วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 02:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 257 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 11, 12, 13, 14, 15, 16, 17, 18  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2015, 21:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:
สงสัยกบจะมองไม่รอบครอบในเรื่องการสอนธรรมะของพระองค์. ผมจะสอนให้นะ. พระองค์เวลาสอนธรรมะพระองค์จะสอนในบริบทที่ไม่ให้เกิดการหย่อนยานในการทำกิจความความดี. แต่เมื่อมีคนไปถามพระองค์จะกล่าวธรรมเป็นจริงของโลกตามฐานะที่ใครสามารถจะทำได้. จากคำถามที่ท่าคฤหบดียกคำถามมาผมจะแปลให้เป็นภาษาที่กบพอจะทำความเข้าใจได้นะถ้ากบยังไม่เข้าใจภาษาก็จะแปลให้. ท่านถามว่า. อริสาวกไม่ทำอะไรบ้างที่เป็นทางไม่มีดีที่จะนำไปสู่ความเสื่อม. พระองค์ก็ตรัสตอบว่าอริยสาวกไม่กระทำความไม่ดี6อย่างนี้บ่อยๆ.ก็หมายความว่าอริสาวกกระทำได้แต่ไม่บ่อย. พอเข้าใจได้ใช้มั้ย. ถ้าไม่เข้าใจจะจัดอยู่ในปัญญาทรามนะกบ

รูปภาพ


แต่..จะเลอะ..ก็เลอะไปคนเดียว...เถอะ

มีที่ไหน..อริยะสาวก...กินเหล้าเป็นบางครั้งได้...เพราะไม่ได้ทำบ่อยๆ...
รูปภาพ

ผมก็ยกพระสูตรมาให้ดูแล้ว. กบคนรักษาศิลห้าตกนรกมั้ยครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2015, 21:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ผมก็ยกพระสูตรมาให้ดูแล้ว. กบคนรักษาศิลห้าตกนรกมั้ยครับ


หมายถึง...คนรักษาศีล 5 มีโอกาศตกนรก..มั้ย...?..ใช่มั้ย
โอกาส...นั้น..มีซิ..ทำไมจะไม่มี

อย่าว่าแต่ศีล 5 เลย...คนรักษา..ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 ก็มีโอกาสตกนรกได้ทั้งนั้นแหละ...

ถามทำไมหรอ s006

:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2015, 21:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:
ผมก็ยกพระสูตรมาให้ดูแล้ว. กบคนรักษาศิลห้าตกนรกมั้ยครับ


หมายถึง...คนรักษาศีล 5 มีโอกาศตกนรก..มั้ย...?..ใช่มั้ย
โอกาส...นั้น..มีซิ..ทำไมจะไม่มี

อย่าว่าแต่ศีล 5 เลย...คนรักษา..ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 ก็มีโอกาสตกนรกได้ทั้งนั้นแหละ...

ถามทำไมหรอ s006

:b32:

งั้นก็หมายความว่าโสดาบันก็ตกนรกได้ซิ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2015, 22:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:
ผมก็ยกพระสูตรมาให้ดูแล้ว. กบคนรักษาศิลห้าตกนรกมั้ยครับ


หมายถึง...คนรักษาศีล 5 มีโอกาศตกนรก..มั้ย...?..ใช่มั้ย
โอกาส...นั้น..มีซิ..ทำไมจะไม่มี

อย่าว่าแต่ศีล 5 เลย...คนรักษา..ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 ก็มีโอกาสตกนรกได้ทั้งนั้นแหละ...

ถามทำไมหรอ s006

:b32:

งั้นก็หมายความว่าโสดาบันก็ตกนรกได้ซิ


555....

บิ๊กทู..จะตีขลุ่มมั่วๆ...ซึ่งกระผมไม่งง..หรอก...
แต่หากบิ๊กทู..ปักใจอย่างที่ถามมาจริงๆ...ก็น่าสงสารนะ

แล้วบิ๊กทู...ว่า..อะไรเป็นปัจจัยให้คนลงนรก?

ถ้าบิ๊กทูเข้าใจถูกต้องแล้ว...บิ๊กทูก็จะรู้ว่า..เพราะอะไรโสดาจึงไม่มีโอกาสแม้ % เดียว..ที่จะตกนรก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2015, 22:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:
ผมก็ยกพระสูตรมาให้ดูแล้ว. กบคนรักษาศิลห้าตกนรกมั้ยครับ


หมายถึง...คนรักษาศีล 5 มีโอกาศตกนรก..มั้ย...?..ใช่มั้ย
โอกาส...นั้น..มีซิ..ทำไมจะไม่มี

อย่าว่าแต่ศีล 5 เลย...คนรักษา..ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 ก็มีโอกาสตกนรกได้ทั้งนั้นแหละ...

ถามทำไมหรอ s006

:b32:

งั้นก็หมายความว่าโสดาบันก็ตกนรกได้ซิ

พระโสดาบันไม่ใช่แค่รักษาศีล5 แต่ละสังโยชน์เบื้องต่ำ ได้แล้วนั่นคือ
สักกายทิฏฐิ..ละความเห็นผิดว่าขันธ์5นี่มิใช่ตัวตนของเรา..เห็น รูปนามเกิดดับไปตามความจริง..จนประจักษ์ไตรลักษณ์
วิจิกิจฉา..ไม่มีความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย..ไม่ลังเลสงสัยใน คุณพระพุทธมีจริงไหม คุณพระธรรมมีจริงไหม คุณพระสงฆ์มีจริงไหม มีความศรัทราแรงกล้าหยั่งลงในจิต
สีลัพพตปรามาส..หมดความยึดมั่นถือมั่นในศีลข้อวัตร ที่สักแต่ว่าทำตามๆกันมา..แต่มีความรู้แจ้งในสัมมาปฏิบัติเพราะรู้ด้วยปัญญาสัมมาทิฐฐิ..จึงพิจารณาได้ด้วยตนเองว่า สิ่งใดควรสิ่งใดมิควร สิ่งใดเป็นกุศล สิ่งใดเป็นอกุศล..
นี่แหละค่ะ พระโสดาบัณ..ที่ปิดอบายภูมิได้แท้จริง.. :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2015, 22:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:
ผมก็ยกพระสูตรมาให้ดูแล้ว. กบคนรักษาศิลห้าตกนรกมั้ยครับ


หมายถึง...คนรักษาศีล 5 มีโอกาศตกนรก..มั้ย...?..ใช่มั้ย
โอกาส...นั้น..มีซิ..ทำไมจะไม่มี

อย่าว่าแต่ศีล 5 เลย...คนรักษา..ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 ก็มีโอกาสตกนรกได้ทั้งนั้นแหละ...

ถามทำไมหรอ s006

:b32:

งั้นก็หมายความว่าโสดาบันก็ตกนรกได้ซิ


555....

บิ๊กทู..จะตีขลุ่มมั่วๆ...ซึ่งกระผมไม่งง..หรอก...
แต่หากบิ๊กทู..ปักใจอย่างที่ถามมาจริงๆ...ก็น่าสงสารนะ

แล้วบิ๊กทู...ว่า..อะไรเป็นปัจจัยให้คนลงนรก?

ถ้าบิ๊กทูเข้าใจถูกต้องแล้ว...บิ๊กทูก็จะรู้ว่า..เพราะอะไรโสดาจึงไม่มีโอกาสแม้ % เดียว..ที่จะตกนรก
เพราะอะไรถึงไม่ตกนรกล่ะครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2015, 22:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
เพราะอะไรถึงไม่ตกนรกล่ะครับ


เอาเหตุที่ตกนรกก่อนซิ....อย่าข้ามขั้น :b32: :b32:

ถาม..บิ๊กทู..ว่า..อะไรทำให้ตกนรก??


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2015, 22:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:
เพราะอะไรถึงไม่ตกนรกล่ะครับ


เอาเหตุที่ตกนรกก่อนซิ....อย่าข้ามขั้น :b32: :b32:

ถาม..บิ๊กทู..ว่า..อะไรทำให้ตกนรก??
ก็เห็นท่านว่ารักษาศิลห้าตกนรกได้. ก็เลยถามว่าโสดาบันก็รักษาศิลห้าก็ตกนรกได้ซิ. ท่านบอกว่า0%ตกไม่ได้ก็เลยถามต่อว่าทำไมถึงตกไม่ได้. กบบอกเหตุผลมาสักหน่อยอยากรู้

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2015, 08:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


การที่จะเป็นโสดาบันได้นั้นจะต้องละ อปายคมนิยธรรม(กรรมที่พาไปอบาย)ปฏิบัติถึงขั้นโสดาปัตติมัคคญาณเป็นต้น จนถึง อรหัตตมัคคญาณ จึงจะละอกุศลกรรมบถเหล่านี้ได้ โดยเด็ดขาด ดังมีหลักฐานในวิสุทธิมรรค ภาค ๓ หน้า ๓๓๘ รับรองไว้ว่า

กมฺมปเถสุ ปาณาติปาโต อทินฺนาทานํ กาเมสุ มิจฉาจาโร มุสาวาโท มิจฺฉาทิฏฐีติ อิเม ปฐมญาณวชฺฌา

บรรดากรรมบถทั้ง ๑๐ นั้น ปาณาติบาต ๑ อทินนาทาน ๑ กาเมสุมิจฉาจาร ๑ มุสาวาท ๑ มิจฉาทิฏฐิ ๑

อกุศลกรรม ทั้ง ๕ ข้อนี้ ละได้โดยเด็ดขาด ด้วยอำนาจ โสดาปัตติมัคคญาณ. (สุราไม่เห็นมี)



ปิสุณาวาจา ผรุสวาจา พฺยาปาโทติ ตโย ตติยญาณวชฺฌา

ปิสุณาวาจา ๑ ผรุสวาจา ๑ พยาบาท ๑

อกุศลกรรมบถทั้ง ๓ นี้ ละได้โดยเด็ดขาดด้วยอำนาจ อนาคามิมัคคญาณ



สมฺผปฺปลาปาภิชฌา จตุตฺถญาณวชฺฌา สัมผัปปลาปะ ๑ อภิชฌา ๑

อกุศลกรรมบถทั้ง ๒ ข้อนี้ ละได้โดยเด็ดขาด ด้วยอำนาจอรหัตตมัคคญาณ ดังนี้.

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2015, 08:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
สีลัพพตสูตรที่ ๘ จบ

๙. คันธชาตสูตร
ว่าด้วยกลิ่นหอม

[๘๐] ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวาย
อภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กลิ่นหอม ๓ อย่าง ลอยไปตามลมเท่านั้น ลอยไป
ทวนลมไม่ได้
กลิ่นหอม ๓ อย่าง อะไรบ้าง คือ
๑. กลิ่นที่เกิดจากราก ๒. กลิ่นที่เกิดจากแก่น
๓. กลิ่นที่เกิดจากดอก
กลิ่นหอม ๓ อย่างนี้แล ลอยไปตามลมเท่านั้น ลอยไปทวนลมไม่ได้ ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ กลิ่นหอมที่ลอยไปตามลมก็ได้ ลอยไปทวนลมก็ได้ ลอยไปตามลม
และทวนลมก็ได้ มีอยู่หรือ

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า อานนท์ กลิ่นหอมที่ลอยไปตามลมก็ได้ ลอยไป
ทวนลมก็ได้ ลอยไปทั้งตามลมและทวนลมก็ได้ มีอยู่

ท่านพระอานนท์ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กลิ่นหอมที่ลอยไปตามลม
ก็ได้ ลอยไปทวนลมก็ได้ ลอยไปทั้งตามลมและทวนลมก็ได้ เป็นอย่างไร


พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า อานนท์ ในโลกนี้สตรีหรือบุรุษในบ้านหรือใน
ตำบลใดถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ถึงพระธรรมเป็นสรณะ ถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ

เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์
เว้นขาดจากการลักทรัพย์
เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม
เว้นขาดจากการพูดเท็จ
เว้นขาดจากการเสพของมึนเมาคือสุราและเมรัย อันเป็นเหตุแห่งความประมาท
เป็นผู้มีศีล มีธรรมงาม มีใจปราศจากความตระหนี่
อันเป็นมลทิน มีจาคะอันสละแล้ว มีฝ่ามือชุ่ม ยินดีในการสละ
ควรแก่การขอ ยินดีในการให้ทานและการจำแนกทาน อยู่ครองเรือน

สมณพราหมณ์ในทิศทั้งหลายต่างกล่าวสรรเสริญคุณของเขาว่า “สตรีหรือ
บุรุษในบ้านหรือในตำบลโน้นถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ถึงพระธรรมเป็นสรณะ ถึง
พระสงฆ์เป็นสรณะ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ เว้นขาดจาก
การประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการพูดเท็จ เว้นขาดจากการเสพของมึนเมา
คือสุราและเมรัยอันเป็นเหตุแห่งความประมาท เป็นผู้มีศีล มีธรรมงาม มีใจปราศ
จากความตระหนี่อันเป็นมลทิน มีจาคะอันสละแล้ว มีฝ่ามือชุ่ม ยินดีในการสละ
ควรแก่การขอ ยินดีในการให้ทานและการจำแนกทาน อยู่ครองเรือน”


แม้พวกเทวดาก็กล่าวสรรเสริญคุณของเขาว่า “สตรีหรือบุรุษในบ้านหรือใน
ตำบลโน้น ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ฯลฯ ควรแก่การขอ ยินดีในการให้ทานและ
การจำแนกทาน อยู่ครองเรือน”

อานนท์ กลิ่นหอมนี้แล ลอยไปตามลมก็ได้ ลอยไป
ทวนลมก็ได้ ลอยไปทั้งตามลมและทวนลมก็ได้
กลิ่นดอกไม้ลอยไปทวนลมไม่ได้
กลิ่นจันทน์ กลิ่นกฤษณา
หรือกลิ่นกะลำพัก ลอยไปทวนลมไม่ได้

ส่วนกลิ่นของสัตบุรุษลอยไปทวนลมได้
เพราะสัตบุรุษขจรไปทั่วทุกทิศ(ด้วยกลิ่นแห่งคุณมีศีลเป็นต้น)


http://www.geocities.ws/tmchote/tpd-mcu/tpd20-3.htm








หากสงสัยธรรมในข้อใด ให้ตรวจทานกับพระธรรมคำสอน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2015, 09:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


การรักษาศิล 5 ก็สามารถทำให้ไปอบายภูมิได้

เป็นการรักษาศิล 5 แบบชาวบ้าน ที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระธรรมคำสอน
หรือจะมีความรู้เกียวกับพระธรรมคำสอนบ้าง ก็ตาม

เช่น ปานาติบาต อยากกินปลา สั่งแม่ค้าให้จัดการปลา(เป็น) แล้วเดินไปซื้อของอย่างอื่น
พอกลับมา แม่ค่าทำปลาไว้ให้เรียบร้อย เหตุมี ผลย่อมมี

หากขณะหมดลมหายใจ จิตไประลึกถึง อยากได้เนื้อปลาสดๆสำหรับทำอาหาร จึงสั่งแม่ค้าให้จัดการให้
เมื่อจิตไประลึกถึงการสั่งฆ่าปลาตรงนี้ ย่อมไปทุคติอย่างแน่นอน


วัดพระ รักษาศิลแบบเคร่งครัด
หลังวันพระ ทำเหมือนเดิม อยากกินอะไรก็สั่งให้แม่ค้า หรือให้ญาติพี่น้องทำให้
เรื่องญาติพี่น้องทำให้นี่เห็นกับตา ตัวเองไม่อยากฆ่าปลา ให้พี่น้องทำแทน


ว่าโดยศิลทั้งหมด จะรักษาได้มากน้อยแค่ไหนก็ตาม
ขึ้นอยู่กับจิต ขณะสุดท้ายกำลังขาดใจ(หมดลมหายใจ) ระลึกถึงสิ่งใด(กรรม)อยู่ ย่อมไปเกิดตามนั้น


เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะ
ชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2015, 09:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
การที่จะเป็นโสดาบันได้นั้นจะต้องละ อปายคมนิยธรรม(กรรมที่พาไปอบาย)ปฏิบัติถึงขั้นโสดาปัตติมัคคญาณเป็นต้น จนถึง อรหัตตมัคคญาณ จึงจะละอกุศลกรรมบถเหล่านี้ได้ โดยเด็ดขาด ดังมีหลักฐานในวิสุทธิมรรค ภาค ๓ หน้า ๓๓๘ รับรองไว้ว่า

กมฺมปเถสุ ปาณาติปาโต อทินฺนาทานํ กาเมสุ มิจฉาจาโร มุสาวาโท มิจฺฉาทิฏฐีติ อิเม ปฐมญาณวชฺฌา

บรรดากรรมบถทั้ง ๑๐ นั้น ปาณาติบาต ๑ อทินนาทาน ๑ กาเมสุมิจฉาจาร ๑ มุสาวาท ๑ มิจฉาทิฏฐิ ๑

อกุศลกรรม ทั้ง ๕ ข้อนี้ ละได้โดยเด็ดขาด ด้วยอำนาจ โสดาปัตติมัคคญาณ. (สุราไม่เห็นมี)


ในฐานะ..ที่บิ๊กทู...อ้างว่าต้องศึกษาพระพุทธวจน...
ที่บิ๊กทู..พูดมาข้างต้น..นี้นะ...เอามาจากที่พระองค์ตรัส..หรือว่า..คิดเอง?

อ้างคำพูด:
ปิสุณาวาจา ผรุสวาจา พฺยาปาโทติ ตโย ตติยญาณวชฺฌา

ปิสุณาวาจา ๑ ผรุสวาจา ๑ พยาบาท ๑

อกุศลกรรมบถทั้ง ๓ นี้ ละได้โดยเด็ดขาดด้วยอำนาจ อนาคามิมัคคญาณ
]

อันนี้ก็เช่นกัน

อ้างคำพูด:
สมฺผปฺปลาปาภิชฌา จตุตฺถญาณวชฺฌา สัมผัปปลาปะ ๑ อภิชฌา ๑

อกุศลกรรมบถทั้ง ๒ ข้อนี้ ละได้โดยเด็ดขาด ด้วยอำนาจอรหัตตมัคคญาณ ดังนี้.


อันนี้ก็อีก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2015, 10:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ปุญญาภิสันทสูตรที่ ๒
[๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ห้วงบุญห้วงกุศล ๔ ประการนี้ นำความสุข
มาให้ ให้อารมณ์อันเลิศ มีสุขเป็นวิบาก เป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ ย่อมเป็น
ไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ห้วงบุญ
ห้วงกุศล ๔ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็น
ผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าว่า แม้เพราะเหตุนี้
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงสมบูรณ์
ด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก
ชั้นเยี่ยม เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้มีโชค
ห้วงบุญห้วงกุศลประการที่ ๑ นี้ นำความสุขมาให้ ให้อารมณ์อันเลิศ มีสุขเป็น
วิบาก เป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุขอัน
น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ


อีกประการหนึ่ง อริยสาวกเป็นผู้ประกอบด้วย
ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดี
แล้ว อันผู้บรรลุพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อม
เข้ามาในตน อันวิญญูชนพึงรู้ได้เฉพาะตน ห้วงบุญห้วงกุศลประการที่ ๒ นี้
นำความสุขมาให้ ให้อารมณ์อันเลิศ มีสุขเป็นวิบาก เป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์
ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ


อีกประการหนึ่ง อริยสาวกเป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวใน
พระสงฆ์ว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติดี เป็นผู้ปฏิบัติตรง
เป็นผู้ปฏิบัติเป็นธรรม เป็นผู้ปฏิบัติชอบ คือ คู่แห่งบุรุษ ๔ บุรุษบุคคล ๘ นี้คือ
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควรของต้อนรับ
เป็นผู้ควรของทำบุญ เป็นผู้ควรทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่น
ยิ่งกว่า ห้วงบุญห้วงกุศลประการที่ ๓ นี้ นำความสุขมาให้ ให้อารมณ์อันเลิศ
มีสุขเป็นวิบาก เป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อสุข อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ


อีกประการหนึ่ง อริยสาวกเป็นผู้
ประกอบด้วยศีล อันพระอริยะใคร่แล้ว ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย
เป็นไทย อันวิญญูชนสรรเสริญ อันตัณหาและทิฐิไม่ถูกต้อง เป็นไปเพื่อสมาธิ
ห้วงบุญห้วงกุศลประการที่ ๔ นี้ นำสุขมาให้ ให้อารมณ์อันเลิศ มีสุขเป็นวิบาก
เป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข อันน่า
ปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ




ดูกรภิกษุทั้งหลาย ห้วงบุญห้วงกุศล ๔ ประการนี้
แล นำความสุขมาให้ ให้อารมณ์อันเลิศ มีสุขเป็นวิบาก เป็นไปเพื่อเกิดใน
สวรรค์ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข อันน่าปรารถนา น่าใคร่
น่าพอใจ ฯ
ผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่นไม่หวั่นไหวในพระตถาคต มีศีลดีงาม
อันพระอริยะเจ้าใคร่แล้ว สรรเสริญแล้ว มีความเลื่อมใสใน
พระสงฆ์ และมีความเห็นตรง บัณฑิตทั้งหลายกล่าวผู้นั้นว่า
เป็นคนไม่ขัดสน ชีวิตของผู้นั้นไม่เปล่า เพราะฉะนั้น ผู้มี
ปัญญา เมื่อระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ควร
ประกอบศรัทธา ศีล ความเลื่อมใส และความเห็นธรรมไว้
เนืองๆ เถิด ฯ


http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 510&Z=1550

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2015, 10:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เวรสูตรที่ ๒


[๒๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในกาลใดแล อริยสาวกสงบระงับภัยเวร
๕ ประการ และประกอบด้วยโสตาปัตติยังคะ ๔ ประการ ในกาลนั้น อริยสาวก
นั้นหวังอยู่ พึงพยากรณ์ตนด้วยตนเองได้ว่า เรามีนรกสิ้นแล้ว มีกำเนิดสัตว์
ดิรัจฉานสิ้นแล้ว มีเปรตวิสัยสิ้นแล้ว มีอบาย ทุคติ และวินิบาตสิ้นแล้ว เรา
เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้อง
หน้า ฯ


ก็อริยสาวกสงบระงับภัยเวร ๕ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
บุคคลผู้มักฆ่าสัตว์ ย่อมประสบภัยเวรแม้ในปัจจุบัน แม้ในสัมปรายภพ และ
ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสทางใจ เพราะปาณาติบาตเป็นปัจจัย อริยสาวกผู้งดเว้น
จากปาณาติบาต ย่อมไม่ประสบภัยเวรแม้ในปัจจุบัน แม้ในสัมปรายภพ และ
ไม่ได้เสวยทุกข์โทมนัสทางใจ อริยสาวกผู้งดเว้นจากปาณาติบาต ย่อมสงบระงับ
ภัยเวรด้วยประการอย่างนี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มักถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขา
ไม่ให้ ฯลฯ ผู้มักประพฤติผิดในกาม ฯลฯ ผู้มักพูดเท็จ ฯลฯ

ผู้มักดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นฐานะแห่งความประมาท ย่อมประสบภัยเวรแม้ใน
ปัจจุบัน แม้ในสัมปรายภพ และย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสทางใจ เพราะดื่มน้ำเมา
คือ สุราและเมรัยอันเป็นฐานะแห่งความประมาท

อริยสาวกผู้งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นฐานะแห่งความประมาท ย่อมไม่ประสบภัย
เวรแม้ในปัจจุบัน แม้ในสัมปรายภพ และย่อมไม่ได้เสวยทุกข์โทมนัสทางใจ
อริยสาวกผู้งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นฐานะแห่งความ
ประมาท ย่อมสงบระงับภัยเวรด้วยประการอย่างนี้ อริยสาวกย่อมสงบระงับภัย
เวร ๕ ประการนี้ ฯ


อริยสาวกเป็นผู้ประกอบด้วยโสตาปัตติยังคะ ๔ ประการเป็นไฉน ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่
หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ฯลฯ
เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม ๑ เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่
หวั่นไหวในพระธรรมว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว ฯลฯ อันวิญญูชน
จะพึงรู้เฉพาะตน ๑ ประกอบด้วยความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ว่า พระ
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว ฯลฯ เป็นนาบุญของโลกไม่มี
นาบุญอื่นยิ่งไปกว่า ๑ เป็นผู้ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าพอใจ ไม่ขาด ไม่ทะลุ
ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไทย อันวิญญูชนสรรเสริญ อันตัณหาและทิฐิไม่ถูกต้อง
เป็นไปเพื่อสมาธิ ๑ อริยสาวกประกอบด้วยโสตาปัตติยังคะ ๔ ประการนี้ ฯ


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในกาลใดแล อริยสาวกสงบระงับภัยเวร ๕
ประการนี้ และประกอบด้วยโสตาปัตติยังคะ ๔ ประการนี้

ในกาลนั้น อริยสาวกนั้นหวังอยู่ พึงพยากรณ์ตนด้วยตนเองได้ว่า

เราเป็นผู้มีนรกสิ้นแล้ว มีกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานสิ้นแล้ว มีเปรตวิสัยสิ้นแล้ว
มีอบาย ทุคติ และวินิบาตสิ้นแล้ว

เราเป็นพระโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา
เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า ฯ



http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 671&Z=8709

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2015, 10:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:
การที่จะเป็นโสดาบันได้นั้นจะต้องละ อปายคมนิยธรรม(กรรมที่พาไปอบาย)ปฏิบัติถึงขั้นโสดาปัตติมัคคญาณเป็นต้น จนถึง อรหัตตมัคคญาณ จึงจะละอกุศลกรรมบถเหล่านี้ได้ โดยเด็ดขาด ดังมีหลักฐานในวิสุทธิมรรค ภาค ๓ หน้า ๓๓๘ รับรองไว้ว่า

กมฺมปเถสุ ปาณาติปาโต อทินฺนาทานํ กาเมสุ มิจฉาจาโร มุสาวาโท มิจฺฉาทิฏฐีติ อิเม ปฐมญาณวชฺฌา

บรรดากรรมบถทั้ง ๑๐ นั้น ปาณาติบาต ๑ อทินนาทาน ๑ กาเมสุมิจฉาจาร ๑ มุสาวาท ๑ มิจฉาทิฏฐิ ๑

อกุศลกรรม ทั้ง ๕ ข้อนี้ ละได้โดยเด็ดขาด ด้วยอำนาจ โสดาปัตติมัคคญาณ. (สุราไม่เห็นมี)


ในฐานะ..ที่บิ๊กทู...อ้างว่าต้องศึกษาพระพุทธวจน...
ที่บิ๊กทู..พูดมาข้างต้น..นี้นะ...เอามาจากที่พระองค์ตรัส..หรือว่า..คิดเอง?

อ้างคำพูด:
ปิสุณาวาจา ผรุสวาจา พฺยาปาโทติ ตโย ตติยญาณวชฺฌา

ปิสุณาวาจา ๑ ผรุสวาจา ๑ พยาบาท ๑

อกุศลกรรมบถทั้ง ๓ นี้ ละได้โดยเด็ดขาดด้วยอำนาจ อนาคามิมัคคญาณ
]

อันนี้ก็เช่นกัน

อ้างคำพูด:
สมฺผปฺปลาปาภิชฌา จตุตฺถญาณวชฺฌา สัมผัปปลาปะ ๑ อภิชฌา ๑

อกุศลกรรมบถทั้ง ๒ ข้อนี้ ละได้โดยเด็ดขาด ด้วยอำนาจอรหัตตมัคคญาณ ดังนี้.


อันนี้ก็อีก

พุทธวจนก็เอาให้ดูแล้วเรื่องอริยสาวกไม่เสพธรรมที่เป็นเพื่อความเสื่อมเป็นอย่างไร. นี่คือการศึกษาโดยรวมบริบทอื่นๆที่ยกมาให้ดูว่าอะไรๆที่ห้ามขาด. อะไรๆที่พอทำทำได้ในบริบทอื่น. ที่ยกตัวอย่างว่ามันมีเรื่องเจตนา. แม้ในอกุศลกรรมบท10. ก็ไม่มีเรื่อง สุรา การพนั้น คบมิตรเลว เที่ยวกลางคืน เกลียจคร้าน. เพราะว่าสิ่งทั้ง6นั้นแม้แต่สาวกก็สามารถทำได้ เป็นครั้งคราวเพราะเหตุอันควรแก่สถานะสังคมบริบทรอบข้างนี้คือธรรมะตามความจริง.

ละสังโยชน์สามและกรรมที่พาไปอบาย
คือ โสดาบัน
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุไม่ละธรรม ๖ อย่างแล้ว เป็นผู้ไม่ควรเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งทิฏฐิสัมปทา (ความเป็นโสดาบัน).
ไม่ละธรรม ๖ อย่าง เหล่าไหนเล่า ? ไม่ละธรรม ๖ อย่าง เหล่านี้ คือ :-
ไม่ละ สักกายทิฏฐิ (ความเห็นผิดว่าขันธ์ ๕ เป็นตัวตน); ไม่ละ วิจิกิจฉา (ความลังเลในปฏิปทาทางดับทุกข์); ไม่ละ สีลัพพตปรามาส (การถือเอาศีลและพรตผิดความมุ่งหมายที่แท้จริง); ไม่ละ อปายคมนิยราคะ (ราคะที่ควรแก่การถึงซึ่งอบาย); ไม่ละ อปายคมนิยโทสะ (โทสะที่ควรแก่การถึงซึ่งอบาย); ไม่ละ อปายคมนิยโมหะ (โมหะที่ควรแก่การถึงซึ่งอบาย).
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุไม่ละธรรม ๖ อย่าง เหล่านี้แล เป็นผู้ไม่ควรกระทำให้แจ้งซึ่งทิฏฐิสัมปทา.

ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุละธรรม ๖ อย่างแล้ว เป็นผู้ควรกระทำให้แจ้งซึ่งทิฏฐิสัมปทา.ง
ละธรรม ๖ อย่าง เหล่าไหนเล่า ? ละธรรม ๖ อย่าง เหล่านี้ คือ :-
ละ สักกายทิฏฐิ (ความเห็นผิดว่าขันธ์ ๕ เป็นตัวตน); ละ วิจิกิจฉา (ความลังเลในปฏิปทาทางดับทุกข์); ละ สีลัพพตปรามาส (การถือเอาศีลและพรต ผิดความมุ่งหมายที่แท้จริง); ละ อปายคมนิยราคะ (ราคะที่ควรแก่การถึงซึ่งอบาย); ละ อปายคมนิยโทสะ (โทสะที่ควรแก่การถึงซึ่งอบาย); ละ อปายคมนิยโมหะ (โมหะที่ควรแก่การถึงซึ่งอบาย).
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุละธรรม ๖ อย่างเหล่านี้แล้ว เป็นผู้ควรกระทำให้แจ้งซึ่งทิฏฐิสัมปทา ดังนี้แล.
พุทธวจน คู่มือโสดาบัน หน้า ๓๑
(ไทย) ฉกฺก. อํ. ๒๒/๓๙๐/๓๖๐. : คลิกดูพระสูตร
(บาลี) ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๘๘/๓๖๐. : คลิกดูพระสูตร
กบอย่าอาจหาญคิดว่าตนเองเก่งกว่าท่านธรรมโฆษาจารย์นะครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 15 มิ.ย. 2015, 11:16, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 257 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 11, 12, 13, 14, 15, 16, 17, 18  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 41 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร