วันเวลาปัจจุบัน 23 เม.ย. 2024, 21:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 134 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2013, 15:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความสัมพันธ์ที่มีชื่อในภาษาธรรมระหว่าง อายตนะ ๖ อารมณ์ ๖ และวิญญาณ ๖ ดังนี้

๑. จักขุ – ตา เป็นแดนรับรู้ รูป - รูป เกิดความรู้คือ จักขุวิญญาณ - เห็น

๒. โสต - หู --------------- สัททะ - เสียง ------------- โสตวิญญาณ - ไ้ด้ยิน

๓. ฆานะ - จมูก ----------- คันธะ - กลิ่น -------------- ฆานวิญญาณ – ได้กลิ่น

๔. ชิวหา - ลิ้น ------------- รส - รส ----------------- ชิวหาวิญญาณ - รู้รส

๕.กาย - กาย -------------- โผฏฐัพพะ - สิ่งต้องกาย ----------- กายวิญญาณ - รู้สิ่งต้องกาย

๖. มโน - ใจ --------------- ธรรมารมณ์ -เรื่องในใจ------------ มโนวิญญาณ - รู้เรื่องในใจ



อย่างไรก็ตาม แม้ว่า วิญญาณจะต้องอาศัยอายตนะและอารมณ์กระทบกันจึงจะเกิดขึ้นไ้ด้ ก็จริง แต่การที่อารมณ์เข้ามาปรากฏแก่อายตนะ ก็มิใช่จะทำให้วิญญาณเกิดขึ้นไ้ด้เสมอไป จำต้องมีความใส่ใจ ความกำหนดใจ หรือความใฝ่ใจประกอบอยู่ด้วย วิญญาณนั้นๆ จึงจะเกิดขึ้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2013, 20:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ความสัมพันธ์ที่มีชื่อในภาษาธรรมระหว่าง อายตนะ ๖ อารมณ์ ๖ และวิญญาณ ๖ ดังนี้

๑. จักขุ – ตา เป็นแดนรับรู้ รูป - รูป เกิดความรู้คือ จักขุวิญญาณ - เห็น

๒. โสต - หู --------------- สัททะ - เสียง ------------- โสตวิญญาณ - ไ้ด้ยิน

๓. ฆานะ - จมูก ----------- คันธะ - กลิ่น -------------- ฆานวิญญาณ – ได้กลิ่น

๔. ชิวหา - ลิ้น ------------- รส - รส ----------------- ชิวหาวิญญาณ - รู้รส

๕.กาย - กาย -------------- โผฏฐัพพะ - สิ่งต้องกาย ----------- กายวิญญาณ - รู้สิ่งต้องกาย

๖. มโน - ใจ --------------- ธรรมารมณ์ -เรื่องในใจ------------ มโนวิญญาณ - รู้เรื่องในใจ



อย่างไรก็ตาม แม้ว่า วิญญาณจะต้องอาศัยอายตนะและอารมณ์กระทบกันจึงจะเกิดขึ้นไ้ด้ ก็จริง แต่การที่อารมณ์เข้ามาปรากฏแก่อายตนะ ก็มิใช่จะทำให้วิญญาณเกิดขึ้นไ้ด้เสมอไป จำต้องมีความใส่ใจ ความกำหนดใจ หรือความใฝ่ใจประกอบอยู่ด้วย วิญญาณนั้นๆ จึงจะเกิดขึ้น


ครับ เป็นที่น่าสังเกตุว่า เมื่อเข้าไปกำหนดใจรับรู้ จะปรากฎถึงความจริงของธรรม กลับกลายเป็นความสงบลงของสังขารขันธ์

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2013, 22:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
เพราะ...ความจริง....ย่อมไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา....ใครรู้ได้ก็รู้เป็นอย่างเดียวกัน...


แล้วอะไรล่ะคือความจริง ทีว่ารู้ไ้ด้เป็นอย่างเดียวกัน :b10:


เห็นความไม่จริง....นั้นแหละ...ความจริง...เช่น

เห็นว่า..สิ่งนี้ไม่สวยไม่งามจริงอย่างที่เคยคิด....เห็นเป็นอสุภะ..นั้นแหละความจริง

เห็นว่า...สิ่งนี้ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา....เห็นด้วยความเป็นธาตุ...นั้นแหละความจริง

เห็นว่า...สิ่งที่จำว่าหน้าตางี้นะ..กรัชกาย...นี้นะ..กบ...นี้นะโฮ...นี้อเมสซิ้ง..ฯลฯ...นี้ไม่ใช่ตัวจริง...ก็ชาติที่แล้วก็ไม่ใช่หน้านี้...ชาติหน้า..หน้าก็เปลี่ยนไปอีกแล้ว....แล้วที่จำว่าหน้าอย่างนี้..กรัชกาย..หน้าอย่างนี้..กบ..นะ...ก้ไม่ใช่ความจริง....ความจริงคือจิต....เห็นด้วยความเป็นจิต....นั้นแหละ..ความจริง

เป็นต้น

ความจริงนี้...ไม่มีการเปลี่ยนแปลง....ผู้ที่รู้...ก็รู้ได้เป็นอย่างเดียวกัน..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2013, 03:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
govit2552 เขียน:
ตาเห็นอะไร

เห็น ก้อนหิน

ใน ก้อนหิน นั้นย่อมมี ดิน น้ำ ไฟ ลม สี(วัณณรูป) กลิ่น รส โอชา ............ เป็นส่วนประกอบ


ตากับภาพก้อนหินกระทบกับ จะเกิดวัณณรูปอย่างเดียวที่จักขุวิญญานจะรับรู้ได
ส่วนสภาพดิน น้ำ ลมไฟที่คุณบอก ตาไม่สามารถรับรู้ทางตา ต้องรับรู้ทาง...กายสัมผัส
ส่วนกลิ่นก็เป็นฆาตสัมผัส (จมูก) รสเป็นชิวหาสัมผัส(ลิ้น)
โอชาไม่ใช่เกิดจากการกระทบ แต่เป็นอาหารรูป

govit2552 เขียน:
ตาเห็นอะไร
ตา เห็น อะไรอีก

เห็น เก้าอี้
ใน เก้าอี้ นั้นย่อมมี ดิน น้ำ ลม ไฟ สี(วัณณรูป) กลิ่น รส โอชา................ เป็นส่วนประกอบ


ตา เห็นอะไรอีก

เห็น ช้าง
ใน ช้าง ย่อมมี ดิน น้ำ ไฟ ลม สี(วัณณรูป) กลิ่น รส โอชา และรูปอื่นๆอีก..... เป็นส่วนประกอบ
เจริญในธรรม ครับ


ตาเห็นแค่ความแตกต่างกันของสีกับความว่างของอากาศ แต่ที่เป็นเป็นช้างหรือโต๊ะ
เป็นการเห็นด้วยใจ ไม่ใช่เห็นด้วยตา หมายความว่า เมื่อเกิดการเห็นสีทางตาแล้ว
จะมีการส่งต่อมาทางมโนทวาร ภาพโต๊ะหรือภาพช้างจึงเกิดขึ้น เขาเรียกเกิดที่ใจไม่ใช่ที่ตา



ถ้าไม่มีตา เกิดไ้ด้ไหม ตา + รูป + จักขุวิญญาณ +ผัสสะ อาศัยกันและกัน สัมพันธ์กัน ไม่ใช่ไปพูดตัดตอนเอายังงั้น ไม่เชื่อเอาไม้เสียบลูกชิ้นปิ้งแทงตาให้บอดเสีย แล้วมโนวารทะแวนที่ว่าเกิดไหม แทงตาแล้ว ก็แทงหู แทงจมูก ตัดลิ้น ตัดเส้นเอ็นทางกายให้หมด ดูสิมโนทวารจะอาศัยอะไรเกิด ลองดูพิสูจน์หลักธรรมสัมพันธ์ :b9:


ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย เปิดแต่ตำราสมองเลยไม่ได้พัฒนา

การพิจารณาธรรมต้องพิจารณาธรรมตัวปัจจุบัน ด้วยการโยนิโสปัญญามาร่วมพิจารณา
ผลก็จะเกิดเป็น วิชชาหรือญานรู้เหตุแห่งธรรมปัจจุบันที่กำลังพิจารณา

ดังนั้นการพิจารณาธรรมที่ถูกต้อง ต้องพิจารณาจากผลไปหาเหตุ
การพิจารณาเหตุก่อน เขาไม่เรียกว่าพิจารณา แต่มันเป็นการสร้างเหตุใหม่
เป็นการปรุงแต่งธรรม

กรัชกายพูดธรรมหาได้มีความรู้ในธรรมแม้ซักกะผีก หาแก่นหาสาระไม่ได้
ไอ้ที่พอจะเป็นเนื้อเป็นหนัง ก็ไปก็อบบี้บทความคนอื่น ด้วยอาศัยว่า...มีคำศัพท์เหมือนกัน


กรัชกายหัดมีสติ ใช้สัมปชัญญะไตร่ตรองธรรมเสียหน่อย มันคงไม่ลำบากถึงตายมั้ง
พูดจาเลื่อนเปื้อน บอกมาได้ไงว่าคนอื่นเขาพูดตัดตอน สิ่งที่เขาพูดอยู่คือธรรมปัจจุบัน
ธรรมที่มันเกิดขึ้นแล้ว ที่เขาพูดก็เพื่อไล่ไปหาเหตุที่ทำให้มันเกิดขึ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2013, 03:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
เพราะ...ความจริง....ย่อมไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา....ใครรู้ได้ก็รู้เป็นอย่างเดียวกัน...


แล้วอะไรล่ะคือความจริง ทีว่ารู้ไ้ด้เป็นอย่างเดียวกัน :b10:


เห็นความไม่จริง....นั้นแหละ...ความจริง...เช่น

เห็นว่า..สิ่งนี้ไม่สวยไม่งามจริงอย่างที่เคยคิด....เห็นเป็นอสุภะ..นั้นแหละความจริง

เห็นว่า...สิ่งนี้ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา....เห็นด้วยความเป็นธาตุ...นั้นแหละความจริง

เห็นว่า...สิ่งที่จำว่าหน้าตางี้นะ..กรัชกาย...นี้นะ..กบ...นี้นะโฮ...นี้อเมสซิ้ง..ฯลฯ...นี้ไม่ใช่ตัวจริง...ก็ชาติที่แล้วก็ไม่ใช่หน้านี้...ชาติหน้า..หน้าก็เปลี่ยนไปอีกแล้ว....แล้วที่จำว่าหน้าอย่างนี้..กรัชกาย..หน้าอย่างนี้..กบ..นะ...ก้ไม่ใช่ความจริง....ความจริงคือจิต....เห็นด้วยความเป็นจิต....นั้นแหละ..ความจริง

เป็นต้น

ความจริงนี้...ไม่มีการเปลี่ยนแปลง....ผู้ที่รู้...ก็รู้ได้เป็นอย่างเดียวกัน..


กะลาพูดเองเออเอง พยายามพูดธรรมให้มันสับสน ชาวบ้านจะได้ดูขลัง :b32:

พูดจาปะสาอะไรครับ "เห็นความไม่จริงนั้นแหล่ะความจริง" เอาให้แน่สักอย่างซิครับ :b32:

จะเห็นสิ่งที่สวยงามเป็นอสุภะ มันก็ต้องเห็นสิ่งที่สวยงามเปลี่ยนแปลงไปเป็นอสุภะ
แบบนี้จึงเรียกความจริง
ไม่ใช่เคยเห็นสิ่งที่สวยงามไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ดันเห็นเป็นอสุภะ แบบนี้เรียกความจริงที่ไหนครับ

การจะยกเอาเรื่องความจริงขึ้นมากล่าว มันต้องคำนึ่งถึงว่าสิ่งที่กำลังพูด
เป็นอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต
ถ้าเรากำลังพูดถึงสิ่งที่เป็นปัจจุบัน แต่ไปอ้างในสิ่งที่เป็นอดีดหรืออนาคต คำกล่าวนั้นก็ไม่จริง
เพราะความจริงเป็นปัจจุบัน เช่น .........
เขายังสวยอยู่แต่ดันไปมองเป็นอสุภะ การมองเขาเป็นอสุภะ ย่อมไม่เป็นความจริง

การกล่าวถึงอดีตหรืออนาคตในแง่ของความเป็นจริง เราจะต้องกล่าวในหลักของธรรมชาติ
ยกเอากฎแห่งธรรมชาติมาอ้างอิง เช่น เห็นใครเขาสวยก็ต้องบอกว่า แก่ตัวไปก็หมดความสวย
หรือเมื่อตายก็เป็นอสุภะ ไม่ใช่เขายังสวยอยู่ ไปบอกว่าเขาขี้เหร่เป็นกองอสุภะ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2013, 05:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ถามความเห็นความเข้าใจสมาชิกลานแห่งนี้ คือ คำว่า "กาย" มีหลายแห่งเท่่าที่ผ่านหูผ่านตาพวกเรามาค่อนข้างบ่อย ก็เช่น

กาย ที่ กายคตาสติ

ที่ กายานุปัสสนา

ที่ จักขุ โสต ฆาน ชิวหา กาย มโน

ที่ "ร่างกาย"

ที่ว่า ตา เห็น รูป

รูป นี้ไ้ด้แก่อะไร อันเีดียวกันกับกาย หรือยังไง

รูปที่ในขันธ์ 5 ด้วย (รูป ฯลฯ วิญญาณ)


ทั้งหมดนั่น ท่านเห็นว่า อันเีดียวกันทั้งสิ้น หรือต่างกัน ถ้าต่างกัน ต่างกันอย่างไร ตรงไหน ?


ชีวิต ก็มี กาย กับ ใจ หรือ รูป กับ นาม (เรียกเต็ม รูปธรรม นามธรรม)

จะเรียก ว่ากาย, ว่าร่า่งกาย, ว่ารูป ว่ารูปกาย ก็สิ่งเดียวอย่างเดียวกัน เป็นรูปธรรม นี่ตอนหนึ่ง

ส่วนกาย ที่กาย-คตาสติ ท่านพูดถึงวิธีปฏิบัติ อยู่ในอนุสสติ 10 หมายถึงการพิจารณากาย คือ อาการ 32 มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระูดูก เป็นต้น ว่าเ็ป็นของไม่งาม น่าเกลียด.... (เป็นสมถะ คือสมาธิเป็นตัวเด่น)

ส่วน กาย ที่กายานุปัสสนา (กาย+อนุปัสสนา) นี่วิธีปฏิบัติที่ในสติปัฏฐาน 4 (ข้อ 1) หมายถึงการพิจารณากาย ,ตามดูรู้ทันกาย คือ การเคลื่อนไหวของกายในอริยาบถใหญ่-น้อย ทั่วๆไป ไม่จำกัด ไม่ไ้ด้พิจารณาอย่างกายคตาสติ (นี่เป็นวิปัสสนา -แต่ก็มีสมาธิเกิดร่วม แต่ไม่เป็นตัวเด่น)

ตา เห็น รูป ในวงเล็บ (สี) ก็เห็นรูปหยาบ ไม่ไ้ด้แยกแยะถึง 28 รูป ซึ่งมีสุขุมรูปด้วย


ที่ตั้งโจทก์ถามกัน เป็นรูปธรรมเพราะมองเห็นๆอยู่ ยังไ่ม่ล่วงไปถึงนามธรรม ขนาดเห็นๆ เรายังว่ากันสะเละ ถ้าเป็นนามธรรม :b32: ไม่อยากคิด แต่ก็เห็นแล้ว ว่าเละยิ่งกว่าเต้าหู้ตกตึกใบหยก ฮี่ๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2013, 05:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ความสัมพันธ์ที่มีชื่อในภาษาธรรมระหว่าง อายตนะ ๖ อารมณ์ ๖ และวิญญาณ ๖ ดังนี้

๑. จักขุ – ตา เป็นแดนรับรู้ รูป - รูป เกิดความรู้คือ จักขุวิญญาณ - เห็น

๒. โสต - หู --------------- สัททะ - เสียง ------------- โสตวิญญาณ - ไ้ด้ยิน

๓. ฆานะ - จมูก ----------- คันธะ - กลิ่น -------------- ฆานวิญญาณ – ได้กลิ่น

๔. ชิวหา - ลิ้น ------------- รส - รส ----------------- ชิวหาวิญญาณ - รู้รส

๕.กาย - กาย -------------- โผฏฐัพพะ - สิ่งต้องกาย ----------- กายวิญญาณ - รู้สิ่งต้องกาย

๖. มโน - ใจ --------------- ธรรมารมณ์ -เรื่องในใจ------------ มโนวิญญาณ - รู้เรื่องในใจ



อย่างไรก็ตาม แม้ว่า วิญญาณจะต้องอาศัยอายตนะและอารมณ์กระทบกันจึงจะเกิดขึ้นไ้ด้ ก็จริง แต่การที่อารมณ์เข้ามาปรากฏแก่อายตนะ ก็มิใช่จะทำให้วิญญาณเกิดขึ้นไ้ด้เสมอไป จำต้องมีความใส่ใจ ความกำหนดใจ หรือความใฝ่ใจประกอบอยู่ด้วย วิญญาณนั้นๆ จึงจะเกิดขึ้น



นี่ก็รูป กับ นาม ข้อ 1-5 เป็นรูปธรรม ข้อ 6 เป็นนามธรรม

จักขุ โสต ฆาน ชิวหา กาย มโน นี่เป็นบาลี ถ้าคำแปลที่คนไทยไ้ด้ยินบ่อย ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

พอเอาบาลีมาถาม จักขุ - โสต -ฆาน - ชิวหา กาย - มโน กบนอกกลา ไม่เคยเห็น ถามเลยว่า กายมโน กายอะไร ? :b9:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2013, 05:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมะเป็นจะว่าง่ายก็ง่าย เพราะท่านพูดถึงมนุษย์หรือคนในยุคทุกสมัย จะว่ายากก็ยาก ถ้าเป็นส่วนนามธรรม นี่ยาก แล้วพวกเราก็ใช้นามธรรมคือจิตใจ (ธรรม) นี่แหละคิดกัน คือคิดๆๆๆๆ ไปตามพื้นฐานทางธรรมของตนว่าจากไหนส่วนใด :b1: อย่า่งโฮฮับฟุ้งซ่านหนัก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2013, 05:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


น้ำฝน ประกอบด้วย รูปอะไรบ้าง

ตอบ มี ดิน น้ำ ไฟ ลม สี(วัณณรูป) กลิ่น รส โอชา


เปลวไฟ ประกอบด้วย รูปอะไรบ้าง

ตอบ มี ดิน น้ำ ไฟ ลม สี(วัณณรูป) กลิ่น รส โอชา


เสียง ประกอบ ด้วย รูปอะไรบ้าง

มีใครเคยเห็นเสียงบ้าง

ตอบ มี ดิน น้ำ ไฟ ลม สี(วัณณรูป) กลิ่น รส โอชา

เสียง มีวัณณรูป แต่ทำไม มองไปเห็นเสียง .......... เออ เกิดอะไรขึ้น

เปิดโอกาส ให้ช่วยกัน วิเคราะห์ วิจารณ์ครับ

[url]http://abhidhamonline.org/aphi/p6/054.htm
[/url]

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2013, 05:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
น้ำฝน ประกอบด้วย รูปอะไรบ้าง

ตอบ มี ดิน น้ำ ไฟ ลม สี(วัณณรูป) กลิ่น รส โอชา


เปลวไฟ ประกอบด้วย รูปอะไรบ้าง

ตอบ มี ดิน น้ำ ไฟ ลม สี(วัณณรูป) กลิ่น รส โอชา


เสียง ประกอบ ด้วย รูปอะไรบ้าง

มีใครเคยเห็นเสียงบ้าง

ตอบ มี ดิน น้ำ ไฟ ลม สี(วัณณรูป) กลิ่น รส โอชา

เสียง มีวัณณรูป แต่ทำไม มองไปเห็นเสียง .......... เออ เกิดอะไรขึ้น

เปิดโอกาส ให้ช่วยกัน วิเคราะห์ วิจารณ์ครับ

[url]http://abhidhamonline.org/aphi/p6/054.htm
[/url]



ตามที่โกวิทคิด/พูด/เข้าใจ/ว่า ก็ถูก เป็นการแยกแยะออกไป ตำราท่านแยกไปอย่างนั้น ไม่ผิด ตา เห็น รูป จบตอนแค่นี้

ตา + รูป - รูปหยาบ ตามสามัญทั่วๆไป

หู + เสียง

จมูก + กลิ่น

ลิ้น+รส

กาย + ถูกต้องสัมผัส

ใจ+รู้เรื่องในใจ (ธรรมารมณ์)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2013, 10:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ความสัมพันธ์ที่มีชื่อในภาษาธรรมระหว่าง อายตนะ ๖ อารมณ์ ๖ และวิญญาณ ๖ ดังนี้

๑. จักขุ – ตา เป็นแดนรับรู้ รูป - รูป เกิดความรู้คือ จักขุวิญญาณ - เห็น

๒. โสต - หู --------------- สัททะ - เสียง ------------- โสตวิญญาณ - ไ้ด้ยิน

๓. ฆานะ - จมูก ----------- คันธะ - กลิ่น -------------- ฆานวิญญาณ – ได้กลิ่น

๔. ชิวหา - ลิ้น ------------- รส - รส ----------------- ชิวหาวิญญาณ - รู้รส

๕.กาย - กาย -------------- โผฏฐัพพะ - สิ่งต้องกาย ----------- กายวิญญาณ - รู้สิ่งต้องกาย

๖. มโน - ใจ --------------- ธรรมารมณ์ -เรื่องในใจ------------ มโนวิญญาณ - รู้เรื่องในใจ



อย่างไรก็ตาม แม้ว่า วิญญาณจะต้องอาศัยอายตนะและอารมณ์กระทบกันจึงจะเกิดขึ้นไ้ด้ ก็จริง แต่การที่อารมณ์เข้ามาปรากฏแก่อายตนะ ก็มิใช่จะทำให้วิญญาณเกิดขึ้นไ้ด้เสมอไป จำต้องมีความใส่ใจ ความกำหนดใจ หรือความใฝ่ใจประกอบอยู่ด้วย วิญญาณนั้นๆ จึงจะเกิดขึ้น



๖. มโน - ใจ --------------- ธรรมารมณ์ -เรื่องในใจ------------ มโนวิญญาณ - รู้เรื่องในใจ

ใจที่ทำสีแดงไว้ ใจตัวนี้ ช่วยอธิบายด้วยสิคะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2013, 10:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
น้ำฝน ประกอบด้วย รูปอะไรบ้าง

ตอบ มี ดิน น้ำ ไฟ ลม สี(วัณณรูป) กลิ่น รส โอชา


เปลวไฟ ประกอบด้วย รูปอะไรบ้าง

ตอบ มี ดิน น้ำ ไฟ ลม สี(วัณณรูป) กลิ่น รส โอชา


เสียง ประกอบ ด้วย รูปอะไรบ้าง

มีใครเคยเห็นเสียงบ้าง

ตอบ มี ดิน น้ำ ไฟ ลม สี(วัณณรูป) กลิ่น รส โอชา

เสียง มีวัณณรูป แต่ทำไม มองไปเห็นเสียง .......... เออ เกิดอะไรขึ้น

เปิดโอกาส ให้ช่วยกัน วิเคราะห์ วิจารณ์ครับ

[url]http://abhidhamonline.org/aphi/p6/054.htm
[/url]



คุณโกวิทเหมือนกำลังเข้าใจอะไรผิด :b1: ที่ว่า

อ้างคำพูด:
มีใครเคยเห็นเสียงบ้าง


ทวารหรืออินทรีย์ มีความเป็นใหญ่ในหน้าที่เฉพาะของมัน ตา + รูป หู + เสียง ฯลฯ

แต่คุณเหมือนจะเอาตาไปฟังเสียงนะน่า :b1: เอาทวาร (หู) ไปดมกลิ่น เอาไปดูหนังดูละคร ฯลฯ :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2013, 10:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ความสัมพันธ์ที่มีชื่อในภาษาธรรมระหว่าง อายตนะ ๖ อารมณ์ ๖ และวิญญาณ ๖ ดังนี้

๑. จักขุ – ตา เป็นแดนรับรู้ รูป - รูป เกิดความรู้คือ จักขุวิญญาณ - เห็น

๒. โสต - หู --------------- สัททะ - เสียง ------------- โสตวิญญาณ - ไ้ด้ยิน

๓. ฆานะ - จมูก ----------- คันธะ - กลิ่น -------------- ฆานวิญญาณ – ได้กลิ่น

๔. ชิวหา - ลิ้น ------------- รส - รส ----------------- ชิวหาวิญญาณ - รู้รส

๕.กาย - กาย -------------- โผฏฐัพพะ - สิ่งต้องกาย ----------- กายวิญญาณ - รู้สิ่งต้องกาย

๖. มโน - ใจ --------------- ธรรมารมณ์ -เรื่องในใจ------------ มโนวิญญาณ - รู้เรื่องในใจ



อย่างไรก็ตาม แม้ว่า วิญญาณจะต้องอาศัยอายตนะและอารมณ์กระทบกันจึงจะเกิดขึ้นไ้ด้ ก็จริง แต่การที่อารมณ์เข้ามาปรากฏแก่อายตนะ ก็มิใช่จะทำให้วิญญาณเกิดขึ้นไ้ด้เสมอไป จำต้องมีความใส่ใจ ความกำหนดใจ หรือความใฝ่ใจประกอบอยู่ด้วย วิญญาณนั้นๆ จึงจะเกิดขึ้น



๖. มโน - ใจ --------------- ธรรมารมณ์ -เรื่องในใจ------------ มโนวิญญาณ - รู้เรื่องในใจ

ใจที่ทำสีแดงไว้ ใจตัวนี้ ช่วยอธิบายด้วยสิคะ


ใจในที่นี้ไม่ใช่หัวใจ เป็นจิตหรือใจ หรือมโน บางทีเรียกรวมกันว่าจิตใจ

จับคู่กันให้ดู


จักขุ - ตา
โสต -หู
ฆาน -จมูก
ชิวหา -ลิ้น
กาย -กาย
มโน -ใจ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2013, 11:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
SOAMUSA เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ความสัมพันธ์ที่มีชื่อในภาษาธรรมระหว่าง อายตนะ ๖ อารมณ์ ๖ และวิญญาณ ๖ ดังนี้

๑. จักขุ – ตา เป็นแดนรับรู้ รูป - รูป เกิดความรู้คือ จักขุวิญญาณ - เห็น

๒. โสต - หู --------------- สัททะ - เสียง ------------- โสตวิญญาณ - ไ้ด้ยิน

๓. ฆานะ - จมูก ----------- คันธะ - กลิ่น -------------- ฆานวิญญาณ – ได้กลิ่น

๔. ชิวหา - ลิ้น ------------- รส - รส ----------------- ชิวหาวิญญาณ - รู้รส

๕.กาย - กาย -------------- โผฏฐัพพะ - สิ่งต้องกาย ----------- กายวิญญาณ - รู้สิ่งต้องกาย

๖. มโน - ใจ --------------- ธรรมารมณ์ -เรื่องในใจ------------ มโนวิญญาณ - รู้เรื่องในใจ



อย่างไรก็ตาม แม้ว่า วิญญาณจะต้องอาศัยอายตนะและอารมณ์กระทบกันจึงจะเกิดขึ้นไ้ด้ ก็จริง แต่การที่อารมณ์เข้ามาปรากฏแก่อายตนะ ก็มิใช่จะทำให้วิญญาณเกิดขึ้นไ้ด้เสมอไป จำต้องมีความใส่ใจ ความกำหนดใจ หรือความใฝ่ใจประกอบอยู่ด้วย วิญญาณนั้นๆ จึงจะเกิดขึ้น



๖. มโน - ใจ --------------- ธรรมารมณ์ -เรื่องในใจ------------ มโนวิญญาณ - รู้เรื่องในใจ

ใจที่ทำสีแดงไว้ ใจตัวนี้ ช่วยอธิบายด้วยสิคะ


ใจในที่นี้ไม่ใช่หัวใจ เป็นจิตหรือใจ หรือมโน บางทีเรียกรวมกันว่าจิตใจ

จับคู่กันให้ดู


จักขุ - ตา
โสต -หู
ฆาน -จมูก
ชิวหา -ลิ้น
กาย -กาย
มโน -ใจ


จักขุทวาร - จักขุปสาท
โสตทวาร - โสตปสาท
ฆานทวาร - ฆานปสาท
ชิวหาทวาร - ชิวหาปสาท
กายทวาร - กายปสาท
มโนทวาร - ภวังคจิต เป็นวิปากจิต

ผัสสะเกิดนั้นมีการกระทบกัน 3 ตัวนี้ค่ะ ภวังคจิต ธรรมารมณ์ มโนวิญญาณ

๖. มโน - ใจ --------------- ธรรมารมณ์ -เรื่องในใจ------------ มโนวิญญาณ - รู้เรื่องในใจ

แล้วเรื่องในใจ เรื่องอะไรบ้างคะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2013, 11:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:
กรัชกาย เขียน:
SOAMUSA เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ความสัมพันธ์ที่มีชื่อในภาษาธรรมระหว่าง อายตนะ ๖ อารมณ์ ๖ และวิญญาณ ๖ ดังนี้

๑. จักขุ – ตา เป็นแดนรับรู้ รูป - รูป เกิดความรู้คือ จักขุวิญญาณ - เห็น

๒. โสต - หู --------------- สัททะ - เสียง ------------- โสตวิญญาณ - ไ้ด้ยิน

๓. ฆานะ - จมูก ----------- คันธะ - กลิ่น -------------- ฆานวิญญาณ – ได้กลิ่น

๔. ชิวหา - ลิ้น ------------- รส - รส ----------------- ชิวหาวิญญาณ - รู้รส

๕.กาย - กาย -------------- โผฏฐัพพะ - สิ่งต้องกาย ----------- กายวิญญาณ - รู้สิ่งต้องกาย

๖. มโน - ใจ --------------- ธรรมารมณ์ -เรื่องในใจ------------ มโนวิญญาณ - รู้เรื่องในใจ



อย่างไรก็ตาม แม้ว่า วิญญาณจะต้องอาศัยอายตนะและอารมณ์กระทบกันจึงจะเกิดขึ้นไ้ด้ ก็จริง แต่การที่อารมณ์เข้ามาปรากฏแก่อายตนะ ก็มิใช่จะทำให้วิญญาณเกิดขึ้นไ้ด้เสมอไป จำต้องมีความใส่ใจ ความกำหนดใจ หรือความใฝ่ใจประกอบอยู่ด้วย วิญญาณนั้นๆ จึงจะเกิดขึ้น



๖. มโน - ใจ --------------- ธรรมารมณ์ -เรื่องในใจ------------ มโนวิญญาณ - รู้เรื่องในใจ

ใจที่ทำสีแดงไว้ ใจตัวนี้ ช่วยอธิบายด้วยสิคะ


ใจในที่นี้ไม่ใช่หัวใจ เป็นจิตหรือใจ หรือมโน บางทีเรียกรวมกันว่าจิตใจ

จับคู่กันให้ดู


จักขุ - ตา
โสต -หู
ฆาน -จมูก
ชิวหา -ลิ้น
กาย -กาย
มโน -ใจ


จักขุทวาร - จักขุปสาท
โสตทวาร - โสตปสาท
ฆานทวาร - ฆานปสาท
ชิวหาทวาร - ชิวหาปสาท
กายทวาร - กายปสาท
มโนทวาร - ภวังคจิต เป็นวิปากจิต

ผัสสะเกิดนั้นมีการกระทบกัน 3 ตัวนี้ค่ะ ภวังคจิต ธรรมารมณ์ มโนวิญญาณ

๖. มโน - ใจ --------------- ธรรมารมณ์ -เรื่องในใจ------------ มโนวิญญาณ - รู้เรื่องในใจ

แล้วเรื่องในใจ เรื่องอะไรบ้างคะ



ทุำกเรืองที่มันคิดในใจนั่น เห็น แล้วก็คิด ฟังแล้วก็คิด จมูก ไ้ด้กลิ่น ก็คิดฯ เห็น-ไ้ด้ยิน- ไ้ด้กลิ่นฯลฯ ผ่านมาตั้งนมนานก็ยังคิด เยอะแยะบรรยายไม่หวาดไหว ลองนั่งหลับตาคิดดูเองจะเข้าใจ

การจำแนกแจกแจงออกไปนั่น แยอะแยะ จำแนกไ้ด้หลายแบบหลายวิธี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 134 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 60 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร