วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 21:49  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 130 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2015, 06:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


เอาละ..คงเห็นตัวเองมากขึ้นแล้วละ...แต่ปากอาจจะยังแข็งอยู่ก็ได้ :b32: :b32:
ไม่เป็นไร

ทีนี้....มาดูโวหารของอโสกะ...ที่ว่า..อดีตอารมณ์...อนาคตอารมณ์...ปัจจุบันอารมณ์...ซะหน่อย

1 อดีตอารมณ์...มันเป็นอย่างไร..คับอโสกะ
2 อนาคตอารมณ...มันเป็นอย่างไรคับ..อโสกะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2015, 12:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
บัวศกล เขียน:
...
แต่ในสภาพธรรมตามที่เป็นจริงชนิดซึ่งเป็นการไหลเวียนเปลี่ยนแปลงของนามรูป
ธรรมชาตินี้มีระยะเกิดดับที่ไม่อาจหาช่องว่างของปัจจุบันได้


onion


อนุโมทนาบุญครับ..ผมเห็นด้วย..


smiley smiley smiley

ในความเห็นของบัวซนซน :b32: เอกอนชอบในส่วนนี้นะ :b1:

เพราะคำกล่าวท่อนนี้ทำให้เอกอนนึกถึง "infinity" ตัวหนึ่งที่เคยรู้สึกถึงมัน

เอกอนเป็นผู้ศึกษาธรรมที่หัวเอียงไปในทาง วิทย์-คณิต น่ะ :b32:
ตอนที่พิจารณาสิ่งนั้น เอกอนไม่รู้ว่าเป็นอะไร
แต่ เอกอนเห็นว่าสภาวะนั้น มันสอดรับกับ ฟังก์ชั่น นี้

ลิมิตค่าอนันต์
เราไม่สามารถหาค่าลิมิตเมื่อ x มีค่าเข้าใกล้ 0 ของฟังก์ชันนั้น ๆ ได้
แต่เราสามารถอธิบายลักษณะของ f(x) เมื่อ x เข้าใกล้ 0 ได้ดังนี้
x เข้าใกล้ 0 ทางด้านซ้าย f(x) มีค่าลดลงอย่างไม่มีขอบเขต
หรืออาจกล่าวได้ว่า
x เข้าใกล้ 0 ทางด้านขวา f(x) มีค่าเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีขอบเขต
หรืออาจกล่าวได้ว่า
เราไม่สามารถพูดถึงลักษณะของฟังก์ชันเมื่อ x เข้าใกล้ 0 ได้ว่าเป็นอย่างไร
จึงกล่าวได้แต่เพียงว่า ไม่มีค่า

นั่นคือ เอกอนเห็นลักษณะของ สันตติ ที่เข้าใกล้ สันตติขาด มันเป็นอย่างนั้นน่ะ

:b1: :b1: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2015, 14:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


แฮ่ม....วิทย์แนวคณิต..ของเอกอน...ยังพอมีหลักฐานให้เห็น

ส่วนกระผม...ออก..วิทยาศาสตร์แนว..ต๋วยตูน...(ใครเคยอ่าน.ต๋วยตูนบ้าง!!)..อิอิ
วิทย์+จินตะ... :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2015, 15:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


บัวศกล เขียน:
คำว่าปัจจุบันสามารถจะมีได้หลายระดับ

เช่นชาติที่แล้วคืออดีต ขณะมีชีวิตก็คือปัจจุบัน ตายไปคืออนาคต

และเช่นเมื่อวานนี้คืออดีต วันนี้คือปัจจุบัน พรุ่งนี้อนาคต

และเช่นชั่วโมงที่แล้วนาทีที่แล้ว วินาทีที่แล้วคืออดีต ชั่วโมงนี้นาทีนี้วินาทีนี้คือปัจจุบัน
ชั่วโมงหน้านาทีหน้าวินาทีหน้าคืออนาคต

แต่ในสภาพธรรมตามที่เป็นจริงชนิดซึ่งเป็นการไหลเวียนเปลี่ยนแปลงของนามรูป
ธรรมชาตินี้มีระยะเกิดดับที่ไม่อาจหาช่องว่างของปัจจุบันได้เพราะทุกสิ่งกำลังไหลเวียนไปข้างหน้าอยู่ถ่ายเดียวห็นด้วย..


ผมชอบตรงนี้...
เพราะ..คนทุกคน...สามารถเห็นธรรมเกิดเฉพาะหน้าได้..ตามกำลังสติ..ปัญญา..ความสามารถ...
บางคน...เห็นด้วยความเป็นศีล
บางคน...เห็นด้วยความเป็นกรรม
บางคน...เห็นด้วยความเป็นอนิจจัง..
บางคน...เห็นด้วยอริยะสัจจัง..
บางคน..เห็นด้วยความเป็นธาตุ...

ก็ล้วนต่างเป็นธรรมที่เกิดเฉพาะหน้า..ของของตน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2015, 07:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




IMG_2769405917479.jpeg
IMG_2769405917479.jpeg [ 29.13 KiB | เปิดดู 3691 ครั้ง ]
กบนอกกะลา เขียน:
เอาละ..คงเห็นตัวเองมากขึ้นแล้วละ...แต่ปากอาจจะยังแข็งอยู่ก็ได้ :b32: :b32:
ไม่เป็นไร

ทีนี้....มาดูโวหารของอโสกะ...ที่ว่า..อดีตอารมณ์...อนาคตอารมณ์...ปัจจุบันอารมณ์...ซะหน่อย

1 อดีตอารมณ์...มันเป็นอย่างไร..คับอโสกะ
2 อนาคตอารมณ...มันเป็นอย่างไรคับ..อโสกะ

:b12:
ดิ้นใหญ่เลย
:b13:
อดีตอารมณ์คือปัจจุบันอารมณ์ที่ดับไปแล้ว แต่คนไปพยายามค้นกลับมา

อนาคตอารมณ์ คืออารมณ์ที่ยังไม่เกิด แต่คนพยายามจะปรุงแต่งขึ้นมา
:b11:
มีคนที่ทำจิตหรือสติปัญญาให้ละเอียดอ่อน คมกริบจนสติรู้ทันปัจจุบันอารมณ์ไม่ได้เลยพากันเลี่ยงบาลีไปปฏิเสธว่าปัจจุบันอารมณ์จริงๆไม่มี อุปมาเหมือนคนที่คัดค้านหัวชนฝาว่าไวรัสไม่มีเพราะกำลังขยายของกล้องจุลทัศน์ของตนเองน้อยไม่พอส่องเห็นไวรัส

คำว่า "ปัจจุบันอารมณ์" เป็นการสมมุติชื่อให้กับสภาวธรรมเพื่อให้ผู้ปฏิบัติ ฟังง่าย รู้และเข้าใจง่ายที่จะนำไปปฏิบัติจริงมิใช่บัญญัติด้วยความอยากเด่นอยากดังอะไรอย่างที่กบในกะลาเข้าใจผิด

กบเอยจงอย่าดิ้นแถไปให้มากกว่านี้เลยเดี๋ยวจะติดเบ็ด โดนเบ็ดเกี่ยวติดแขวนอยู่ในวังวน
:b16:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2015, 07:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


คนติดเบ็ด...นะเป็นอโสกะ...นะครับ

asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
เอาละ..คงเห็นตัวเองมากขึ้นแล้วละ...แต่ปากอาจจะยังแข็งอยู่ก็ได้ :b32: :b32:
ไม่เป็นไร

ทีนี้....มาดูโวหารของอโสกะ...ที่ว่า..อดีตอารมณ์...อนาคตอารมณ์...ปัจจุบันอารมณ์...ซะหน่อย

1 อดีตอารมณ์...มันเป็นอย่างไร..คับอโสกะ
2 อนาคตอารมณ...มันเป็นอย่างไรคับ..อโสกะ

:b12:
ดิ้นใหญ่เลย
:b13:
อดีตอารมณ์คือปัจจุบันอารมณ์ที่ดับไปแล้ว แต่คนไปพยายามค้นกลับมา

อนาคตอารมณ์ คืออารมณ์ที่ยังไม่เกิด แต่คนพยายามจะปรุงแต่งขึ้นมา
:

ลองยกตัวอย่าง..อดีตอารมณ์...อนาคตอารมณ์...ในความคิดอโสกะ..ว่ามันเป้นแบบไหน...สมมุติเหตุการณ์จำลองก็ได้ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2015, 08:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




IMG_6527777561234.jpeg
IMG_6527777561234.jpeg [ 35.9 KiB | เปิดดู 3687 ครั้ง ]
:b12:
กบลองไปยืนริมฝั่งแม่น้ำ เช่นเจ้าพระยาที่น้ำกำลังไหลจากขวาไปซ้าย
มองไปตรงๆเฉพาะหน้า ไม่เหลียวชำเลืองซ้าย ขวา สนใจรู้และสังเกตเฉพาะวัตถุสิ่งของที่ไหลผ่านตรงหน้า

สิ่งที่ไหลมาถึงตรงหน้าในคลองสายตา(ซ้ายสุดขวาสุดที่สายตามองตรงๆเห็นได้)คือปัจจุบันอารมณ์
สมมุติเป็นเรือเอี้ยมจุ้นลำหนึ่ง ตอนเห็นหัวเรือๆเป็นปัจจุบันอารมณ์ย่อยของอารมณ์ใหญ่คือเรือเอี้ยมจุ้นทั้งลำ เห็นกลางเรือปลายเรือก็เช่นกัน

เมื่อท้ายเรือเอี้ยมจุ้นหลุดจากสายตาไปแล้ว เรือเอี้ยมจุ้นลำนั้นเป็น "อดีตอารมณ์" ถ้ายังติดใจอดีต ก็จะต้องเอี้ยวคอมองตามไปและสูญเสียปัจจุบันอารมณ์

ตอนหัวเรือเอี้ยมจุ้นยังไม่ผ่านเข้ามาในคลองสายตา เรือเอี้ยมจุ้นลำนั้นเปรียบเป็น "อนาคตอารมณ์" ถ้ากบเอี้ยวคอไปทางขวาเพราะอยากดูว่าจะมีอะไรไหลมา นั่นย่อมจะสูญเสียปัจจุบันอารมณ์ไปติดอนาคต

การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ผู้ปฏิบัติมีงานและหน้าที่เพียง

"นิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ จนมันดับไปต่อหน้าต่อตา"

กระบวนการหลังจากนั้นจะเป็นไปโดยอัตโนมัติโดยธรรม
ไม่ว่าจะเป็นปัญญารู้ซึ้ง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ว่าจะเป็นนิพพิทาความเบื่อหน่ายต่อความเกิดดับซ้ำซากทุกวินาทีตราบชั่วเช่นชั่วชาติ จนเกิดความคลายจาง ละวาง สลัดคืนทุกสิ่ง ดิ่งลงสู่นิพพาน

อย่าคิดตอนทำวิปัสสนา หยุดคิดจึงรู้และเห็นจริงชัดแจ้ง ซึ้งใจ หายหลงผิดยึดผิด

หลังจากสลัดคืนแล้วจึงค่อยกลับมาคิดใคร่ครวญจึงจะรู้ซึ้งในคำสอนของพระศาสดาและครูบาอาจารย์
:b8:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2015, 13:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


อโสกะครับ....หากเราเลียวซ้ายไปดูเรือ...และก็เห็นเรือ..อยู่....มันจะเป็นอดีตได้งั่ยคับ.....ก็เห็นๆอยู่

เอางี้.....ถ้าวันนี้มองไปที่แม่น้ำ...แล้วคิดถึงเรือที่เห็นเมื่อวาน....อันนี้..เป้นปัจจุบัน..หรือ..เป็น..อดีต
และ..ก้อ.มนึกว่า....เมื่อวานเห้นเรือเวลาเดียวนี้...คิดว่า..อีกประเดียวเรือคงแล่นมาถึง..แน่ๆ..อันนี้เป้นปัจจุบัน..หรือว่า..เป็นอนาคต...

เอาให้ชัดๆ...เลยทีนี้

อิอิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2015, 15:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




FB_IMG_1420639510368.jpg
FB_IMG_1420639510368.jpg [ 39.83 KiB | เปิดดู 3657 ครั้ง ]
กบนอกกะลา เขียน:
อโสกะครับ....หากเราเลียวซ้ายไปดูเรือ...และก็เห็นเรือ..อยู่....มันจะเป็นอดีตได้งั่ยคับ.....ก็เห็นๆอยู่

เอางี้.....ถ้าวันนี้มองไปที่แม่น้ำ...แล้วคิดถึงเรือที่เห็นเมื่อวาน....อันนี้..เป้นปัจจุบัน..หรือ..เป็น..อดีต
และ..ก้อ.มนึกว่า....เมื่อวานเห้นเรือเวลาเดียวนี้...คิดว่า..อีกประเดียวเรือคงแล่นมาถึง..แน่ๆ..อันนี้เป้นปัจจุบัน..หรือว่า..เป็นอนาคต...

เอาให้ชัดๆ...เลยทีนี้

อิอิ

s004
กบขาดโยนิโสมนสิการไปหน่อยกับเรื่องสำคัญเช่นนี้
การเอี้ยวคอนั่นก็คือ 1 อารมณ์ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนจุดกำหนดเหมือนเปลี่ยนการกำหนดรู้ปัจจุบันอารมณ์ไปรู้อดีตหรืออนาคตอารมณ์ สถานการณ์และสภาวธรรมที่จะเกิดขึ้นเป็นผลนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปเยอะเลยเชียว

อนึ่งอดีต ปัจจุบัน อนาคต อารมณ์นั้นมันเปลี่ยนแปลงให้เห็นในชั่วพริบตาเดียว ไม่ได้รอจนข้ามวันข้ามคืนอย่างที่กบคิด
ถ้าไม่เข้าใจเรื่องอย่างนี้ กบจะเจริญวิปัสสนาภาวนาให้ก้าวหน้าไปไม่ได้ เพราะถ้าไม่จับจ้องมีสมาธิมนสิการอยูที่ปัจจุบันอารมณ์ มันจะเป็นวิปัสสนึกไปหมด เพราะตัวชี้วัดความทันปัจจุบันของสติคือ ความนึกคิดไม่เกิด มีแต่สภาวะล้วนๆ เป็นปรมัตถ์ เป็นอนัตตาแสดงให้เห็นต่อหน้าอย่างชัดเจนเกิดขึ้นแล้วดับไป เกิดขึ้นแล้วดับไป

สิ่งทีไหลผ่านหน้าในแม่น้ำเปรียบไปเหมือนกับสภาวและอารมณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้า พระบรมศาสดาทรงตรัสชี้แนะไว้ว่า

"ปัจจุปัญนัญจะ โยธัมมัง ตัตถะตัตถะ วิปัสสติ อสังหิรัง อะสังกุปปัง ตังวิทธรามนุพรูหเย"

ผู้ใดเห็นธรรมอันเกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้น "อย่างแจ่มแจ้งไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน เขาควรพอกพูนอาการเช่นนั้นไว้"

พระองค์ทรงตรัสว่า "พอกพูนอาการเช่นนั้นไว้"เท่านั้นเอง ไม่ต้องนึกคิดพิจารณาหรือทำอื่นใด

ตัวแปรที่จักทำให้เกิดกรรมและต่อวัฏสงสาร คืออภิชฌาหรือโทมนัสสังคือความยินดียินร้าย ต่อสิ่งที่ไหลผ่านคืออารมณ์ทั้งหลาย ถ้าเอายินดียินร้ายออกไม่ได้ผู้มองคนนั้นจะเกิดปฏิกิริยาตอบโต้ เปรียบเหมือนเขาเกิดชอบ กระโดดลงนำไปเอาสิ่งนั้น ชังกระโดดลงน้ำไปผลักไล่สิ่งที่ไหลผ่านั้นให้ผ่านไปเร็วๆ

ชีวิตคน สัตว์ทุกวัน เป็นไปอย่างนี้ตลอดเวลา ชอบโดดเข้าไปเอา ชังผลักดันให้ออกไปหรือเอาตัวหนีห่าง กรรมทั้ง 3 จึงเกิดขึ้นตลอดเวลา

ถ้าใครสามารถ "วิเนยยะโลเก อภิชฌา โทมนัสสังได้ดีและชำนาญยิ่งๆขึ้นทุกวัน กรรมก็เกิดน้อยลงทุกวัน จิตตั้งมั่นอยู่ที่อโหสิกรรมทุกวัน ไม่นานเนิ่นช้า ความสุขสงบ ความซึ้งในธรรมจะมีมากขึ้นจนเกิดนิพพิทาแรงกล้าสลัดหลุดจากวงปฏิจจสมุปบาท ดังนี้
onion
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2015, 18:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเริ่มจะรู้สึกว่า..อโสกะ...ไม่เข้าใจที่ตัวเองพูด.ซะแล้ว..เรื่องปัจจุบันอารมณ์..
asoka เขียน:
อนึ่งอดีต ปัจจุบัน อนาคต อารมณ์นั้นมันเปลี่ยนแปลงให้เห็นในชั่วพริบตาเดียว ไม่ได้รอจนข้ามวันข้ามคืนอย่างที่กบคิด
ถ้าไม่เข้าใจเรื่องอย่างนี้ กบจะเจริญวิปัสสนาภาวนาให้ก้าวหน้าไปไม่ได้ เพราะถ้าไม่จับจ้องมีสมาธิมนสิการอยูที่ปัจจุบันอารมณ์ มันจะเป็นวิปัสสนึกไปหมด เพราะตัวชี้วัดความทันปัจจุบันของสติคือ ความนึกคิดไม่เกิด มีแต่สภาวะล้วนๆ เป็นปรมัตถ์ เป็นอนัตตาแสดงให้เห็นต่อหน้าอย่างชัดเจนเกิดขึ้นแล้วดับไป เกิดขึ้นแล้วดับไป

นี้เป็นโวหาร....ไม่ได้อธิบายว่า..อะไรคืออดีตอารมณ์..อะไรคือปัจจุบันอารมณ์...อะไรคืออนาคตอารมณ...ของอโสกะเลย

นอกจากโวหารเรื่องเรือแล้ว....เอาเข้าจริงๆ...ชักไม่แน่ใจ..ตัวเองแล้วละซิ...นะ

อันนี้..จำเป็นนะครับ..ว่า..ปัจจุบันอารมณ์ของอโสกะนั้น...สถานะการณ์จริงๆแล้ว..มันอยู่ตรงไหน...ผมจะได้เข้าใจอโสกะ..ชัดๆ

อย่างคำถาม..ที่ผมถาม..นี้...มันจำเป็น...อโสกะว่ามันไม่ใช่ตรงไหน..ชี้แจงได้เต็มที่..เลย
คำถามเดิม..ครับ...

กบนอกกะลา เขียน:
....
เอางี้.....ถ้าวันนี้มองไปที่แม่น้ำ...แล้วคิดถึงเรือที่เห็นเมื่อวาน....อันนี้..เป้นปัจจุบัน..หรือ..เป็น..อดีต
และ..ก้อ.มนึกว่า....เมื่อวานเห้นเรือเวลาเดียวนี้...คิดว่า..อีกประเดียวเรือคงแล่นมาถึง..แน่ๆ..อันนี้เป้นปัจจุบัน..หรือว่า..เป็นอนาคต...

เอาให้ชัดๆ...เลยทีนี้

:b8:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 15 ม.ค. 2015, 04:35, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2015, 21:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ย. 2014, 11:55
โพสต์: 123

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องของปัจจุบันที่เกี่ยวเนื่องด้วยสิ่งที่ถูกขันธ์ ๕ เคี้ยวกิน คงมีแต่บุรุษอาชาไนยเป็นผู้ทำให้มอดได้แล้วตั้งอยู่.

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙
สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค

๗. ขัชชนิยสูตร
ว่าด้วยสิ่งที่ถูกขันธ์ ๕ เคี้ยวกิน
[๑๕๘] พระนครสาวัตถี ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่า
หนึ่ง เมื่อตามระลึก ย่อมตามระลึกถึงชาติก่อน ได้เป็นอันมาก สมณะหรือพราหมณ์ทั้งปวงนั้น
ก็ย่อมตามระลึกถึงอุปาทานขันธ์ ๕ หรือกองใดกองหนึ่ง.
อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นไฉน? คือ
ย่อมตามระลึกถึงรูปดังนี้ว่า ในอดีตกาล เราเป็นผู้มีรูปอย่างนี้.
ย่อมตามระลึกถึงเวทนาดังนี้ว่า ในอดีตกาล เราเป็นผู้มีเวทนาอย่างนี้.
ย่อมตามระลึกถึงสัญญาดังนี้ว่า ในอดีตกาล เราเป็นผู้มีสัญญาอย่างนี้.
ย่อมตามระลึกถึงสังขารดังนี้ว่า ในอดีตกาล เราเป็นผู้มีสังขารอย่างนี้.
ย่อมตามระลึกถึงวิญญาณดังนี้ว่า ในอดีตกาล เราเป็นผู้มีวิญญาณอย่างนี้.


[๑๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะอะไร จึงเรียกว่า รูป
เพราะสลายไป จึงเรียกว่า รูป
สลายไปเพราะอะไร สลายไปเพราะหนาวบ้าง เพราะร้อนบ้าง เพราะหิวบ้าง เพราะกระหายบ้าง เพราะสัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลานบ้าง.


ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะอะไร จึงเรียกว่า เวทนา
เพราะเสวย จึงเรียกว่า เวทนา
เสวยอะไร เสวยอารมณ์สุขบ้าง เสวยอารมณ์ทุกข์บ้าง เสวยอารมณ์ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขบ้าง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะอะไร จึงเรียกว่า สัญญา
เพราะจำได้หมายรู้ จึงเรียกว่า สัญญา
จำได้หมายรู้อะไร จำได้หมายรู้สีเขียวบ้างสีเหลืองบ้าง สีแดงบ้าง สีขาวบ้าง.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอะไรจึงเรียกว่า สังขาร
เพราะปรุงแต่งสังขตธรรม จึงเรียกว่า สังขาร
ปรุงแต่งสังขตธรรมอะไร ปรุงแต่งสังขตธรรม คือ รูปโดยความเป็นรูป
ปรุงแต่ง สังขตธรรม คือ เวทนา โดยความเป็นเวทนา
ปรุงแต่งสังขตธรรม คือ สัญญา โดยความเป็นสัญญา
ปรุงแต่งสังขตธรรม คือ สังขาร โดยความเป็นสังขาร
ปรุงแต่งสังขตธรรม คือ วิญญาณ โดยความเป็นวิญญาณ.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะอะไรจึงเรียกว่า วิญญาณ
เพราะรู้แจ้ง จึงเรียกว่า วิญญาณ
รู้แจ้งอะไร รู้แจ้งรสเปรี้ยวบ้าง รสขมบ้าง รสเผ็ดบ้าง รสหวานบ้าง รสขื่นบ้าง รสไม่ขื่นบ้าง รสเค็มบ้าง รสไม่เค็มบ้าง.
[๑๖๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในข้อนั้น อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
บัดนี้เราถูกรูปกินอยู่ แม้ในอดีตกาล เราก็ถูกรูปกินแล้ว เหมือนกับที่ถูกรูปปัจจุบันกินอยู่ในบัดนี้ ก็เรานี้แล พึงชื่นชมรูปอนาคต แม้ในอนาคตกาล เราก็พึงถูกรูปกิน เหมือนกับที่ถูกรูปปัจจุบัน
กินอยู่ในบัดนี้. เธอพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมไม่มีความอาลัยในรูปอดีต ย่อมไม่ชื่นชมรูปอนาคต
ย่อมปฏิบัติเพื่อเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับรูปในปัจจุบัน.


อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บัดนี้เราถูกเวทนากินอยู่ ... บัดนี้เราถูกสัญญากินอยู่ ... บัดนี้เราถูกสังขาร กินอยู่ ... บัดนี้เราถูกวิญญาณกินอยู่ แม้ในอดีตกาล เราก็ถูกวิญญาณกินแล้ว เหมือนกับที่ถูกวิญญาณปัจจุบันกินอยู่ในบัดนี้. ก็เรานี้แล พึงชื่นชมวิญญาณอนาคต แม้ในอนาคตกาล เราก็พึงถูกวิญญาณกินอยู่เหมือนกับที่ถูกวิญญาณปัจจุบันกินอยู่ในบัดนี้. เธอพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมไม่มีความอาลัยในวิญญาณ แม้ที่เป็นอดีต ย่อมไม่ชื่นชมวิญญาณอนาคต ย่อมปฏิบัติเพื่อความ
เบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับวิญญาณปัจจุบัน.


[๑๖๔] อริยสาวก ย่อมไม่ก่ออะไร ย่อมไม่ทำอะไรให้พินาศ แต่ทำให้พินาศแล้วตั้งอยู่.
ย่อมไม่ก่อรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้พินาศ แต่เป็นผู้ทำให้พินาศได้แล้วตั้งอยู่.

ย่อมไม่ละอะไร ย่อมไม่ถือมั่นอะไร แต่เป็นผู้ละได้แล้วตั้งอยู่
ย่อมไม่ละรูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ย่อมไม่ถือมั่นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่
เป็นผู้ละได้แล้วตั้งอยู่.

ย่อมไม่เรี่ยรายอะไร ย่อมไม่รวบรวมอะไรไว้ แต่เป็นผู้เรี่ยรายได้แล้วตั้งอยู่.
ย่อมไม่เรี่ยรายรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ย่อมไม่รวบรวมรูป เวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณ แต่เป็นผู้เรี่ยรายได้แล้วตั้งอยู่.

ย่อมไม่ทำอะไรให้มอด ย่อมไม่ก่ออะไรให้ลุกโพลงขึ้น แต่เป็นผู้ทำให้มอดได้แล้วตั้งอยู่.
ย่อมไม่ทำรูป เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ ให้มอด ย่อมไม่ก่อรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้ลุกโพลงขึ้น แต่เป็นผู้ทำให้มอดได้แล้วตั้งอยู่.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาพร้อมด้วยอินทร์ พรหม และท้าวปชาบดี
ย่อมนมัสการ ภิกษุผู้มีจิตพ้นแล้ว อย่างนี้แล แต่ที่ไกลทีเดียวว่า
ข้าแต่ท่านผู้เป็นบุรุษอาชาไนย ข้าพเจ้าทั้งหลายขอนอบน้อม
ต่อท่าน ข้าแต่ท่านผู้เป็นอุดมบุรุษ ข้าพเจ้าทั้งหลายขอนอบน้อม
ต่อท่าน ผู้ซึ่งข้าพเจ้าทั้งหลายมิได้รู้จักโดยเฉพาะ และผู้ซึ่งได้
อาศัยเพ่งท่านพินิจอยู่ ดังนี้.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2015, 04:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2015, 08:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




FB_IMG_1420639510368.jpg
FB_IMG_1420639510368.jpg [ 39.83 KiB | เปิดดู 3624 ครั้ง ]
กบนอกกะลา เขียน:
ผมเริ่มจะรู้สึกว่า..อโสกะ...ไม่เข้าใจที่ตัวเองพูด.ซะแล้ว..เรื่องปัจจุบันอารมณ์..
asoka เขียน:
อนึ่งอดีต ปัจจุบัน อนาคต อารมณ์นั้นมันเปลี่ยนแปลงให้เห็นในชั่วพริบตาเดียว ไม่ได้รอจนข้ามวันข้ามคืนอย่างที่กบคิด
ถ้าไม่เข้าใจเรื่องอย่างนี้ กบจะเจริญวิปัสสนาภาวนาให้ก้าวหน้าไปไม่ได้ เพราะถ้าไม่จับจ้องมีสมาธิมนสิการอยูที่ปัจจุบันอารมณ์ มันจะเป็นวิปัสสนึกไปหมด เพราะตัวชี้วัดความทันปัจจุบันของสติคือ ความนึกคิดไม่เกิด มีแต่สภาวะล้วนๆ เป็นปรมัตถ์ เป็นอนัตตาแสดงให้เห็นต่อหน้าอย่างชัดเจนเกิดขึ้นแล้วดับไป เกิดขึ้นแล้วดับไป

นี้เป็นโวหาร....ไม่ได้อธิบายว่า..อะไรคืออดีตอารมณ์..อะไรคือปัจจุบันอารมณ์...อะไรคืออนาคตอารมณ...ของอโสกะเลย

นอกจากโวหารเรื่องเรือแล้ว....เอาเข้าจริงๆ...ชักไม่แน่ใจ..ตัวเองแล้วละซิ...นะ

อันนี้..จำเป็นนะครับ..ว่า..ปัจจุบันอารมณ์ของอโสกะนั้น...สถานะการณ์จริงๆแล้ว..มันอยู่ตรงไหน...ผมจะได้เข้าใจอโสกะ..ชัดๆ

อย่างคำถาม..ที่ผมถาม..นี้...มันจำเป็น...อโสกะว่ามันไม่ใช่ตรงไหน..ชี้แจงได้เต็มที่..เลย
คำถามเดิม..ครับ...

กบนอกกะลา เขียน:
....
เอางี้.....ถ้าวันนี้มองไปที่แม่น้ำ...แล้วคิดถึงเรือที่เห็นเมื่อวาน....อันนี้..เป้นปัจจุบัน..หรือ..เป็น..อดีต
และ..ก้อ.มนึกว่า....เมื่อวานเห้นเรือเวลาเดียวนี้...คิดว่า..อีกประเดียวเรือคงแล่นมาถึง..แน่ๆ..อันนี้เป้นปัจจุบัน..หรือว่า..เป็นอนาคต...

เอาให้ชัดๆ...เลยทีนี้

:b8:

s004
บอกมาเพื่อให้สังเกต กบกลับไปคิดว่าเป็นโวหาร น่าสงสารเพราะไม่เคยทำความละเอียดในสภาวธรรม

เคยสังเกตเสียงที่มากระทบหูไหม กบ

ลองนั่งนิ่งๆ มนสิการไว้ที่หูหรือการได้ยิน ตัวอย่างเช่น
ได้ยินเสียงนกตัวที่ 1 แล้วดับไป หรือรู้เสียงนกตัวที่ 1 จนเสียงนกตัวที่ 1 ดับไป เปลี่ยนเป็นรู้เสียงรถ แล้วดับไป เปลียนเป็น รู้เสียงคนพูด แล้วดับไป

มีเสียงต่างๆสับเปลี่ยนหมุนเวียนมาให้รู้แล้วดับไป ทั้งวัน

เสียงต่างๆที่เกิดขึ้นให้รู้และดับไปทั้งหมดนั้น คือ อดีต

เสียงที่กำลังได้ยินเฉพาะหน้าขณะนี้คือ ปัจจุบัน ปัจจุบันอารมณ์

เสียงที่คาดว่าหรือไม่คาดก็ตามที่ยังไม่เกิดขึ้นมาให้ได้ยิน เป็น อนาคต

ให้สังเกตจากความจริงข้างหูตอนนี้ประกอบไปด้วย ซึ่งอย่างนี้เขาเรียกว่า "เทียบสอบกับปรมัตถ์ ความจริง"
:b20:
ส่วนที่ยังสงสัยว่า ขณะที่ วันนี้มามองตรงลงในแม่น้ำ แล้วคิดถึงเรือที่เห็นเมื่อวานนี้

ภาพและเรื่องเรือเมื่อวานในมโนภาพความคิดนึก เป็นอดีต

ความคิดเรื่องเรือเมื่อวาน.....ความคิดที่เกิดรู้ขึ้นต่อหน้าเดี๋ยวนี้ เป็นปัจจุบัน
:b43:
คิดว่า..อีกประเดียวเรือคงแล่นมาถึง..แน่ๆ.

นี่เป็นอนาคต เพราะเรื่องจริงยังไม่เกิด แต่ความคิดเป็นปัจจุบันเพราะกำลังเกิด
:b44:
สังเกตประเด็นสำคัญ จะเห็นว่า เรื่องที่เป็นอดีต อนาคต จะมีตัว คิด กับ นึก ประกอบด้วยตลอด

ส่วนปัจจุบันไม่ต้องคิด นึก เขาเกิดขึ้นให้รู้เองเฉพาะหน้าในที่นั้น รู้ที่ใจตรงๆ
onion onion
กบจมอยู่ในความนึกคิดและเหตุผล ต้องลอยตัวหรือถอนตัวขึ้นมาให้ได้ด้วยการเจริญสมาธิอย่างจริงจังจน อุทธัจจะและวิจิกิจฉาสงบได้อย่างต่อเนื่องนานพอควรแก่งาน อย่าพึ่งทำวิปัสสนา จึงจะได้พบสัจจธรรมของ "ปัจจุบันอารมณ์"
:b8:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2015, 14:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004
บอกมาเพื่อให้สังเกต กบกลับไปคิดว่าเป็นโวหาร น่าสงสารเพราะไม่เคยทำความละเอียดในสภาวธรรม

เคยสังเกตเสียงที่มากระทบหูไหม กบ

ลองนั่งนิ่งๆ มนสิการไว้ที่หูหรือการได้ยิน ตัวอย่างเช่น
ได้ยินเสียงนกตัวที่ 1 แล้วดับไป หรือรู้เสียงนกตัวที่ 1 จนเสียงนกตัวที่ 1 ดับไป เปลี่ยนเป็นรู้เสียงรถ แล้วดับไป เปลียนเป็น รู้เสียงคนพูด แล้วดับไป

มีเสียงต่างๆสับเปลี่ยนหมุนเวียนมาให้รู้แล้วดับไป ทั้งวัน
เสียงต่างๆที่เกิดขึ้นให้รู้และดับไปทั้งหมดนั้น คือ อดีต
เสียงที่กำลังได้ยินเฉพาะหน้าขณะนี้คือ ปัจจุบัน ปัจจุบันอารมณ์
เสียงที่คาดว่าหรือไม่คาดก็ตามที่ยังไม่เกิดขึ้นมาให้ได้ยิน เป็น อนาคต

ให้สังเกตจากความจริงข้างหูตอนนี้ประกอบไปด้วย ซึ่งอย่างนี้เขาเรียกว่า "เทียบสอบกับปรมัตถ์ ความจริง"
:b20:

เอ้า...จากเรือ.ก้มา...เสียง..อีก
อโสกะครับ...เสียงที่จบไปแล้ว..เป็นอดีต...ที่ยังไม่เกิด..เป็นอนาคต..ใครๆเขาก็รู้

แต่..ที่อโสกะว่า..อดีตอารมณ์..อนาคตอารมณ์..ที่อโสกะว่าไม่ควรเอามาเป็นอารมณ์..นั้นนะ...

เสียง...ที่เป็นอดีตอารมณ์...นั้นเป็นอย่างไร...คนทำอย่างไรจึงชื่อว่า..เอาเสียงในอดีตมาเป็นอารมณ์...จนเป้นอดีตอารมณ์ดังเช่นอโสกะว่า..?
เสียง...ที่เป้นอนาคตอารมณ์...นั้นเป็นอย่างไร...คนทำอย่างไรจึงชื่อว่าเอาเสียงในอนาคตมาเป็นอารมณ์...จนเป้นอนาคตอารมณ์ดังเช่นอโสกะว่ามา..?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2015, 14:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


ระวังหน่อยนะครับ..อโสกะ...รอบคอบหน่อย...คนอื่นๆ..กำลังจ้องมองท่านอยู่..
อย่าตกน้ำตกท่า...เอาให้ชัดๆ..สวยๆ...ไปเลยนะครับผม


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 130 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 38 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร