัทธรรม คือ ปฏิปทาที่จะต้องประพฤติปฏิบัติ ได้แก่ อริยมรรคมีองค์ ๘ หรือไตรสิกขา

๓. ปฏิเวธสัทธรรม สัทธรรม คือ ผลที่บุคคลจะพึงเข้าถึงหรือบรรลุได้ด้วยการศึกษาปฏิบัติ ได้แก่ มรรค ผล นิพพาน

พระสัทธรรมทั้ง ๓ ประเภทนี้ เรียกง่ายๆสั้นๆ ว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ซึ่งมีความสำคัญเชิงสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันอย่างแยกไม่ออก ดังนี้

ปริยัติ เป็นการศึกษาเล่าเรียนหลักพุทธธรรมภาควิชาการทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฏอยู่ใน คัมภีร์พระไตรปิฎก ซึ่งเป็นคัมภีร์สำคัญที่ประมวลพระพุทธพจน์หรือหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ ทั้งหมด โดยต้องศึกษาเรียนรู้ให้เข้าใจก่อนจะน้อมนำหลักธรรมอันเป็นพระพุทธพจน์นั้นไปปฏิบัติตาม ดังนั้น ปริยัติ จึงเปรียบเหมือนแผนที่ลายแทงแสวงหาขุมทรัพย์ ที่จำเป็นต้องศึกษาให้รู้ให้เข้าใจเสียก่อนเป็นเบื้องต้น

ปฏิบัติ เป็นกระบวนการฝึกควบคุมกาย วาจา และพัฒนาจิต เพื่อให้สงบระงับกิเลส และเกิดปัญญา เห็นสภาวธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งเกิดขึ้นและดับไปตามเหตุปัจจัยที่ตัวของเราเอง เป็นการดำเนินงานเพื่อความสิ้นทุกข์ตามความมุ่งหมายของปริยัติ กล่าวง่ายๆ ได้แก่ การนำหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ และปัญญา มาบูรณาการปฏิบัติอย่างเป็นระบบ ดังนั้น ปฏิบัติ จึงเปรียบเหมือนการเดินทางแสวงหาขุมทรัพย์ตามแผนที่ลายแทง

ปฏิเวธ เป็นผลที่ได้จากการปฏิบัติ คือการบรรลุรู้แจ้งธรรมตามสมควรแก่การปฏิบัตินั้น ซึ่งสามารถบรรลุได้ตั้งแต่ผลขั้นต้นไปจนถึงผลขั้นสูงสุด คือ ความสิ้นสุดแห่งทุกข์โดยสิ้นเชิง เป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นโดยอาศัยการปฏิบัติที่ถูกต้องเป็นหตุ ดังนั้น ปฏิเวธ จึงเปรียบเหมือนการพบขุมทรัพย์

พระสัทธรรมทั้ง ๓ คือ ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ นี้ เป็นเหตุเป็นผลที่ผู้ปรารถนาจะสำเร็จประโยชน์จากการนับถือพระพุทธศาสนาต้องทำให้เกิดเป็นระบบที่บูรณาการกันทั้งปริยัติ และปฏิบัติ เพื่อให้เกิดปฏิเวธ เพราะเมื่อปริยัติไม่มี ปฏิบัติก็ไม่ถูก เมื่อปฏิบัติไม่ถูก จึงไม่เกิดปฏิเวธ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ย. 2016, 07:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัญหาสำคัญสำหรับพุทธบริษัทในปัจจุบัน ก็คือการไม่นำพระสัทธรรมทั้ง ๓ ประการนี้มาบูรณาการกันในการศึกษาปฏิบัติตนตามหลักพระพุทธศาสนา โดยส่วนใหญ่มีแต่ผู้นิยมศึกษาเล่าเรียนปริยัติ สามารถกำหนดจดจำพุทธพจน์ได้เป็นสูตรๆ แต่ไม่นิยมนำมาปฏิบัติอย่างเข้มแข็งจริงจัง เมื่อไม่มีการปฏิบัติ ปฏิเวธ คือ ผลที่เกิดจากการปฏิบัติจึงไม่เกิด หรือไม่ก็มีแต่ผู้ปฏิบัติ โดยไม่ยอมศึกษาให้เกิดความรู้ความเข้าใจตามหลักพระพุทธศาสนาที่แท้จริง จึงปฏิบัติผิดๆ จนเกิดความลุ่มหลงงมงายเชื่อดายในสิ่งที่เป็นไสยศาสตร์ว่าเป็นพุทธศาสตร์ แล้วนำมาอวดอ้างแสวงหาประโยชน์ในเชิงพุทธพาณิชย์ ซึ่งนับเป็นปัญหาที่ผู้เกี่ยวข้องกับการพัฒนากิจการพระพุทธศาสนาควรรีบหาทาง แก้ไข เพราะเป็นบ่อเกิดแห่งความเสื่อมของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นภัยของพระพุทธศาสนาที่จะเกิดจากคนภายใน คือ พุทธบริษัทด้วยกันเองที่ศึกษาปริยัติธรรมแล้วไม่ปฏิบัติธรรม จึงไม่เกิดปฏิเวธ คือ การบรรลุธรรม ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความอันตรธานเสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรมไปโดยลำดับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ย. 2016, 07:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความอันตรธานเสื่อมสูญแห่งพระสัทธธรรมทั้ง ๓ นี้จะปรากฏชัดตามที่ท่านพระอรรถกถาจารย์ได้อธิบายขยายความไว้ในคัมภีร์ อรรถกถามโนรถปูรณี (คัมภีร์อธิบายพระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย องฺ.อฏฺฐก.อ.265) ดังนี้

"ระยะเวลา (๑ พันปีแรก) ยังมีพระอรหันต์ขีณาสพผู้บรรลุความแตกฉานในปฏิสัมภิทาอยู่ ความจริง ปฏิเวธสัทธรรมนั้นดำรงอยู่ ๕ พันปี โดยเมื่อล่วงไปอีก ๑ พันปี ก็ยังมีพระอรหันตขีณาสพผู้สุกกวิปัสสกะอยู่ ล่องไปอีก ๑ พันปี ก็ยังมีพระอนาคามีอยู่ ล่วงไปอีก ๑ พันปี ก็ยังมีพระสกทาคามีอยู่ ล่วงไปอีก ๑ พันปี ก็ยังมีพระโสดาบันอยู่ แม้ปริยัติสัทธรรมก็ดำรงอยู่ ๕ พันปีเช่นกัน เพราะปฏิเวธมีไม่ได้ หากไม่มีปริยัติ เมื่อปริยัตินั้นเสื่อมสูญ ก็จะปรากฏแต่เครื่องหมายเพศพรหมจรรย์อยู่นาน"

จากข้อความในอรรถกถานี้ ถอดความให้ชัดได้ว่า พระสัทธรรมที่เป็นหลักของพระพุทธศาสนานั้นมีอายุ ๕ พันปี (นับแต่พุทธปรินิพพาน คือ พ.ศ.๑ - พ.ศ.๕๐๐๐) โดยในช่วงระยะเวลา ๑ พันปีแรก (พ.ศ.๑ - พ.ศ.๑๐๐๐) เป็นช่วงเวลาที่พระพุทธศาสนายังมีพระอริยบุคคลขั้นสูงสุด คือ พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาปัตตะ (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา) ซึ่งเป็นหนึ่งในพระอรหันต์ประเภทสมถยานิก * โดยก่อนที่จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ผ่านกระบวนการศึกษาสดับตรับฟัง สอบค้นหลักพระธรรมวินัย แล้วประกอบความเพียรในอธิจิต และอธิปัญญา บำเพ็ญสมถะเจริญวิปัสสนา จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ๔ คือ

(๑) มีปัญญาแตกฉานในอรรถ โดยเห็นข้อธรรมหรือความย่อ ก็สามารถคิดแยกแยะอธิบายขยายออกไปได้โดยพิสดาร

(๒) มีปัญญาแตกฉานในธรรม โดยเห็นอรรถาธิบายพิสดาร ก็สามารถจับใจความมาตั้งเป็นกระทู้หรือหัวข้อได้

(๓) มีปัญญาแตกฉานในนิรุกติ คือ รู้แจ้งภาษา รู้ศัพท์ถ้อยคำบัญญัติ และภาษาต่างๆ เข้าใจใช้คำพูดชี้แจงให้ผู้อื่นเข้าใจ และเห็นตามได้

(๔) มีปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ คือ รู้แจ้งในความคิดทันการ มีไหวพริบ ซึมซาบในความรู้ที่มีอยู่ เอามาเชื่อมโยงเข้าสร้างความคิด และเหตุผลขึ้นใหม่ ใช้ประโยชน์ได้สบเหมาะ เข้ากับกรณีและเหตุการณ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ย. 2016, 07:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่อ้างอิง * ข้างบน

* พระอรหันต์จำแนกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ คือ

๑) ประเภทสุกขวิปัสสกะ ผู้เห็นแจ้งอย่างแห้งแล้ง หมายถึง ท่านผู้มิได้ฌานสมาบัติ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ด้วยการเจริญแต่วิปัสสนาล้วนๆ

๒) ประเภทสมถยานิก ผู้มีสมถะเป็นยาน หมายถึงท่านผู้เจริญสมถะจนได้ฌานสมาบัติแล้วจึงเจริญวิปัสสนาต่อจนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์

พระอรหันต์ประเภทสุกขวิปัสสกะ เรียกย่อยลงไปอีกว่า พระอรหันต์ประเภทปัญญาวิมุต คือ ผู้หลุดพ้นแห่งจิตจากอวิชชาด้วยปัญญาที่รู้เห็นตามเป็นจริง โดยอาศัยเพียงอุปจารสมาธิ เจริญวิปัสสนาไปจนถึงที่สุด แต่เมื่อจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ก็เป็นผู้ได้บรรลุปฐมฌาน

เรียกอีกอย่างว่า วิปัสสนายานิก หรือสุทธวิปัสสนายานิก


พระอรหันต์ประเภทสมถยานิก เรียกย่อยลงไปอีกว่า พระอรหันต์ประเภทอุภโตภาควิมุต ผู้หลุดพ้นทั้งสองส่วน คือ ได้ทั้งเจโตวิมุตติขั้นอรูปสมาบัติแล้วได้ปัญญาวิมุตติ แบ่งย่อยลงไปอีก ๓ ประเภท คือ
(๑) เตวิชชะ - พระอรหันต์ผู้ได้วิชชา ๓
(๒) ฉฬภิญญะ - พระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา ๖ และ
(๓) ปฏิสัมภิทาปัตตะ - พระอรหันต์ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ย. 2016, 07:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในช่วงระยะเวลา ๑ พันปีที่ ๒ (พ.ศ. ๑๐๐๑ - พ.ศ. ๒๐๐๐) ก็ยังมีพระอรหันต์อยู่ แต่เป็นพระอรหันต์ประเภทสุกขวิปัสสนกะ คือ ผู้บำเพ็ญแต่วิปัสสนาล้วนๆ จนบรรลุธรรมสำเร็จเป็นพระอรหันต์ด้วยปัญญา แต่ไม่ได้ความรู้ความสามารถอันเป็นคุณวิเศษในพระพุทธศาสนาแต่อย่างใด

ในช่วงระยะเวลา ๑ พันปีที่ ๓ (พ.ศ. ๒๐๐๑ - พ.ศ. ๓๐๐๐) ไม่มีพระอรหันต์แล้ว มีเพียงพระอริยบุคคลขั้นรองจากพระอรหันต์ คือ พระอนาคามี (ผู้ไม่เวียนกลับมาอีก) ซึ่งเป็นผู้สำเร็จอนาคามิผล เมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็ไปเกิดในพรหมโลกชั้นสุทธาวาส และจะปรินิพพานในที่นั้น โดยไม่ต้องกลับมาเกิดในมนุษยโลกอีก

ในช่วงระยะเวลา ๑ พันปีที่ ๔ (พ.ศ. ๓๐๐๑ - พ.ศ. ๔๐๐๐) มีเพียงพระอริยบุคคลขั้นรองจากพระอนาคามี คือ สกทาคามี (ผู้กลับมาเกิดอีกครั้งเดียว) ซึ่งเป็นผู้บรรลุธรรมในโลกนี้ เมื่อสิ้นชีวิตแล้วไปเกิดในเทวโลก หมดอายุแล้วกลับมาเกิดในโลกนี้อีกชาติเดียวก็จะปรินิพพาน

ในช่วงระยะเวลา ๑ พันปีที่ ๕ (พ.ศ. ๔๐๐๑ - พ.ศ. ๕๐๐๐) มีเพียงพระอริยบุคคลขั้นต่ำสุด คือ พระโสดาบัน ซึ่งเป็นผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน โดยเป็นผู้เวียนตายเกิดในสุคติภูมิอีกอย่างมากเพียง ๗ ครั้ง ก็จักบรรลุธรรมสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วปรินิพพานในที่สุด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ย. 2016, 18:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ที่แน่ๆคือศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าแต่ไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัส
เป็นความเสื่อมแห่งพระพุทธศาสนาโดยตรงคือจิตเสื่อมจากธรรมแล้ว
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ย. 2016, 20:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ในช่วงระยะเวลา ๑ พันปีที่ ๒ (พ.ศ. ๑๐๐๑ - พ.ศ. ๒๐๐๐) ก็ยังมีพระอรหันต์อยู่ แต่เป็นพระอรหันต์ประเภทสุกขวิปัสสนกะ คือ ผู้บำเพ็ญแต่วิปัสสนาล้วนๆ จนบรรลุธรรมสำเร็จเป็นพระอรหันต์ด้วยปัญญา แต่ไม่ได้ความรู้ความสามารถอันเป็นคุณวิเศษในพระพุทธศาสนาแต่อย่างใด

นช่วงระยะเวลา ๑ พันปีที่ ๓ (พ.ศ. ๒๐๐๑ - พ.ศ. ๓๐๐๐) ไม่มีพระอรหันต์แล้ว มีเพียงพระอริยบุคคลขั้นรองจากพระอรหันต์ คือ พระอนาคามี (ผู้ไม่เวียนกลับมาอีก) ซึ่งเป็นผู้สำเร็จอนาคามิผล เมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็ไปเกิดในพรหมโลกชั้นสุทธาวาส และจะปรินิพพานในที่นั้น โดยไม่ต้องกลับมาเกิดในมนุษยโลกอีก

ในช่วงระยะเวลา ๑ พันปีที่ ๔ (พ.ศ. ๓๐๐๑ - พ.ศ. ๔๐๐๐) มีเพียงพระอริยบุคคลขั้นรองจากพระอนาคามี คือ สกทาคามี (ผู้กลับมาเกิดอีกครั้งเดียว) ซึ่งเป็นผู้บรรลุธรรมในโลกนี้ เมื่อสิ้นชีวิตแล้วไปเกิดในเทวโลก หมดอายุแล้วกลับมาเกิดในโลกนี้อีกชาติเดียวก็จะปรินิพพาน

ในช่วงระยะเวลา ๑ พันปีที่ ๕ (พ.ศ. ๔๐๐๑ - พ.ศ. ๕๐๐๐) มีเพียงพระอริยบุคคลขั้นต่ำสุด คือ พระโสดาบัน ซึ่งเป็นผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน โดยเป็นผู้เวียนตายเกิดในสุคติภูมิอีกอย่างมากเพียง ๗ ครั้ง ก็จักบรรลุธรรมสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วปรินิพพานในที่สุด


กักกายเชื่อหรอ..

ส่วนตัว..ผมว่าเชื่อไม่ได้..

มิน่า...ผู้เฒ่าผู้แก่...เราบอกให้อธิฐานถึงนิพพานในชาตินี้..แกบอกว่า..ไม่ได้หรอก..ผมถามว่าใครบอก...แกว่าพระเทศน์สอนใว้ว่า..เกินกึ่งพุทธกาลก็ไม่มีอรหันต์แล้ว... :b32: :b32:

เพราะ..เชื่อ..อย่างที่กักกายยกมานี้เอง....

ยกบทความโชว์ความเสื่อม....เห็นๆ.. :b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ย. 2016, 21:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ในช่วงระยะเวลา ๑ พันปีที่ ๒ (พ.ศ. ๑๐๐๑ - พ.ศ. ๒๐๐๐) ก็ยังมีพระอรหันต์อยู่ แต่เป็นพระอรหันต์ประเภทสุกขวิปัสสนกะ คือ ผู้บำเพ็ญแต่วิปัสสนาล้วนๆ จนบรรลุธรรมสำเร็จเป็นพระอรหันต์ด้วยปัญญา แต่ไม่ได้ความรู้ความสามารถอันเป็นคุณวิเศษในพระพุทธศาสนาแต่อย่างใด

นช่วงระยะเวลา ๑ พันปีที่ ๓ (พ.ศ. ๒๐๐๑ - พ.ศ. ๓๐๐๐) ไม่มีพระอรหันต์แล้ว มีเพียงพระอริยบุคคลขั้นรองจากพระอรหันต์ คือ พระอนาคามี (ผู้ไม่เวียนกลับมาอีก) ซึ่งเป็นผู้สำเร็จอนาคามิผล เมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็ไปเกิดในพรหมโลกชั้นสุทธาวาส และจะปรินิพพานในที่นั้น โดยไม่ต้องกลับมาเกิดในมนุษยโลกอีก

ในช่วงระยะเวลา ๑ พันปีที่ ๔ (พ.ศ. ๓๐๐๑ - พ.ศ. ๔๐๐๐) มีเพียงพระอริยบุคคลขั้นรองจากพระอนาคามี คือ สกทาคามี (ผู้กลับมาเกิดอีกครั้งเดียว) ซึ่งเป็นผู้บรรลุธรรมในโลกนี้ เมื่อสิ้นชีวิตแล้วไปเกิดในเทวโลก หมดอายุแล้วกลับมาเกิดในโลกนี้อีกชาติเดียวก็จะปรินิพพาน

ในช่วงระยะเวลา ๑ พันปีที่ ๕ (พ.ศ. ๔๐๐๑ - พ.ศ. ๕๐๐๐) มีเพียงพระอริยบุคคลขั้นต่ำสุด คือ พระโสดาบัน ซึ่งเป็นผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน โดยเป็นผู้เวียนตายเกิดในสุคติภูมิอีกอย่างมากเพียง ๗ ครั้ง ก็จักบรรลุธรรมสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วปรินิพพานในที่สุด


กักกายเชื่อหรอ..

ส่วนตัว..ผมว่าเชื่อไม่ได้..

มิน่า...ผู้เฒ่าผู้แก่...เราบอกให้อธิฐานถึงนิพพานในชาตินี้..แกบอกว่า..ไม่ได้หรอก..ผมถามว่าใครบอก...แกว่าพระเทศน์สอนใว้ว่า..เกินกึ่งพุทธกาลก็ไม่มีอรหันต์แล้ว... :b32: :b32:

เพราะ..เชื่อ..อย่างที่กักกายยกมานี้เอง....

ยกบทความโชว์ความเสื่อม....


อ้างคำพูด:
ส่วนตัว..ผมว่าเชื่อไม่ได้..


บอกเหตุผลหน่อยดิ อะไรทำให้เชื่อไม่ได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ย. 2016, 21:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


แล้ว...เหตุผลอะไร..กักกายถึงเชื่อ..ละ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ย. 2016, 21:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
แล้ว...เหตุผลอะไร..กักกายถึงเชื่อ..ละ?


ยอกย้อน คิกๆๆ เอาตำรามาให้ดู แล้วทำไมกบถึงไม่เชื่อตำราล่ะ บอกสิ :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2016, 07:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




1473823533873.jpg
1473823533873.jpg [ 72.21 KiB | เปิดดู 5146 ครั้ง ]
onion
"สัมมาวิหาเรยุง อสุโญโลโก อรหันเตหิ"

"ตราบใดที่ยังมีผู้เจริญตามสัมมา(ทั้ง 8 ข้อ)อยู่ ตราบนั้นโลกนี้จักไม่ว่างจากพระอรหันต์"

ถ้าเคารพพระพุทธเจ้า กรัชกายต้องเชื่อและเคารพ
พุทธวัจจนะที่กล่าวนี้ด้วยอย่างสุดจิตหมดใจนะครับ
onion
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2016, 08:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
onion
]"สัมมาวิหาเรยุง อสุโญโลโก อรหันเตหิ"

"ตราบใดที่ยังมีผู้เจริญตามสัมมา(ทั้ง 8 ข้อ)อยู่ ตราบนั้นโลกนี้จักไม่ว่างจากพระอรหันต์"

ถ้าเคารพพระพุทธเจ้า กรัชกายต้องเชื่อและเคารพ
พุทธวัจจนะที่กล่าวนี้ด้วยอย่างสุดจิตหมดใจนะครับ



พระพุทธองค์ตรัสไว้ชอบแล้ว แต่ปัจจุบันยังไม่เห็นใครเจริญสัมมา...อะไรที่ว่าได้ตรงเป้า ยิ่งท่านอโศกด้วยเละเป็นเต้าหู้ตกตึกมหานคร (เมื่อก่อนตกตึกใบหยก) คิกๆๆ

อ้างคำพูด:
ยังมีผู้เจริญตามสัมมา(ทั้ง 8 ข้อ)


ที่พูดนี่ก็ไม่น่าจะถูก อ่ะๆ ถ้าว่าถูกไหนลองสาธิตการเจริญสัมมา...อะไรที่ว่าให้ฟังหน่อยสิ :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2016, 10:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
ที่แน่ๆคือศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าแต่ไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัส
เป็นความเสื่อมแห่งพระพุทธศาสนาโดยตรงคือจิตเสื่อมจากธรรมแล้ว
onion onion onion

ทุกขณะจิตเลยที่เสื่อมจากจิตผู้ไม่รู้ความจริงเพราะยังย้อนกลับมาเริ่มต้นใหม่ด้วยความไม่รู้ค่ะ
ส่วนผู้ที่ไม่เสื่อมจากพระธรรมคำสอนและดำรงความจริงตามคำสอนแล้วไม่เป็นผู้ถอยกลับ
พระอรหันต์เท่านั้นที่ดำรงความจริงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นผู้สืบทอดพุทธศาสนา
พระอริยบุคคลแต่ละชั้นนั้นสามารถรักษาพุทธศาสนาได้ตามกำลังสติปัญญาสะสมต่อยอด
สำหรับปุถุชนยังต้องท่องเที่ยวไปตามยถากรรมเพราะไม่รู้ความจริงคือจิตเสื่อมจากธรรม
:b8:
พระพุทธศาสนาเจริญที่จิตผู้รู้ความจริงแล้วเท่านั้น
ที่เสื่อมจากจิตคือไม่รู้ไม่สามารถเข้าใจความจริง
ก็คือสะสมแต่กิเลสอันใหม่ไปเรื่อยๆเกิดอีกนาน
จนกว่าจะมีสติปัญญารู้ตรงตามที่ตรัสไว้ดีแล้ว
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2016, 21:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
onion
]"สัมมาวิหาเรยุง อสุโญโลโก อรหันเตหิ"

"ตราบใดที่ยังมีผู้เจริญตามสัมมา(ทั้ง 8 ข้อ)อยู่ ตราบนั้นโลกนี้จักไม่ว่างจากพระอรหันต์"

ถ้าเคารพพระพุทธเจ้า กรัชกายต้องเชื่อและเคารพ
พุทธวัจจนะที่กล่าวนี้ด้วยอย่างสุดจิตหมดใจนะครับ



พระพุทธองค์ตรัสไว้ชอบแล้ว แต่ปัจจุบันยังไม่เห็นใครเจริญสัมมา...อะไรที่ว่าได้ตรงเป้า ยิ่งท่านอโศกด้วยเละเป็นเต้าหู้ตกตึกมหานคร (เมื่อก่อนตกตึกใบหยก) คิกๆๆ

อ้างคำพูด:
ยังมีผู้เจริญตามสัมมา(ทั้ง 8 ข้อ)


ที่พูดนี่ก็ไม่น่าจะถูก อ่ะๆ ถ้าว่าถูกไหนลองสาธิตการเจริญสัมมา...อะไรที่ว่าให้ฟังหน่อยสิ :b14:

cool
อวดรู้อวดเก่งเสียจนลืมตัวและกล้ากล่าวคำว่า

อ้างคำพูด:
กรัชกาย แต่ปัจจุบันยังไม่เห็นใครเจริญสัมมา...อะไรที่ว่าได้ตรงเป้า


เอาสถิติและข้อมูลที่ไหนมาตัดสินเช่นที่ว่านี้ อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นการดูถูกดูหมิ่นหลวงปู่ ครูบาอาจารย์และท่านที่กำลังเจริญมรรค 8 เจริญวิปัสสนาภาวนาอยู่มากมายทั้งในวัดป่าวัดบ้านทั้งในไทยและต่างประเทศทุกวันนี้หรือครับ

กรัชกายลองบอกมาสิว่าการเจริญสัมมา(ทั้ง 8) หรือการเจริญมรรค 8 ได้อย่างตรงเป้า ที่กรัชกายพูดมานี้มันต้องทำกันยังไง เพราะกรัชกายกล้าตำหนิรวมๆไปทั่วเช่นนี้แสดงว่ากรัชกายรู้และทำได้เก่งกว่าท่านอื่นๆเหล่านั้น

s004
s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2016, 08:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
onion
]"สัมมาวิหาเรยุง อสุโญโลโก อรหันเตหิ"

"ตราบใดที่ยังมีผู้เจริญตามสัมมา (ทั้ง 8 ข้อ) อยู่ ตราบนั้นโลกนี้จักไม่ว่างจากพระอรหันต์"

ถ้าเคารพพระพุทธเจ้า กรัชกายต้องเชื่อและเคารพ
พุทธวัจจนะที่กล่าวนี้ด้วยอย่างสุดจิตหมดใจนะครับ



พระพุทธองค์ตรัสไว้ชอบแล้ว แต่ปัจจุบันยังไม่เห็นใครเจริญสัมมา...อะไรที่ว่าได้ตรงเป้า ยิ่งท่านอโศกด้วยเละเป็นเต้าหู้ตกตึกมหานคร (เมื่อก่อนตกตึกใบหยก) คิกๆๆ

อ้างคำพูด:
ยังมีผู้เจริญตามสัมมา(ทั้ง 8 ข้อ)


ที่พูดนี่ก็ไม่น่าจะถูก อ่ะๆ ถ้าว่าถูกไหนลองสาธิตการเจริญสัมมา...อะไรที่ว่าให้ฟังหน่อยสิ :b14:

cool
อวดรู้อวดเก่งเสียจนลืมตัวและกล้ากล่าวคำว่า

อ้างคำพูด:
กรัชกาย แต่ปัจจุบันยังไม่เห็นใครเจริญสัมมา...อะไรที่ว่าได้ตรงเป้า


เอาสถิติและข้อมูลที่ไหนมาตัดสินเช่นที่ว่านี้ อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นการดูถูกดูหมิ่นหลวงปู่ ครูบาอาจารย์และท่านที่กำลังเจริญมรรค 8 เจริญวิปัสสนาภาวนาอยู่มากมายทั้งในวัดป่าวัดบ้านทั้งในไทยและต่างประเทศทุกวันนี้หรือครับ

กรัชกายลองบอกมาสิว่าการเจริญสัมมา (ทั้ง 8) หรือการเจริญมรรค 8 ได้อย่างตรงเป้า ที่กรัชกายพูดมานี้มันต้องทำกันยังไง เพราะกรัชกายกล้าตำหนิรวมๆไปทั่วเช่นนี้แสดงว่ากรัชกายรู้และทำได้เก่งกว่าท่านอื่นๆเหล่านั้น


ถ้าทำอย่างอโศกนะ ลงเหวลงอเวจีหมด

อ้างคำพูด:
ตราบใดที่ยังมีผู้เจริญตามสัมมา (ทั้ง 8 ข้อ) อยู่ ตราบนั้นโลกนี้จักไม่ว่างจากพระอรหันต์


มรรค 8 ที่ชอบอ้างกันนั่นน่า เขาย่อลงเป็นภาคปฏิบัติเหลือ 3 เรียกว่า ไตรสิกขา ซึ่งก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา แค่นี้

ทีนี้ก็มาวัดกึ่นท่านอโศก ศีลยังไม่เข้าใจเลย ไม่ต้องถึงสมาธิ ปัญญาหรอก เออ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 53 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 34 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร