วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 03:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2013, 17:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2013, 19:15
โพสต์: 109

แนวปฏิบัติ: มีสติทุกอริยาบท
งานอดิเรก: ปฎิบัติธรรม ฟังธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ความไม่ประมาท
ชื่อเล่น: ธรรม
อายุ: 0
ที่อยู่: วัฎฎะสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว www


สมัยก่อนผมเคยบวชเป็นพระไปปฎิบัติธรรมวัดภูผาแดง จ.อุดรฯ ประมาณ 1 เดือน เขาว่ากันว่าหลวงปู่ลี ท่านรู้ความคิด รู้สึกกลัวท่าน แต่จิตเกิดอาการวิปริต นึกด่าท่านขึ้นมาเฉยๆ เหมือนหลวงปู่ลีท่านรู้ ท่านก็มองหน้า เราก็ด่ามันมึงจะบ้าหรือ ท่านอยู่ของท่านเฉยๆ และท่านก็เป็นพระอรหันต์ กลัวตกนรกก็กลัว บอกมันให้อยู่นิ่งๆ ยิ่งดิ้นไปใหญ่ ทำเราจนเครียด ตอนกลางคืนตั้งจิตอธิษฐาน ขอขมาต่อองค์หลวงปู่

"เกล้ากระผมไม่ได้เจตนา กรรมเหล่าหนึ่งเหล่าใดประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อองค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์โปรดอดโทษแก่เกล้ากระผมด้วยเถิด"

ตื่นเช้ามาหลวงปู่ลีท่านเดินมายิ้มให้ มองไปที่ท่านทีไรท่านก็ยิ้มให้ จิตจากเครียดๆเริ่มคลายลง พระท่านถามว่าหลวงปู่ยิ้มให้ด้วยเรื่องอะไร ไม่กล้าเล่าให้พระฟัง มีพระเคยถามหลวงปู่ว่าท่านรู้ความคิดคนอื่นไหม ท่านบอกว่ารู้แต่ไม่พูด เพราะท่านเคยทักแทนที่จะเกิดผลดี แต่กลับเกิดผลเสีย พระเกิดอาการกลัว หนีไปก็เยอะ ไม่เหมือนหลวงปู่มั่น ท่านทักมีแต่คนเข้าใกล้ เพราะท่านสร้างบารมีมาด้านนี้ ท่านจึงไม่ทักใครอีก นอกจากจะมากระทบจิตของท่านแรงๆ

เลยไปกราบเรียนถามครูบาอาจารย์ว่าจิตเราเป็นแบบนี้บาปไหม ท่านว่าบาป ถ้าเรายึดอารมณ์นั้นบ่อยๆ เกิดเราตายในช่วงนั้นไปนรกไม่ต้องสงสัย เราต้องพลิกจิตของเรา สังขารความปรุงแต่งมันก็คิดของมันไปเรื่อย มันไม่ใช่ของใครก็จริง มันอยากคิดก็คิด แต่เราสามารถฝึกมันได้ ฉะนั้นการปฎิบัติท่านจึงสอนอย่าทิ้งพุทโธ ให้จิตมันเสพพุทโธ ฝึกจิตให้รู็สึกตัว ฝึกให้อยู่ปัจจุบันมากๆ

"สิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ควรทำความผูกพัน เพราะเป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้วอย่างแท้จริง แม้กระทำความผูกพันและมั่นใจในสิ่งนั้นกลับมาเป็นปัจจุบันก็เป็นไปไม่ได้ผู้ทำความสำคัญมั่นหมายนั้นเป็นทุกข์แต่ผู้เดียว โดยความไม่สมหวังตลอดไปอนาคตที่ยังมาไม่ถึงนั้นเป็นสิ่งไม่ควรไปยึดเหนี่ยวเกี่ยวข้องเช่นกัน อดีตปล่อยไว้ตามอดีต อนาคตปล่อยไว้ตามกาลของมันปัจจุบันเท่านั้นจะสำเร็จประโยชน์ได้เพราะอยู่ในฐานะที่ควรทำได้ ไม่สุดวิสัย"

ผู้สนใจศึกษาปฏิบัติธรรม คือผู้สนใจหาความรู้ความฉลาดเพื่อคุณงามความดีทั้งหลาย ที่โลกเขาปรารถนากัน เพราะคนเราจะอยู่และไปโดยไม่มีเครื่องป้องกันตัวย่อมไม่ปลอดภัย ต่ออันตรายทั้งภายนอกภายใน เครื่องป้องกันตัวคือหลักธรรมมีสติปัญญาเป็นอาวุธสำคัญ

จะเป็นเครื่องมั่นคงไม่สะทกสะท้านมีสติปัญญาแฝงอยู่ กับตัวทุกอิริยาบท จะคิด-พูด-ทำอะไรไม่มีการยกเว้น มีสติปัญญาสอดแทรกอยู่ด้วยทั้งภายในและภายนอก มีความเข้มแข็งอดทน มีความเพียรที่จะประกอบคุณงามความดี คนอ่อนแอ โง่เง่าเต่าตุ่น วุ่นวายอยู่กับอารมณ์ เครื่องผูกพันด้วยความนอนใจ และเกียจคร้านในกิจการที่จะยกตัวให้พ้นภัย การตำหนิติเตียนผู้อื่น ถึงเขาจะผิดจริง ก็เป็นการก่อกวนจิตใจตนเองให้ขุ่นมัวไปด้วย ความเดือดร้อนวุ่นวายใจ ที่คิดตำหนิผู้อื่นจนอยู่ไม่เป็นสุขนั้น นักปราชญ์ถือเป็นความผิดและบาปกรรม ไม่มีดีเลย จะเป็นโทษให้ท่าน ได้สิ่งไม่พึงปรารถนามาทรมานอย่างไม่คาดฝัน

การกล่าวโทษผู้อื่นโดยขาดการไตร่ตรอง เป็นการสั่งสมโทษและบาปใส่ตนให้ได้รับความทุกข์ จึงควรสลดสังเวชต่อความผิดของตน งดความเห็นที่เป็นบาปภัยแก่ตนเสีย ความทุกข์เป็นของน่าเกลียดน่ากลัว แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ทำไมพอใจสร้างขึ้นเอง

ผู้เห็นคุณค่าของตัว จึงเห็นคุณค่าของผู้อื่น ว่ามีความรู้สึกเช่นเดียวกัน ไม่เบียดเบียนทำลายกัน ผู้มีศีลสัตย์เมื่อทำลายขันธ์ไปในสุคติในโลกสวรรค์ ไม่ตกต่ำเพราะอำนาจศีลคุ้มครองรักษาและสนับสนุน จึงควรอย่างยิ่งที่จะพากันรักษาให้บริบูรณ์ ธรรมก็สั่งสอนแล้วควรจดจำให้ดี ปฏิบัติให้มั่นคง จะเป็นผู้ทรงคุณสมบัติทุกอย่างแน่นอน

เมื่อเกิดมาอาภัพชาติ แล้วอย่าให้ใจอาภัพอีก ผู้เกิดมาชาตินี้อาภัพแล้ว อย่าให้ใจอาภัพ คิดแต่ผลิตโทษทำบาปอกุศลเผาผลาญตนให้ได้ทุกข์ เป็นบาปกรรมอีกเลย คนชั่ว ทำชั่วได้ง่าย และติดใจ ไม่ยอมลดละแก้ไขให้ดี คนดี ทำดีได้ง่าย และติดใจ กลายเป็นคนรักธรรมตลอดไป เราต้องการของดี คนดี ก็จำต้องฝึก ฝึกจนดี จะพ้นการฝึกไปไม่ได้ งานอะไรก็ต้องฝึกทั้งนั้น ฝึกงาน ฝึกคน ฝึกสัตว์ ฝึกตน ฝึกใจ

.....................................................
ขอน้อม กาย วาจา จิต บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในกาลทุกเมื่อ
ในทุกทุกขณะจิต ไม่ว่าจะระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณังคัจฉามิ

https://www.facebook.com/Dhammalungta


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2013, 20:35 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2876


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: สาธุค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2014, 16:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2009, 22:34
โพสต์: 173

ชื่อเล่น: เจ้ก
อายุ: 23

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุครับ ผมก็เคยเป็นอยู่บ่อยๆครับ แต่รู้ตัวว่าทำอะไร ก็จะพยายามดูจิตของตัวเอง แล้วก็เตือนตัวเองเสมอ
บางทีเป็นก็จะพยายามนึกถึงพุธโธ เพื่อที่จะเอาจิตไปจับ แล้วก็ลืมเรื่องที่คิดครับ ใครมีคำแนะนำ หรือวิธิดีๆ แนะนำผมบางนะครับ onion smiley

.....................................................
จะขอเป็นแก้วน้ำที่ว่างเปล่า..เพื่อเติมเต็มธรรมที่ขาดหาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2014, 18:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ก.ค. 2013, 19:24
โพสต์: 29

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จิตมันไม่ใช่เรา มันคิดจะด่าเราไม่ไปห้ามมันนะปล่อยมันด่าไป เราแค่มีสติตามรู้มัน ดูมันในมุมมองที่ว่า
มันใช่เรา มันทำของมันเอง มีเหตุมันก็ทำ หมดเหตุมันก็เลิกทำ บังคับไม่ได้ อาศัย อกุศล ทำ กุศล
แต่ห้ามออกจากปากนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2014, 00:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2014, 08:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณที่ดันกระทู้เก่าขึ้นมาเลยมีโอกาสได้อ่าน
:b8: อนุโมทนาค่ะ

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2014, 08:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก็คล้ายๆกับตัวอย่างนี่ :b1:

อ้างคำพูด:
จิตสร้างคำหยาบคายลามกกับพระรัตนตรัย ทำไงดีครับ

มันเริ่มจากคำหยาบเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อน แล้วพอมันเกิดขึ้น
ผมจะรู้สึกแย่ แล้วพอเวลาผ่านไป ผมอยากปฏิบัติธรรม
ให้ได้ตามหลักมรรค 8 จิตมันเริ่มรู้ว่าต้องระวังให้มากขึ้น
กลายเป็นเกร็งมากขึ้น มีคำหยาบมากขึ้นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ผมก็พยายามทำใจว่าใจจริงเราเคารพ
พระรัตนตรัย กลายเป็นทำศึกสองด้าน ด้านหนึ่งระวัง
ไม่ให้จิตสร้างคำหยาบ ด้านหนึ่งเจริญปัญญา

ผมควรจะทำอย่างไรดีครับ มันจะทำให้มรรค 8 ด่าง
พร้อยมั้ยครับ ย้ำอีกทีว่าใจผมเคารพพระรัตนตรัย
ในรอบหลายปีมานี่ ไม่เคยมีวาจาหรือการกระทำที่
ลบหลู่พระรัตนตรัยครับ มีแต่คำหยาบที่จิตผลิตมา
หลอกหลอนวันละหลาย ๆ ประโยค

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=47868


จิตนี่มันคิดได้สารพัด แต่เราจะหาวิธียังไง ซึ่งจะเบรกอกุศลจิต แล้วสร้างเสริมกุศลจิต คงต้องถามเช่นนั้น กับ อโศก :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2014, 13:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ก็คล้ายๆกับตัวอย่างนี่ :b1:

อ้างคำพูด:
จิตสร้างคำหยาบคายลามกกับพระรัตนตรัย ทำไงดีครับ

มันเริ่มจากคำหยาบเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อน แล้วพอมันเกิดขึ้น
ผมจะรู้สึกแย่ แล้วพอเวลาผ่านไป ผมอยากปฏิบัติธรรม
ให้ได้ตามหลักมรรค 8 จิตมันเริ่มรู้ว่าต้องระวังให้มากขึ้น
กลายเป็นเกร็งมากขึ้น มีคำหยาบมากขึ้นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ผมก็พยายามทำใจว่าใจจริงเราเคารพ
พระรัตนตรัย กลายเป็นทำศึกสองด้าน ด้านหนึ่งระวัง
ไม่ให้จิตสร้างคำหยาบ ด้านหนึ่งเจริญปัญญา

ผมควรจะทำอย่างไรดีครับ มันจะทำให้มรรค 8 ด่าง
พร้อยมั้ยครับ ย้ำอีกทีว่าใจผมเคารพพระรัตนตรัย
ในรอบหลายปีมานี่ ไม่เคยมีวาจาหรือการกระทำที่
ลบหลู่พระรัตนตรัยครับ มีแต่คำหยาบที่จิตผลิตมา
หลอกหลอนวันละหลาย ๆ ประโยค

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=47868


จิตนี่มันคิดได้สารพัด แต่เราจะหาวิธียังไง ซึ่งจะเบรกอกุศลจิต แล้วสร้างเสริมกุศลจิต คงต้องถามเช่นนั้น กับ อโศก :b32:

:b12: :b12: :b12:
ขอใช้สิทธิ์ที่ถูกพาดพิงครับท่านประธาน.............

วิธียังไง ซึ่งจะเบรกอกุศลจิต แล้วสร้างเสริมกุศลจิต คงต้องถามเช่นนั้น กับ
อโศกะ


1.ใช้ศีล 5....8....10.....227 ข้อ เบรคอกุศลทาง กาย วาจา

2.ใช้สมาธิ เบรค อกุศล และสร้างกุศลทางความคิด

3.ใช้ปัญญา เบรคอกุศลทางใจ และสร้างกุศล มหากุศลทางใจ ครับ

:b37:
สำหรับเจ้าของกระทู้ ขออนุญาตเสริมอีกสักนิดนะครับว่าการจ้วงจาบครูบาอาจารย์จะมีผลหนักห้าม มรรค ผล นิพพานได้ ถ้าครูบาอาจารย์หรือบุคคลผู้นั้นเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่โสดาบันบุคคลขึ้นไป

แต่!

แก้ไขได้ด้วยการยอมตนและขอขมาด้วยใจจริง

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2014, 18:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ก็คล้ายๆกับตัวอย่างนี่ :b1:

อ้างคำพูด:
จิตสร้างคำหยาบคายลามกกับพระรัตนตรัย ทำไงดีครับ

มันเริ่มจากคำหยาบเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อน แล้วพอมันเกิดขึ้น
ผมจะรู้สึกแย่ แล้วพอเวลาผ่านไป ผมอยากปฏิบัติธรรม
ให้ได้ตามหลักมรรค 8 จิตมันเริ่มรู้ว่าต้องระวังให้มากขึ้น
กลายเป็นเกร็งมากขึ้น มีคำหยาบมากขึ้นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ผมก็พยายามทำใจว่าใจจริงเราเคารพ
พระรัตนตรัย กลายเป็นทำศึกสองด้าน ด้านหนึ่งระวัง
ไม่ให้จิตสร้างคำหยาบ ด้านหนึ่งเจริญปัญญา

ผมควรจะทำอย่างไรดีครับ มันจะทำให้มรรค 8 ด่าง
พร้อยมั้ยครับ ย้ำอีกทีว่าใจผมเคารพพระรัตนตรัย
ในรอบหลายปีมานี่ ไม่เคยมีวาจาหรือการกระทำที่
ลบหลู่พระรัตนตรัยครับ มีแต่คำหยาบที่จิตผลิตมา
หลอกหลอนวันละหลาย ๆ ประโยค

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=47868


จิตนี่มันคิดได้สารพัด แต่เราจะหาวิธียังไง ซึ่งจะเบรกอกุศลจิต แล้วสร้างเสริมกุศลจิต คงต้องถามเช่นนั้น กับ อโศก :b32:

:b12: :b12: :b12:
ขอใช้สิทธิ์ที่ถูกพาดพิงครับท่านประธาน.............

วิธียังไง ซึ่งจะเบรกอกุศลจิต แล้วสร้างเสริมกุศลจิต คงต้องถามเช่นนั้น กับ
อโศกะ


1.ใช้ศีล 5....8....10.....227 ข้อ เบรคอกุศลทาง กาย วาจา

2.ใช้สมาธิ เบรค อกุศล และสร้างกุศลทางความคิด

3.ใช้ปัญญา เบรคอกุศลทางใจ และสร้างกุศล มหากุศลทางใจ ครับ

:b37:
สำหรับเจ้าของกระทู้ ขออนุญาตเสริมอีกสักนิดนะครับว่าการจ้วงจาบครูบาอาจารย์จะมีผลหนักห้าม มรรค ผล นิพพานได้ ถ้าครูบาอาจารย์หรือบุคคลผู้นั้นเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่โสดาบันบุคคลขึ้นไป

แต่!

แก้ไขได้ด้วยการยอมตนและขอขมาด้วยใจจริง

:b8:



สรุปตามที่อโศกพูด มี ศีล สมาธิ ปัญญา มรรค ผล นิพพาน ขอขมา ก็เห็นอยู่เท่านั้น

ทำยังไงล่ะอโศก สมาธิ ปัญญาเป็นต้น จึงเกิด เฮ้อ เหนื่อยๆ อโศกก็พูดๆๆ กรัชกายก็ถามๆวิธีทำ ชาตินี้มันจะจบมั้ยเนี่ยหือ :b9:

ลงมือทำสะทีเถอะขอรับอโศก จะได้เก่งภาคปฏิบัติ คิกๆๆ

อ้อลืมไป วิธีของอโศกคือเจริญสติปัญญา นิ่งอยู่กับปัจจุบันอารมณ์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2014, 20:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ก็คล้ายๆกับตัวอย่างนี่ :b1:

อ้างคำพูด:
จิตสร้างคำหยาบคายลามกกับพระรัตนตรัย ทำไงดีครับ

มันเริ่มจากคำหยาบเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อน แล้วพอมันเกิดขึ้น
ผมจะรู้สึกแย่ แล้วพอเวลาผ่านไป ผมอยากปฏิบัติธรรม
ให้ได้ตามหลักมรรค 8 จิตมันเริ่มรู้ว่าต้องระวังให้มากขึ้น
กลายเป็นเกร็งมากขึ้น มีคำหยาบมากขึ้นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ผมก็พยายามทำใจว่าใจจริงเราเคารพ
พระรัตนตรัย กลายเป็นทำศึกสองด้าน ด้านหนึ่งระวัง
ไม่ให้จิตสร้างคำหยาบ ด้านหนึ่งเจริญปัญญา

ผมควรจะทำอย่างไรดีครับ มันจะทำให้มรรค 8 ด่าง
พร้อยมั้ยครับ ย้ำอีกทีว่าใจผมเคารพพระรัตนตรัย
ในรอบหลายปีมานี่ ไม่เคยมีวาจาหรือการกระทำที่
ลบหลู่พระรัตนตรัยครับ มีแต่คำหยาบที่จิตผลิตมา
หลอกหลอนวันละหลาย ๆ ประโยค

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=47868


จิตนี่มันคิดได้สารพัด แต่เราจะหาวิธียังไง ซึ่งจะเบรกอกุศลจิต แล้วสร้างเสริมกุศลจิต คงต้องถามเช่นนั้น กับ อโศก :b32:

:b12: :b12: :b12:
ขอใช้สิทธิ์ที่ถูกพาดพิงครับท่านประธาน.............

วิธียังไง ซึ่งจะเบรกอกุศลจิต แล้วสร้างเสริมกุศลจิต คงต้องถามเช่นนั้น กับ
อโศกะ


1.ใช้ศีล 5....8....10.....227 ข้อ เบรคอกุศลทาง กาย วาจา

2.ใช้สมาธิ เบรค อกุศล และสร้างกุศลทางความคิด

3.ใช้ปัญญา เบรคอกุศลทางใจ และสร้างกุศล มหากุศลทางใจ ครับ

:b37:
สำหรับเจ้าของกระทู้ ขออนุญาตเสริมอีกสักนิดนะครับว่าการจ้วงจาบครูบาอาจารย์จะมีผลหนักห้าม มรรค ผล นิพพานได้ ถ้าครูบาอาจารย์หรือบุคคลผู้นั้นเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่โสดาบันบุคคลขึ้นไป

แต่!

แก้ไขได้ด้วยการยอมตนและขอขมาด้วยใจจริง

:b8:



สรุปตามที่อโศกพูด มี ศีล สมาธิ ปัญญา มรรค ผล นิพพาน ขอขมา ก็เห็นอยู่เท่านั้น

ทำยังไงล่ะอโศก สมาธิ ปัญญาเป็นต้น จึงเกิด เฮ้อ เหนื่อยๆ อโศกก็พูดๆๆ กรัชกายก็ถามๆวิธีทำ ชาตินี้มันจะจบมั้ยเนี่ยหือ :b9:

ลงมือทำสะทีเถอะขอรับอโศก จะได้เก่งภาคปฏิบัติ คิกๆๆ

อ้อลืมไป วิธีของอโศกคือเจริญสติปัญญา นิ่งอยู่กับปัจจุบันอารมณ์

:b34:
นิสัยบิดเบือนธรรมนี่ยังไม่ยอมหายนะกรัชกาย

เจริญภาวนาโดยเอาสติปัญญามานิ่ง "รู้" นิ่งสังเกต ปัจจุบันอารมณ์.......ไม่ใช่มา นิ่งอยู่ กับปัจจุบันอารมณ์ ซึ่งผลการปฏิบัติจะต่างกันมาก

อย่าคัดลอกมาผิดๆนะ ธรรมะดีๆเขาจะเสียหมด
Onion_L
แล้วเรื่องที่กรัชกายถามๆอยูนี่นะมันจะไม่จบเพราะกรัชกายไม่ใส่ใจคำถามและคำตอบที่ได้ มีวัตถุประสงค์เป็นอกุศล ถามเพื่อลองภูมิและจับผิด ไม่คิดให้ได้ประโยชน์จริงจังกับการถาม

คำตอบที่ดีๆมีค่ากัลับถูกกรัชกายมองข้ามไปหมด อีกหน่อยก็ไม่มีใครอยากตอบอยากสนทนากับกรัชกายแล้วนะ
:b5:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2014, 20:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b34:

....

Onion_L
แล้วเรื่องที่กรัชกายถามๆอยูนี่นะมันจะไม่จบเพราะกรัชกายไม่ใส่ใจคำถามและคำตอบที่ได้ มีวัตถุประสงค์เป็นอกุศล ถามเพื่อลองภูมิและจับผิด ไม่คิดให้ได้ประโยชน์จริงจังกับการถาม

คำตอบที่ดีๆมีค่ากัลับถูกกรัชกายมองข้ามไปหมด อีกหน่อยก็ไม่มีใครอยากตอบอยากสนทนากับกรัชกายแล้วนะ
:b5:


ท่านอโศกะก็อย่าไปรู้สึกว่ากำลังถูกลองภูมิสิ่

เมื่อถูกถาม ท่านก็ลองพยายามตอบไปตามทักษะตนที่เข้าใจ

พรหมวิหารน่ะท่าน

ถือว่าเป็นบทฝึกพรหมวิหารไปเสียก็ได้...นี่

ยังไงพรหมก็ต้องถูกข่วนบ้าง เพื่อขัดเกลาจิตให้ปราณีตยิ่งขึ้นน่ะ

ความพยายามไม่ใช่เรื่องเสียหายเลย

:b1: :b16: :b16: :b16: :b1:

ถ้ารู้สึกว่าถูกแหย่มา ไม่ต้องแหย่กลับก็ได้
ละไว้บ้างก็ได้
สนทนาธรรม ก็คำนึงในสาระทางธรรม
ล้อมกรอบกาย วาจา ใจ ตนให้อยู่ในข้อธรรมที่หมายจะเสวนา...

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2014, 20:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ผลไม้ที่มีเปลือก ถ้าจะคนคิดจะกินแต่เนื้อใน

คนกินเขาก็ต้องลอกเปลือกมันออกก่อนเน๊อะ

...

:b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 17 มิ.ย. 2014, 20:57, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2014, 20:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
asoka เขียน:
:b34:

....

Onion_L
แล้วเรื่องที่กรัชกายถามๆอยูนี่นะมันจะไม่จบเพราะกรัชกายไม่ใส่ใจคำถามและคำตอบที่ได้ มีวัตถุประสงค์เป็นอกุศล ถามเพื่อลองภูมิและจับผิด ไม่คิดให้ได้ประโยชน์จริงจังกับการถาม

คำตอบที่ดีๆมีค่ากัลับถูกกรัชกายมองข้ามไปหมด อีกหน่อยก็ไม่มีใครอยากตอบอยากสนทนากับกรัชกายแล้วนะ
:b5:


ท่านอโศกะก็อย่าไปรู้สึกว่ากำลังถูกลองภูมิสิ่

เมื่อถูกถาม ท่านก็ลองพยายามตอบไปตามทักษะตนที่เข้าใจ

พรหมวิหารน่ะท่าน

ถือว่าเป็นบทฝึกพรหมวิหารไปเสียก็ได้...นี่

ยังไงพรหมก็ต้องถูกข่วนบ้าง เพื่อขัดเกลาจิตให้ปราณีตยิ่งขึ้นน่ะ

ความพยายามไม่ใช่เรื่องเสียหายเลย

:b1: :b16: :b16: :b16: :b1:

ถ้ารู้สึกว่าถูกแหย่มา ไม่ต้องแหย่กลับก็ได้
ละไว้บ้างก็ได้
สนทนาธรรม ก็คำนึงในสาระทางธรรม
ล้อมกรอบกาย วาจา ใจ ตนให้อยู่ในข้อธรรมที่หมายจะเสวนา...

:b1:

smiley
ขอบคุณเอก้อน

กรัชกายนี่ถามพรำเพื่อในเรื่องที่คุยกันแล้วคุยกันอีก จึงน่าเบื่อหน่ายครับ ต้องขัดและดัดนิสัยบ้าง ถ้าเราตอบทุกอย่างเขาจะได้ใจถามตะพึดตะพือไปหมด

บางเรื่องตนก็รู้ดีเอามาตั้งเป็นกระทู้สอนคนด้วยซ้ำแต่ก็ยังชอบเอามาถามอีก

ผมเลยต้องเพิ่มอุเบกขาให้มากกว่าข้ออื่นครับ
:b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2014, 21:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


คำถามหลาย ๆ แง่ของท่านกรัชก็เป็นประโยชน์นะ

ถ้ามองดี ๆ

บางทีเอกอนก็แว๊บ ๆ เห็น แต่เอกอนก็ไม่มีความสามารถพอ
ก็อดที่จะเสียดายไม่ได้น่ะ

ก็ได้แต่มองไป และหวังไปน่ะ

บางทีอย่าไปนึกถึงท่านกรัชมากนัก

นึกถึงคนอย่างเอกอนนี่ล่ะ ที่เฝ้ามองทัศนะดี ๆ จากผู้ปฏิบัติที่ดี ๆ น่ะ

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2014, 21:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


"ยอมถูกปลอกเปลือก" ...

เอ่อ...รำลึกถึงเรื่องราวในอดีตอีกแล้ว.... :b1:

วันหนึ่ง เมื่อหล๊ายหลายปีก่อน...

เอกอนก็กำลังเคลิ้มเพลินไปในอารมณ์นั่นล่ะ ไม่รู้อารมณ์อะไร

สิ่งนั้นพาเอกอนไปดู การรวมตัวของธาตุกองหนึ่ง

สิ่งนั้นอธิบายว่า พวกเรานั้นเปรียบดังเช่นที่เห็นนี้ล่ะ

เนื้อธาตุ จะทำให้แต่ละกลุ่มกองแต่ละกอง ต่างกันไป

ธาตุมักจะไปอยู่ร่วมกันในกลุ่มธาตุประเภทเดียวกัน

และธาตุที่เป็นคู่ตรงข้ามกัน เมื่อสัมผัสกัน ก็มักจะแผดเผาสร้างความแสบร้อนให้แก่กัน

บางครั้ง ธาตุที่มีลักษณะเย็นก็สร้างความระคายเคืองให้กับธาตุหนึ่ง และไม่เป็นที่ระคายเคืองต่ออีกธาตุ
บางครั้ง ธาตุที่มีลักษณะร้อนก็สร้างความระคายเคืองให้กับธาตุหนึ่ง และไม่เป็นที่ระคายเคืองต่ออีกธาตุ

ดังนั้น อย่ากลัวไฟ เพราะคิดว่าไฟนั้นร้อน
เพราะธาตุบางองค์ประกอบ เป็นกลุ่มสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก
สามารถผ่านไปได้ทั้งร้อนและเย็น ไม่ใช่ว่าร้อนและเย็นไม่ทำความระคายเคืองต่อธาตุนั้น
แต่ด้วยคุณสมบัติของธาตุนั้น ๆ เอง ที่ปรับสภาวะ ฟื้นฟูสภาวะได้
ซึ่งกลุ่มกองธาตุนั้น เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องฝึกฝนการปรับสภาวะ ฟื้นฟูสภาวะ
เพื่อที่จะผ่านไปยังพื้นที่ ๆ มีสภาพเป็นพิษต่อธาตุทั่ว ๆ ไปได้ เช่น วังพญานาค
และ สภาพพื้นที่ที่ยากกว่านั้น ยังมี
การนำแสงแห่งธรรมไปสู่แดนเหล่านั้น เป็นภาระของกลุ่มกองธาตุที่มีคุณสมบัติสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก
และเมื่อแสงสว่างไปสู่แดนที่มึดมิด แดนที่เคยมืดก็จะกลับคืนมาสว่าง
และสว่างกว่าแดนที่เคยสว่าง ซึ่งก็กลายจะทำให้แดนที่เคยสว่างนั้นกลับมึดลง
และธาตุนั้นก็จะ เคลื่อนไปยังแดนที่มึดเพื่อส่งต่อความสว่างต่อไป

:b1:

สุดท้าย เอกอนก็ตื่น ...
เอกอนชอบฝันแปลก ๆ ...

:b9:

แต่ยังไม่เคยฝันเห็นนิพพานสักที.... :b9: :b9: :b9:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 107 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร