วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 01:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2023, 07:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงปู่มั่น ท่านสร้างฅนให้เป็นพระ...
แต่กิเลส ตัณหา ทำพระให้กลายเป็นฅน...

หลวงปู่อว้าน เขมโก
วัดป่านาคนิมิตต์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร






#ถ้ามีจิตเป็นบุญเป็นกุศลอยากทำบุญให้รีบทำเพราะถ้าไม่รีบทำกิเลสจะมา

บางคนคิดว่าเราเกิดมามีความทุกข์ยากลำบากแล้วนี่ เราหาเช้ากินค่ำยากลำบากแล้วก็ไม่ทำบุญต่อ มันก็ไม่ได้ เพราะเราทำบุญมาน้อย ถ้าไม่ทำบุญต่อ มันก็ไม่มีบุญต่อไป ยิ่งบางคนมีน้อยก็ทำน้อย ข้าวทัพพีหนึ่งก็ได้บุญ กับข้าวสักอย่างหนึ่งก็ได้บุญ มีน้อยทำน้อยก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องอายทำความดีนี่ แต่บางคนนี้คิดว่า ฉันยังไม่ค่อยมี พอรวยก่อนแล้วค่อยทำแล้วกัน ระยะระหว่างนี้ไปจนถึงเราจะตั้งฐานะได้ ๕ ปี ๑๐ ปี เกิดตายก่อน ยัง...ไม่ทันได้ทำ มันรอไม่ได้ บางคนก็มีศรัทธาอยากจะทำนะ ตั้งใจจะทำนะ แต่พอกาลเวลาผ่านไปอีกอาทิตย์หนึ่ง เกิดเปลี่ยนใจไม่อยากจะทำแล้ว นี่พระพุทธเจ้าบอกถ้ามีจิตเป็นบุญเป็นกุศล อยากทำบุญให้รีบทำ เพราะถ้าไม่รีบทำกิเลสจะมา ความหวงความตระหนี่ จะไม่อยากทำแล้วมันเปลี่ยน สังเกตดูบางคนคิดว่าจะทำบุญนะ ก็ยังไม่ทำสักที ยังไม่มีโอกาสจะทำ คอยไปคอยมา ไม่ทำแล้ว คือกิเลสเข้ามาแหย่ เพราะฉะนั้นทานบารมีสำคัญ เราคิดว่าพอ แต่ไม่พอ

พระอาจารย์อัครเดช (ตั๋น) ถิรจิตฺโต
วัดบุญญาวาส อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี






"สมณะ คือ ผู้สงบ
หาความสงบในตัวให้มันเจอ
เมื่อเจอแล้วเรานั่นล่ะ..สมณะ.."

หลวงปู่หา สุภโร
วัดสักกวัน (ภูกุ้มข้าว) อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธ์ุ






#หัวใจของพระพุทธศาสนา
"... คือ.. การกระตุ้นให้คนหันมา​ มอง
ตัวเอง มากกว่าจะบอกให้​ เชื่อหรือไม่เชื่อ
พุทธศาสนาไม่มีสิ่งที่คุณต้องเชื่ออะไร แต่
เป็นเรื่องที่คุณต้องค้นพบ​ ด้วยตัวคุณเอง ..."

#พระอาจารย์อมโรภิกขุ
วัดอมราวดี เมืองฮาร์ดฟอร์ด ประเทศอังกฤษ







#สอนตนเองให้รู้จักการเสียสละ

เห็นหอบข้าวของมาถวายมากมาย มาแล้วก็มาบอกทำบุญให้คนนู้นคนนี้ อุทิศให้คนนั้นคนโน้น มีแต่ให้คนอื่นนี่มันผิดหลักนะ...

การเอาของมาถวายพระ หรือยกให้คนอื่น พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่า เป็นทาน ทาน คือสละออก เราต้องตั้งใจที่จะเสียสละ เสียสละจากความตระหนี่ถี่เหนียว เสียสละจากความห่วงความหวง คือเสียสละออกจากตนเอง

โดยหลักแล้ว ความเสียสละนี้ คือการเต็มใจที่จะยกสมบัติตนให้คนอื่น เมื่อให้ไปแล้วตัวเองต้องมีความสุขนะ ไม่กังวลในของนั้น ไม่อาลัยในของนั้น อิ่มเอิบ ดีใจกับการกระทำของตนเองนั้น มันถึงจะถูกต้อง

เมื่ออิ่มอกอิ่มใจแล้ว จึงค่อยระลึกถึงคนอื่น จะระลึกอุทิศหาใครต่อใคร นั่นเป็นเรื่องรองๆ แต่โดยหลัก คือการฝึกตนเอง การสอนตนเองให้รู้จักการเสียสละ การมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อคนอื่น สัตว์อื่น นี่...เรื่องมันเป็นอย่างนี้...

#หลวงปู่แบน #ธนากโร
#วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร







#ปฏิบัติบูชา
#พระพุทธเจ้าสรรเสริญ
#หลวงพ่อประสิทธิ์ #ถาวโร

ตั้งแต่เราเกิดมามันก็ไหลไปเรื่อย วันคืนไหลไปผ่านไป เพราะเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงเตือนสาวกทั้งหลายว่า ” วันคืนล่วงไปไหลไป บัดนี้เธอทำอะไรอยู่ ”

นี่ท่านได้เตือนว่า ณ ปัจจุบัน ทุก ๆ ขณะเนี่ย เราได้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม รึเปล่า เราได้ภาวนาหรือเปล่า

นี่ท่านได้เตือนเรา ท่านจึงเตือนกับสาวกว่า จงทำความไม่ประมาท เพราะความรู้สึกเนี่ยมันจะคลุมเราหมด เหมือนเปลือกไม้คลุมเนื้อไม้ มันคลุมเนื้อในมันไว้หมด พระพุทธองค์จึงได้เจาะเข้าไป ฝึกสติทำสมาธิให้สมบูรณ์พร้อม จึงได้รู้ความจริงขึ้นมา เห็นว่าโลกนี้น่าเบื่อหน่าย ได้เห็นของจริง

แต่ทำไมคนทั่วไปก็ยังหลงใหลในตัวเองอยู่ หลงในความรู้สึกของตัวเอง เพราะตัวความรู้สึกนั่นเองเป็นรากเหง้า เป็นจุดกำเนิด เป็นตัวอวิชชาปกปิดความจริงเอาไว้

คนที่ไม่เคยภาวนาบางครั้งเกิดบ้าคลั่งขึ้นมา เกิดโทสะขึ้นมา เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง ฟุ้งซ่าน นั่นก็เพราะตัวความรู้สึกนั่นเอง

เพราะเหตุนี้คนเราหรือแม้แต่สัตว์เดรัจฉาน มันรักภูมิมัน มันรักตัวมันเอง คิดจะฆ่ามันนะ มันวิ่งหนีเลย ไม่ว่าจะเป็นไก่ สุนัขอะไรต่างๆ หรือแม้แต่จิ้งจกก็ตาม เพราะมันรักตัวมัน มันนึกว่ามันดี นี่แหละคือความเข้าใจผิดเป็นความเห็นที่ผิด

แม้แต่คนในครอบครัวรักกัน แม้แต่พี่น้องร่วมท้องกันก็ยังทะเลาะกัน ขัดใจกัน เพราะตัวความรู้สึก เพราะขาดสติ ขาดการพิจารณา ขาดการภาวนา การทำสมาธิให้จิตตั้งมั่น

เมื่อใดที่สติและสมาธิรวมกันเป็นหนึ่ง จะรู้ความจริงขึ้นมาทันทีเลยว่า อะไรเป็นอะไร ค่อย ๆ ทำลายความหลงผิดออกไปเรื่อยๆ แล้วจะเจอแสงสว่าง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางปาก ทางกาย ว่าอะไรเป็นต้นเหตุที่ทำให้มันหลงผิด ตัวความรู้สึกนั่นเอง

เพราะเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงได้วางอริยสัจ ๔ ไว้ ทุกข์ สมุทัย นิโรท มรรค เราปฏิบัติก็มาจากตรงนี้ เกิดทุกข์ขึ้นมาเพราะอะไร ต้องใช้สติกำหนดสาวไปหาต้นเหตุ

ทุกข์เกิดจากความรู้สึก ก็เหมือนไฟ ร้อนเกิดจากอะไร เกิดจากไฟ ไฟเป็นเหตุ ร้อนเป็นผล ทุกข์ก็เหมือนกัน ทุกข์เป็นผล สมุทัยเป็นเหตุ ก็ตัวความรู้สึกนั่นเองเป็นเหตุ

ทีนี้อะไรที่สามารถดับไฟได้ นั่นคือน้ำ คู่ปรับของไฟ น้ำอยู่ในลำคลองในบ่อ จะเอามาดับไฟได้อย่างไร ต้องมีคนตักมา มีคนบรรทุกน้ำนั้นมา นั่นคือสติ เราจะดับทุกข์ได้เพราะสติ

ดังนั้นเราจึงต้องเจริญสติ พัฒนาสติ ให้มากๆ สตินั้นจะมีอยู่ ๒ ลักษณะ สติระลึก มีสัมปชัญญะควบคุมความรู้สึกหรือควบคุมอิริยาบถ ประคับประคองไว้ จะได้คนคือสติไปตักน้ำนั้นมา เอาน้ำนั้นมารดไฟ ความร้อนก็ดับ แต่ว่าก็ทุกข์เหมือนกันนะ เพราะตอนจะเอาน้ำไปรดไฟมันต้องเข้าไปใกล้ ๆ แต่ว่าไฟมันเบาลงนะ ต้องแลกเอา เหมือนหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง

ถ้าต่อไปเราเจริญสติสมาธิไปต่อเนื่องจนเป็นลูกโซ่เป็นสายเดียว ก็จะทิ้งความรู้สึกไป ความรู้สึกคิดนึกปรุงแต่งก็ดับไป ไฟก็ดับ กลายเป็นนิโรธ กลายเป็นความเย็นขึ้นมา แล้วก็รู้แจ้งขึ้นมา

ทางตา มันมีหน้าที่ของมัน เห็นรูป รูปมันไม่เที่ยง ทางหู มันมีหน้าที่ของมัน ได้ยินเสียง เสียงมันไม่เที่ยง มันเกิดแล้วก็ดับ เป็นสภาวธรรม จมูกก็เหมือนกัน ได้กลิ่นเกิดแล้วก็ดับ

เหมือนการหายใจเข้าออกมันเป็นหน้าที่ของมัน ปากเราก็เหมือนกันทำหน้าที่ขบเคี้ยวหรือพูด พูดก็พูดด้วยสติ พูดด้วยปิยวาจา พูดตามความจริง

กายก็เหมือนกัน ความรู้สึกเย็นร้อนอ่อนแข็งกระทบเราตลอดเวลา อิริยาบถต่าง ๆ นั่งยืนเดินนอนทำอย่างนี้อยู่ทุกวันเป็นปกติ แล้วมนุษย์นี่ต้องอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ซักเสื้อผ้า อยู่ทุกวันเป็นชีวิตประจำวัน

ถ้ามีสติกำหนด เกิดการสังเกตว่า ทำไมเราจึงต้องอาบน้ำ ทำไมตื่นมาต้องล้างหน้าแปรงฟัน ทำไมเราจึงต้องซักผ้า เพราะอะไร เพราะว่ามันสกปรก แต่ความรู้สึกมันยังไม่ยอมรับ มันนึกว่าตัวเองดี สะอาด อันนี้เขาเรียกว่า มิจฉาทิฏฐิ คือความเห็นผิด

ถ้าเห็นความจริงเมื่อไหร่ เห็นสัจจธรรมเมื่อไหร่ มันจะเริ่มเป็นสัมมาทิฏฐิ รอบรู้ในทวารทั้ง ๖ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ตัวนี้สำคัญ

ดังนั้นเรามาปฏิบัติ เราต้องมีความเพียร พิจารณา ยืน เดิน นั่ง นอน พิจารณาทุกอิริยาบถ เอาสติกำหนดไป ภาวนาไป พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นปฏิกูล เป็นของเน่าเสีย

เห็นสัตว์ตายคนตายต่าง ๆ น้อมมาใส่ตัวเรา สักวันเราต้องเป็นแบบนี้ หนีเกิดแก่เจ็บตายไม่ได้ เจริญมรณสติบ่อย ๆ เข้า ความรู้สึกนั้นมันจะอ่อนตัวลง

ข่มมันไว้ ควบคุมมัน อย่าให้มันออกไปเดินเพ่นพ่านไปไหนไกล แส่ไปนู่นแส่ไปนี่ ใครมากระทบเรา มีอะไรมากระทบเรา มาทำให้เราเกิดความรู้สึกขึ้นมา เรากำหนดไว้ เอาสติมาพิจารณาเข้าบ่อยๆ เข้า มันจะค่อยๆ อ่อนตัวลงไป เหมือนขี้ผึ้งถูกไฟ

เดินตามอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นทางเอก เป็นมรรคา เป็นทางหลุดพ้น รู้แจ้งแทงตลอด มีทางนี้ทางเดียวที่พระพุทธองค์ได้สอนไว้ให้สาวกทั้งหลาย

แล้วเราจะไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ถ้าความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่งมันหมดไป เขาเรียกว่าพระอรหันตขีณาสพ จิตท่านว่าง เหลือแต่ธาตุ จึงเกิดเป็นอนุภาพขึ้นมา ฉายแสงธรรมะขึ้นมาเห็นเหมือนกันหมด

หลวงพ่อประสิทธิ์






#เกิดทีไรเป็นทุกข์ทุกที

จงพยายาม ๆ ที่สุดที่จะมองเข้าไป,
มองดูจากความรู้สึก ที่รู้สึกอยู่ในใจนั้น.

.
อย่าไปดูหนังสือ อย่าไปฟังใครพูด.
จงดูเข้าไปที่ความรู้สึก ที่กำลังเป็นอยู่ มีอยู่
รู้สึกอยู่ในจิตใจ ให้เห็นออกมาจากข้างในนั้น :
.

ให้เห็นความน่าเอือมระอาของตัวกู - ของกู
ความเกิดขึ้นแห่งตัวกู - ของกู ที่เกิดแล้ว
เกิดอีกอยู่ในใจ วันหนึ่งหลาย ๆ หน;

.
มันเกิดอหังการ มมังการ เป็นตัวกูบ้าง
เป็นของกูบ้าง วันหนึ่งหลาย ๆ หน; เกิดทีไร
เป็นทุกข์ทุกที ร้อนทุกที เป็นฟืนเป็นไฟทุกที.

.
ตัวกูที่เป็นกิเลสที่เป็นเหตุให้ไม่ยอมใคร
เป็นเหตุให้ยึดมั่นถือมั่น เข้ามาไว้นี่ให้เห็นว่า
… มันน่าเอือมระอา เหลือประมาณ.
.

แต่ถ้าเราไม่เคยศึกษา ไม่เคยสังเกตอันนี้แล้ว,
ก็ไม่รู้จะไปดูที่ไหนเหมือนกัน.

.
ฉะนั้น ต้องดูว่าวันหนึ่งคืนหนึ่ง มันเกิดความรู้สึกที่เป็นความเห็นแก่ตัว เป็นตัวแล้ว ก็ร้อนเป็นฟืนเป็นไฟทุกทีไปนี้ กี่ครั้ง? กี่หน? อย่างไร ? จากอะไร? ดูอย่างนี้เสมอ

.
มันจะเกิดความเอือมระอา; แม้เป็นชาวไร่ชาวนาก็ดูได้, เดี๋ยวมันจะเห็นต่อไป ถึงความไม่มีอะไร ที่น่าเอาน่าเป็น คือ… ไม่มีอะไรที่น่ายึดมั่นถือมั่น ด้วยความเอาความเป็น.

#พุทธทาสภิกขุ
#โอสาเรตัพพธรรม







“เอ็งจะรู้ไปทำไม๊มากมาย เทวดาเขาก็ยังมี “ความรู้สึก” เหมือนเรานั่นแหละ แล้วเขาก็ต้องมาเกิดอีก จะให้ดีแค่ไหนก็ต้องมาเกิดอีก แล้วจะมีดีอะไร เว้นไว้พวกเดียวคือ พวกที่อยู่ในพรหมโลกสุทธาวาส (พระพรหมอนาคามี) พวกนั้นไม่ต้องมาเกิดในเมืองมนุษย์อีก

นอกนั้นว่ากันโดยธรรมแล้ว ภพภูมิใดก็เหมือนกันหมดเป็นสภาวะเดียว คือ สัตว์โลกที่ยังมีความรู้สึกคิดนึกปรุงแต่งอยู่ ไม่เห็นมีดีวิเศษอะไร

สิ่งที่เราทำได้และควรทำเกี่ยวกับพวกเขาก็คือ หมั่นเจริญเมตตาภาวนากรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เขาไปไม่เลือกหน้า เราเองก็ได้เองด้วย ส่วนเขาจะรับได้รับไม่ได้ก็เรื่องของเขา สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมนะพงศ์เอ๊ย”

ท่านเสริมท้ายว่า “ฉะนั้นเราอย่าไปสนใจเลย ไม่ต้องไปตามรับรองหรือปฏิเสธมัน เรื่องภพภูมิเหล่านี้มันเป็นไปเองตามสภาวะของธรรมชาติเขาจัดสรร ให้มองข้ามไปเลย มุ่งหน้าอย่างเดียวว่า เราจะทำลายความรู้สึกให้หมดสิ้นซะในชาตินี้ จะได้ไม่ต้องมาเวียนเกิดเวียนตายอย่างนี้อีก เอาให้มันแน่วแน่ไปเลย เชื่อแน่ว่ามันไม่พ้นความเพียรของเราไปได้หรอก”

#หลวงพ่อประสิทธิ์ #ถาวโร
(คุยกันฉันท์ธรรม)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 27 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร