วันเวลาปัจจุบัน 23 เม.ย. 2024, 17:44  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2013, 16:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


"ทุกขเวทนา" ที่เกิดขึ้นในกาย
เป็นเรื่องของ"สัจจธรรม"โดยตรง
ต้องพิจารณาให้รู้ในสิ่งที่ควรจะรู้ได้
ไม่ปล่อยให้ทุกข์ย่ำยีเปล่าๆ

เพื่อเป็นการฝึกซ้อมสติปัญญา ให้รู้เท่าทัน
กับเหตุการณ์ ว่าสติปัญญาที่เคยอบรมมา
และซักซ้อมมาเป็นเวลานานขณะเข้าสู่สงคราม
คือความทุกข์ทรมาน

ใจจะไม่มีความหวั่นเกรงต่อความจริง
ไม่มีความสะท้านหวั่นไหวต่อพายุ
คือ ทุกข์โทษที่เข้ามาทับถม
เมื่อพิจารณาเท่าทันขันธ์ัดังกล่าวมานี้

"อยู่ก็สบาย ถึงตายก็มีชัยชนะ"

โอวาทธรรมหลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท



คราวหนึ่งท่านพ่อลีเดินทางไปพักที่อุดรฯ ๑ คืน รุ่งขึ้นได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ แล้วย้อนกลับไปยังวัดสุปัฏน์ฯ จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อประกอบงานพิธีฉลองพระบรมธาตุ โดยบัญชาของเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน)

และเมื่อเสร็จพิธีนั้นแล้วได้เดินทางไปอบรมทางจังหวัดอื่นมีศรีสะเกษ สุรินทร์ นครราชสีมา สระบุรี และลพบุรี โดยลำดับแล้วจึงกลับกรุงเทพฯ
ในระหว่างพักที่จังหวัดอุบลฯ ท่านได้โต้ตอบ กับ"สุภาพสตรีสาวสวย"คนหนึ่งใจความนำมาย่อ ๆ ว่า...

#โยมสาวสวย-->“ท่านอาจารย์..ทุกวันนี้มีชื่อเสียงโด่งดัง ไม่ใคร่จะมี
เวลาให้ญาติโยมทางนี้ได้พบหน้ากันเลยนะเจ้าคะ”
เขาต่อว่าท่านแบบบ่น ๆ

#ท่านพ่อลี-->“อาตมาก็ไม่ชอบดูหน้าคนเสียด้วยชอบดูแต่ ‘ใจคน’
ท่านตอบสั้น ๆ แต่กินใจความกว้าง

#โยมสาวสวย-->“ท่านอาจารย์บวชมานาน หน้าตาก็ออกจะ
หล่อเหลาเอาการไม่อยากสึกบ้างเหรอเจ้าคะ ?”

เขาถามเหมือนพอใจในตัวท่าน แล้วทำตา
ชมดชม้อย ขยับเอียงซ้ายเอียงขวาตามมารยาหญิง

#ท่านพ่อลี -->“ การสึก’ หรือ ‘การบวช’ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับ
ความสวย ไม่สวย หล่อหรือไม่หล่อของคน
หรอกโยม มันอยู่กับ ‘ใจที่มีกิเลส’ ต่างหาก”

ท่านตอบด้วยกิริยานิ่ง มีคนนั่งฟังหลายคนต่าง
ก็ยิ้มน้อย ๆ ที่นานทีเห็นท่านถูกสตรีรุกด้วยวาทะ
ท่านก็รับด้วยคารมคมแห่งธรรมะ
แล้วท่านก็กล่าวสอน เป็นธรรมะเปรียบเทียบว่า

“..รูปร่างหน้าตาของคนบางคน
หน้าดำเหมือนกับก้นหม้อก็ยังสึกได้
จะหล่อหรือขี้เหร่ มันไม่ได้เป็นเครื่องวัดว่า
ใครดีกว่าใคร ใครกิเลสน้อยกว่าใคร
ใจต่างหากเป็นตัวมารร้ายทำให้คิดปรุง

พระพุทธเจ้า พระอานนท์ พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร พระมหากัจจายนะ ท่านหล่อเหลา
เอาการ ไม่เห็นมารที่ไหนมาแหยมท่านได้
และไม่เห็นท่านสึก

เพราะท่านหลุดพ้นจากเรื่องขี้ ๆ เหล่านี้
ขี้โลภ โกรธ หลง ไงล่ะโยม”

สตรีสาวนางนั้นนั่งฟังตาแป๋ว เมื่อเจอคำว่า “ขี้ ๆ”
ที่ท่านหมั่นสาธยาย เธอนั่งนิ่งไม่โต้ตอบ จะเป็น
เพราะว่าเธอซึ้งใจในพระธรรมที่ท่านสอน หรือเป็น
เพราะว่าเธอก็เคยเห็นขี้ของเธอเองว่ามันน่าเกลียด
เพียงไร เพื่อนำมาเทียบกับเรื่องใบหน้าอัน
แสนสวยของเธอ

เมื่อเธอนิ่ง ท่านพ่อลีผู้มีปัญญาก็รุกต่อ เหมือนนักรบ
เห็นข้าศึกตัวฉกาจเพลี่ยงพล้ำ ก็กรูเข้าไปหมายปลิด
ชีวิต หรือเหมือนเสือเห็นลูกกวางตัวน้อย ๆ หลงฝูง
หมายกระโจนเข้าตะปบให้สิ้นชีวิต ท่านจึงกล่าวด้วย
เสียงที่เข้มแข็งว่า...

“ โยมลองพิจารณาถึงความเป็นจริงดูสิว่า อาหารที่อยู่
ในชามข้าวของเรานี้ มันก็ดีขณะเวลาที่อยู่ใน
ปากเท่านั้น ประเดี๋ยวอีกไม่นานไม่ช้า มันก็กลับ
กลายเป็นของเสียบูดเน่าเท่านั้น
#ในโลกไม่มีอะไรที่น่ายินดี และน่าพอใจ
พอที่จะไปยุ่งไปยินดีกับมันนักหนา

** #สตรีและบุรุษที่อยู่ร่วมกัน รักกัน ส่วนมากเพราะ
"อำนาจกาม"ธรรมชาติของกามใหม่ ๆ ก็มีรสอร่อย
นานไป ก็เป็นของบูดเน่าเสียเหมือนกันนั้นแหละ

***#ถ้าไม่มีธรรมเสียอย่างเดียว มนุษย์ในโลกนี้
อยู่ร่วมกันลำบากนะ และอยู่ไปอยู่มาก็ต้องตาย
จากกันไป ทางที่ดี โยมเอ๊ย!..

"อย่ายินดีในการอยู่ อย่าเสียใจในการตาย"

#สิ่งเหล่านี้มันทำให้เรารู้จักทุกข์

อาตมานี่จะว่าดีก็ได้ จะว่าไม่ดีก็ได้ เวลาไปเห็น
คนตายหรือคนที่กำลังจะตาย ใจมันไม่มีความ
รู้สึกอะไรเลย เพราะคิดว่า นั่นมันเป็นเรื่องของเขา
ไม่ใช่เรื่องของเรา

ความรู้สึกขณะที่แลเห็นคนจะตาย ก็เหมือนกับ
แลเห็น ไฟที่มันกำลังไหม้ท่อนไม้อยู่

โยมเอ๊ย! เราจะอาศัยอยู่ในโลกนี้อีกนานสักเท่าไร
แล้วก็จะต้องจากกันไป ให้รีบ ๆ ทำความดีกันไว้
#อย่าเอาแต่กินแต่นอนแล้วก็ปรุงเรื่องกิเลสตัณหา

อาตมารู้ตัวเองดีว่า ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีอะไรดีสักอย่าง
รูปร่างหน้าตาก็ไม่สวยไม่งาม วาจาที่พูดกับเขา
มันก็ไม่เพราะ ไม่น่าฟังแต่มันมี “ดี” อยู่ข้างใน
“นิดเดียวเท่านั้น คือ ความเมตตาสงสารนี่แหละ”

“อาตมาพูดจริง ๆ” ท่านพ่อลีย้ำ
“ทางโลกเขานิยมกันที่คำพูด แต่อาตมาไม่เอาเลย
ชอบเอาความจริงที่มีอยู่กับใจ เพราะถือว่า
คำพูดนั้นเป็นของที่เราบ้วนทิ้ง
ไม่ใช่ของเก็บของจริงอะไร

ของจริงนั้นมันอยู่ที่ใจ จะพูดดีหรือไม่ดีก็ตาม
เพราะหรือไม่เพราะก็ตาม แต่ให้ “ใจมันดีอยู่ก็แล้วกัน"
#โยมลองนั่งสมาธิดูสิ..กิเลสจะได้เบาบาง

#วิธีนั่งสมาธินั้นต้องทำความรู้สึกเหมือนกับ
เรากำลังนั่งอยู่บนก้อนเมฆหรือศาลากลางน้ำ
หรือกลางทุ่งนา ปล่อยลมออกไปให้เย็นโล่ง
ใจไม่เกาะเกี่ยวกับสัญญาอดีต อนาคต ทั้งดีไม่ดี
ทำใจให้เงียบ แล้วกำหนดดูลมหายใจเข้า “พุท”
ออก “โธ” เบื้องต้นทำแค่นี้ก็พอ”

ท่านพ่อลีพูดจบลง เธอก้มลงกราบด้วยความซาฐซึ้ง
ในเมตตาธรรมของท่าน ที่ท่านได้ให้ปัญญาที่แท้จริง

โอวาทธรรมพระอริยะเจ้าท่านพ่อลี ธมฺมธโร




สัตว์เกิดกลับมาเป็นมนุษย์มีน้อย เพราะไม่รู้อริยสัจ
*************************************
ภิกษุ ท.! เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร :
ฝุ่นนิดหนึ่งที่เราช้อนขึ้นด้วยปลายเล็บนี้ กับมหาปฐพีนั้น
ข้างไหนจะมากกว่ากัน ?

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! มหาปฐพีนั่นแหละเป็นดินที่มากกว่า.
ฝุ่นนิดหนึ่งเท่าที่ทรงช้อนขึ้นด้วยปลายพระนขานี้ เป็นของมีประมาณน้อย.
ฝุ่นนั้น เมื่อนำเข้าไปเทียบกับมหาปฐพี ย่อมไม่ถึงซึ่งการ
คำนวณได้เปรียบเทียบได้ ไม่เข้าถึงแม้ซึ่งกะละภาค(ส่วนเลี้ยว)".

ภิกษุ ท.! อุปมานี้ฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้น : สัตว์ที่เกิดกลับมาสู่
หมู่มนุษย์ มีน้อย; สัตว์ที่เกิดกลับเป็นอย่างอื่นจากหมู่มนุษย์ มีมากกว่าโดยแท้. ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า?

ภิกษุ ท.! ข้อนั้น เพราะความที่สัตว์เหล่านั้น
ไม่เห็นอริยสัจทั้งสี่. อริยสัจสี่ อย่างไรเล่า?
สี่อย่าง คือ อริยสัจคือทุกข์
อริยสัจคือเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์
อริยสัจคือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
อริยสัจคือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์.

ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ เธอพึงประกอบโยคกรรม๑
อันเป็นเครื่องกระทำให้รู้ว่า " ทุกข์ เป็นอย่างนี้,
เหตุเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้,
ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้,
ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เป็นอย่างนี้",. ดังนี้.

- มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๗๘/๑๗๕๗.

(ในกรณีที่ไม่เห็นอริยสัจนั้น ยังมีผลทำให้ :

สัตว์มาเกิดในมัชฌิมชนบท มีน้อย (๑๙/๕๗๘/๑๗๕๘).
สัตว์มีปัญญาจักษุ มีน้อย (๑๙/๕๗๙/๑๗๕๙).
สัตว์ไม่เสพของเมา มีน้อย (๑๙/๕๗๙/๑๗๖๐).
สัตว์เกิดเป็นสัตว์บก มีน้อย (สัตว์น้ำมาก) (๑๙/๕๗๙/๑๗๖๑).
สัตว์เอื้อเฟื้อมารดา มีน้อย (๑๙/๕๗๙/๑๗๖๑).
สัตว์เอื้อเฟื้อบิดา มีน้อย (๑๙/๕๗๙/๑๗๖๒).
สัตว์เอื้อเฟื้อสมณะ มีน้อย (๑๙/๕๗๙/๑๗๖๓).
สัตว์เอื้อเฟื้อพราหมณ์ มีน้อย (๑๙/๕๘๐/๑๗๖๔).
สัตว์อ่อนน้อมถ่อมตน มีน้อย (๑๙/๕๘๐/๑๗๖๕).

นอกจากนี้พระองค์ยังได้ทรงแสดงภาวะแห่งสัตว์ที่ไม่พึงปรารถนา
อีกมากอย่างตามที่เรารู้จักกันอยู่ เช่น สัตว์ที่ไม่ตั้งอยู่ในกุศลกรรมบถ เป็นต้น,
ผู้รวบรวมเห็นว่ามากเกินความจำเป็น จึงไม่นำมาใส่ไว้ในที่นี้.)



โยคกรรม คือ การกระทำ ความเพียรอย่างมีระบบ อย่างแข็งขันเต็มที่
ในรูปแบบหนึ่ง ๆ เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ตามความมุ่งหมาย
เรียกกันทั่ว ๆ ไปว่า "โยคะ",. เป็นคำกลางใช้กันได้ระหว่างศาสนาทุกศาสนา.


การตำหนิผู้อื่น จะผิดหรือจะถูกก็เลวทั้งสิ้นธรรมะมีแต่ปัจจุบัน รักษาอารมณ์ปัจจุบันให้ดีๆ สุข-ทุกข์พ้นได้ตรงนี้ความจำที่ไม่ดีเป็นพิษ
เหมือนยาพิษ จิตเราก็ดื่มยาพิษ หากไปยึดเอาสัญญาที่ไม่ดีไว้
คนอยู่รวมกันยังตัดกิเลสไม่ได้เสมอกัน ก็ย่อมหาความสุข-สงบไม่ได้
นี่เป็นเรื่องธรรมดาให้รู้อารมณ์ของตนเองรบ ๑๐๐ ครั้ง ก็ชนะทั้ง ๑๐๐ ครา
ทุกข์ของใจ ต้องฝืน เพราะใจเป็นเรา เป็นของเรา
ใครกินเพราะอยากจึงเป็นกิเลส แต่ใครกินเพราะหิวเป็นพระธรรม
ใจบ่นเมื่อไหร่ ผู้อื่นเขาก็ได้ยิน โดยเฉพาะเทวดา-นางฟ้า-พรหม
และพระท่านได้ยินทุกครั้งที่ใจบ่น เพราะจิตเป็นภาษากลาง จิตคิด-นึกอะไรก็ถึงกันหมด
สักกายทิฏฐิ แปลว่าทุกสิ่ง-ทุกอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับร่างกาย

:: ที่มาของข้อมูลธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๑๖



ผู้ปรารถนาจะฟังธรรมที่เข้าสู่ระดับจิตตนได้อย่างเบื้องปลายอยู่มาก ฉะนั้นฉันจะสอนเรื่องของสมาธิ อานิสงส์จากบุญที่ได้กระทำมาเป็นเบื้องแรก พุทธบริษัทที่มีจิตใจมุ่งมั่นในการทำบุญนั้น

๑. ต้องมี "ศรัทธา" ในจิตตน ถึงจะมีแรงดลใจให้บุญได้เกิดขึ้นแล้ว เกื้อหนุนขึ้นมา
๒. เมื่อมีศรัทธาเป็นแรงนำขึ้นมาก็ต้องมี "ขันติ" ตามมา ขันติความอดทน อดทนเพื่อธรรม ธรรมคือพระนิพพาน
๓. เมื่อมีขันติตามมาในเบื้องรองแล้ว ต้องมี "สัจจะ" เป็นบรรทัดเป็นทางที่จะทำให้พวกเธอทุกคนได้ถึงที่หมายสมปรารถนา เบื้องแรกของธรรมในการปฏิบัติตนให้ถึงซึ่งอริยมรรคนั้น คือสัจจะหรือบำเพ็ญสัจจะบารมี คนเราถ้าขาดสัจจะบารมีหรือไม่มีสัจจะในตนแล้ว ศีลก็ผิดหมด การถือศีล คือการที่เราให้สัจจะแก่ตนเองไม่ให้ละเมิดศีลนั้น ซึ่งถ้าเราจะละเมิดไปก็ไม่มีใครรู้ เพราะเราอยากจะทำ แต่เราก็ต้องละอายแก่ตนเองว่าแม้แต่กับตนเองก็ยังหาสัจจะอะไรไม่ได้เลย ฉะนั้น การกล่าวว่า “อีกนิดคงไม่เป็นนะ” “นิดหน่อยคงไม่เสียหาย” นั่นคือ เราไม่เที่ยงตรงต่อสัจจะของตนเอง แล้วกรรมที่จะเป็นเครื่องสนองตอบเรา คือความไม่สบายใจประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งคือเราเสมือนว่าโกหกพระ เมื่อบุคคลทั้งหลายมีสัจจะแล้ว ความซื่อตรง ความมั่นคง (หรือรวมเรียกว่า กตัญญู คงไม่เพี้ยนกัน) ก็จะเกิดขึ้นแก่ตน เมื่อตนทำจิตทำใจตนให้เป็นคนมั่นตรงต่อสัจจะแล้ว ความเหลาะแหละคงหมดไป เมื่อหมดไป นิวรณ์ทั้งปวงจะขจัดออกไปเองด้วยความมั่นคงของเรา นิวรณ์หมดไปแล้ว สมาธิคือความทรงตัวของจิตก็จะจับใจในจิต ตลอดจนในกายและวาจา เมื่อมีสมาธิ จิตจับด้วยความบริสุทธิ์ของศีลก็ดี สัจจะก็ดี ฌานก็เกิดขึ้น เมื่ออารมณ์เข้าจับอยู่ในสมาธิในฌาน เราจะมีอารมณ์วิปัสสนาญาณเมื่อใดก็ย่อมทำได้ทันที เมื่อถึงอารมณ์วิปัสสนาญาณแล้วพิจารณาทบทวน ตรงไปด้วยกุศลจิตด้วยดี ด้วยถูกต้องสมควร อารมณ์จากสติจะเกิด นั่นคือ "ปัญญา" เมื่อมีปัญญาไตร่ตรองถ่องแท้แน่ชัดขึ้นทุกที จนเรารู้สึกสำนึกมุ่งไปในกมสันดานแน่ชัดแล้ว จะตัด จะละ จะปล่อยสิ่งเหล่านั้นได้เป็นสมุจเฉทปหานแน่นอน



“ถ้าหากไม่รู้จักความสงบหรือไม่สงบแห่งอายตนะภายในแล้วไซร้ ตัวธรรมล้วน ๆ ก็เกิดขึ้นได้ยากในจิตแห่งพวกเจ้านี้ แต่ถ้าหากรู้จักความสงบและไม่สงบแห่งอายตนะภายในแล้ว เท่ากับรู้เกิด-รู้ดับแห่งกิเลส-ตันหาอย่างแท้จริง พระธรรมอันเป็นตัวแก้แห่งกิเลส-ตัณหานั้น ก็จักสามารถล้างอุปาทาน อันยึดมั่นถือมั่นในสุขในทุกข์อย่างได้แท้จริง”

• ธรรมโอวาทพระพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐม •
พระธรรมตอนหนึ่ง จากหนังสือ ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น (เล่ม ๑)



“พวกเจ้าหมั่นเจริญสมถะธรรมเถิด ไม่ตั้งวงสนทนาธรรมก็มิใช่ว่าจักปฏิบัติธรรมมิได้ การยืน เดิน นั่ง นอน นั่นแหละคือตัวธรรมล้วน ๆ เห็นทุกข์เห็นโทษของการเกิดมาเป็นคน สงบก็ยุ่ง ไม่สงบก็ยุ่ง ตามปกติวิสัยของคน พวกเจ้ามุ่งหวังมรรคผลนิพพาน พึงมองสิ่งที่เกิดขึ้นอันสัมผัสได้ด้วยจิตว่า อายตนะภายนอกจักสงบหรือไม่สงบก็เป็นปกติ ขึ้นชื่อว่าโลกมันก็เกิดดับอยู่เป็นนิจสิน ไม่มีอะไรเป็นสิ่งที่ผิดปกติ แม้การเกิดดับภายในก็พึงจักรู้ ศึกษาได้ว่าเป็นสิ่งปกติเช่นกัน พึ่งหมั่นรู้จักความสงบหรือไม่สงบอันเป็นปกตินั้น”

• ธรรมโอวาทพระพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐม •
พระธรรมตอนหนึ่ง จากหนังสือ ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น (เล่ม ๑)



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย

ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2013, 01:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2010, 03:39
โพสต์: 55

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Never read this story before. Thank you, Thank you , and Thank you for sharing.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2013, 13:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 41 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร