วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 11:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2014, 16:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 16:46
โพสต์: 412

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระอรหันต์ ท่านมีกิเลสแต่ท่าน ละกิเลสได้หมด

หรือ ท่าน ไม่มีกิเลสหลงเหลือแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2014, 22:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




1411689775040.jpg
1411689775040.jpg [ 30.62 KiB | เปิดดู 4688 ครั้ง ]
choochu เขียน:
พระอรหันต์ ท่านมีกิเลสแต่ท่าน ละกิเลสได้หมด

หรือ ท่าน ไม่มีกิเลสหลงเหลือแล้ว


:b39:
อะระ.....อริ....ศัตรู

หันตะ.....ฆ่าตายหมด

ผู้ฆ่าศัตรูตายหมดแล้ว
:b12: :b12: :b12:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2014, 22:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


choochu เขียน:
พระอรหันต์ ท่านมีกิเลสแต่ท่าน ละกิเลสได้หมด

หรือ ท่าน ไม่มีกิเลสหลงเหลือแล้ว


:b12:
ความคิดนะครับ...คิดเล่นๆ...ถ้าท่านยังมีธาตุ4ขันธ์5 อยู่....กิเลสยังปรากฎอยู่....แต่ท่านละได้หมด
ตัวท่านนั้นนะกิเลสไม่หลงเหลือแล้ว....แต่กิเลสยังมีเศษหลงเหลืออยู่กับขันธ์...เพราะท่านยังไม่นิพพาน...ขันธ์ยังมีอยู่.....ขันธ์มันก็ทำงานตามโปรแกรมกิเลสที่ติดอยู่...แต่ใจท่่านไม่หลงปรุงต่อไปกับมัน...มันก็เพียงเกิดแล้วก็ดับ...

ไม่งั้นพระพุทธองค์คงไม่บอกว่านิพพานมี 2คือ..

สอุปาทิเสสนิพพาน คือ นิพพานที่ยังมีเบญจขันธ์เหลือ
อนุปาทิเสสนิพพาน คือ นิพพานแบบไม่มีเบญจขันธ์

คงต้องมีอะไรที่ต่างกันมั้งละ....ถึงมีสองแบบ...

คิดเล่นๆ...เรื่อยๆ...นะครับ
s004


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2014, 17:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ต.ค. 2010, 10:42
โพสต์: 249

แนวปฏิบัติ: ไม่เอา ไม่เป็น ไม่ยึด
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่มของท่านพุทธทาส
อายุ: 32
ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: คุณกบ

ผมเห็นว่า ขันธ์ที่ปุถุชนและอริยบุคคลยกเว้นพระอรหันต์ใช้อยู่นั้น ไม่ใช่ขันธ์ 5 บริสุทธิ์
แต่เป็นขันธ์ที่ประกอบอยู่ด้วยอาสวะ เป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทานขันธ์ ครับ

ถือว่าแลกเปลี่ยนความเห็นกันครับ

:b8:

.....................................................
วงว่างยงอยู่ยั้ง อนันตกาล
ในถิ่นที่ทุกสถาน แหล่งหล้า
ยึดมั่นไป่พบพาน ประจักษ์
ยามปล่อยหยุดไขว่คว้า ถึงได้โดยพลัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2014, 20:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ถือว่า...คุยไปเรื่อย...อย่าถือสาว่าต้องเป็นจริงเป็นจัง..นะครับ....มันเปลี่ยนได้...เมื่อพบความจริง
:b8:
ผมก็ไม่รู้...นะ....ว่า..ขันธ์บริสุทธิ์..นี้..เป็นอย่างไร

เคยมีคนถามหลวงพ่อองค์หนึ่งว่า..."หลวงพ่อยังโกรธอยู่มั้ย?"

หลวงพ่อท่านนั้นก็ตอบว่า..."มีอยู่..แต่ไม่เอามัน"

:b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2014, 22:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ต.ค. 2010, 10:42
โพสต์: 249

แนวปฏิบัติ: ไม่เอา ไม่เป็น ไม่ยึด
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่มของท่านพุทธทาส
อายุ: 32
ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: คุณกบ

แต่ละขณะเป็นเรื่องสำคัญครับคุณกบ
เนื่องจากเราไม่สามารถทราบได้ว่าครูบาอาจารย์แต่ละท่านนั้นเป็นพระอรหันต์ตอนอายุเท่าไหร่ คำพูดคำสอนในแต่ละขณะจึงต้องพิจารณาให้ดีครับ
ผมก็ศรัทธาในหลวงปู่ท่านเช่นกันครับ คุณกบ

:b8:

.....................................................
วงว่างยงอยู่ยั้ง อนันตกาล
ในถิ่นที่ทุกสถาน แหล่งหล้า
ยึดมั่นไป่พบพาน ประจักษ์
ยามปล่อยหยุดไขว่คว้า ถึงได้โดยพลัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2014, 22:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ใช่ครับ..ขณะ..สำคัญ...ขณะนั้น..ท่านเป็นขั้นไหนก็มิทราบได้..

แต่..ผมเห็นว่า..ไอที่ผมคิด...มันเข้ากันได้..เลยยกมา..นะครับ

อีกคำหนึ่งเคยได้ยินมา..คือ..คำว่าขันธ์มาร...

ส่วน...ขันธ์5 บริสุทธิ์..นี้....ลองเล่าให้ฟังหน่อยซิครับ...ว่ามันมีอากัปกิริยา..ยังงัย?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2014, 22:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


กิเลสเป็นสิ่งที่คู่กับโลก...เป็นสิ่งที่ดึงเหนี่ยวรั้งให้วนเวียนไปกับโลก
ให้หลงมัวเมา เกลือกกลั้ว...

ส่วน อรหันต์ ... ตั้งอยู่ในโลกุตระธรรม
ซึ่งท่านเห็นธรรม และท่านแจ้งในธรรม ... ท่านไม่หลง
ด้วยอาการที่รู้แจ้ง ไม่หลง ... อะไรมันก็เป็นเรื่องที่ไม่ปรากฎ...

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2014, 23:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ต.ค. 2010, 10:42
โพสต์: 249

แนวปฏิบัติ: ไม่เอา ไม่เป็น ไม่ยึด
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่มของท่านพุทธทาส
อายุ: 32
ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: คุณกบ คุณเอกอน

ผมไม่สามารถนำขันธ์ทีบริสุทธิ์มาแสดงได้ครับ
สิ่งที่พอบอกได้คือวิธีรู้จักขันธ์ที่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทาน(อุปาทานขันธ์)ครับ

ส่วนสิ่งที่คุณเอกอนกล่าวผมก็เห็นด้วยครับ ถ้าคำว่าโลกที่คุณเอกอนกล่าวนั้นเป็นอย่างเดียวกันกับที่พระพุทธองค์บัญญัติครับ

ไว้เหตุปัจจัยเหมาะสมคงได้สนทนากันอีกครับ

:b8:

.....................................................
วงว่างยงอยู่ยั้ง อนันตกาล
ในถิ่นที่ทุกสถาน แหล่งหล้า
ยึดมั่นไป่พบพาน ประจักษ์
ยามปล่อยหยุดไขว่คว้า ถึงได้โดยพลัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2014, 11:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ย. 2014, 11:55
โพสต์: 123

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กิเลสข้อหนึ่งที่เราไม่รู้คืออวิชชา ความไม่รู้ทั้งหลายที่เรากระทำขึ้นประกอบขึ้นล้วนแล้วเป็นอวิชชาพาชีวิตเราไปตามลักษณะสามัญชนหรือสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่เกิดมาตั้งอยู่ดับไป ด้วยสังขารที่อาศัย คือเกิด แก่ เจ็บ แล้วก็ตาย มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเวียนว่าย ตาย เกิด ก็คือเรื่องของอวิชชา เรื่องของอุปาทาน เรื่องของวิบากกรรม ที่เรืยกว่า นิสัยโลกปกคลุมอยู่ ความไม่รู้ทั้งสามประการเป็นเรื่องสามัญปกติของชีวิตที่เกิดมาตั้งอยู่แล้วดับไป การเจริญสมาธิช่วยให้เรารู้จักสิ่งที่อยู่กับจิตเรา คือ เรื่องราวของขันธ์ห้า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ การรู้จักขันธ์ห้าจะทำให้เรารู้จักอนัตตาคือสิ่งที่ไม่มีตัวตน รู้จักภาวะความเป็นจริงของขันธ์ห้านั้น เป็นประโยชน์เป็นความรู้ความเข้าใจด้วยปํญญาทำเราให้เจริญขึ้น ผ่อนคลายขึ้น ละวางขึ้นกับเรื่องราวทั้งหลายของขันธ์ห้า ไม่หลงใช้ชีวิตด้วยอวิชชา ไม่ใช้รูปนี้ไปในทางลบไม่เป็นประโยชน์ ไม่หลงใช้รูปไปในทางโลภ ทางโกรธ ทางหลง หลงรูป หลงปัจจัยสี่ หลงโลกธรรม หลงทรัพย์สมบัติ หลงเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายและสรรพสัตว์ทั้งหลาย หลงทุกอย่าง เพราะความไม่เข้าใจในรูป จึงให้ปล่อยให้รูปนี้เป็นอวิชชา ก่อนที่รูปนี้จะละลายไป อะไรที่เป็นประโยชน์เป็นสาระแก่จิตดวงนี้ก็ทำขึ้น เหมือนนำรูปนี้มาตั้งอยู่ท่ามกลางของสัจธรรม คือความเป็นธรรมที่เรียกว่าสมาธิ เป็นประโยชน์แล้ว อย่างน้อยๆ ก็หยุดพักเรื่องราวที่เราไม่รู้นั้นก่อน ในขณะที่นำรูปมาตั้งในท่ามกลางสัจธรรม จิตเราก็รู้จักปฏิเสธเรื่องราวต่างๆ อันทำให้เกิดเป็นองค์สมาธิขึ้น เป็นรูปที่มีประโยชน์ ไม่ใช้รูปไปในทางเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ไม่ประมาทในชีวิตที่มีรูปแก่ รูปเจ็บ รูปตายให้เราเห็น เหมือนเราเกิดมาเพื่อรอตายแท้ๆ


แก้ไขล่าสุดโดย toy1 เมื่อ 17 ต.ค. 2014, 21:23, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2014, 14:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


โกเมศวร์ เขียน:

:b8: คุณกบ คุณเอกอน

ผมไม่สามารถนำขันธ์ทีบริสุทธิ์มาแสดงได้ครับ
สิ่งที่พอบอกได้คือวิธีรู้จักขันธ์ที่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทาน(อุปาทานขันธ์)ครับ

:b8:


:b1: ...

แสดงธรรมอันว่าด้วย ขันธ์ห้า ...
เพียงเท่านั้น...แค่ที่เป็นสัจธรรมแห่งขันธ์...
...ก็พอแล้ว...
ผู้มีดวงตาอันบริสุทธิ์...ย่อมเล็งเห็นได้...

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2014, 16:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
choochu เขียน:
พระอรหันต์ ท่านมีกิเลสแต่ท่าน ละกิเลสได้หมด

หรือ ท่าน ไม่มีกิเลสหลงเหลือแล้ว


:b12:
ความคิดนะครับ...คิดเล่นๆ...ถ้าท่านยังมีธาตุ4ขันธ์5 อยู่....กิเลสยังปรากฎอยู่....แต่ท่านละได้หมด
ตัวท่านนั้นนะกิเลสไม่หลงเหลือแล้ว....แต่กิเลสยังมีเศษหลงเหลืออยู่กับขันธ์...เพราะท่านยังไม่นิพพาน...ขันธ์ยังมีอยู่.....ขันธ์มันก็ทำงานตามโปรแกรมกิเลสที่ติดอยู่...แต่ใจท่่านไม่หลงปรุงต่อไปกับมัน...มันก็เพียงเกิดแล้วก็ดับ...

ไม่งั้นพระพุทธองค์คงไม่บอกว่านิพพานมี 2คือ..

สอุปาทิเสสนิพพาน คือ นิพพานที่ยังมีเบญจขันธ์เหลือ
อนุปาทิเสสนิพพาน คือ นิพพานแบบไม่มีเบญจขันธ์

คงต้องมีอะไรที่ต่างกันมั้งละ....ถึงมีสองแบบ...

คิดเล่นๆ...เรื่อยๆ...นะครับ
s004


พระอรหันต์เป็นผู้ทำลายกิเลสได้หมดสิ้นแล้ว ที่เรียกว่า นิพพานกิเลส
แต่รูปขันธ์และสังขารขันธ์ยังอยู่ ที่เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน

อนุปาทิเสสนิพพาน หมายถึง พระอรหันต์ตาย ที่เรียกว่า ดับขันธ์ปรินิพพาน

ทั้งสองจึงต่างกันครับ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2014, 17:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


choochu เขียน:
พระอรหันต์ ท่านมีกิเลสแต่ท่าน ละกิเลสได้หมด

หรือ ท่าน ไม่มีกิเลสหลงเหลือแล้ว


ปุถุชนเท่านั้นที่มีกิเลส เมื่อทำลายกิเลสได้หมดแล้ว
ปุถุชนคนนั้นแหละได้ชื่อว่า พระอรหันต์

พระอรหันต์เป็นผู้ที่ทำลายกิเลสได้ จึงไม่มีกิเลสหลงเหลือ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ต.ค. 2014, 01:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


toy1 เขียน:
กิเลสข้อหนึ่งที่เราไม่รู้คืออวิชชา ความไม่รู้ทั้งหลายที่เรากระทำขึ้นประกอบขึ้นล้วนแล้วเป็นอวิชชาพาชีวิตเราไปตามลักษณะสามัญชนหรือสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่เกิดมาตั้งอยู่ดับไป ด้วยสังขารที่อาศัย คือเกิด แก่ เจ็บ แล้วก็ตาย มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเวียนว่าย ตาย เกิด ก็คือเรื่องของอวิชชา เรื่องของอุปาทาน เรื่องของวิบากกรรม ที่เรืยกว่า นิสัยโลกปกคลุมอยู่ ความไม่รู้ทั้งสามประการเป็นเรื่องสามัญปกติของชีวิตที่เกิดมาตั้งอยู่แล้วดับไป การเจริญสมาธิช่วยให้เรารู้จักสิ่งที่อยู่กับจิตเรา คือ เรื่องราวของขันธ์ห้า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ การรู้จักขันธ์ห้าจะทำให้เรารู้จักอนัตตาคือสิ่งที่ไม่มีตัวตน รู้จักภาวะความเป็นจริงของขันธ์ห้านั้น เป็นประโยชน์เป็นความรู้ความเข้าใจด้วยปํญญาทำเราให้เจริญขึ้น ผ่อนคลายขึ้น ละวางขึ้นกับเรื่องราวทั้งหลายของขันธ์ห้า ไม่หลงใช้ชีวิตด้วยอวิชชา ไม่ใช้รูปนี้ไปในทางลบไม่เป็นประโยชน์ ไม่หลงใช้รูปไปในทางโลภ ทางโกรธ ทางหลง หลงรูป หลงปัจจัยสี่ หลงโลกธรรม หลงทรัพย์สมบัติ หลงเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายและสรรพสัตว์ทั้งหลาย หลงทุกอย่าง เพราะความไม่เข้าใจในรูป จึงให้ปล่อยให้รูปนี้เป็นอวิชชา ก่อนที่รูปนี้จะละลายไป อะไรที่เป็นประโยชน์เป็นสาระแก่จิตดวงนี้ก็ทำขึ้น เหมือนนำรูปนี้มาตั้งอยู่ท่ามกลางของสัจธรรม คือความเป็นธรรมที่เรียกว่าสมาธิ เป็นประโยชน์แล้ว อย่างน้อยๆ ก็หยุดพักเรื่องราวที่เราไม่รู้นั้นก่อน ในขณะที่นำรูปมาตั้งในท่ามกลางสัจธรรม จิตเราก็รู้จักปฏิเสธเรื่องราวต่างๆ อันทำให้เกิดเป็นองค์สมาธิขึ้น เป็นรูปที่มีประโยชน์ ไม่ใช้รูปไปในทางเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ไม่ประมาทในชีวิตที่มีรูปแก่ รูปเจ็บ รูปตายให้เราเห็น เหมือนเราเกิดมาเพื่อรอตายแท้ๆ


:b8:

ผมไม่รู้ว่าคุณทอยเรียบเรียงขึ้นเองจากความคิดตนเอง
หรือนำบทความมาจากที่อื่น

แต่ก็ขออนุโมทนาครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ต.ค. 2014, 07:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ย. 2014, 11:55
โพสต์: 123

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ Student

มีพระท่านสอนให้ ในเรื่องของอวิชชา อุปาทาน วิบากกรรม ที่เรียกว่านิสัยโลกปกคลุมอยู่ และท่านก็ให้เหตุผลชี้แจงพอเป็นแนวทางให้เราไปพิจารณา กลั่นกรอง น้อมนำไปปฏิบัติเพื่อผ่อนคลายความทุกข์กายทุกข์ใจ เมื่อเราปฏิบัติธรรมแล้วพิจารณาดัวยจิตของตนไปตามที่ท่านบอกกล่าวไว้ ผลที่เราจะได้นั้นจะเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้จิตของตัวเองเข้าไปศึกษาพิจารณา ให้เข้าใจสภาพความเป็นจริงด้วยเหตุด้วยผลในสิ่งที่จิตของตัวเองอาศัยอยู่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 28 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร