วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 03:37  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 346 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14 ... 24  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2014, 17:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
walaiporn เขียน:
ภิกษุนั้น, เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสังโยชน์สาม
เป็นผู้เป็นเอกพีชี คือ จักเกิดในภพแห่งมนุษย์
อีกหนเดียวเท่านั้น แล้วย่อมกระทำาที่สุดแห่งทุกข์ได้.
ติก. อํ. ๒๐/๒๙๙-๓๐๑/๕๒๗.

:b17: :b17:
ขอบาลีต้นฉบับด้วยครับ

ยิ่ง เอกพีชี จะต้องมาเกิดในภพมนุษย์อีกหนเดียวนี่ ยิ่งต้องเอาบาลีต้นฉบับมาพิสูจน์กัน เพราะดูเหมือนจะเพี้ยนจากธรรม อัน ยิ่งกว่าสัทธัมปฏิรูปเสียอีกนะครับ

grin


โส ติณฺณํ สญฺโญชนานํ ปริกฺขยา เอกพีชี
โหติ เอกํ เยว มานุสกํ ภวํ นิพฺพตฺเตตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กโรติ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2014, 21:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
asoka เขียน:
walaiporn เขียน:
ภิกษุนั้น, เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสังโยชน์สาม
เป็นผู้เป็นเอกพีชี คือ จักเกิดในภพแห่งมนุษย์
อีกหนเดียวเท่านั้น แล้วย่อมกระทำาที่สุดแห่งทุกข์ได้.
ติก. อํ. ๒๐/๒๙๙-๓๐๑/๕๒๗.

:b17: :b17:
ขอบาลีต้นฉบับด้วยครับ

ยิ่ง เอกพีชี จะต้องมาเกิดในภพมนุษย์อีกหนเดียวนี่ ยิ่งต้องเอาบาลีต้นฉบับมาพิสูจน์กัน เพราะดูเหมือนจะเพี้ยนจากธรรม อัน ยิ่งกว่าสัทธัมปฏิรูปเสียอีกนะครับ

grin


โส ติณฺณํ สญฺโญชนานํ ปริกฺขยา เอกพีชี
โหติ เอกํ เยว มานุสกํ ภวํ นิพฺพตฺเตตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กโรติ

:b8:
ขอบคุณท่านเช่นนั้นครับ
:b27:
ผู้ที่บรรลุเป็นพระโสดาบันบุคคลชื่อว่า เป็นผู้ปิดประตูอบายได้แล้ว คือ ละเหตุที่

จะทำให้ไปเกิดในอบายได้ แต่ยังละเหตุให้เกิดในสุคติภูมิอื่นยังไม่ได้ คือ ยังเกิดใน

มนุษย์ สวรรค์หรือบนพรหมโลกได้ตามเหตุ และพระโสดาบันมีหลายจำพวก บางพวก

จะเกิดอีกชาติเดียว บางพวกเกิดอีกสองหรือสามชาติ บางพวกเกิดอีกเจ็ดชาติ ฉะนั้น

การเกิดเป็นมนุษย์ของพระโสดาบันย่อมเป็นไปได้ แต่ก็ยังไม่พบตัวอย่างในสมัยครั้งพุทธกาล

หรือแม้แต่ในยุคสมัยหลังพุทธกาลมาจนถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่มีหลักฐานแสดงไว้ถึงพระโสดาบันที่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์

ท่านใดมีหลักฐาน กรุณานำมาแสดงให้ทราบด้วยครับ จะเป็นพระคุณยิ่ง


smiley smiley
เรื่องพระโสดาบันกลับมาเกิดในโลกมนุษย์นี้ จึงโปรดทราบไว้ด้วยว่า มีคนดื้อคนหนึ่งที่ยังไม่ยอมเชื่อ แต่ก็ไม่คัดค้าน ทัดทาน ห้ามปรามใคร พิสูจน์ธรรมกันต่อไปนะครับ
smiley smiley
:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2014, 22:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

การเกิดเป็นมนุษย์ของพระโสดาบันย่อมเป็นไปได้ แต่ก็ยังไม่พบตัวอย่างในสมัยครั้งพุทธกาล

เป็นเอามาก...เอาอะไรคิด....จึงคิดอย่างนี้ได้...โสดาบันจะเกิดก่อนพระพุทธเจ้าได้งัย...

asoka เขียน:

หรือแม้แต่ในยุคสมัยหลังพุทธกาลมาจนถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่มีหลักฐานแสดงไว้ถึงพระโสดาบันที่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์

ท่านใดมีหลักฐาน กรุณานำมาแสดงให้ทราบด้วยครับ จะเป็นพระคุณยิ่ง


นี้ก็อีกแล้ว.....จะเอาอะไรเป้นหลักฐาน....โสดาบันมีประกาศนียาบัตรด้วยรึจึงจะมีหลักฐาน
แค่ในนี้ใครเป้นบ้าง..คุณก็ไม่มีปัญญาจะรู้เลย...

asoka เขียน:

smiley smiley
เรื่องพระโสดาบันกลับมาเกิดในโลกมนุษย์นี้ จึงโปรดทราบไว้ด้วยว่า มีคนดื้อคนหนึ่งที่ยังไม่ยอมเชื่อ แต่ก็ไม่คัดค้าน ทัดทาน ห้ามปรามใคร พิสูจน์ธรรมกันต่อไปนะครับ
smiley smiley
:b38:

เชิญพิสูจน์ตามสบาย....ก่อนที่จะพิสูจน์พบ....โปรดเก้บความเชื่อส่วนตัวที่ค้านพระศาสดาใว้คนเดียวละกัน...อย่าไปแสดงที่ไหนจนมีคนอื่นเชื่อตามก็แล้วกัน.....บาปเด้อ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2014, 11:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:

การเกิดเป็นมนุษย์ของพระโสดาบันย่อมเป็นไปได้ แต่ก็ยังไม่พบตัวอย่างในสมัยครั้งพุทธกาล

เป็นเอามาก...เอาอะไรคิด....จึงคิดอย่างนี้ได้...โสดาบันจะเกิดก่อนพระพุทธเจ้าได้งัย...
:b12: :b12: :b12:
อโศกะ....คุณกบ คิดว่า จักรวาลนี้ มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นเพียงพระองค์เดียวคือพระสมณโคดมพุทธเจ้าหรือ
พระโสดาบันครั้งสมัยพระพุทธเจ้ากกุสันโธ โกนาคมโน กัสสโป เข้านิพพานไปหมดเกลี้ยงแล้วเหรอ

:b4: :b4:
asoka เขียน:

หรือแม้แต่ในยุคสมัยหลังพุทธกาลมาจนถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่มีหลักฐานแสดงไว้ถึงพระโสดาบันที่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์

ท่านใดมีหลักฐาน กรุณานำมาแสดงให้ทราบด้วยครับ จะเป็นพระคุณยิ่ง


นี้ก็อีกแล้ว.....จะเอาอะไรเป้นหลักฐาน....โสดาบันมีประกาศนียาบัตรด้วยรึจึงจะมีหลักฐาน
แค่ในนี้ใครเป้นบ้าง..คุณก็ไม่มีปัญญาจะรู้เลย...

:b12: :b12: :b12:
อโศกะ ....ครั้งพุทธกาลพระพุทธเจ้าทรงมีสัพพัญญุตญาณ รู้แจ้งหมด ก็ยังไม่มีเรื่องที่ทรงกล่าวถึงโส ดาบันกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้ามีพระพุทธองค์คงจะมีพระดำรัสบอกไว้

ส่วนยุคหลังๆมา มีผู้ที่สามารถบอกได้ว่าพระรูปใดองค์ใดสำเร็จธรรมเป็นพระอรหันต์แล้วบ้าง ก็น่าจะมีบอกถึงพระโสดาบันกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ไว้บ้าง เพราะตลอด 2557 ปีหลังพุทธกาล ยังมีพระอริยเจ้า พระอรหันต์ที่ทรงอภิญญาบารมีเกิดขึ้นอีกมากมาย น่าจะมีสัก 1 ตัวอย่างที่มีผู้กล่าวถึงพระโสดาบันที่กลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์


:b12: :b12: :b12:

asoka เขียน:

smiley smiley
เรื่องพระโสดาบันกลับมาเกิดในโลกมนุษย์นี้ จึงโปรดทราบไว้ด้วยว่า มีคนดื้อคนหนึ่งที่ยังไม่ยอมเชื่อ แต่ก็ไม่คัดค้าน ทัดทาน ห้ามปรามใคร พิสูจน์ธรรมกันต่อไปนะครับ
smiley smiley
:b38:

เชิญพิสูจน์ตามสบาย....ก่อนที่จะพิสูจน์พบ....โปรดเก้บความเชื่อส่วนตัวที่ค้านพระศาสดาใว้คนเดียวละกัน...อย่าไปแสดงที่ไหนจนมีคนอื่นเชื่อตามก็แล้วกัน.....บาปเด้อ


smiley
อโศกะ..........ไม่เคยค้านคำสอนที่เป็นสัจจธรรมของพระพุทธเจ้า เคารพยกย่องเสมอ เพราะเปี่ยมล้นด้วยเหตุผล ไม่มีที่จะให้สงสัย โต้เถียงได้ อย่างเช่นคำสอนในธัมมจักกัปปวัตนสูตร อาทิตตปริยายสูตร อานาปานสติสูตร หรือสติปัฏฐานสูตร

แต่บางอย่างยังสงสัยการแปล ความหมายในบาลีออกมาเป็นภาษาไทย เพราะเรื่องและคำบาลีคำเดียวกันแต่แปลออกเป็นหลายสำนวน ความหมาย ดังเช่นความหมายของ...กาเมสุ วิเนยยะเคธังที่ถกเถียงกันอยู่

หรือคำแปลอื่นอย่างเช่นบทสวดธรรมคุณ 6 ประการ

สวากขาโต ภควตาธัมโม.......พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้วนั้น.....อีกสำนวนหนึ่งแปลว่า

ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้น(คืออะไร)

สันทิฏฐิโก.....เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตัวเอง....อีกสำนวนหนึ่งแปลว่า (ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน)เป็นสิ่งที่ผู้ทำความเห็นให้ตรงและถูกต้องแล้วจะเห็นเอง (เห็นถูกต้องคือเห็นอนัตตา)

อะกาลิโก.....เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ ให้ผลได้ไม่จำกัดกาล.....อีกสำนวนหนึ่งแปลว่า เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และให้ผลได้ ไม่จำกัด กาล เวลา สถานที่ บุคคล เชื้อชาติ เผ่าพันธ์ วรรณะ เพศ วัย ศาสนา ระดับการศึกษา หรือการนุ่งห่ม

เอหิปัสสิโก.....เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกับผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด......อีกสำนวนหนึ่งแปลว่า (ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนนั้น) เป็นสิ่งที่เรียกร้องให้เราเข้าไปดูอยู่เสมอ

โอปนยิโก......เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว.......อีกสำนวนหนึ่งแปลว่า (ความเห็นธรรมคือเห็นอนัตตานั้น)เป็นสิ่งที่ควรพอกพูนให้เกิดขึ้นในตัวยิ่งๆขึ้นไป (เมื่อพอกพูนได้ถึงที่แล้วจะส่งผลให้ถึง มรรค ผล นิพพาน)

ปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหีติ....เป็นสิ่งที่ผู้รู้ ก็รู้ได้เฉพาะตน......อีกสำนวนหนึ่งแปลเหมือนๆกัน

แต่สองสำนวนนี้สำนวนที่ 2 จะชี้เน้นลงสู่การปฏิบัติจริงให้เห็นธรรมตัวจริงมากกว่าและสัมพันธ์กับการปฏิบัติมากๆ ดังนี้เป็นต้น

เรื่องโสดาบันกลับมาเกิดในโลกมนุษย์หรือไม่นั้น อาจเป็นพุทธพจน์ตรงๆ หรืออาจเป็นคำแปลที่ประชุมลงความเห็นกันว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นแล้วแก้ไขตามกันมาก็เป็นได้ อโศกะจึงถามถึงต้นฉบับบาลี

อโศกะไม่ได้จงใจคัดค้านคำสอนของพระบรมศาสดา แต่ประสงค์จะพิสูจน์คำสอนของพระบรมศาสดาดังที่พระองค์ทรงแนะนำไว้ในกาลามสูตร.....ใครจะเห็นว่าอย่างนี้ผิด ก็ไม่เป็นไร ไม่ถือสาเพราะว่า ความเชื่อเป็นสิทธิเฉพาะบุคคล

จิตวิญญาณทุกดวงมีพัฒนาการของตนเองอยู่ตลอดเวลา จึงมิบังควรปมาทะ หรือวินิจฉัยว่าใครจะเป็นอย่างไร

อนัตตา อนิจจัง ทุกขัง......ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา.............อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2014, 15:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:

การเกิดเป็นมนุษย์ของพระโสดาบันย่อมเป็นไปได้ แต่ก็ยังไม่พบตัวอย่างในสมัยครั้งพุทธกาล

เป็นเอามาก...เอาอะไรคิด....จึงคิดอย่างนี้ได้...โสดาบันจะเกิดก่อนพระพุทธเจ้าได้งัย...
:b12: :b12: :b12:

อโศกะ....คุณกบ คิดว่า จักรวาลนี้ มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นเพียงพระองค์เดียวคือพระสมณโคดมพุทธเจ้าหรือ
พระโสดาบันครั้งสมัยพระพุทธเจ้ากกุสันโธ โกนาคมโน กัสสโป เข้านิพพานไปหมดเกลี้ยงแล้วเหรอ

:b4: :b4:

นึกเอาใว้แล้ว...ว่าอโสกะต้องพูดอย่างนี้...อิอิ
ก็เพราะ....ไม่มีโสดาบันไหน...นั้งแท่นสบายใจ....นอนใจ...ชิว..ชิว....อย่างอโสกะว่า..นี้นา
จึงไม่มีโสดาบันค้าง..ข้ามพุทธันดร....มาได้...

รู้มั้ย...ว่าทำไม??...
คนเรา..มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์...มีกรรมเป็นแดนเกิด..
จิตอวิชชา...ไม่เคยยอมใคร...นอกเสียจากว่า...ผู้นั้น...จะยอมเสีย..อะไรก็แล้วแต่เพื่อ.จิตอวิชชานั้น.รู้จักชื่อกิเลส...มานะ..มั้ย
ดังนั้น...คำว่า..เราเสียหัวมากกว่ามนุษย์บนโลก...เราเสียดวงตามากกว่าเดือนดาราในท้องฟ้า....
จึงไม่ใช่คำพูดให้ดูเท่ๆ
แต่เพื่อให้จิตอวิชชาอื่นยอมรับฟัง....จึงตั้งใจเสียสละชีวิต....นี้เฉพาะช่วงปรมัตถบารมี..นะ
จึงมีคำว่า...
....บำเพ็ญบุญบารมีมาด้วยกัน....
....กัลยาณมิตรเป็นบุพนิมิตของการตรัสรู้ของสาวก....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2014, 16:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

:b12: :b12: :b12:
อโศกะ ....ครั้งพุทธกาลพระพุทธเจ้าทรงมีสัพพัญญุตญาณ รู้แจ้งหมด ก็ยังไม่มีเรื่องที่ทรงกล่าวถึงโส ดาบันกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้ามีพระพุทธองค์คงจะมีพระดำรัสบอกไว้

ส่วนยุคหลังๆมา มีผู้ที่สามารถบอกได้ว่าพระรูปใดองค์ใดสำเร็จธรรมเป็นพระอรหันต์แล้วบ้าง ก็น่าจะมีบอกถึงพระโสดาบันกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ไว้บ้าง เพราะตลอด 2557 ปีหลังพุทธกาล ยังมีพระอริยเจ้า พระอรหันต์ที่ทรงอภิญญาบารมีเกิดขึ้นอีกมากมาย น่าจะมีสัก 1 ตัวอย่างที่มีผู้กล่าวถึงพระโสดาบันที่กลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์
]



ถามอโสกะ....ใช้ใจตอบจริงๆดูนะอโสกะว่า....ถ้ามีใครสักคนบอกอโสกะว่า....คนนั้นคนนี้เป็นโสดาบันมาเกิด....อโสกะจะเชื่อเขาผู้นั้น..มั้ย?

ก็ในเมื่อ...การพูดอย่างนั้น....ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร..เพราะ...แม้เชื่อ..ก็เชื่อด้วยความงมงาย..แม้ไม่เชื่อ็ไม่เชื่อด้วยความไม่รู้อีก...ดีไม่ดีเกิดปรามาสเพราะความไม่รู้อีก....จึงมีแต่โทษ....

จึงไม่มีองค์ใดจะพยากรณ์ตามกิเลสของอโสกะ....งัยละ

ทุกวันนี้...ก็มีบางสำนัก....พยากรณ์ลูกศิษย์อยู่นะ.....อโสกะลองไปดูมั้ยละ..อิอิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2014, 16:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
อโศกะ..........ไม่เคยค้านคำสอนที่เป็นสัจจธรรมของพระพุทธเจ้า เคารพยกย่องเสมอ เพราะเปี่ยมล้นด้วยเหตุผล ไม่มีที่จะให้สงสัย โต้เถียงได้ อย่างเช่นคำสอนในธัมมจักกัปปวัตนสูตร อาทิตตปริยายสูตร อานาปานสติสูตร หรือสติปัฏฐานสูตร

แต่บางอย่างยังสงสัยการแปล ความหมายในบาลีออกมาเป็นภาษาไทย เพราะเรื่องและคำบาลีคำเดียวกันแต่แปลออกเป็นหลายสำนวน ความหมาย ดังเช่นความหมายของ...กาเมสุ วิเนยยะเคธังที่ถกเถียงกันอยู่

หรือคำแปลอื่นอย่างเช่นบทสวดธรรมคุณ 6 ประการ

สวากขาโต ภควตาธัมโม.......พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้วนั้น.....อีกสำนวนหนึ่งแปลว่า

ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้น(คืออะไร)

สันทิฏฐิโก.....เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตัวเอง....อีกสำนวนหนึ่งแปลว่า (ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน)เป็นสิ่งที่ผู้ทำความเห็นให้ตรงและถูกต้องแล้วจะเห็นเอง (เห็นถูกต้องคือเห็นอนัตตา)

อะกาลิโก.....เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ ให้ผลได้ไม่จำกัดกาล.....อีกสำนวนหนึ่งแปลว่า เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และให้ผลได้ ไม่จำกัด กาล เวลา สถานที่ บุคคล เชื้อชาติ เผ่าพันธ์ วรรณะ เพศ วัย ศาสนา ระดับการศึกษา หรือการนุ่งห่ม

เอหิปัสสิโก.....เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกับผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด......อีกสำนวนหนึ่งแปลว่า (ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนนั้น) เป็นสิ่งที่เรียกร้องให้เราเข้าไปดูอยู่เสมอ

โอปนยิโก......เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว.......อีกสำนวนหนึ่งแปลว่า (ความเห็นธรรมคือเห็นอนัตตานั้น)เป็นสิ่งที่ควรพอกพูนให้เกิดขึ้นในตัวยิ่งๆขึ้นไป (เมื่อพอกพูนได้ถึงที่แล้วจะส่งผลให้ถึง มรรค ผล นิพพาน)

ปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหีติ....เป็นสิ่งที่ผู้รู้ ก็รู้ได้เฉพาะตน......อีกสำนวนหนึ่งแปลเหมือนๆกัน

แต่สองสำนวนนี้สำนวนที่ 2 จะชี้เน้นลงสู่การปฏิบัติจริงให้เห็นธรรมตัวจริงมากกว่าและสัมพันธ์กับการปฏิบัติมากๆ ดังนี้เป็นต้น

เรื่องโสดาบันกลับมาเกิดในโลกมนุษย์หรือไม่นั้น อาจเป็นพุทธพจน์ตรงๆ หรืออาจเป็นคำแปลที่ประชุมลงความเห็นกันว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นแล้วแก้ไขตามกันมาก็เป็นได้ อโศกะจึงถามถึงต้นฉบับบาลี

อโศกะไม่ได้จงใจคัดค้านคำสอนของพระบรมศาสดา แต่ประสงค์จะพิสูจน์คำสอนของพระบรมศาสดาดังที่พระองค์ทรงแนะนำไว้ในกาลามสูตร.....ใครจะเห็นว่าอย่างนี้ผิด ก็ไม่เป็นไร ไม่ถือสาเพราะว่า ความเชื่อเป็นสิทธิเฉพาะบุคคล

จิตวิญญาณทุกดวงมีพัฒนาการของตนเองอยู่ตลอดเวลา จึงมิบังควรปมาทะ หรือวินิจฉัยว่าใครจะเป็นอย่างไร

อนัตตา อนิจจัง ทุกขัง......ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา.............อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

:b8:


อโสกะครับ.....สงสัยอะไร...ไม่มีใครห้าม....แต่คนฉลาดเขาจะสงสัยก็แต่..เรื่อง...ที่จะแก้กิเลส...อะไรที่นอกเรื่อง...เขาไม่มีเวลาสงสัย....เขาจะมีสติห้ามใจไม่ให้สงสัยเรื่องที่จะทำให้เสียเวลา....ส่วนคนฟุ้งซ่าน..เลยไม่ฉลาดที่จะสงสัยให้ตรงเป้า...มันจะสงสัยไปทั่วแหละ...สงสัยตามกิเลส..ในตัวของตนนั้นเอง...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2014, 16:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


ตัวอย่าง.....คำแปล....ที่อโสกะอยากรู้ว่าอย่างไหนจึงจะถูก..นั้น

เมื่อ...หมดทุกข์สิ้นกิเลส....ก็รู้เอง....ไม่เห็นจะต้องสงสัยมากซะจน....เกิดวิจิกิจฉา..
.เกิดอุทธัจจะ..เลยนิ

ถ้ายังจะเถียงอีกว่า..สงสัยนี้..ดี...

งั้น...
อโสกะ...ลองดึงมาให้ดูหน่อยซิ..ว่า....ความสงสัยนี้..รึคำตอบเหล่านี้...จะเข้ากับอริยะสัจ4 อย่างไรบ้าง...
เข้ากับทุกข์อริยสัจ..อย่างไร
เข้ากับ..สมุทัยสัจ..อย่างไร...
เข้ากับอริยมรรค..อย่างไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2014, 19:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:

การเกิดเป็นมนุษย์ของพระโสดาบันย่อมเป็นไปได้ แต่ก็ยังไม่พบตัวอย่างในสมัยครั้งพุทธกาล

เป็นเอามาก...เอาอะไรคิด....จึงคิดอย่างนี้ได้...โสดาบันจะเกิดก่อนพระพุทธเจ้าได้งัย...
:b12: :b12: :b12:

อโศกะ....คุณกบ คิดว่า จักรวาลนี้ มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นเพียงพระองค์เดียวคือพระสมณโคดมพุทธเจ้าหรือ
พระโสดาบันครั้งสมัยพระพุทธเจ้ากกุสันโธ โกนาคมโน กัสสโป เข้านิพพานไปหมดเกลี้ยงแล้วเหรอ

:b4: :b4:

นึกเอาใว้แล้ว...ว่าอโสกะต้องพูดอย่างนี้...อิอิ
ก็เพราะ....ไม่มีโสดาบันไหน...นั้งแท่นสบายใจ....นอนใจ...ชิว..ชิว....อย่างอโสกะว่า..นี้นา
จึงไม่มีโสดาบันค้าง..ข้ามพุทธันดร....มาได้...

รู้มั้ย...ว่าทำไม??...
คนเรา..มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์...มีกรรมเป็นแดนเกิด..
จิตอวิชชา...ไม่เคยยอมใคร...นอกเสียจากว่า...ผู้นั้น...จะยอมเสีย..อะไรก็แล้วแต่เพื่อ.จิตอวิชชานั้น.รู้จักชื่อกิเลส...มานะ..มั้ย
ดังนั้น...คำว่า..เราเสียหัวมากกว่ามนุษย์บนโลก...เราเสียดวงตามากกว่าเดือนดาราในท้องฟ้า....
จึงไม่ใช่คำพูดให้ดูเท่ๆ
แต่เพื่อให้จิตอวิชชาอื่นยอมรับฟัง....จึงตั้งใจเสียสละชีวิต....นี้เฉพาะช่วงปรมัตถบารมี..นะ
จึงมีคำว่า...
....บำเพ็ญบุญบารมีมาด้วยกัน....
....กัลยาณมิตรเป็นบุพนิมิตของการตรัสรู้ของสาวก....

:b16:
คำว่า "อวิชชา" นี่ลึก ละเอียดนะ........มานะทิฏฐิ.....ก็ยิ่งละเอียดลึก เวลายกให้ผู้อื่นมันมักย้อนเข้าตัวเป็น 3 - 4 เท่าตามกฏแห่งกรรมเสมอ
:b11:
:b13: :b13: :b13:
อ้างคำพูด:
จึงไม่มีโสดาบันค้าง..ข้ามพุทธันดร....มาได้...

s006
คำพูดนี้เอาหลักฐานมาจากไหน กบ ตู่เอาเองหรือเปล่า

1 พุทธันดรของพระพุทธเจ้า ไม่ยาวเป็นหลายๆกัปป์มั้ง ของพระสมณโคดมพุทธเจ้ายังแค่ 5,000 ปีเองไม่ใช่หรือ อายุเทวดาและพรหมบางพวกที่อาจเป็นโสดาบันหรือสกิทาคามีบุคคล นี่ยาวนานมากกว่ากระมังครับ
s004 s004 s004


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2014, 20:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: ...

ใครจะมาเกิดเป็นมนุษย์อีกหรือไม่อย่างไร
ไปเกิดอีกกี่ครั้งกี่หนอย่างไร

อยู่ที่ทัศนะในเรื่อง ภพ และ อัตภาพ ของผู้รู้นั้น ๆ


:b1:

เรื่องทัศนะเกี่ยวกับภพ และ อัตภาพ
ผู้ที่จะมีทัศนะในส่วนนี้ได้แจ่ม วิชาต่าง ๆ จะเป็นกำลังเสริมในเรื่องนี้

คือจะทำให้เขาเห็นความเชื่อมโยง อวิชชา/ตัณหา - อัตภาพ - ภพ

ซึ่ง เอกพีชี ... คือ เขาเห็นทั้งความเกิดปรากฏ และความดับไปแห่ง อัตภาพ ...
ทั้งหยาบ และ ละเอียด ทั้งรูป และ นาม
แม้อัตภาพแห่งพรหมที่ว่าละเอียด ... ก็มีเกิดปรากฎ และดับปรากฎ...มีการหมายว่าเป็นพรหม
แม้แต่ สุขในญาณที่ละเอียด ก็มีเกิดปรากฎ และดับปรากฎ ...
มีเจตนาให้อารมณ์ญาณนั้นปรากฎ ... เพื่อเข้าไปตั้งอยู่ ...
เอกพีชี คงเห็นอะไรได้ละเอียดละออ ... มากพอ
เอกพีชี คงเห็นอะไร ๆ ได้เยอะน่ะ
ทำให้นอกจากภพนี้ ที่มาแล้ว ก็ไม่มีภพไหนที่จะไปต่อแล้ว ...
เพราะ คงไม่มีเจตนาจะไปไหนต่ออีกแล้ว ...

ทัศนะเกี่ยวกับ อัตภาพ ... น่าจะอยู่ในละแวก ปัญญาในการทำอาสวะให้สิ้น ...

...

:b32:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 27 มี.ค. 2014, 20:12, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2014, 20:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
:b1: ...

ใครจะมาเกิดเป็นมนุษย์อีกหรือไม่อย่างไร
ไปเกิดอีกกี่ครั้งกี่หนอย่างไร

อยู่ที่ทัศนะในเรื่อง ภพ และ อัตภาพ ของผู้รู้นั้น ๆ


:b1:

เรื่องทัศนะเกี่ยวกับภพ และ อัตภาพ
ผู้ที่จะมีทัศนะในส่วนนี้ได้แจ่ม วิชาต่าง ๆ จะเป็นกำลังเสริมในเรื่องนี้

คือจะทำให้เขาเห็นความเชื่อมโยง อวิชชา/ตัณหา - อัตภาพ - ภพ

ซึ่ง เอกพีชี ... คือ เขาเห็นทั้งความเกิดปรากฏ และความดับไปแห่ง อัตภาพ ...
ทั้งหยาบ และ ละเอียด ทั้งรูป และ นาม
แม้อัตภาพแห่งพรหมที่ว่าละเอียด ... ก็มีเกิดปรากฎ และดับปรากฎ
แม้แต่ สุขในญาณที่ละเอียด ก็มีเกิดปรากฎ และดับปรากฎ ...
เอกพีชี คือ นอกจากภพนี้ ที่มาแล้ว ก็ไม่มีภพไหนที่จะไปต่อแล้ว ...

ทัศนะเกี่ยวกับ อัตภาพ ... จะอยู่ในละแวก ปัญญาในการทำอาสวะให้สิ้น ...

...

:b32:

:b16:
เอก้อนเล่นปล่อยของ .....เอาคำพูดเหมือนลอยๆมาให้คนคิดใคร่ครวญ

เฉลย ให้มันเข้าใจง่ายๆเลยดีกว่ามั้งครับ


(Simplified)
:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2014, 20:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ส่วนเรื่องจะมีโสดาบันมาก่อนมีพระพุทธเจ้ามั๊ย ...

คือ ... ก่อนหน้าที่จะมีเครื่องบิน
สิ่งที่ลอยไปมาบนฟ้าและคนพอจะรู้จักกัน ก็คือ นก สัตว์ที่บินได้ มูมเบอแรง ผีเสื้อ ก้อนหินที่ปามา :b32:

ซึ่งเครื่องบินยังไม่ปรากฎฉันใด
คนก็ยังไม่รู้ไม่เข้าใจถึงเครื่องบินได้ฉันนั้น

เรื่องจิตโดยองค์รวม เป็นเรื่องที่มีกระแสนำ
เมื่อมีกระแสนำ จึงมีกระแสตาม

เหมือนกับผิวน้ำ ถ้าไม่มีหินหล่นลงไป มันก็ไม่ปรากฎคลื่น
ซึ่งถ้า จิตพุทธองค์ไม่ปรากฎ โลกธาตุก็ไม่สั่นสะเทือน ...

:b1:

เรื่องนี้จินตนาการล้ำลึกเกินไป ...
ยังไม่เหมาะกับคนในยุคนี้ ...


:b12:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 27 มี.ค. 2014, 20:30, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2014, 20:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b16:
เอก้อนเล่นปล่อยของ .....เอาคำพูดเหมือนลอยๆมาให้คนคิดใคร่ครวญ

เฉลย ให้มันเข้าใจง่ายๆเลยดีกว่ามั้งครับ


(Simplified)
:b1:


ไม่เฉลยหรอกท่าน อ่านแล้วไม่เข้าใจอะไรเลยน่ะดีแล้ว
เมื่อไม่เข้าใจ ก็โยน ๆ มันทิ้งไป

คนจิตปกติจะมาเข้าใจคนจิตผิดปกติได้ไง... :b6: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2014, 22:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอโทษ :b12: แต่คิดซะว่าอ่านให้เพลิน ๆ ไปนะ

:b12: :b12: :b12:

คงไม่ยาวเกินทน ... เน๊อะ

ถ้ายังไม่พร้อมจะอ่าน ก็มองข้ามเลยไปก่อนก็ได้ อยากอ่านเมื่อไรค่อยกลับมาอ่าน


Quote Tipitaka:
สัญเจตนิยวรรคที่ ๓

[๑๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อกายมีอยู่ สุขทุกข์ภายในย่อมเกิดขึ้น
เพราะกายสัญเจตนา ๑- เป็นเหตุ
หรือเมื่อวาจามีอยู่ สุขทุกข์ในภายในย่อมเกิดขึ้นเพราะวจีสัญเจตนา ๒- เป็นเหตุ
หรือเมื่อใจมีอยู่ สุขทุกข์ภายในย่อมเกิดขึ้น เพราะมโนสัญเจตนา ๓- เป็นเหตุ
อีกอย่างหนึ่ง เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย บุคคลย่อมปรุงแต่งกายสังขาร
อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นด้วยตนเองบ้าง
หรือบุคคลอื่นย่อมปรุงแต่งกายสังขารของบุคคลนั้น อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภาย
ในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้น
หรือบุคคลรู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง
หรือบุคคลไม่รู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งกายสังขารอันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง
บุคคลย่อมปรุงแต่งวจีสังขารอันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นด้วยตนเองบ้าง
หรือบุคคลอื่นย่อมปรุงแต่งวจีสังขารของบุคคลนั้น
อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้นบ้าง
หรือบุคคลรู้สึกตัวย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง
หรือบุคคลไม่รู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง
บุคคลย่อมปรุงแต่งมโนสังขารอันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นด้วยตนเองบ้าง
หรือบุคคลอื่นย่อมปรุงแต่งมโนสังขารของบุคคลนั้น อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภาย
ในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้นบ้าง
หรือบุคคลรู้สึกตัวย่อมปรุงแต่งมโนสังขารอันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง
หรือบุคคลไม่รู้สึกตัวย่อมปรุงแต่งมโนสังขารอันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อวิชชาติดตามไปแล้วในธรรมเหล่านี้

แต่เพราะอวิชชานั่นแลดับโดยสำรอกไม่เหลือ กายอันเป็นปัจจัย
ให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้น ย่อมไม่มี วาจา ... ใจ ... เขต ... วัตถุ
... อายตนะ ... อธิกรณะอันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้น
ย่อมไม่มี ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ความได้อัตภาพ ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน
คือ ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนเป็นไป ไม่ใช่สัญเจตนาของผู้อื่นเป็นไป
@๑. ความจงใจทางกาย ๒. ความจงใจทางวาจา ๓. ความจงใจทางใจก็มี
ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของผู้อื่นเป็นไป ไม่ใช่สัญเจตนาของตนเป็นไปก็มี
ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนด้วย สัญเจตนาของผู้อื่นด้วยเป็นไปก็มี
ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนก็มิใช่สัญเจตนาของผู้อื่นก็มิใช่เป็นไปก็มี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความได้อัตภาพ ๔ ประการนี้แล ฯ

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรได้ทูลถามว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสโดยย่อนี้ ข้าพระองค์ทราบชัด
เนื้อความโดยพิสดารอย่างนี้ว่า
บรรดาความได้อัตภาพ ๔ ประการนั้น ความได้
อัตภาพที่สัญเจตนาของตนเป็นไป มิใช่สัญเจตนาของผู้อื่นเป็นไปนี้
คือ การจุติจากกายนั้นของสัตว์เหล่านั้น ย่อมมีเพราะสัญเจตนาของตนเป็นเหตุ
ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของผู้อื่นเป็นไป มิใช่สัญเจตนาของตนเป็นไปนี้
คือ การจุติจากกายนั้นของสัตว์เหล่านั้น ย่อมมีเพราะสัญเจตนาของผู้อื่นเป็นเหตุ
ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนด้วย สัญเจตนาของผู้อื่นด้วยเป็นไปนี้
คือ การจุติจากกายนั้นของสัตว์เหล่านั้น ย่อมมีเพราะสัญเจตนาของตนและสัญเจตนาผู้อื่นเป็นเหตุ
ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนเป็นไปก็มิใช่ สัญเจตนาของผู้อื่นเป็นไปก็มิใช่นี้
จะพึงเห็นเทวดาทั้งหลายด้วยอัตภาพนั้นเป็นไฉน พระเจ้าข้า ฯ

พ. ดูกรสารีบุตร พึงเห็นเทวดาทั้งหลายผู้เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ
ด้วยอัตภาพนั้น ฯ

สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้
สัตว์บางจำพวกในโลกนี้ จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอาคามีกลับมาสู่ความเป็นอย่าง
นี้ อนึ่ง อะไรเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลกนี้ จุติจากกายนั้น
แล้วเป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ พระเจ้าข้า ฯ

พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังละโอรัมภาคิยสังโยชน์
ไม่ได้ แต่เขาบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะในปัจจุบัน บุคคลนั้นชอบใจ ยินดี
และถึงความปลื้มใจด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ยับยั้งอยู่ในเนวสัญญา-
*นาสัญญายตนะนั้น น้อมใจไป อยู่จนคุ้นในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ไม่เสื่อม
เมื่อทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานา-
*สัญญายตนภพ เขาจุติจากชั้นนั้นแล้วย่อมเป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นอย่าง
นี้ ดูกรสารีบุตร อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้แล้ว
เขาบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ ในปัจจุบัน บุคคลนั้นชอบใจ ยินดี และถึง
ความปลื้มใจ ด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ยับยั้งในเนวสัญญานา-
*สัญญายตนะนั้น น้อมใจไป อยู่จนคุ้นในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ไม่เสื่อม
เมื่อกระทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญา-
*นาสัญญายตนภพ เขาจุติจากชั้นนั้นแล้ว ย่อมเป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความ
เป็นอย่างนี้ ดูกรสารีบุตร นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลก
นี้ จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ อนึ่ง นี้เป็นเหตุ
เป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลกนี้ จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอนาคามี
ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

[๑๗๒] ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตรเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกร
อาวุโสภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตร
ได้กล่าวว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย เราอุปสมบทแล้วได้กึ่งเดือน ก็ได้กระทำให้แจ้ง
อรรถปฏิสัมภิทาโดยเป็นส่วน โดยจำแนก เราย่อมบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง
เปิดเผย จำแนก กระทำให้ง่ายซึ่งอรรถปฏิสัมภิทานั้นโดยอเนกปริยาย ก็ผู้ใดแล
พึงมีความสงสัยหรือความเคลือบแคลง ผู้นั้นพึงถามเรา เราพึงพยากรณ์
พระศาสดาของเราทั้งหลาย ทรงฉลาดด้วยดีในธรรมทั้งหลาย ประทับอยู่เฉพาะ
หน้าของเราทั้งหลาย เราอุปสมบทแล้วได้กึ่งเดือน กระทำให้แจ้งธรรมปฏิสัมภิทา
... นิรุตติปฏิสัมภิทา ... ปฏิภาณปฏิสัมภิทา โดยเป็นส่วน โดยจำแนก
เราย่อมบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ง่ายซึ่ง
ปฏิภาณปฏิสัมภิทานั้นโดยอเนกปริยาย ก็ผู้ใดแลพึงมีความสงสัยหรือเคลือบแคลง
ผู้นั้น พึงถามเรา เราพึงพยากรณ์ พระศาสดาของเราทั้งหลายทรงฉลาดด้วยดี
ในธรรมทั้งหลาย ประทับอยู่เฉพาะหน้าของเราทั้งหลาย ฯ

[๑๗๓] ครั้งนั้นแล ท่านพระมหาโกฏฐิตะเข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึง
ได้ปราศรัยกับท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามท่านพระสารีบุตรว่า ดูกรอาวุโส
เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ อะไรๆ อื่นมีอยู่หรือ ท่าน
พระสารีบุตรกล่าวว่า ดูกรอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่างนี้ ฯ
ม. ดูกรอาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ
อะไรๆ อื่นไม่มีอยู่หรือ ฯ
สา. ดูกรอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่างนั้น ฯ
ม. ดูกรอาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ
อะไรๆ อื่นมีอยู่ด้วย ไม่มีอยู่ด้วยหรือ ฯ
สา. ดูกรอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่างนั้น ฯ
ม. ดูกรอาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ
อะไรๆ อื่นมีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่หรือ ฯ
สา. ดูกรอาวุโส อย่ากล่าวอย่างนั้น ฯ
ม. ผมถามว่า ดูกรอาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอก
ไม่เหลือ อะไรๆ อื่นมีอยู่หรือ ท่านก็กล่าวว่า ดูกรอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่าง
นั้น ผมถามว่า ดูกรอาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ
อะไรๆ อื่นไม่มีอยู่หรือ ท่านก็กล่าวว่า ดูกรอาวุโส อย่ากล่าวอย่างนั้น ผม
ถามว่า ดูกรอาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ อะไรๆ
อื่นมีอยู่ด้วย ไม่มีอยู่ด้วยหรือ ท่านก็กล่าวว่า ดูกรอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่างนั้น
ผมถามว่า ดูกรอาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ อะไรๆ
อื่นมีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่หรือ ท่านก็กล่าวว่า ดูกรอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่าง
นั้น ดูกรอาวุโส ก็เนื้อความแห่งคำตามที่ท่านกล่าวแล้วนี้ จะพึงเห็นได้อย่างไร ฯ
สา. ดูกรอาวุโส เมื่อกล่าวว่า เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอก
ไม่เหลือ อะไรๆ อื่นมีอยู่หรือ ... ไม่มีอยู่หรือ ... มีอยู่ด้วย ไม่มีอยู่ด้วย
หรือ ... มีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่หรือ ดังนี้ ชื่อว่าทำความไม่เนิ่นช้าให้เนิ่นช้า
ผัสสายตนะ ๖ ยังดำเนินไปเพียงใด ปปัญจธรรมก็ยังดำเนินไปเพียงนั้น ปปัญจ
ธรรมยังดำเนินไปเพียงใด ผัสสายตนะ ๖ ก็ยังดำเนินไปเพียงนั้น ดูกรอาวุโส
เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ ปปัญจธรรมก็ดับ
สงบระงับ ฯ
[๑๗๔] ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปหาท่านพระมหาโกฏฐิตะถึงที่
อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระมหาโกฏฐิตะ ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกัน
ไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามท่านพระมหาโกฏฐิตะ
ดูกรอาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ อะไรๆ
อยู่หรือ ท่านพระมหาโกฏฐิตะกล่าวว่า ดูกรอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่างนั้น ฯ
อา. ดูกรอาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ
อะไรๆ อื่นไม่มีอยู่หรือ ฯ
ม. ดูกรอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่างนั้น ฯ
อา. ดูกรอาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ
อะไรๆ อื่น มีอยู่ด้วย ไม่มีอยู่ด้วยหรือ ฯ
ม. ดูกรอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่างนั้น ฯ
อา. ดูกรอาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ
อะไรๆ อื่นมีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่หรือ ฯ
ม. ดูกรอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่างนั้น ฯ
อา. ผมถามว่า เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ
อะไรๆ อื่นมีอยู่หรือ ท่านกล่าวว่า ดูกรอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่างนั้น ผมถามว่า
ดูกรอาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ อะไรๆ อื่น
หรือ ท่านก็กล่าวว่า ดูกรอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่างนั้น ผมถามว่า ดูกรอาวุโส
เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ อะไรๆ อื่นมีอยู่ด้วย
อยู่ด้วยหรือ ท่านก็กล่าวว่า ดูกรอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่างนั้น ผมถามว่า
อาวุโส เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ อะไรๆ อื่นมีอยู่ก็
มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่หรือ ท่านก็กล่าวว่า ดูกรอาวุโส อย่าได้กล่าวอย่างนั้น
ดูกรอาวุโส ก็เนื้อความแห่งคำตามที่ท่านกล่าวแล้วนี้ จะพึงเห็นได้อย่างไร ฯ
ม. อาวุโส เมื่อกล่าวว่า เพราะผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอก
ไม่เหลือ อะไรๆ อื่นมีอยู่หรือ ... ไม่มีอยู่หรือ ... มีอยู่ด้วย ไม่มีอยู่ด้วยหรือ
... มีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่หรือ ดังนี้ ชื่อว่าทำความไม่เนิ่นช้าให้เนิ่นช้า
ผัสสายตนะ ๖ ยังดำเนินไปเพียงใด ปปัญจธรรมก็ดำเนินไปเพียงนั้น ปปัญจธรรม
ยังดำเนินไปเพียงใด ผัสสายตนะ ๖ ก็ดำเนินไปเพียงนั้น ดูกรอาวุโส เพราะ
ผัสสายตนะ ๖ ดับสนิทโดยสำรอกไม่เหลือ ปปัญจธรรมก็ดับสนิท สงบระงับ ฯ

[๑๗๕] ครั้งนั้นแล ท่านพระอุปวานเข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่
ได้ปราศรัยกับท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามท่านพระสารีบุตรว่า ดูกรอาวุโส บุคคล
กระทำที่สุดแห่งทุกข์ด้วยวิชชาหรือหนอ ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า ดูกรอาวุโส
ไม่ใช่อย่างนั้น ฯ
อุ. ดูกรอาวุโส บุคคลกระทำที่สุดแห่งทุกข์ด้วยจรณะหรือ ฯ
สา. ดูกรอาวุโส ไม่ใช่อย่างนั้น ฯ
อุ. ดูกรอาวุโส บุคคลกระทำที่สุดแห่งทุกข์ด้วยวิชชาและจรณะหรือ ฯ
สา. ดูกรอาวุโส ไม่ใช่อย่างนั้น ฯ
อุ. ดูกรอาวุโส บุคคลกระทำที่สุดแห่งทุกข์อื่นจากวิชชาและจรณะหรือ ฯ
สา. ดูกรอาวุโส ไม่ใช่อย่างนั้น ฯ
อุ. ผมถามว่า ดูกรอาวุโส บุคคลกระทำที่สุดแห่งทุกข์ ด้วยวิชชาหรือ
ท่านกล่าวว่า ดูกรอาวุโส ไม่ใช่อย่างนั้น ผมถามว่า ดูกรอาวุโส บุคคลกระทำ
ที่สุดแห่งทุกข์ด้วยจรณะหรือ ... ด้วยวิชชาและจรณะหรือ ... อื่นจากวิชชาและ
จรณะหรือ ท่านก็กล่าวว่า ดูกรอาวุโส ไม่ใช่อย่างนั้น ดูกรอาวุโส ก็บุคคล
กระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้อย่างไรเล่า ฯ
สา. ดูกรอาวุโส ถ้าบุคคลจักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ด้วยวิชชาแล้วไซร้
ก็จักเป็นผู้มีอุปาทานเทียวกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ถ้าบุคคลจักกระทำที่สุดได้ด้วย
จรณะแล้วไซร้ ก็จักเป็นผู้มีอุปาทานเทียวกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ถ้าบุคคลจัก
กระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ด้วยวิชชาและจรณะไซร้ ก็จักเป็นผู้มีอุปาทานเทียวกระทำ
ที่สุดแห่งทุกข์ได้ ถ้าบุคคลจักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้นอกจากวิชชาและจรณะไซร้
ปุถุชนก็จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ เพราะปุถุชนเว้นจากวิชชาและจรณะ ดูกร
อาวุโส บุคคลผู้มีจรณะวิบัติย่อมไม่รู้ไม่เห็นตามความเป็นจริง บุคคลผู้มีจรณะ
สมบูรณ์จึงรู้จึงเห็นตามความเป็นจริง ย่อมกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ฯ

[๑๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้มีศรัทธาเมื่อปรารถนาโดยชอบ พึง
ปรารถนาอย่างนี้ว่า ขอเราจงเป็นเช่นพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะเถิด ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรและโมคคัลลานะนี้เป็นตราชู เป็นประมาณแห่งภิกษุ
ทั้งหลายผู้สาวกของเรา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีผู้มีศรัทธา เมื่อปรารถนาโดยชอบ
พึงปรารถนาอย่างนี้ว่า ขอเราจงเป็นเช่นพระเขมาภิกษุณี และพระอุบลวรรณาภิกษุณี
เถิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เขมาภิกษุณีและอุบลวรรณาภิกษุณีนี้เป็นตราชู เป็น
ประมาณแห่งภิกษุณีทั้งหลายผู้สาวิกาของเรา ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุบาสกผู้มีศรัทธา
เมื่อปรารถนาโดยชอบ พึงปรารถนาอย่างนี้ว่า ขอเราจงเป็นเช่นจิตตคฤหบดีและ
หัตถกอุบาสกชาวเมืองอาฬวีเถิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตตคฤหบดีและหัตถกอุบาสก
ชาวเมืองอาฬวีนี้เป็นตราชู เป็นประมาณแห่งอุบาสกทั้งหลายผู้เป็นสาวกของเรา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุบาสิกาผู้มีศรัทธาเมื่อปรารถนาโดยชอบ พึงปรารถนาอย่างนี้ว่า
ขอเราจงเป็นเช่นนางขุชชุตราอุบาสิกา และนางเวฬุกัณฏกีนันทมารดาเถิด ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย นางขุชชุตราอุบาสิกา และนางเวฬุกัณฏกีนันทมารดานี้เป็นตราชู
เป็นประมาณของอุบาสิกาทั้งหลายผู้สาวิกาของเรา ฯ

[๑๗๗] ครั้งนั้นแล ท่านพระราหุลเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว พระผู้มี
พระภาคได้ตรัสกะท่านพระราหุลว่า ดูกรราหุล ปฐวีธาตุที่เป็นภายในก็ดี เป็น
ภายนอกก็ดี ปฐวีธาตุนั้นก็เป็นแต่สักว่าปฐวีธาตุเท่านั้น พึงเห็นปฐวีธาตุนั้นด้วย
ปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่
ตัวตนของเรา เพราะเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนั้น จิตย่อม
เบื่อหน่ายในปฐวีธาตุ ย่อมคลายกำหนัดในปฐวีธาตุ ดูกรราหุล อาโปธาตุที่
เป็นภายในก็ดี เป็นภายนอกก็ดี อาโปธาตุนั้นก็เป็นแต่สักว่าอาโปธาตุเท่านั้น พึง
เห็นอาโปธาตุนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา
นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของตน เพราะเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความ
เป็นจริงอย่างนั้น จิตย่อมเบื่อหน่ายในอาโปธาตุ ย่อมคลายกำหนัดในอาโปธาตุ
ดูกรราหุล เตโชธาตุที่เป็นภายในก็ดี เป็นภายนอกก็ดี เตโชธาตุนั้นก็เป็นแต่
สักว่าเตโชธาตุเท่านั้น พึงเห็นเตโชธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง
อย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เพราะเห็น
ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนั้น จิตย่อมเบื่อหน่ายในเตโชธาตุ ย่อม
คลายกำหนัดในเตโชธาตุ ดูกรราหุล วาโยธาตุที่เป็นภายในก็ดี เป็นภายนอกก็ดี
วาโยธาตุนั้นก็เป็นแต่สักว่าวาโยธาตุเท่านั้น พึงเห็นวาโยธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบ
ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตน
ของเรา เพราะเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนั้น จิตย่อมเบื่อหน่าย
ในวาโยธาตุ ย่อมคลายกำหนัดในวาโยธาตุ ดูกรราหุล เพราะเหตุที่ภิกษุพิจารณา
เห็นว่ามิใช่ตัวตน ไม่เนื่องในตน ในธาตุ ๔ นี้ ภิกษุนี้เรากล่าวว่า ตัดตัณหาได้
แล้ว รื้อถอนสังโยชน์เสียได้ กระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้แล้วเพราะละมานะได้
โดยชอบ ฯ

[๑๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก
๔ จำพวกเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุเจโตวิมุติอันสงบ
อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ภิกษุนั้นมนสิการสักกายนิโรธ (ความดับสักกายะ คือ
วัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ ๓) เมื่อเธอมนสิการสักกายนิโรธอยู่ จิตของเธอย่อมไม่
แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไปในสักกายนิโรธ เมื่อเป็นเช่นนี้
ภิกษุนั้นแลไม่พึงหวังได้สักกายนิโรธ บุรุษมีมือเปื้อนยางเหนียวจับกิ่งไม้ มือของ
เขานั้นพึงจับติดกิ่งไม้อยู่ แม้ฉันใด ภิกษุบรรลุเจโตวิมุติอันสงบอย่างใดอย่างหนึ่ง
อยู่ ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล เธอย่อมมนสิการสักกายนิโรธ เมื่อเธอมนสิการ
สักกายนิโรธอยู่ จิตย่อมไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไปใน
สักกายนิโรธ เมื่อเป็นเช่นนี้ ภิกษุนั้นแลไม่พึงหวังได้สักกายนิโรธ อนึ่ง ภิกษุ
ในธรรมวินัยนี้ บรรลุเจโตวิมุติอันสงบอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ภิกษุนั้นย่อม
มนสิการสักกายนิโรธ เมื่อเธอมนสิการสักกายนิโรธอยู่ จิตย่อมแล่นไป ย่อม
เลื่อมใส ย่อมตั้งอยู่ ย่อมน้อมไปในสักกายนิโรธ เมื่อเป็นเช่นนี้ ภิกษุนั้นแล
พึงหวังได้สักกายนิโรธ บุรุษมีมือหมดจดจับกิ่งไม้ มือของเขานั้นไม่พึงจับติดอยู่
ที่กิ่งไม้ แม้ฉันใด ภิกษุบรรลุเจโตวิมุติอันสงบอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ก็ฉันนั้น
เหมือนกันแล เธอย่อมมนสิการสักกายนิโรธ เมื่อเธอมนสิการสักกายนิโรธ
จิตย่อมแล่นไป ย่อมเลื่อมใส ย่อมตั้งอยู่ ย่อมน้อมไปในสักกายนิโรธ เมื่อเป็น
เช่นนี้ ภิกษุนั้นแลพึงหวังได้สักกายนิโรธ อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุเจโต-
*วิมุติอันสงบอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ภิกษุนั้นย่อมมนสิการ การทำลายอวิชชา เมื่อ
เธอมนสิการ การทำลายอวิชชาอยู่ จิตย่อมไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่
ไม่น้อมไปในการทำลายอวิชชา เมื่อเป็นเช่นนี้ ภิกษุนั้นแลไม่พึงหวังได้การ
ทำลายอวิชชา บ่อน้ำใหญ่นับได้หลายปี คนพึงปิดทางไหลเข้าของบ่อน้ำนั้นเสีย
และเปิดทางไหลออกไว้ ทั้งฝนก็ไม่ตกเพิ่มเติมตามฤดูกาล เมื่อเป็นอย่างนี้
บ่อน้ำใหญ่นั้นก็ไม่พึงหวังที่จะมีน้ำล้นขอบออกไปได้ แม้ฉันใด ภิกษุบรรลุเจโต-
*วิมุติอันสงบอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เธอย่อมมนสิการ การ
ทำลายอวิชชา เมื่อเธอมนสิการ การทำลายอวิชชาอยู่ จิตย่อมไม่แล่นไป ไม่
เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ ไม่น้อมไปในการทำลายอวิชชา เมื่อเป็นเช่นนี้ ภิกษุนั้นแล
ไม่พึงหวังได้การทำลายอวิชชา อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุเจโตวิมุติอัน
สงบอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ภิกษุนั้นมนสิการ การทำลายอวิชชา เมื่อเธอมนสิการ
การทำลายอวิชชาอยู่ จิตย่อมแล่นไป ย่อมเลื่อมใส ย่อมตั้งอยู่ ย่อมน้อมไปใน
การทำลายอวิชชา เมื่อเป็นเช่นนี้ ภิกษุนั้นพึงหวังได้การทำลายอวิชชา บ่อน้ำ-
*ใหญ่นับได้หลายปี คนพึงเปิดทางไหลเข้าของบ่อน้ำนั้นไว้ และปิดทางไหลออก
เสีย ทั้งฝนก็ตกเพิ่มเติมตามฤดูกาล เมื่อเป็นอย่างนี้ บ่อน้ำใหญ่นั้นก็พึงหวังที่จะ
มีน้ำล้นขอบออกไปได้ แม้ฉันใด ภิกษุบรรลุเจโตวิมุติอันสงบอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ภิกษุนั้นย่อมมนสิการ การทำลายอวิชชา เมื่อเธอมนสิการ
การทำลายอวิชชาอยู่ จิตย่อมแล่นไป ย่อมเลื่อมใส ย่อมตั้งอยู่ ย่อมน้อมไป
ในการทำลายอวิชชา เมื่อเป็นเช่นนี้ ภิกษุนั้นแลพึงหวังได้การทำลายอวิชชา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกเหล่านี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ

[๑๗๙] ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่
ได้ปราศรัยกับท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว
นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามท่านพระสารีบุตรว่า ดูกรอาวุโส-
*สารีบุตร อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ ไม่
ปรินิพพานในปัจจุบัน ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ดูกรอาวุโสอานนท์ สัตว์
ทั้งหลายในโลกนี้ ไม่ทราบชัดตามความเป็นจริงว่า นี้หานิภาคิยสัญญา (สัญญา
ฝ่ายเสื่อม) นี้ฐิติภาคิยสัญญา (สัญญาฝ่ายดำรงอยู่) นี้วิเสสภาคิยสัญญา
(สัญญาฝ่ายวิเศษ) นี้นิพเพธภาคิยสัญญา (สัญญาฝ่ายชำแรกกิเลส) ดูกรอาวุโส
อานนท์ นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางพวกในโลกนี้ ไม่ปรินิพพาน
ในปัจจุบัน ฯ
อา. ดูกรอาวุโสสารีบุตร ก็อะไรเล่าเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์
บางพวกในโลกนี้ ปรินิพพานในปัจจุบัน ฯ
สา. ดูกรอาวุโสอานนท์ สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ย่อมทราบชัดตามความ
เป็นจริงว่า นี้หานิภาคิยสัญญา นี้ฐิติภาคิยสัญญา นี้วิเสสภาคิยสัญญา
นี้นิพเพธภาคิยสัญญา ดูกรอาวุโสอานนท์ นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์
บางพวกในโลกนี้ ปรินิพพานในปัจจุบัน ฯ

(ตัดออกบางส่วน)
......


จบสัญเจตนิยวรรคที่ ๓

-----------------------------------------------------


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 27 มี.ค. 2014, 22:57, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2014, 22:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:

การเกิดเป็นมนุษย์ของพระโสดาบันย่อมเป็นไปได้ แต่ก็ยังไม่พบตัวอย่างในสมัยครั้งพุทธกาล

เป็นเอามาก...เอาอะไรคิด....จึงคิดอย่างนี้ได้...โสดาบันจะเกิดก่อนพระพุทธเจ้าได้งัย...
:b12: :b12: :b12:

อโศกะ....คุณกบ คิดว่า จักรวาลนี้ มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นเพียงพระองค์เดียวคือพระสมณโคดมพุทธเจ้าหรือ
พระโสดาบันครั้งสมัยพระพุทธเจ้ากกุสันโธ โกนาคมโน กัสสโป เข้านิพพานไปหมดเกลี้ยงแล้วเหรอ

:b4: :b4:

นึกเอาใว้แล้ว...ว่าอโสกะต้องพูดอย่างนี้...อิอิ
ก็เพราะ....ไม่มีโสดาบันไหน...นั้งแท่นสบายใจ....นอนใจ...ชิว..ชิว....อย่างอโสกะว่า..นี้นา
จึงไม่มีโสดาบันค้าง..ข้ามพุทธันดร....มาได้...

รู้มั้ย...ว่าทำไม??...
คนเรา..มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์...มีกรรมเป็นแดนเกิด..
จิตอวิชชา...ไม่เคยยอมใคร...นอกเสียจากว่า...ผู้นั้น...จะยอมเสีย..อะไรก็แล้วแต่เพื่อ.จิตอวิชชานั้น.รู้จักชื่อกิเลส...มานะ..มั้ย
ดังนั้น...คำว่า..เราเสียหัวมากกว่ามนุษย์บนโลก...เราเสียดวงตามากกว่าเดือนดาราในท้องฟ้า....
จึงไม่ใช่คำพูดให้ดูเท่ๆ
แต่เพื่อให้จิตอวิชชาอื่นยอมรับฟัง....จึงตั้งใจเสียสละชีวิต....นี้เฉพาะช่วงปรมัตถบารมี..นะ
จึงมีคำว่า...
....บำเพ็ญบุญบารมีมาด้วยกัน....
....กัลยาณมิตรเป็นบุพนิมิตของการตรัสรู้ของสาวก....

:b16:
คำว่า "อวิชชา" นี่ลึก ละเอียดนะ........มานะทิฏฐิ.....ก็ยิ่งละเอียดลึก เวลายกให้ผู้อื่นมันมักย้อนเข้าตัวเป็น 3 - 4 เท่าตามกฏแห่งกรรมเสมอ
:b11:


ผมยกคำว่า..อวิชชา...ให้ใครหรอ..อโสกะ....หรือ..คำว่า..อวิชชา..มันแสล่งหัวใจ...อิอิ
[


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 346 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14 ... 24  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 36 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร