วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 10:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 346 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 15, 16, 17, 18, 19, 20, 21 ... 24  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2014, 17:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004
[b]เพราะ กบ ยังยืนยันว่าพระโสดาบันยังไม่หมดสักกายทิฏฐิ จึงเป็นเหตุให้มีเรื่องต้องถกเถียงกันมาก
พระโสดาบันนั้นท่านหมดสักกายทิฏฐิแล้วแน่นอน แต่ยังคงเหลือ มานะทิฏฐิอยู่ จึงมีปฏิกิริยาตอบโต้ผัสสะต่างได้ แต่ปฏิกิริยานั้นละเอียดอ่อนกว่ามาก

กบต้องฟังคำอธิบายเรื่องสักกายทิฏฐิกับมานะทิฏฐิตามอุปมาง่ายๆที่อโศกะมักจะเปรียบเทียบให้ผู้ศึกษาฟังว่า

สักกายทิฏฐิ...เปรียบเหมือน กู ตัวพี่ ฆ่าครั้งเดียวตาย คือฆ่าด้วยโสดาปัตติมรรค

มานะทิฏฐิ...เปรียบเหมือน กู ตัวน้อง ซึ่งฉลาดหลักแหลม ลึกซึ้งกว่า กู ตัวพี่ จึงต้องฆ่าอีก 3 ครั้ง ถึงจะตายหมดสิ้น อุปมาเปรียบเทียบไว้ดังนี้


ตัวกู....มันก็มีตัวเดียวคราบ..อโสกะ

อโสกะ...ว่ามี..2...นี้...มันต่างกันยังงัยหรอครับ...??
ไอ้สำนวน...25%..50%...มันเป็น..30%.....60%...ไม่ได้หรอคับ??


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2014, 14:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
s004
[b]เพราะ กบ ยังยืนยันว่าพระโสดาบันยังไม่หมดสักกายทิฏฐิ จึงเป็นเหตุให้มีเรื่องต้องถกเถียงกันมาก
พระโสดาบันนั้นท่านหมดสักกายทิฏฐิแล้วแน่นอน แต่ยังคงเหลือ มานะทิฏฐิอยู่ จึงมีปฏิกิริยาตอบโต้ผัสสะต่างได้ แต่ปฏิกิริยานั้นละเอียดอ่อนกว่ามาก

กบต้องฟังคำอธิบายเรื่องสักกายทิฏฐิกับมานะทิฏฐิตามอุปมาง่ายๆที่อโศกะมักจะเปรียบเทียบให้ผู้ศึกษาฟังว่า

สักกายทิฏฐิ...เปรียบเหมือน กู ตัวพี่ ฆ่าครั้งเดียวตาย คือฆ่าด้วยโสดาปัตติมรรค

มานะทิฏฐิ...เปรียบเหมือน กู ตัวน้อง ซึ่งฉลาดหลักแหลม ลึกซึ้งกว่า กู ตัวพี่ จึงต้องฆ่าอีก 3 ครั้ง ถึงจะตายหมดสิ้น อุปมาเปรียบเทียบไว้ดังนี้


ตัวกู....มันก็มีตัวเดียวคราบ..อโสกะ

อโสกะ...ว่ามี..2...นี้...มันต่างกันยังงัยหรอครับ...??
ไอ้สำนวน...25%..50%...มันเป็น..30%.....60%...ไม่ได้หรอคับ??

:b12:
ไปศึกษาเรื่อง สักกายทิฏฐิ กับ มานะทิฏฐิมาให้ดีๆนะกบ ขอเรียนกับอ.กูเกิ้ลก็ได้
:b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2014, 14:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กายใจ..นี้เป็นความหลงผิดว่าเป้นตัวกู....
ชีวิต...ก็มีชี :b32: วืตของกายใจนี้แหละ..คือ1ชีวิต

อโสกะ..มี 2 กู...2 ชีวิตหรอคับ?..อิอิ

มานะทิฏฐิ....เป้นการเปรียบเทียบ...ว่า...กูดีกว่าเขา..กูเลวกว่าเขา..กึกับ้ขาเสมอกัน
มานะ...คือการเปรียบเทียบ...ก็เพราะมีตัวกู...ของกู....จึงเปรียบเทียบ...มันก็ตัวกูนองกูตัวเดียวกันกับที่หลงผิดคิดว่า
กายใจนี้คือตัวกู...สักกายทิฏฐิ....นี้แหละ...ไม่ใช่ตัวไหนเลย
อโสกะ...มี2 ชีวิต....กรอ?
อิอิ.. :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2014, 21:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กายใจ..นี้เป็นความหลงผิดว่าเป้นตัวกู....
ชีวิต...ก็มีชี :b32: วืตของกายใจนี้แหละ..คือ1ชีวิต

อโสกะ..มี 2 กู...2 ชีวิตหรอคับ?..อิอิ

มานะทิฏฐิ....เป้นการเปรียบเทียบ...ว่า...กูดีกว่าเขา..กูเลวกว่าเขา..กึกับ้ขาเสมอกัน
มานะ...คือการเปรียบเทียบ...ก็เพราะมีตัวกู...ของกู....จึงเปรียบเทียบ...มันก็ตัวกูนองกูตัวเดียวกันกับที่หลงผิดคิดว่า
กายใจนี้คือตัวกู...สักกายทิฏฐิ....นี้แหละ...ไม่ใช่ตัวไหนเลย
อโสกะ...มี2 ชีวิต....กรอ?
อิอิ.. :b32: :b32:

s004
แสดงว่า กบนอกกะลา เก่งกว่าบุรพาจารย์ทั้งหลายที่ท่านเมตตาบอกแนะไว้ว่า พระโสดาบันนั้นเพราะทำลายสังโยชน์ 3 ได้หมดสิ้น คือ

1.สักกายทิฏฐิ

2.วิจิกิจฉา

3.สีลัพพัตปรามาส

ส่วนกามราคะ ปฏิฆะนั้น ไม่ล่วงกรอบของศีล 5
:b27:
โสดาบันบุคคลนั้นเปรียบเหมือนคนที่ตายแล้วเกิดใหม่ในคราบชีวิตใหม่ที่ไร้ความเห็นผิด ว่ากาย ใจ นี้เป็นตัวกู ของกู แต่ความยึดผิดในกายใจนั้นยังเหลืออยู่ ความยึดถืออันนี้แสดงออกให้เห็นในรูปแบบที่เรียกว่า "มานะทิฏฐิ"

สักกายะทิฏฐิ..........มีกู

มานะทิฏฐิ.......กูมี

onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2014, 22:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ปกติ...อโสกะ...ก็จะอ้างผลการปฏิบัติของตัวเอง..ไม่ใช่รึคับ..ชอบพูดว่า...มันไม่มีในตำรา...ไม่ใช่หรอ??....และเคยเห็นว่า...จะเชื่ออะไร...ก็จะดูผลการปฏิบัติของตนก่อน....อยากเอาอย่างพระสารีบุตรที่ไม่เชื่อพระพุทธเจ้าก่อนจะได้พิจารณาให้เห็นจริงก่อน...

แล้วทำไม..อยู่ดี..ดี....ไม่มีผลการปฏิบัติของตนเองเลย...แต่ยอมเชื่อรคำรา...ทันที...ซะงั้น..ละ

ก็เพราะ...มันตอบไม่ได้ใช่มั้ยละ...ก็เรามีกายใจนี้ชีวิตนี้..ชีวิตเดียว....ไม่ใช่มี2.ชีวิตพี่..ชีวิตน้อง..อะไรอย่างที่โวหารอโสกะ..ซะหน่อย

ก็เลยต้องขออิงตำรา..ช่วยกู้หน้า..อิอิ

แล้ว..เจ้ามานะทิฏฐิ...ก็อย่าลืมอิงตำราด้วยซะละ....ว่ามันคือการเปรียบเทียบ....เพราะความมีตัวกู..นั้นแหละ....อย่าบอกอีกนะว่า..มีกูพี่...กูน้อง...แบบที่ไม่มีในตำรา...อิอิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2014, 15:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
มานะ....คิอการเปรียบเทียบ..ว่าตนดีกว่าเขา...ว่าตนเสมอเขา...ว่าตนต่ำกว่าเขา...

cool มานะ เป็นกิเลสอย่างละเอียด, เป็นกิเลส (สังโยชน์) ในขั้น อนาคามี. เป็นกิเลสที่ยังเหลืออยู่ ในหมู่ผู้ที่พ้นกามภพไปแล้ว คือจะไม่เกิดในกามภพอีก.

มานะ เป็นกิเลสในระดับเดียวกับ รูปราคะ อรูปราคะ อุทธัจจะ และอวิชชา. ซึ่งล้วนแต่แปลยากทั้งสิ้น.
นัยหนึ่งเพราะมันเกินกว่า จิตในกามภพจะเข้าใจได้.

onion มานะ คือการเห็นว่า เรายังมี ตัวเรา หรือยังมี ตัวตน ที่เป็นตัวของเรา.
มีข้อสังเกตคือ ในมานะ จะไม่มี เขา, ไม่มีผู้อื่น.
กิเลสมานะ ทำให้พรหมยังมีหลายตน แม้จะอยู่ในสภาวะหนึ่งเดียว (Singularity) แต่ก็ยังมีหลายตน, เพราะแต่ละตน ยังเห็นว่า ตนเองมีตัวมีตนอยู่, แม้จะไม่ใช่ตัวตนแบบรูปวิญญาณ ในกามภพก็ตาม.

การเปรียบเทียบตนเองกับ ผู้อื่น ไม่ว่าจะในรูปแบบใด (ความรู้ความสามารถ รูปกาย เผ่าพันธุ์ ชาติพันธุ์ อายุ อาวุโส ยศฐา ฯลฯ) ล้วนเป็น สักกายทิฏฐิ ทั้งสิ้น. เพราะงั้น แม้จะถือศีลเพียงใด สำรวมกายวาจาใจเท่าใด, หากยังมี ผู้อื่น, มีเขามีเรา ก็ยังไม่บรรลุธรรม (เป็นอริยบุคคล) แต่อย่างใด.

:b6: มันเป็นเรื่องตลก ที่พวกสมถะ มักพูดในทำนองว่า โสดาบันเป็นเรื่องง่ายๆ. มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกนะ.

และมันอาจจะสะเทือนใจจนรับไม่ได้ ถ้าระดับพระป่าชั้นยอดอย่างหลวงปู่มั่น ก็ยังไม่ใช่โสดาบัน.
เราเชื่อว่า พระสงฆ์ (อริยบุคคล) ได้สูญจากแผ่นดินนี้ไป นับร้อยห้าสิบปีแล้ว.

อาเมน onion onion onion

แค่ดูจากประโยคนี้คุนน้องก็รู้แล้วว่า คุนมันก็แค่ เด็กน้อยอวดดี คุณไม่ได้ศรัทธราในพระรัตนตรัยอย่างถ่องแท้ การกล่าวล้ำเส้นต่อภิกษุสงฆ์ ซึ่งเป้นหนึ่งในพระรัตนตรัย ที่เหล่าอริยะสาวก เคารพบูชาและเหล่าสาวกย่อมจะไม่ล้ำเส้น ไม่กล่าวตู่ลอยๆเยี่ยงนี้ จะไม่มีคำพูดปรามาสต่อพระรัตนตรัยในเชิงบอกว่า และมันอาจจะสะเทือนใจจนรับไม่ได้ ถ้าระดับพระป่าชั้นยอดอย่างหลวงปู่มั่น ก็ยังไม่ใช่โสดาบัน วาจาของmaruno ศักสิทธิ์จริงเท็จแค่ไหนถึงกล้าพูดแบบนี้ ทั้งที่พระอาจารย์มั่นละสังขารไปแล้ว คุนน้องเกิดไม่ทันด้วยซ้ำหรือคุนเกิดทันพระอาจารย์มั่น มันก็น่าเสียดายนะที่คุนน้องเกิดไม่ทัน คุนน้องถึงไม่อาจรู้ได้ว่า สิ่งที่คุนพูดมันเป็นความจริงหรือที่พระอาจารย์มั่นไม่ใช่โสดาบัน แต่สิ่งหนึ่งที่คุนน้องรู้คือ คุณน้องจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาล้ำเส้น พระุพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยการกล่าวคำพูดลอยๆว่า พระป่าชั้นยอดอย่างหลวงปู่มั่นก็ไม่ใช่โสดาบัณ พระสงฆ์ อริยบุคคลได้สูญจากแผ่นดินนี้ไปนับร้อยห้าสิบปีแล้ว คนอย่างmaruno มีดีแค่ไหนหรือเจ้าค่ะ ถึงได้กล้าที่จะถ่มนำลายรดฟ้า ถ้าคนอย่างmarunoยังวุ่นวายอยู่กับเรื่อง กิน ขี้ * นอน อยู่ละก็ อย่ามาอวดอุตริพูดเช่นนี้อย่ามากล่าวตู่ว่า พระป่าชั้นยอดอย่างพระอาจารย์มั่นก็ไม่ใช่โสดาบัณ Onion_L


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2014, 20:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สังเกตข้อธรรมที่พระสารีบุตรตอบปัญหาพระโกฏฐิตะ จนถึงพระอรหันต์


ตัวอย่างธรรมที่พิจารณาได้ทุกระดับ

พระมหาโกฏฐิตะ : ท่านสารีบุตร ภิกษุผู้มีศีล ควรโยนิโสมนสิการธรรมจำพวกไหน ?

ท่านสารีบุตร: โกฏฐิตะ ภิกษุผู้มีศีล ควรโยนิโสมนสิการอุปาทานขันธ์ ๕ โดยอาการที่เป็นของไม่เที่ยง เป็นของที่ปัจจัยบีบคั้นได้ (ทุกข์) เป็นดังโรค (ซึ่งต้องคอยดูแล) เป็นดังฝี เป็นดังลูกศร เป็นสิ่งคอยก่อความเดือดร้อน เป็นที่ทำให้ข้องขัดไม่สบาย เป็นดังคนพวกฝ่ายอื่น เป็นสิ่งที่จะต้องแตกสลาย เป็นของว่างเปล่า ไม่มีสาระจริง ไม่เป็นอัตตา...มีฐานะเป็นไปได้ที่่เมื่อภิกษุผู้มีศีล โยนิโสมนสิการอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ โดยอาการที่เป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ จะพึงประจักษ์แจ้งโสดาปัตติผล


พระมหาโกฏฐิตะ : ภิกษุผู้โสดาบันล่ะท่าน ควรโยนิโสมนสิการธรรมจำพวกไหน ?


ท่านสารีบุตร: ภิกษุผู้โสดาบัน ก็ควรโยนิโสมนสิการอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ โดยอาการที่เป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ มีฐานะที่เป็นไปได้ที่เมื่อภิกษุโสดาบันโยนิโสมนสิการ....(อย่างนี้) จะพึงประจักษ์แจ้งสกทาคามิผล


พระมหาโกฏฐิตะ : ภิกษุสกทาคามีล่ะท่าน ควรโยนิโสมนสิการธรรมจำพวกไหน ?

ท่านสารีบุตร: แม้ภิกษุที่เป็นสกทาคามี ก็ควรโยนิโสมนสิการอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ โดยอาการที่เป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ มีฐานะที่เป็นไปได้ที่ เมื่อภิกษุสกทาคามีโยนิโสมนสิการ....(อย่างนี้) จะพึงประจักษ์แจ้งอนาคามิผล


พระมหาโกฏฐิตะ : ภิกษุอนาคามีล่ะท่าน ควรโยนิโสมนสิการธรรมจำพวกไหน ?


ท่านสารีบุตร: แม้ภิกษุที่เป็นอนาคามี ก็ควรโยนิโสมนสิการอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ โดยอาการที่เป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ มีฐานะที่เป็นไปได้ที่ เมื่อภิกษุอนาคามีโยนิโสมนสิการ....(อย่างนี้) จะพึงประจักษ์แจ้งอรหัตผล


พระมหาโกฏฐิตะ : พระอรหันต์ล่ะท่าน ควรโยนิโสมนสิการธรรมจำพวกไหน ?

ท่านสารีบุตร: แม้พระอรหันต์ก็ควรโยนิโสมนสิการอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ โดยอาการที่เป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ พระอรหันต์ไม่มีกิจซึ่งจะต้องทำยิ่งขึ้นไปอีก หรือจะต้องสั่งสมกิจที่กระทำไว้แล้ว (ก็จริง) ก็แต่ว่าธรรมเหล่านี้ เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อทิฏฐธรรมสุขวิหาร (การมีที่พักใจอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน) และเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ" *

............

สํ.ข.17/310-314/203-205 สูตรถัดไปคือ สํ.ข.17/315-317/205-206 ก็มีเนื้อความเหมือนกัน แต่เปลี่ยนคำว่า "ผู้มีศีล" ในท่อนแรก เป็น "ผู้มีสุตะ" ใน สํ.ม.19/1272-5/382 ว่าทั้งพระเสขะ และพระอเสขะ ควรใช้สติปัฏฐาน ๔ เป็นวิหารธรรม ธรรมที่ตามปกติเป็นข้อปฏิบัติสำหรับพระเสขะ (และแม้ต่ำกว่าเสขะ) แต่ใช้เพื่อทิฏฐธรรมสุขวิหาร และสติสัมปชัญญะ สำหรับพระอรหันต์ ก็คือฌาน ๔ ฯลฯ กายคตาสติก็ตรัสไว้ทำนองนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2014, 21:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ปกติ...อโสกะ...ก็จะอ้างผลการปฏิบัติของตัวเอง..ไม่ใช่รึคับ..ชอบพูดว่า...มันไม่มีในตำรา...ไม่ใช่หรอ??....และเคยเห็นว่า...จะเชื่ออะไร...ก็จะดูผลการปฏิบัติของตนก่อน....อยากเอาอย่างพระสารีบุตรที่ไม่เชื่อพระพุทธเจ้าก่อนจะได้พิจารณาให้เห็นจริงก่อน...

แล้วทำไม..อยู่ดี..ดี....ไม่มีผลการปฏิบัติของตนเองเลย...แต่ยอมเชื่อรคำรา...ทันที...ซะงั้น..ละ

ก็เพราะ...มันตอบไม่ได้ใช่มั้ยละ...ก็เรามีกายใจนี้ชีวิตนี้..ชีวิตเดียว....ไม่ใช่มี2.ชีวิตพี่..ชีวิตน้อง..อะไรอย่างที่โวหารอโสกะ..ซะหน่อย

ก็เลยต้องขออิงตำรา..ช่วยกู้หน้า..อิอิ

แล้ว..เจ้ามานะทิฏฐิ...ก็อย่าลืมอิงตำราด้วยซะละ....ว่ามันคือการเปรียบเทียบ....เพราะความมีตัวกู..นั้นแหละ....อย่าบอกอีกนะว่า..มีกูพี่...กูน้อง...แบบที่ไม่มีในตำรา...อิอิ

s004
กบคงเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง จนทำให้คิดไปว่าอโศกะไม่พึ่งตำราเลย

อโศกะ ก็เริ่มต้นศึกษาพุทธศาสนาจากบัญญัติหรือปริยัติมาก่อนจนเข้าใจปริยัติถูกต้องสมบูรณ์แล้ว จึงลงมือปฏิบัติ จนได้สัมผัสสภาวะจริงๆ ได้เห็นผลรับผลจริงๆแล้วจึงกล้าที่จะประกาศธรรม

เมื่อถึงเวลาที่จะต้องสื่อชี้แจงแสดงธรรม ก็ต้องอาศัยทั้งบัญญัติและปรมัติมาสูื่อ การอิงตำราต้องมีบ้างในบางเรื่องที่เป็นคำสอนหลัก ซึ่งก็ได้พิสูจน์มาพอสมควรแล้วว่าเป็นสัจธรรมจึงไม่ต้องเสียเวลาไปหาบัญญัติอื่นมาชี้แจง อธิบาย

กบจะไม่ยอมให้อโศกะอ้างตำราเลย ใช่ไหม
s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2014, 23:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ได้ห้ามเลย....แต่อย่า 2 มาตราฐาน..เท่านั้น

สักกายทิฏฐิ...อ้างว่าตำราบอก...โสดาบันตัดขาดแล้ว
พอ..มานะทิฏฐิ...ไม่หยักกะบอกอย่างตำราว่าคือการเปรียบเทียบ....แต่กลับใช้ความรู้สึกตนว่าเป็น..กูตัวน้องบ้างละ...เป็นกูมี..บ้างละ....

อย่างนี้...ผมมิต้องใช้มะกอกทั้งตลาด...มาปาอโสกะ..หรอกรึ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2014, 10:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถามอโศกนะ คิกๆ เยี่ยว กับ ปัสสาวะ เหมือนกันหรือต่างกัน กู กับ ฉัน เหมือนกันหรือต่างกัน

ฆ่ากูกับฆ่าฉัน อโศกจะฆ่าใคร ฆ่ากูหรือฆ่าฉันให้ตายไปต่อหน้าต่อตา เอ้า :b32:


.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2014, 12:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b7:
พากันเป็นไปใหญ่แล้วทั้ง กบ และ กรัช

กบนี่ท่าจะทำให้เข้าใจได้ยากแล้ว เพราะความเห็นที่ว่า สักกายทิฏฐิยังไม่ตาย ในพระโสดาบัน

ส่วนกรัช..นั้นพยายามจะทำ สักกายทิฏฐิ กับ มานะทิฏฐิ ให้เป็น ตัวเดียวกัน

หรืออาจเป็นเพราะว่าอโศกะอธิบายไม่เป็นทั้งสองจึงไม่เข้าใจ

ความจริงได้พยายามอธิบายโดยอุปมาอุปมัยให้ฟังแล้ว เรื่อง กู พี่ กูน้อง ชี้ให้เห็นชัดแล้วว่า

เห็นผิด กับ ยึดผิด เป็นคนละอัน คนละอาการกัน หยาบ ละเอียดต่างกัน

หรืออาจอาจยึดเอาคำว่า กู ตัวเดียวเป็นหลัก

สงสัยต้องกลับไปค้นตำรามาอ้างอิง ซึ่งโดยความเป็ืนจริง กรัชกายก็ได้ไปคัดลอกมาให้อ่านกันดูแล้ว ที่ว่า

อุปาทาน 3

กามุปาทาน

ทิฏฐุปาทาน

อัตตาวาทุปาทาน

อโศกะไม่คล่องตำรา เลยอุปมาให้ใหม่ว่า

ความ เห็นผิด ว่าเป็น กู .....กูพี่......

ความ ยึดผิด ว่าเป็นกาย.....กูน้อง

ความ ยึดผิด ว่าเป็นจิต......กูน้อง

โสดาบัน........กูตายไป 25%......ปิดตา

สกิทาคามี......กูตายไป 50 %.....ตัดขา

อนาคามี.......กูตายไป 75 %.......ตัดแขน

อรหันต์.......กูตายไป 100 %.......ตัดคอ

อัตตทิฏฐิ.....ความเห็นผิด ยึดผิด ว่ากายใจ เป็นกู หมดสิ้นเมื่อถึงอรหัตผล

เข้าใจตามสรุปสุดท้ายนี้ก็แล้วกัน

งานเจริญมรรค 8 หรือวิปัสสนาภาวนา หรือ ปัจจุบันอารมณ์ เมื่อขมวดลงไปในเรื่องอัตตาแล้ว ก็ทำให้เข้าใจง่ายและเห็นงานที่จะต้องทำเป็นลำดับๆตามอุปมาอุปมัยที่ยกมาแสดงให้อ่านกันนี้ ถึงจะไม่มีบอกไว้ในตำรารโบราณ แต่เหตุการณ์ทั้งหมดที่กล่าวมันเป็นไปตามธรรม ใครทำจริง ก็จะได้พบกับเหตุการณ์ดังอุปมาอุปมัยมาให้ฟังนี้แล

onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2014, 13:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความหมาย อัตตา - ทิฐิ- มานะ


อัตตา เป็นคำบาลี รูปสันสกฤตเป็น "อาตมัน" แปลว่า ตน ตัว หรือตัวตน

(ว่า โดยปรมัตถ์) พุทธธรรมสอนว่า ตัวตนหรืออัตตานี้ ไม่มีอยู่จริง แต่เป็นสิ่งที่สมมติขึ้นเพื่อสะดวกในการสื่อสาร เพื่อความหมายรู้ร่วมกันของมนุษย์ในความเป็นอยู่ประจำวัน กำหนดตามชื่อที่บัญญัติขึ้น หรือตั้งขึ้น สำหรับเรียกหน่วยรวม หรือภาพรวมหนึ่งๆ

ทิฏฐิ เป็นการถือว่ามีตัวตนหรือเป็นตัวตน เห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นตัวตน เห็นว่าตัวตนเป็นของถาวร เป็นต้น ส่วนการถือเกี่ยวกับตัวตนอีกอย่างหนึ่ง เป็นการถือสำคัญ หมายความว่า ถือเทียบเคียงระหว่างตัวเองกับตัวอื่น ถือเอาไว้วัดเอาไว้แข่งกัน ถือสูงต่ำ ถือตัวตนในลักษณะที่จะเอาตัวตนนั้นไปเป็นนั่นเป็นนี่ เช่น ว่า ฉันเป็นนี่ ฉันแค่นี้ ฉันสูงกว่า ฉันต่ำกว่า เราด้อยกว่า เราเท่ากับเขา เป็นต้น การถืออย่างนี้มีชื่อเรียกว่า มานะ แปลว่า ความถือตัว ความทะนงตน ความสำคัญตนว่าสูง ต่ำ เด่น ด้อย เท่าเทียม เทียบเขาเทียบเรา ตลอดจนความรู้สึกภูมิๆพองๆ ถือตัวอยู่ภายใน มานะนี้เป็นกิเลสอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับทิฐิ จึงเป็นสิ่งที่ต้องละหรือต้องกำจัดเสีย


ดูเต็มๆที่

http://group.wunjun.com/whatisnippana/t ... 3244-24255

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2014, 13:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กันเห็นสุดโต่ง เมื่อดูคำสอนของพระพุทธเจ้าข้างบน ^ แล้ว พึงดูข้างล่าง V นี้ถ่วงไว้มั่ง


เรื่อง อัตตา - อนัตตา เป็นหลักทางปัญญาที่สำคัญยิ่ง พระพุทธศาสนาสอนเรื่องนี้ไว้ ถ้าพูดเป็นภาษาธรรมดา ก็ว่า อัตตาที่ไม่มีนั้น ใช้มันไปเถอะ ได้ประโยชน์ดีจริงๆ ท่านสอนให้พัฒนาไปจนถึงที่สุด แล้วจะประสบพบสิ่งที่เลิศประเสริฐยิ่ง แต่อัตตามีขึ้นเมื่อไร เป็นปัญหาทุกที เกิดอัตตาขึ้นมาเมื่อไรก็ยุ่งเมื่อนั้น มีปัญหา เกิดทุกข์ เกิดการกระทบกระทั่งอะไรต่างๆ


พระพุทธศาสนามีคำสอนว่าด้วยอัตตาหรือตัวตน นี้มากมาย เช่น

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน

อตฺตทีปา อตฺตสรณา จงมีตนเป็นเกาะ จงมีตนเป็นที่พึ่ง

อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมฝึกตน

อตฺตานญฺเจ ปิยํ ชญฺญา น นํ ปาเปน สํยุเช

หากรู้ว่าตัวนี้ เป็นที่รัก ก็ไม่ควรเอาตัวนั้นไปเกลือกกลั้วกับความชั่ว

ฯลฯ

เรื่องตัวเรื่องตนนี้ พระพุทธศาสนาสอนไว้มากมาย ในระดับตัวตนสมมตินี้ ที่มันไม่มีนี่แหละ พระพุทธศาสนาพูดเต็มที่เลย ให้ใช้ ให้ปฏิบัติ ให้พัฒนามัน จะเป็นประโยชน์ดีเหลือเกิน ท่านไม่มาเที่ยวพูดยุ่งไนระดับสมมติ ว่าไม่มีอัตตา


แต่ในระดับปรมัตถ์ ท่านให้รู้เท่าทันว่าอัตตามันไม่ใช่เป็นของจริง ถ้ามันมีขึ้นเมื่อไร เกิดยึดถือขึ้นเมื่อไร เป็นเกิดโทษทุกที ปัญหาจะมา


จึงบอกว่า อัตตาที่ไม่่มีนัั้น พัฒนาไปเถิด จะประสบสิ่งที่เลิศประเสริฐยิ่ง แต่อัตตามีเมื่อไร เกิดปัญหาทุกที

อัตตาที่ไม่มีนั้น ให้ใช้มันไปเถิดอย่างรู้กัน และรู้ทัน ส่วนอัตตาที่จะมีก็ให้รู้แจ้งรู้ทัน มันจะได้ไม่เกิดขึ้นมา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2014, 13:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




41_1736.jpg
41_1736.jpg [ 27.79 KiB | เปิดดู 2167 ครั้ง ]
:b8:
สาธุ อนุโมทนากับท่านกรัชกาย

ตอนบ่ายๆก็มาเหมือนกันนะครับ

เจริญสุข เจริญธรรม

:b27:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2014, 20:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


smiley
ลืมสวัสดีปีใหม่ไทย Nongkong ด้วยขออภัยนะจ๊ะ

น้องมาตักเตือนคนที่หลงผิดวิจารณ์ว่าหลวงปู่มั่นยังไม่ถึงโสดาบันได้อย่างสะใจนี้ก็ขอนับถือจริงๆครับ
:b27:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 346 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 15, 16, 17, 18, 19, 20, 21 ... 24  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 137 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร