วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 17:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 112 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2013, 05:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โดยกันตามหลักแล้ว ความจริงจะเกิดได้ต้องมีการเปรียบเทียบ
นั้นก็คือจะต้องมี สิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นตัวหลัก อย่างเช่น.....

กล่าวในแง่การเปรียบเทียบเพื่อหาความจริง โดยเอาผู้หญิงเป็นหลัก
ฉะนั้นการหาความจริง เราต้องหาคนที่มีเพศหญิง แบบนี้จึงเรียกความจริง
เพศชายหรือกระเทย ทั้งสองที่กล่าวมาเป็นเรื่องไม่จริงของเพศหญิง
กลับกันถ้าเราเอาเพศชายเป็นหลัก ความจริงก็คือเพศชาย ส่วนความไม่จริงก็คือ
เพศหญิงและกระเทย

แต่ถ้าเราจะกล่าวโดยรวม โดยเอาความเป็นมนุษย์เป็นหลัก
ทั้งสามเพศย่อมเป็นความจริง เพราะทั้งสามเพศเป็นมนุษย์เหมือนกัน



ที่ยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ก็เพื่อจะให้เอาไปพิจารณาแยกแยะ ธรรมะหรือธรรมชาติ
ว่าความจริงหรือไม่จริง มันเป็นอย่างไรและมันมีหรือเปล่า

และสมมติสัจจะเป็นอย่างไร ปรมัตถ์สัจจะเป็นอย่าง อะไรจริงอะไรไม่จริง
เหตุใดจึงเรียกสมมติและเหตุใดจึงเรียกปรมัตถ์ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2013, 08:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1375241010-1370203825-o.gif
1375241010-1370203825-o.gif [ 497.16 KiB | เปิดดู 3663 ครั้ง ]
พี่โฮ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2013, 08:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
โดยกันตามหลักแล้ว ความจริงจะเกิดได้ต้องมีการเปรียบเทียบ
นั้นก็คือจะต้องมี สิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นตัวหลัก อย่างเช่น.....

กล่าวในแง่การเปรียบเทียบเพื่อหาความจริง โดยเอาผู้หญิงเป็นหลัก
ฉะนั้นการหาความจริง เราต้องหาคนที่มีเพศหญิง แบบนี้จึงเรียกความจริง
เพศชายหรือกระเทย ทั้งสองที่กล่าวมาเป็นเรื่องไม่จริงของเพศหญิง
กลับกันถ้าเราเอาเพศชายเป็นหลัก ความจริงก็คือเพศชาย ส่วนความไม่จริงก็คือ
เพศหญิงและกระเทย

แต่ถ้าเราจะกล่าวโดยรวม โดยเอาความเป็นมนุษย์เป็นหลัก
ทั้งสามเพศย่อมเป็นความจริง เพราะทั้งสามเพศเป็นมนุษย์เหมือนกัน



ที่ยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ก็เพื่อจะให้เอาไปพิจารณาแยกแยะ ธรรมะหรือธรรมชาติ
ว่าความจริงหรือไม่จริง มันเป็นอย่างไรและมันมีหรือเปล่า

และสมมติสัจจะเป็นอย่างไร ปรมัตถ์สัจจะเป็นอย่าง อะไรจริงอะไรไม่จริง
เหตุใดจึงเรียกสมมติและเหตุใดจึงเรียกปรมัตถ์ :b13:



อยากรู้เหมือนกัลว่าเหตุใดจึงเรียกจึงเป็นยังงั้น จะรอดูรออ่านนะขอรับ :b8: :b36:


ว่าแต่ว่า ชีวิต ที่เรียกันว่าคนหมดทั้งเนื้อทั้งตัวเนี่ยเป็นธรรมะมั้ย :b10: :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2013, 09:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


ความจริงก็คือสิ่งที่ปรากฏอะไรก็ได้ที่ปรากฏในทวารทั้งหมดเป็นความจริง บัญญัตินั้นเอาไว้เรียกสิ่งที่ปรากฏ ความจริงที่เกิดขึ้นจะเรียกว่าอะไรก็ได้ไม่ผิด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2013, 09:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
ความจริงก็คือสิ่งที่ปรากฏอะไรก็ได้ที่ปรากฏในทวารทั้งหมดเป็นความจริง บัญญัตินั้นเอาไว้เรียกสิ่งที่ปรากฏ ความจริงที่เกิดขึ้นจะเรียกว่าอะไรก็ได้ไม่ผิด



ว่ายังงี้ ก็แปลว่า คนก็รู้ความจริงกันหมดดิ เพราะคนทุกๆคน มีทวาร (อะไรกัน) ทั้งนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2013, 09:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
ความจริงก็คือสิ่งที่ปรากฏอะไรก็ได้ที่ปรากฏในทวารทั้งหมดเป็นความจริง บัญญัตินั้นเอาไว้เรียกสิ่งที่ปรากฏ ความจริงที่เกิดขึ้นจะเรียกว่าอะไรก็ได้ไม่ผิด



ว่ายังงี้ ก็แปลว่า คนก็รู้ความจริงกันหมดดิ เพราะคนทุกๆคน มีทวาร (อะไรกัน) ทั้งนั้น
ใช่ทุกคนรู้รสของความจริงทั้งนั้น แต่ทุกคนอาจจะไม่เข้าใจถึงลักษณะของความจริงนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2013, 09:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
ความจริงก็คือสิ่งที่ปรากฏอะไรก็ได้ที่ปรากฏในทวารทั้งหมดเป็นความจริง บัญญัตินั้นเอาไว้เรียกสิ่งที่ปรากฏ ความจริงที่เกิดขึ้นจะเรียกว่าอะไรก็ได้ไม่ผิด



ว่ายังงี้ ก็แปลว่า คนก็รู้ความจริงกันหมดดิ เพราะคนทุกๆคน มีทวาร (อะไรกัน) ทั้งนั้น
ใช่ทุกคนรู้รสของความจริงทั้งนั้น แต่ทุกคนอาจจะไม่เข้าใจถึงลักษณะของความจริงนั้น



ทำอย่างไร จึงเข้าใจลักษณะของความจริงนั้นๆ :b8: :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2013, 12:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
ความจริงก็คือสิ่งที่ปรากฏอะไรก็ได้ที่ปรากฏในทวารทั้งหมดเป็นความจริง บัญญัตินั้นเอาไว้เรียกสิ่งที่ปรากฏ ความจริงที่เกิดขึ้นจะเรียกว่าอะไรก็ได้ไม่ผิด


สิ่งที่ปรากฎในทวารทั้งหมด รู้อย่างไรจึงจะเรียกว่ารู้จริง
นั้นก็คือรู้โดย สภาวะที่เป็นไปตามลักษณะของมัน ก็คือรู้ด้วยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
แต่ก็ไม่ได้หมายถึง ผู้ที่ไม่เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะเป็นผู้รู้ไม่จริง
เพียงแต่เขายังไม่เห็นความจริง มันเป็นความจริงของผู้เป็นอวิชา

จะเอาสิ่งที่ยังไม่จำเพราะเจาะจงมาถามว่า อย่างไหนจริงหรือไม่จริงไม่ได้
เพราะไม่มีหลัก ในความจริงของสิ่งใด มันต้องเอาหลักที่ว่าด้วยความจริงของอะไร
เช่น ความจริงของวิชชา หรือความจริงของอวิชา เพราะทั้งสองล้วนเป็นจริง



ความจริงหรือความไม่จริง มันต้องเป็นลักษณะของสองสิ่งขึ้นไป
แล้วเราต้องจำเพราะเจาะจงลงไปว่าในลักษณะของความต่าง แล้วเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง

อย่างเช่น อเมชิ่งกับกรัชกายเป็นสมาชิกลานธรรมจักรทั้งคู่
ถ้าถามว่า ....ใครในสองคนนี่ ชอบเกรียนและเซ้าซี้คนอื่น
ถ้ามีคนบอกว่า เป็นอเมชิ่ง แบบนี้ไม่เป็นความจริง
แต่ถ้าบอกว่า กรัชกาย นี่แหล่ะความจริง
และถ้าเป็นกรณีที่ว่า ใครเป็นสมาชิกลานธรรมจักร
ทั้งกรัชกายและอเมชิ่งก็คือความจริง




สังเกตุให้ดีว่าต้องมีการเปรียบเทียบตั้งแต่สิ่งสองสิ่งขึ้นไป
และต้องกล่าวถึงคุณลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งและเลือกเอา
จะเอาลักษณะของใครเป็นหลัก ใครมีลักษณะอย่างที่เป็นหลักนั้นคือความจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2013, 13:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:

อย่างเช่น อเมชิ่งกับกรัชกายเป็นสมาชิกลานธรรมจักรทั้งคู่
ถ้าถามว่า ....ใครในสองคนนี่ ชอบเกรียนและเซ้าซี้คนอื่น
ถ้ามีคนบอกว่า เป็นอเมชิ่ง แบบนี้ไม่เป็นความจริง
แต่ถ้าบอกว่า กรัชกาย นี่แหล่ะความจริง
และถ้าเป็นกรณีที่ว่า ใครเป็นสมาชิกลานธรรมจักร
ทั้งกรัชกายและอเมชิ่งก็คือความจริง





ที่พี่โฮอธิบายมา จริงโดยสมมติ เรียกตามศัพท์ว่า สมมติสัจจะ :b1: ยังไม่ใช่จริงโดยความหมายสูงสุด ที่เรียกตามศัพท์ว่า ปรมัตถสัจจะ

เหมือนพี่โฮหนีความจริง (สมมติสัจจะ) เพราะไม่รู้ปรมัตถสัจจะ :b32:

http://www.youtube.com/watch?v=Gtgn9Ow08YE

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2013, 13:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
ความจริงก็คือสิ่งที่ปรากฏอะไรก็ได้ที่ปรากฏในทวารทั้งหมดเป็นความจริง บัญญัตินั้นเอาไว้เรียกสิ่งที่ปรากฏ ความจริงที่เกิดขึ้นจะเรียกว่าอะไรก็ได้ไม่ผิด



ว่ายังงี้ ก็แปลว่า คนก็รู้ความจริงกันหมดดิ เพราะคนทุกๆคน มีทวาร (อะไรกัน) ทั้งนั้น
ใช่ทุกคนรู้รสของความจริงทั้งนั้น แต่ทุกคนอาจจะไม่เข้าใจถึงลักษณะของความจริงนั้น



ทำอย่างไร จึงเข้าใจลักษณะของความจริงนั้นๆ :b8: :b14:

จะเข้าถึงความจริงนั้น การเข้าถึงความจริงนั้นนอกจากพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วไซร้จะต้องได้ยินได้ฟังหรือศึกษาเรื่องราวจากการอ่านเสียก่อน ฉะนั้นแล้วไซร้ปัญญาของเราไม่สามารถจะเข้าถึงความรู้นี้ได้ไม่สามารถเกิดขึ้นเองในขันธ์สันดานของเราเองได้เลย ความจริงอันปรเสริฐสูงสุดคืออริยสัจสี่นั้นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2013, 13:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
ความจริงก็คือสิ่งที่ปรากฏอะไรก็ได้ที่ปรากฏในทวารทั้งหมดเป็นความจริง บัญญัตินั้นเอาไว้เรียกสิ่งที่ปรากฏ ความจริงที่เกิดขึ้นจะเรียกว่าอะไรก็ได้ไม่ผิด



ว่ายังงี้ ก็แปลว่า คนก็รู้ความจริงกันหมดดิ เพราะคนทุกๆคน มีทวาร (อะไรกัน) ทั้งนั้น
ใช่ทุกคนรู้รสของความจริงทั้งนั้น แต่ทุกคนอาจจะไม่เข้าใจถึงลักษณะของความจริงนั้น



ทำอย่างไร จึงเข้าใจลักษณะของความจริงนั้นๆ :b8: :b14:

จะเข้าถึงความจริงนั้น การเข้าถึงความจริงนั้นนอกจากพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วไซร้จะต้องได้ยินได้ฟังหรือศึกษาเรื่องราวจากการอ่านเสียก่อน ฉะนั้นแล้วไซร้ปัญญาของเราไม่สามารถจะเข้าถึงความรู้นี้ได้ไม่สามารถเกิดขึ้นเองในขันธ์สันดานของเราเองได้เลย ความจริงอันปรเสริฐสูงสุดคืออริยสัจสี่นั้นเอง



ลองอ่านบทความนี้ดูน่าจะให้แง่คิดได้พอสมควร :b1:


"พระองค์ผู้เจริญ ถืงแม้ข้าพระองค์แก่แล้ว เป็นผู้เฒ่าผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่นวัยมาโดยลำดับก็ตาม ขอพระผู้มีพระภาคสุคตเจ้าโปรดทรงแสดธรรมแก่ข้าพระองค์แต่โดยย่อเถิด ข้าพระองค์คงจะเข้าใจความแห่งพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคได้เป็นแน่ ข้าพระองค์คงจะเป็นทายาทแห่งพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคได้เป็นแ่น่"


"แน่ะมาลุงกยบุตร ท่านเห็นเป็นประการใด? รูปทั้งหลายที่พึงรู้ด้วยจักษุอย่างใดๆ ซึ่งเธอยังไม่เห็น ทั้งมิเคยได้ยิน ทั้งไม่เห็นอยู่ ทั้งไม่เคยคิดหมายว่าขอเราพึงเห็น ความพอใจ ความใคร่ หรือความรัก ในรูปเหล่านั้น จะมีแก่เธอไหม?

มาลุงกยบุตร: "ไม่มี พระเจ้าข้า"

"เสียง...กลิ่น...รส...โผฏฐัพพะ...ธรรมารมณ์ทั้งหลาย อย่างใดๆ อย่างใดๆ เธอไม่ได้ทราบ ไม่เคยทราบ ไม่ทราบอยู่ และทั้งไม่เคยคิดหมายว่าเราพึงทราบ ความพอใจ ความใคร่ หรือความรัก ในธรรมารมณ์เหล่านั้น จะมีแก่เธอไหม?

"ไม่มี พระเจ้าข้า"

"มาลุงกยบุตร บรรดาสิ่งที่เห็น ได้ยินรู้ทราบเหล่านี้ ในสิ่งที่เห็น เธอจักมีแค่เห็น ในสิ่งที่ได้ยิน เธอจักมีแค่ไ้ด้ยิน ในสิ่งที่ลิ้ม ดม แตะต้อง จักมีแค่รู้ (รส กลิ่น แตะต้อง) ในสิ่งที่ทราบ จักมีแค่ทราบ


"เมื่อใด (เธอมีแค่เห็น ได้ยิน ได้รู้ ได้ทราบ) เมื่อนั้น เธอก็ไม่มีด้วยนั่น (อรรถกถาอธิบายว่า ไม่ถูกราคะ โทสะ โมหะ ครอบงำ) เมื่อไม่มีด้่วยนั่น ก็ไม่มีที่นั่น (อรรถกถาอธิบายว่า ไม่พัวพันหมกติดอยู่ในสิ่งที่ได้เห็น เ็ป็นต้น นั้น) เมื่อไม่ที่นั่น เธอก็ไม่มีที่นี่ ไม่มีที่โน่น ไม่มีระหว่าง่ที่นี่ที่โน่น (ไม่ใช่ภพนี้ ไม่ใช่ภพโน้น ไม่ใช่ระหว่างภพทั้งสอง) นั่นแหละคือที่จบสิ้นแห่งทุกข์"


พระมาลุงกยบุตรสดับแล้ว กล่าวความตามที่ตนเข้าใจออกมาว่า


"พอเห็นรูป สติก็หลงหลุด ด้วยมัวใส่ใจแต่นิมิตหมายที่น่ารัก แล้วก็มีจิตกำหนัดติดใจ เสวยอารมณ์ แล้วก็สยยอยู่กับอารมณ์นั้นเอง

"เวทนาหลากหลาย อันก่อกำเนิดขึ้นจากรูป ขยายตัวเพิ่มขึ้น จิตของเขาก็คอยถูกกระทบกระทั่ง ทั้งกับความอยาก และความยุ่งยากใจ เมื่อสั่งสมทุกข์อยู่อย่างนี้ ก็เรียกว่าไกลนิพพาน

"พอไ้ด้ยินเสียง...พอไ้ด้กลิ่น...พอไ้ด้ลิ้มรส...พอถูกต้องโผฏฐัิพพะ... พอรู้ธรรมารมณ์ สติก็หลงหลุด ฯลฯ ก็เรียกว่าไกลนิพพาน"

"เห็นรูป ก็ไม่ติดในรูป ด้วยมีสติมั่นอยู่ มีจิตไม่ติดใจ เสวยเวทนาไป ก็ไม่สยบกับอารมณ์นั้น เขามีสติดำเนินชีวิตอย่างที่ว่า เมื่อเห็นรูป และถึงจะเสพเวทนา ทุกข์ก็มีแต่สิ้น ไม่สั่งสม เมื่อไม่สั่งสมทุกข์อยู่อย่างนี้ ก็เรียกว่าใกล้นิพพาน"

"ไ้ด้ยินเสียง...ไ้ด้กลิ่น...ลิ้มรส...ถูกต้องโผฏฐัิพพะ...รู้ธรรมารมณ์ ก็ไม่ติดในธรรมารมณ์ ด้วยมีสติืมั่นอยู่ ฯลฯ ก็เรียกว่าใกล้นิพพาน"

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2013, 13:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:

จะเข้าถึงความจริงนั้น การเข้าถึงความจริงนั้นนอกจากพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วไซร้จะต้องได้ยินได้ฟังหรือศึกษาเรื่องราวจากการอ่านเสียก่อน ฉะนั้นแล้วไซร้ ปัญญาของเราไม่สามารถจะเข้าถึงความรู้นี้ได้ ไม่สามารถเกิดขึ้นเองในขันธ์สันดานของเราเองได้เลย ความจริงอันปรเสริฐสูงสุดคืออริยสัจสี่นั้นเอง



อริยสัจสี่อีกแล้วหรือครับเนี่ย อะไรกันอริยสัจสี่ อ่านยังไง ปัญญาจึงจะเกิดครัีบ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2013, 13:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:

จะเข้าถึงความจริงนั้น การเข้าถึงความจริงนั้นนอกจากพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วไซร้จะต้องได้ยินได้ฟังหรือศึกษาเรื่องราวจากการอ่านเสียก่อน ฉะนั้นแล้วไซร้ ปัญญาของเราไม่สามารถจะเข้าถึงความรู้นี้ได้ ไม่สามารถเกิดขึ้นเองในขันธ์สันดานของเราเองได้เลย ความจริงอันปรเสริฐสูงสุดคืออริยสัจสี่นั้นเอง



อริยสัจสี่อีกแล้วหรือครับเนี่ย อะไรกันอริยสัจสี่ อ่านยังไง ปัญญาจึงจะเกิดครัีบ :b1:
ผมว่าเราคุยเรื่องนี้กันมาหลายรอบแล้วนะครับ อะไรอะไรจะหนี่ความจริงในเรื่องนี้ได้อย่างไรท่านกรัชกาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2013, 14:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:

จะเข้าถึงความจริงนั้น การเข้าถึงความจริงนั้นนอกจากพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วไซร้จะต้องได้ยินได้ฟังหรือศึกษาเรื่องราวจากการอ่านเสียก่อน ฉะนั้นแล้วไซร้ ปัญญาของเราไม่สามารถจะเข้าถึงความรู้นี้ได้ ไม่สามารถเกิดขึ้นเองในขันธ์สันดานของเราเองได้เลย ความจริงอันปรเสริฐสูงสุดคืออริยสัจสี่นั้นเอง



อริยสัจสี่อีกแล้วหรือครับเนี่ย อะไรกันอริยสัจสี่ อ่านยังไง ปัญญาจึงจะเกิดครัีบ :b1:
ผมว่าเราคุยเรื่องนี้กันมาหลายรอบแล้วนะครับ อะไรอะไรจะหนี่ความจริงในเรื่องนี้ได้อย่างไรท่านกรัชกาย


เรื่องอริยสัจสี่ จำได้ว่าเราไม่เราไม่คุยกันนะครับ :b1: แต่ไม่เป็นไร ไม่คุยก็ไม่คุย คุยไป amazing จะตกม้าตาย ขายหน้าเขา นอนไม่หลับอีกต่างหาก :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2013, 14:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:

จะเข้าถึงความจริงนั้น การเข้าถึงความจริงนั้นนอกจากพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วไซร้จะต้องได้ยินได้ฟังหรือศึกษาเรื่องราวจากการอ่านเสียก่อน ฉะนั้นแล้วไซร้ ปัญญาของเราไม่สามารถจะเข้าถึงความรู้นี้ได้ ไม่สามารถเกิดขึ้นเองในขันธ์สันดานของเราเองได้เลย ความจริงอันปรเสริฐสูงสุดคืออริยสัจสี่นั้นเอง



อริยสัจสี่อีกแล้วหรือครับเนี่ย อะไรกันอริยสัจสี่ อ่านยังไง ปัญญาจึงจะเกิดครัีบ :b1:
ผมว่าเราคุยเรื่องนี้กันมาหลายรอบแล้วนะครับ อะไรอะไรจะหนี่ความจริงในเรื่องนี้ได้อย่างไรท่านกรัชกาย


เรื่องอริยสัจสี่ จำได้ว่าเราไม่เราไม่คุยกันนะครับ :b1: แต่ไม่เป็นไร ไม่คุยก็ไม่คุย คุยไป amazing จะตกม้าตาย ขายหน้าเขา นอนไม่หลับอีกต่างหาก :b1:
ผมจะสู้ท่านกรัชกายผู้ทรงคุณวุฒิได้อย่างไรครับผมแค่กายสังขารดับไปเท่านั้นเอง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 112 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 51 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร