พี่โฮ จขกท.ว่าไง เห็นแว้บๆ คิกๆๆ

บางคนก็ทำซะเกินความดีที่พระองค์ให้ทำยังไม่พอไปทำความดีกินเจขึ้นมาอีกพวกนี้ก็ปรุ่งแต่งเกินไป ส่วนพวกที่ชอบตัดพวกอ่านมากขี้เกียจปฎิบัติก็ตัดออกจากสมถะวิปัสนิให้เหลือแต่วิปัสนาโลกหนอทำไมถึงเป็นเช่นนี้พร่องอยู่เป็นนิจ

วิธีมันมีมากนั้นก็เป็นวิธีที่ผมทำได้ไม่ผิดจากพระสูตร

นี่ก็ทำตามพยัญชนะ ทำตามตัวหนังสือ คือ อ่านๆแล้วเห็นถ้อยคำบางคำถูกใจถูกจริต เอาเลย ทำตามนั่นเลย โดยไม่ได้เข้าใจความหมายของเขา ยกตัวอย่างก็เช่น ดับ ดับกายสังขาร นั่นแหละ

แล้วที่อ่านแล้วถุูกใจจ๊อดอีก คือ อะไรล่ะ ศรัทธา ศีล สุตตะ จาคะ ปัญญา อ่านเพลินๆ เห็นว่าพวกนี้ทำให้หมดกิเลสได้ ทำให้สิ้นอาสวะ เป็นนั่นเป็นนี่ได้ แหมตรงใจถูกใจจัง เอาเลยครับ ศรัทธา ศีล สุตตะ จาคะ ปัญญา คิกๆ สำเร็จทุกอย่างว่างั้น
ถ้าพอจำได้กรัชกายแซวว่า นำไปบูชายังไงจึงสำเร็จตามนั้นน่ะ

ที่พูดเนี่ยพอเข้าใจมั้ยขอรับ

สำเร็จทุกอย่างแน่ถ้าปฎิบัติได้ตามนั้นเน้นปฎิบัตินะครับไม่ใช่อ่านแต่ตัวหนังสือ. ขอถามกรัชกายหน่อยจะดับกายสังขารคิดว่าทำอย่างไร

จะบอกให้ ทำวิปัสสนา โยคีต้องเอาตัวเอง (กาย-ใจ หรือนามรูป) เป็นตัวตั้ง

ไม่ใช่ไปทำให้ตรงกับพระสูตร แล้วบอกไม่ผิดพระสูตร พระสูตรหรือตัวหนังสือ (ไม่มีชีวิตจิตใจเหมือนคน) เขาเขียนไว้ยังไงก็อยู่ยังงั้น เป็นพันเป็นหมื่นปีก็คงที่ แต่ชีวิตจิตใจคนเปลี่ยนแปลงวันๆนับไม่ถ้วน (ที่บอกนี่ ไม่ใช่ให้ปฏิเสธตำรานะ ตำราเป็นส่วนประกอบเสริม เอาไว้เทียบเคียง อ่านแต่ตำราไม่เข้าใจชีวิต ก็บลาๆๆ คิกๆๆ)

ตามดูรู้ทันความรู้สึกนึกคือหรือนามรูป (ธรรมชาติ) จึงบอกว่าภาคปฏิบ้ติ ขณะนั้น เป็นยังไง รู้สึกยังไง กำหนดรู้ตามเป็นจริง หรือตามที่มัีนเป็นของมัน พอเข้าใจไหมขอรับ

ปัดโธ่ ก็บอกไปแล้ว (ถ้าจะอุปาทาน ดับกายสังขาร) ก็ดับอวิชชาซี่ (พูดดักไว้ก่อน) ถ้าจะถามว่า ดับอวิชชาทำยังไง ก็ตามดูรู้ทันตามที่มัน (นามรูป) เป็นซี่ แล้ววิชชาก็จะค่อยเจริญขึ้นๆ ค่อยๆ ฝึกไป อย่าหักโหม เดี๋ยวเป็นเรื่อง

อ้าวแล้วที่พรสูตรกล่าวไว้ล่ะที่ดับกายสังขารที่จตุตฌานไง พี่กล่าธรรมเป็นข้าศึกต่อพระศาสดานี่

อันนี้โยคีจะต้องได้จตุตถฌาน คือ ฌานที่ 4 น่ะ (ทั้งคุณและกรัชกายยังไม่ได้ฌานสักฌานเดียว) แต่ amazing อ่านพระสูตรแล้วอยากได้ฌาน อยากดับกายสังขาร (แต่ไม่รู้ความหมายของสิ่งที่จะทำที่อยาก) ดับในที่นี้ มีความหมายเพียงระงับกายสังขาร แต่คุณเข้าใจคำว่า ดับ ตามที่ตนวาดภาพ

คุณเข้าใจคำว่า ดับ ยังไง "ดับ" ถูกแปลมาจากบาลีศัพท์ใดมาก่อน คุณพอรู้เห็นไหม


ฌานที่ 4 เพียงระงับกิเลส คือกิเลสเพียงระงับชั่วคราว เข้าใจเสียอย่า่งนี้ ก็พอหายเกร็งกล้ามเนื้อได้หน่อยไหม

อย่ามัวมาตีคำอยู่เลยคำว่าระงับกับดับคนที่เขาเคยผ่านมาเขารู้ว่ามันดับชั่วคราวทั้งนั้นจะเป็นใครก็ตาม “ดูก่อนคฤหบดี เมื่อภิกษุเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ วจีสังขารดับก่อนต่อจากนั้นกายสังขารดับ ต่อจากนั้นจิตสังขารจึงดับ....”

กามภูสูตรที่ ๒ สฬา. สํ. (๕๖๑-๕๖๔)
ตบ. ๑๘ : ๓๖๐-๓๖๒ ตท. ๑๘ : ๓๒๓-๓๒๔
ตอ. K.S. ๔ : ๒๐๑
เห็นมั้ยครับระงับหรือดับมันอาการเดียวกันแล้วแต่จะใช้คำ ผู้ที่เข้าถึงนั้นเขารู้ดีเพราะมันชั่วคราวเท่านั้น

และท่านยังไม่เคยสัมผัสท่านจะว่าเขาผิดทางได้ไง

ดูความหมายของศัพท์ที่พูดๆหน่อย

กายสังขาร = กายสัญเจตนา (ความจงใจทางกาย) = เจตนา 20 ทางกายทวาร (กามาวจรกุศล 8 อกุศล 12)

วจีสังขาร = วจีสัญเจตนา (ความจงใจทางวาจา) = เจตนา 20 ทางวจีทวาร (กามาวจรกุศล 8 อกุศล 12)

จิตตสังขาร = มโนสัญเจตนา (ความจงใจในใจ) = เจตนา 29 ในมโนทวาร ที่ยังมิได้แสดงออกเป็นกายวิญญัติ หรือวจีิวิญญัติ

รู้ไหมใครที่เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธได้

ถ้าตามตำรานะก็ต้องอย่างน้อยก็พระอานาคามีที่ไดุสมาบัติแปดด้วยนะถ้าจำไม่ผิด

ทวนอีกที ดับกายสังขาร ตามนิยามของ amazing ต้องยังไง มีร่างกายขึ้นไปบังสมองตรงกลางระหว่างคิ้วอีกอยู่ไหม