วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 05:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 220 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14, 15  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2014, 00:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2013, 20:15
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เป็นเอามาก :b6:
พูดไป สองไพเบี้ย นิ่งเสีย ตำลึงทอง



เฮ้อ
ไม่อยากทำเล้ย พับผ่า



มหามงกุฏ
รูปภาพ


จุฬา
รูปภาพ


สยามรัฐ
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2014, 07:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cantona_z เขียน:
คุณวลัยพรยืนยันเหตุผลตามคุณโฮฮับ
ลิ้งค์ที่คุณวลัยพรยกมาเป็นพระไตรปิฏก
ผมก็ถามถึงพระไตรปิฏก
ทั้งหมดไม่มีอะไรที่โยงกับอภิธรรมัตถสังคหะ


คุณยังไม่หายงงอีก เรื่องของเรื่อง บัญญัติที่คุณเอามาใช้
ถึงแม้โดยตัวอักษรแล้ว มันจะเหมือนกันก็ตาม แต่การให้ความหมายมันต่างกัน

อย่างเช่น สัตว์โลก มันมีทั้งเป็นเดรัจฉานและมนุษย์ คนมีทั้งผู้ชายและผู้หญิง
บุคคลมีทั้งปุถุชนและอริยชน อีกทั้งในอริยชนยังมีพระเสขะกับอเสขะ

การพูดถึงปรมัตถ์บัญญัติหรือสภาวธรรม เราต้องเข้าใจก่อนว่า
สถาวะที่เกิดภายในกายใจ มันแตกต่างกันในระดับของบุคคล
พูดง่ายๆว่า.......จิตพระอเสขะย่อมต่างจากจิตพระเสขะ จิตพระเสขะย่อมต่างจากจิตปุถุชน

เมื่อเราจะอ้างอิงพระธรรม(ปริยัติ) พระธรรมที่เอามาอ้างต้องตรงกับสถาวะของบุคคล
เช่นกำลังพูดถึงปุถุชน (อาจจะยังไม่รู้ว่าที่พูดเป็นปุถุชน) แต่เวลาอ้างพระธรรม กลับนำเอา
พระธรรมที่กล่าถึงสภาวะของอริยชนหรือพระเสขะ


จากคำพูดคำอธิบายความของคุณคันฯ ส่วนใหญ่จะเป็นการพูดถึงจิตของปุถุชน
แต่พอเวลาที่จะต้องอ้างอิงพระธรรม กลับนำพระธรรมที่เป็นจิตของพระอริยชนมาอ้าง

ถ้าไม่รู้จักพระอนุรุทธาจารย์และไม่รู้ว่า พระอภิธรรมมัตถสังคหะเป็นอย่างไร
ก็กรุณาไปอ่านตามลิ้งที่ผมให้มา ..............

http://abhidhamonline.org/aphi/p1/006.htm

..........สรุปสั้นๆให้ฟังอีกครั้ง เวลาพูดพูดเป็นพระอภิธรรมมัตถสังคหะ
แต่เวลาอ้างอิงอ้างพระไตรปิฎก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2014, 07:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cantona_z เขียน:
แล้วพระอนุรุธาจารย์มาเกี่ยวอะไรด้วย?
แล้วที่บอกคำที่พระอนุรุธาจารย์บัญญัติ
ท่านไปบัญญัติตอนไหน? คำทั้งหลายเหล่านี้ เช่นปุญญาอปุญญาอเนญชาภิสังขาร
มีปรากฏในชั้นพุทธพจน์ มีปรากฏในปฏิสัมภิทามรรค เกิดตั้งแต่พศ0
พระอนุรุธาจารย์เขียนอภิธัมมัตถสังคหะ พศ 1000
เขียนมาทีหลังตั้งพันปี ท่านไปบัญญัติศัพท์พวกนี้ตอนไหน


ก็พระอนุรุทฯเป็นเจ้าของคำพูดที่คุณกำลังพูดไง

ท่านอนุรุธไม่ได้บัญญัติสิ่งที่ใช้เรียกสภาวะใหม่........
แต่พระอนุรุทฯท่านเอาบัญญัติของพระพุทธองค์ ไปให้ความหมายใหม่
ตัวอย่างเช่น....รูปที่เป็นบัญญัติของพระพุทธเจ้า หมายความถึงสังขตธรรม เป็นนามธรรม
แต่ท่านอนุรุทฯ เอาบัญญัติของพระพุทธองค์ไปให้ความหมายใหม่ว่า...
รูปที่เป็นรูปธรรมที่เป็นร่างกาย

และ"จิต" ในความหมายของพระพุทธองค์หมายรวม....นามธรรมทั้งหมด
แต่พระอนุรุทฯ ท่านให้ความหมายของ"จิต" เป็น วิญญาน


พระธรรมไม่ว่าจะเป็นพระธรรมวินัย....พระไตรปิฎก....คัมภีร์อภิธรรมมัตถฯ...วิสุทธิมัค
อรรกถาฯลฯ มันไม่ใช่เหตุที่จะให้เราไปตัดสินว่า นั้นถูกนี่ผิด

การจะศึกษาพระธรรมหรือคัมภีร์ เราต้องยึดเอาเจ้าของหรือผู้แต่งเป็นหลัก
นั้นหมายความว่า ท่านเจ้าของต้องการให้เราเข้าใจพระธรรม หรือคำพูดของท่านไปในทางใด
และที่สำคัญที่สุด เมื่อเข้าใจจุดประสงค์ที่เจ้าของคัมภีร์สื่่อแล้ว เราต้องเอาสิ่งนั้นไปเทียบกับ
พระธรรมวินัยหรือพระไตรปิฎกอีกทีหนึ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2014, 07:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


cantona_z เขียน:
อ้างคำพูด:
เป็นเอามาก :b6:
พูดไป สองไพเบี้ย นิ่งเสีย ตำลึงทอง



เฮ้อ
ไม่อยากทำเล้ย พับผ่า



มหามงกุฏ
รูปภาพ


จุฬา
รูปภาพ


สยามรัฐ
รูปภาพ








สิ่งที่คุณนำมาอ้างอิง วลัยพรจะข้ามไปก่อน จะกล่าวตรงนี้ก่อน

ถ้าคุณ cantona_z คิดว่า สิ่งที่นำมาแสดง เกี่ยวกับ ปฏิจจสมุปบาท
จะเป็นพระไตรปิฎก หรือ อะไรก็ตาม จากไหน หรือ จากใครก็ตาม

เพื่อยืนยันในเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท แบบคร่อมภพคร่อมชาติ
โดยแบ่งวงจรของปฏิจจสมุปบาทวงหนึ่ง ๆ ออกเป็น 3 ชาติ คือ –

1) ชาติอดีต ได้แก่ อวิชชา สังขาร
2) ชาติปัจจุบัน ได้แก่ วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ
3) ชาติอนาคต ได้แก่ ชาติ ชรามรณะ ฯลฯ



วลัยพร ถามสั้นๆว่า วิธีการดับเหตุของการเกิดแบบ คร่อมภพคร่อมชาติ ๓ ชาติ
ที่คุณนำมาอ้างอิงนั้น ทำยังไง

พูดสั้นๆ ฝ่ายดับ วิธีการทำยังไง?

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2014, 07:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สิ่งที่วลัยพรกล่าวว่า เป็นการทำสัทธรรมปฏิรูปก็ดี พระไตรปิฎก ยัดไส้ก็ดี

วลัยพร ไม่ได้หมายถึง อรรถกถาจารย์ หรือ ผู้ที่ใช้คำแปล ขยายความหมาย ในคำเรียกนั้นๆ

แต่หมายถึง ผู้ที่นำทิฏฐิของผู้อื่น ที่ตนนับถือ คือ นำคำขยาย ในการอธิบายคำสอนของพระพุทธเจ้า
ตามความรู้ของท่านนั้นๆ ที่ตนนับถือ หรือคิดว่า ตรงกับความคิดเห็นของตนเอง
จัดการนำคำอธิบายนั้นๆ สอดแทรก ลงไปในคำสอนของพระพุทธเจ้า


ทั้งหมดของการกระทำนี้ ไม่ใช่เรื่อง ถูก ผิด

แต่เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยของผู้นั้น

ตลอดทั้ง ผู้ที่นำมาเผยแผ่อีกที ล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยที่มีต่อกัน



แม้กระทั่ง การใช้คำข่มขู่ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับอะไรก็ตาม

อย่านำมาใช้กับวลัยพร เพราะ ไม่ได้ผลหรอก

วลัยพรกลัว การเกิด(ขึ้นชื่อว่า การเกิด ล้วนเป็นทุกข์)
มากกว่า คำขู่ไร้สาระพวกนั้น

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2014, 08:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:

เพื่อยืนยันในเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท แบบคร่อมภพคร่อมชาติ
โดยแบ่งวงจรของปฏิจจสมุปบาทวงหนึ่ง ๆ ออกเป็น 3 ชาติ คือ –

1) ชาติอดีต ได้แก่ อวิชชา สังขาร
2) ชาติปัจจุบัน ได้แก่ วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ
3) ชาติอนาคต ได้แก่ ชาติ ชรามรณะ ฯลฯ



วลัยพร ถามสั้นๆว่า วิธีการดับเหตุของการเกิดแบบ คร่อมภพคร่อมชาติ ๓ ชาติ
ที่คุณนำมาอ้างอิงนั้น ทำยังไง

พูดสั้นๆ ฝ่ายดับ วิธีการทำยังไง?




ถ้าดูอ่านวงจรปฏิจจสมุปบาท (แห่งชีวิต) แห่งเดียวด้านเดียวอย่างเช่นที่ว่า อดีตชาติ (อันล่วงแล้ว) ปัจจุบันชาติ (ชาติที่ชีวิตเป็นอยู่นี้) อนาคตชาติ (ชาติหน้า ชาติเบื้องหน้าโน้น) กล้าเอาคอ (เอาหัว ทีมีอยู่หัวเดียว) เป็นประกันว่า ชีวิตปัจจุบันนี้ไม่มีทางจะทำที่สุดแห่งทุกข์ของชีวิตนี้ได้ สมมุติตายแล้วไปเกิดอีกๆๆๆ คิดอย่างนี้อีกๆๆๆ ก็ไม่มีทางที่จะดับทุกข์แ่ห่งชีวิตนั้นๆๆได้ คิกๆๆ เพราะกลายเป็นว่า ชีวิตหนึ่ง มีสองสองขานี้ ไปเหยียบปัจจุบันชาติไว้ขาหนึ่ง ไปเหยียบอดีตชาติไว้ครึ่งขา เหยียบอนาคตชาติไว้ครึ่งขา :b32:

การปฏิบัิติอะไร ในปัจจุบันชาตินี้ แม้จะเรียกชื่อว่า สติปัฏฐานเป็นต้น เป็นหมันหมด :b1: แท้งหมด ถึงจะเกิดมาได้ ก็พิกลพิการ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2014, 08:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อเป็นเช่นว่านั้น จึงนำการทำบุญพื้นบ้าน ง่ายๆมองเห็นได้ ไม่ซับซ้อน สั่งสมไว้เป็นพื้นฐานชีวิตจิตใจอีก เช่น ไหว้พระ สวดมนต์ ทำวัตรเช้า-เย็น สวดอิติปิโส 108 จบ สวดพาหุง มหากา ปิดทองฝังลูกนิมิต (ใกล้ตรุษจีนแล้ว หลายๆวัดจะจัดงานฝังลูกนิมิตกัน) ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า สร้างวิหาร ลานเจดีย์ หอระฆัง สร้างโรงเรียน สร้างศาลาริมทาง ขุดสระน้ำสาธารณะ ปลูกสวดดอกไม้ ฯลฯ :b32: เท่านี้ก็พอจะได้ไปเกิดเป็นพระอินทร์ เป็นเทพธิดา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2014, 09:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เมื่อเป็นเช่นว่านั้น จึงนำการทำบุญพื้นบ้าน ง่ายๆมองเห็นได้ ไม่ซับซ้อน สั่งสมไว้เป็นพื้นฐานชีวิตจิตใจอีก เช่น ไหว้พระ สวดมนต์ ทำวัตรเช้า-เย็น สวดอิติปิโส 108 จบ สวดพาหุง มหากา ปิดทองฝังลูกนิมิต (ใกล้ตรุษจีนแล้ว หลายๆวัดจะจัดงานฝังลูกนิมิตกัน) ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า สร้างวิหาร ลานเจดีย์ หอระฆัง สร้างโรงเรียน สร้างศาลาริมทาง ขุดสระน้ำสาธารณะ ปลูกสวดดอกไม้ ฯลฯ :b32: เท่านี้ก็พอจะได้ไปเกิดเป็นพระอินทร์ เป็นเทพธิดา


กรัชกายแทนที่กรัชกายจะมาเพ้อเจ้อในเว็บบบอร์ด พี่โฮว่า เอาเวลาไปชวนคนแถวบ้าน
ให้ไปเลือกตั้งไม่ดีกว่าหรือ

ปะเดี๋ยวลุงกำนันแกปิดประเทศได้ จะโดนคุณกะลากับบิกทู่ มาคิดบัญชีย้อนหลังหรอก
เคยอ่านประวัติศาสตร์จีนยุคปฏิวัติวัฒนธรรมมั้ย
รับรองได้กรัชกาย ถูกลากไปล้างส้วมสาธารณะ แถวอนุสาวรีย์ชัยฯแหง่ๆ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2014, 09:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1375241010-1370203825-o.gif
1375241010-1370203825-o.gif [ 497.16 KiB | เปิดดู 2995 ครั้ง ]
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เมื่อเป็นเช่นว่านั้น จึงนำการทำบุญพื้นบ้าน ง่ายๆมองเห็นได้ ไม่ซับซ้อน สั่งสมไว้เป็นพื้นฐานชีวิตจิตใจอีก เช่น ไหว้พระ สวดมนต์ ทำวัตรเช้า-เย็น สวดอิติปิโส 108 จบ สวดพาหุง มหากา ปิดทองฝังลูกนิมิต (ใกล้ตรุษจีนแล้ว หลายๆวัดจะจัดงานฝังลูกนิมิตกัน) ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า สร้างวิหาร ลานเจดีย์ หอระฆัง สร้างโรงเรียน สร้างศาลาริมทาง ขุดสระน้ำสาธารณะ ปลูกสวดดอกไม้ ฯลฯ :b32: เท่านี้ก็พอจะได้ไปเกิดเป็นพระอินทร์ เป็นเทพธิดา


กรัชกายแทนที่กรัชกายจะมาเพ้อเจ้อในเว็บบบอร์ด พี่โฮว่า เอาเวลาไปชวนคนแถวบ้าน
ให้ไปเลือกตั้งไม่ดีกว่าหรือ

ปะเดี๋ยวลุงกำนันแกปิดประเทศได้ จะโดนคุณกะลากับบิกทู่ มาคิดบัญชีย้อนหลังหรอก
เคยอ่านประวัติศาสตร์จีนยุคปฏิวัติวัฒนธรรมมั้ย
รับรองได้กรัชกาย ถูกลากไปล้างส้วมสาธารณะ แถวอนุสาวรีย์ชัยฯแหง่ๆ :b32:


อะๆๆจริงๆนะขอรับ :b32: ถ้าคิดอย่างนี้ อย่างนั้น ไปทำอย่างที่ว่าดีกว่า อวิชชาจะไม่พอกพูนไปกว่านี้ ทำเป็นเล่นไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2014, 09:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
walaiporn เขียน:

เพื่อยืนยันในเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท แบบคร่อมภพคร่อมชาติ
โดยแบ่งวงจรของปฏิจจสมุปบาทวงหนึ่ง ๆ ออกเป็น 3 ชาติ คือ –

1) ชาติอดีต ได้แก่ อวิชชา สังขาร
2) ชาติปัจจุบัน ได้แก่ วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ
3) ชาติอนาคต ได้แก่ ชาติ ชรามรณะ ฯลฯ



วลัยพร ถามสั้นๆว่า วิธีการดับเหตุของการเกิดแบบ คร่อมภพคร่อมชาติ ๓ ชาติ
ที่คุณนำมาอ้างอิงนั้น ทำยังไง

พูดสั้นๆ ฝ่ายดับ วิธีการทำยังไง?




ถ้าดูอ่านวงจรปฏิจจสมุปบาท (แห่งชีวิต) แห่งเดียวด้านเดียวอย่างเช่นที่ว่า อดีตชาติ (อันล่วงแล้ว) ปัจจุบันชาติ (ชาติที่ชีวิตเป็นอยู่นี้) อนาคตชาติ (ชาติหน้า ชาติเบื้องหน้าโน้น) กล้าเอาคอ (เอาหัว ทีมีอยู่หัวเดียว) เป็นประกันว่า ชีวิตปัจจุบันนี้ไม่มีทางจะทำที่สุดแห่งทุกข์ของชีวิตนี้ได้ สมมุติตายแล้วไปเกิดอีกๆๆๆ คิดอย่างนี้อีกๆๆๆ ก็ไม่มีทางที่จะดับทุกข์แ่ห่งชีวิตนั้นๆๆได้ คิกๆๆ เพราะกลายเป็นว่า ชีวิตหนึ่ง มีสองสองขานี้ ไปเหยียบปัจจุบันชาติไว้ขาหนึ่ง ไปเหยียบอดีตชาติไว้ครึ่งขา เหยียบอนาคตชาติไว้ครึ่งขา :b32:

การปฏิบัิติอะไร ในปัจจุบันชาตินี้ แม้จะเรียกชื่อว่า สติปัฏฐานเป็นต้น เป็นหมันหมด :b1: แท้งหมด ถึงจะเกิดมาได้ ก็พิกลพิการ






วลัยพร กล้ารับประกันได้ว่า ไม่เที่ยงหรอก

จิต หากรู้ชัดในจิต จิตเห็นจิต เป็นมรรค

พลิกนิดเดียว ชีวิตเปลี่ยน


ส่วนการอธิบายความ การตีความหมาย ในคำสอนของพระพุทธเจ้า
ล้วนเกิดจาก เหตุปัจจัยที่มีอยู่ และ ที่ทำให้เกิดขึ้นใหม่ ของแต่ละคน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2014, 09:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
กรัชกาย เขียน:
walaiporn เขียน:

เพื่อยืนยันในเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท แบบคร่อมภพคร่อมชาติ
โดยแบ่งวงจรของปฏิจจสมุปบาทวงหนึ่ง ๆ ออกเป็น 3 ชาติ คือ –

1) ชาติอดีต ได้แก่ อวิชชา สังขาร
2) ชาติปัจจุบัน ได้แก่ วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ
3) ชาติอนาคต ได้แก่ ชาติ ชรามรณะ ฯลฯ



วลัยพร ถามสั้นๆว่า วิธีการดับเหตุของการเกิดแบบ คร่อมภพคร่อมชาติ ๓ ชาติ
ที่คุณนำมาอ้างอิงนั้น ทำยังไง

พูดสั้นๆ ฝ่ายดับ วิธีการทำยังไง?




ถ้าดูอ่านวงจรปฏิจจสมุปบาท (แห่งชีวิต) แห่งเดียวด้านเดียวอย่างเช่นที่ว่า อดีตชาติ (อันล่วงแล้ว) ปัจจุบันชาติ (ชาติที่ชีวิตเป็นอยู่นี้) อนาคตชาติ (ชาติหน้า ชาติเบื้องหน้าโน้น) กล้าเอาคอ (เอาหัว ทีมีอยู่หัวเดียว) เป็นประกันว่า ชีวิตปัจจุบันนี้ไม่มีทางจะทำที่สุดแห่งทุกข์ของชีวิตนี้ได้ สมมุติตายแล้วไปเกิดอีกๆๆๆ คิดอย่างนี้อีกๆๆๆ ก็ไม่มีทางที่จะดับทุกข์แ่ห่งชีวิตนั้นๆๆได้ คิกๆๆ เพราะกลายเป็นว่า ชีวิตหนึ่ง มีสองสองขานี้ ไปเหยียบปัจจุบันชาติไว้ขาหนึ่ง ไปเหยียบอดีตชาติไว้ครึ่งขา เหยียบอนาคตชาติไว้ครึ่งขา :b32:

การปฏิบัิติอะไร ในปัจจุบันชาตินี้ แม้จะเรียกชื่อว่า สติปัฏฐานเป็นต้น เป็นหมันหมด :b1: แท้งหมด ถึงจะเกิดมาได้ ก็พิกลพิการ






วลัยพร กล้ารับประกันได้ว่า ไม่เที่ยงหรอก

จิต หากรู้ชัดในจิต จิตเห็นจิต เป็นมรรค

พลิกนิดเดียว ชีวิตเปลี่ยน


ส่วนการอธิบายความ การตีความหมาย ในคำสอนของพระพุทธเจ้า
ล้วนเกิดจาก เหตุปัจจัยที่มีอยู่ และ ที่ทำให้เกิดขึ้นใหม่ ของแต่ละคน




มีคำคมด้วย "พลิกนิดเดียว ชีวิตเปลี่ยน" ไหนลองบอกวิธีพลิกให้เป็นธรรมทานหน่อยสิขอรับ :b8: อยากดูว่าจะเผ็ดเหมือนพริกกะเหรี่ยงไหม :b32:

อ้างคำพูด:
จิต หากรู้ชัดในจิต จิตเห็นจิต เป็นมรรค


แน่ๆ ไปก๊อบปี้คำพูดเขามาอีกนิ :b1: ท่องไปเถอะ จิตเห็นจิตเป็นมรรค

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2014, 09:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
walaiporn เขียน:
กรัชกาย เขียน:
walaiporn เขียน:

เพื่อยืนยันในเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท แบบคร่อมภพคร่อมชาติ
โดยแบ่งวงจรของปฏิจจสมุปบาทวงหนึ่ง ๆ ออกเป็น 3 ชาติ คือ –

1) ชาติอดีต ได้แก่ อวิชชา สังขาร
2) ชาติปัจจุบัน ได้แก่ วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ
3) ชาติอนาคต ได้แก่ ชาติ ชรามรณะ ฯลฯ



วลัยพร ถามสั้นๆว่า วิธีการดับเหตุของการเกิดแบบ คร่อมภพคร่อมชาติ ๓ ชาติ
ที่คุณนำมาอ้างอิงนั้น ทำยังไง

พูดสั้นๆ ฝ่ายดับ วิธีการทำยังไง?




ถ้าดูอ่านวงจรปฏิจจสมุปบาท (แห่งชีวิต) แห่งเดียวด้านเดียวอย่างเช่นที่ว่า อดีตชาติ (อันล่วงแล้ว) ปัจจุบันชาติ (ชาติที่ชีวิตเป็นอยู่นี้) อนาคตชาติ (ชาติหน้า ชาติเบื้องหน้าโน้น) กล้าเอาคอ (เอาหัว ทีมีอยู่หัวเดียว) เป็นประกันว่า ชีวิตปัจจุบันนี้ไม่มีทางจะทำที่สุดแห่งทุกข์ของชีวิตนี้ได้ สมมุติตายแล้วไปเกิดอีกๆๆๆ คิดอย่างนี้อีกๆๆๆ ก็ไม่มีทางที่จะดับทุกข์แ่ห่งชีวิตนั้นๆๆได้ คิกๆๆ เพราะกลายเป็นว่า ชีวิตหนึ่ง มีสองสองขานี้ ไปเหยียบปัจจุบันชาติไว้ขาหนึ่ง ไปเหยียบอดีตชาติไว้ครึ่งขา เหยียบอนาคตชาติไว้ครึ่งขา :b32:

การปฏิบัิติอะไร ในปัจจุบันชาตินี้ แม้จะเรียกชื่อว่า สติปัฏฐานเป็นต้น เป็นหมันหมด :b1: แท้งหมด ถึงจะเกิดมาได้ ก็พิกลพิการ






วลัยพร กล้ารับประกันได้ว่า ไม่เที่ยงหรอก

จิต หากรู้ชัดในจิต จิตเห็นจิต เป็นมรรค

พลิกนิดเดียว ชีวิตเปลี่ยน


ส่วนการอธิบายความ การตีความหมาย ในคำสอนของพระพุทธเจ้า
ล้วนเกิดจาก เหตุปัจจัยที่มีอยู่ และ ที่ทำให้เกิดขึ้นใหม่ ของแต่ละคน




มีคำคมด้วย "พลิกนิดเดียว ชีวิตเปลี่ยน" ไหนลองบอกวิธีพลิกให้เป็นธรรมทานหน่อยสิขอรับ :b8: อยากดูว่าจะเผ็ดเหมือนพริกกะเหรี่ยงไหม :b32:

อ้างคำพูด:
จิต หากรู้ชัดในจิต จิตเห็นจิต เป็นมรรค


แน่ๆ ไปก๊อบปี้คำพูดเขามาอีกนิ :b1: ท่องไปเถอะ จิตเห็นจิตเป็นมรรค









เชิญเล่นนั่งเทียนคนเดียว ให้สนุกเถอะ

พอดี วลัยพรไม่ชอบเล่นขายของน่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2014, 09:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2013, 20:15
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ถ้าคุณ cantona_z คิดว่า สิ่งที่นำมาแสดง เกี่ยวกับ ปฏิจจสมุปบาท
จะเป็นพระไตรปิฎก หรือ อะไรก็ตาม จากไหน หรือ จากใครก็ตาม

เพื่อยืนยันในเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท แบบคร่อมภพคร่อมชาติ
โดยแบ่งวงจรของปฏิจจสมุปบาทวงหนึ่ง ๆ ออกเป็น 3 ชาติ คือ –

1) ชาติอดีต ได้แก่ อวิชชา สังขาร
2) ชาติปัจจุบัน ได้แก่ วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ
3) ชาติอนาคต ได้แก่ ชาติ ชรามรณะ ฯลฯ



วลัยพร ถามสั้นๆว่า วิธีการดับเหตุของการเกิดแบบ คร่อมภพคร่อมชาติ ๓ ชาติ
ที่คุณนำมาอ้างอิงนั้น ทำยังไง

พูดสั้นๆ ฝ่ายดับ วิธีการทำยังไง?


ช่วงเช้าวันนี้ยุ่งมาก เดี๋ยวบ่ายๆเย็นๆหาเวลาว่างๆได้จะมาตอบนะครับ
เพราะถ้ายังเห็นวงจรปฏิจจสมุปบาทคร่อมภพคร่อมชาติเป็นวงจรเดียวแบบนี้
คงต้องอธิบายกันยาว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2014, 09:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
กรัชกาย เขียน:
walaiporn เขียน:
กรัชกาย เขียน:
walaiporn เขียน:

เพื่อยืนยันในเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท แบบคร่อมภพคร่อมชาติ
โดยแบ่งวงจรของปฏิจจสมุปบาทวงหนึ่ง ๆ ออกเป็น 3 ชาติ คือ –

1) ชาติอดีต ได้แก่ อวิชชา สังขาร
2) ชาติปัจจุบัน ได้แก่ วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ
3) ชาติอนาคต ได้แก่ ชาติ ชรามรณะ ฯลฯ



วลัยพร ถามสั้นๆว่า วิธีการดับเหตุของการเกิดแบบ คร่อมภพคร่อมชาติ ๓ ชาติ
ที่คุณนำมาอ้างอิงนั้น ทำยังไง

พูดสั้นๆ ฝ่ายดับ วิธีการทำยังไง?




ถ้าดูอ่านวงจรปฏิจจสมุปบาท (แห่งชีวิต) แห่งเดียวด้านเดียวอย่างเช่นที่ว่า อดีตชาติ (อันล่วงแล้ว) ปัจจุบันชาติ (ชาติที่ชีวิตเป็นอยู่นี้) อนาคตชาติ (ชาติหน้า ชาติเบื้องหน้าโน้น) กล้าเอาคอ (เอาหัว ทีมีอยู่หัวเดียว) เป็นประกันว่า ชีวิตปัจจุบันนี้ไม่มีทางจะทำที่สุดแห่งทุกข์ของชีวิตนี้ได้ สมมุติตายแล้วไปเกิดอีกๆๆๆ คิดอย่างนี้อีกๆๆๆ ก็ไม่มีทางที่จะดับทุกข์แ่ห่งชีวิตนั้นๆๆได้ คิกๆๆ เพราะกลายเป็นว่า ชีวิตหนึ่ง มีสองสองขานี้ ไปเหยียบปัจจุบันชาติไว้ขาหนึ่ง ไปเหยียบอดีตชาติไว้ครึ่งขา เหยียบอนาคตชาติไว้ครึ่งขา :b32:

การปฏิบัิติอะไร ในปัจจุบันชาตินี้ แม้จะเรียกชื่อว่า สติปัฏฐานเป็นต้น เป็นหมันหมด :b1: แท้งหมด ถึงจะเกิดมาได้ ก็พิกลพิการ






วลัยพร กล้ารับประกันได้ว่า ไม่เที่ยงหรอก

จิต หากรู้ชัดในจิต จิตเห็นจิต เป็นมรรค

พลิกนิดเดียว ชีวิตเปลี่ยน


ส่วนการอธิบายความ การตีความหมาย ในคำสอนของพระพุทธเจ้า
ล้วนเกิดจาก เหตุปัจจัยที่มีอยู่ และ ที่ทำให้เกิดขึ้นใหม่ ของแต่ละคน




มีคำคมด้วย "พลิกนิดเดียว ชีวิตเปลี่ยน" ไหนลองบอกวิธีพลิกให้เป็นธรรมทานหน่อยสิขอรับ :b8: อยากดูว่าจะเผ็ดเหมือนพริกกะเหรี่ยงไหม :b32:

อ้างคำพูด:
จิต หากรู้ชัดในจิต จิตเห็นจิต เป็นมรรค


แน่ๆ ไปก๊อบปี้คำพูดเขามาอีกนิ :b1: ท่องไปเถอะ จิตเห็นจิตเป็นมรรค


เชิญเล่นสนุกไปคนเดียวเถอะ

พอดี วลัยพรไม่ชอบเล่นขายของน่ะ


ถามจริงๆหาว่าเล่นขายของ...โลกสวยที่ว่า "พลิกนิดเดียว ชีวิตเปลี่ยน" ถามว่าพลิกยังไง จะได้พลิกกะเขามั่ง ง่ายดีใครๆก็ชอบ โฮฮับก็ชอบพลิกนะ นอนตะแคงมานานแร้ววววววนี่ ชิมิๆ คิกๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 07 ม.ค. 2014, 09:59, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2014, 09:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:


ถ้าดูอ่านวงจรปฏิจจสมุปบาท (แห่งชีวิต) แห่งเดียวด้านเดียวอย่างเช่นที่ว่า อดีตชาติ (อันล่วงแล้ว) ปัจจุบันชาติ (ชาติที่ชีวิตเป็นอยู่นี้) อนาคตชาติ (ชาติหน้า ชาติเบื้องหน้าโน้น) กล้าเอาคอ (เอาหัว ทีมีอยู่หัวเดียว) เป็นประกันว่า ชีวิตปัจจุบันนี้ไม่มีทางจะทำที่สุดแห่งทุกข์ของชีวิตนี้ได้ สมมุติตายแล้วไปเกิดอีกๆๆๆ คิดอย่างนี้อีกๆๆๆ ก็ไม่มีทางที่จะดับทุกข์แ่ห่งชีวิตนั้นๆๆได้ คิกๆๆ เพราะกลายเป็นว่า ชีวิตหนึ่ง มีสองสองขานี้ ไปเหยียบปัจจุบันชาติไว้ขาหนึ่ง ไปเหยียบอดีตชาติไว้ครึ่งขา เหยียบอนาคตชาติไว้ครึ่งขา :b32:

การปฏิบัิติอะไร ในปัจจุบันชาตินี้ แม้จะเรียกชื่อว่า สติปัฏฐานเป็นต้น เป็นหมันหมด :b1: แท้งหมด ถึงจะเกิดมาได้ ก็พิกลพิการ


ชาตินี้คิดได้แค่นี้ไง ถึงแนะนำว่า ให้ไปรณรงค์ให้เขาไปเลือกตั้ง
อย่าเข้ามาในห้องสนทนาธรรม มันเสียเวลาตัวเองซ่ะเปล่า

หรือจะเสแสร้งเป็นคนดีธัมมะ ธัมโม เพื่อจะไปสู้กับม็อบคนดี

คิดแล้วก็เหมือนบิกทู่ บอกว่าตัวถือศีลพรรจรรย์ จุดประสงค์เพื่อไปขี้หลีสาวๆ :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 220 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14, 15  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 84 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร