วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 04:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2013, 07:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




1081382_221719834652558_1469156012_n.jpg
1081382_221719834652558_1469156012_n.jpg [ 135.01 KiB | เปิดดู 4460 ครั้ง ]
ตื่นเถิดชาวพุทธ

พระอริยบุคคลไม่สามารถมองได้ด้วยตาแล้วตัดสินใจว่าเป็นพระอริยเจ้า
พระอริยเจ้าไม่สามารถฟังได้ด้วยหู ตามที่ได้ยินเขาพูดกัน สิ่งที่จะรู้ว่าใครคือพระอริยเจ้านั้น
ต้องรู้ได้ด้วยปัญญาของตนเองด้วยปัญญาที่สูงกว่า หรือเสมอกันจึงจะรู้ได้
พระอริยเจ้านั้นท่านเป็นผู้สำเร็จด้วยนามธรรม คือเป็นผู้ที่ละกิเลสในขันธสันดาน
นามธรรมนั้นต้องรู้ได้ด้วยใจ ไม่สามารถรู้ได้ด้วยตา ไม่สามารถรู้ได้ด้วยหู
คงเคยได้ยินกันมาบ้างว่า ท่านนั้นเป็นพระอรหันต์ เราไม่ควรเชื่อตามโดยทันที
ต้องคิดพิจารณาว่า คนที่นำมาบอกนั้นเขารู้ได้อย่างไรว่า ผู้นั้นเป็นพระอรหันต์
ผู้พูดก็จะต้องเป็นพระอรหันต์แล้วเช่นกัน จึงจะรู้ได้ หรือจะว่าผู้เป็นพระอรหันต์นั้นบอก
ก็ลองคิดซิว่ากิเลสทั้งหลายพระอรหันต์ท่านถูกทำลายไปหมดสิ้นแล้ว และจะเหลืออะไรที่จะนำ
มาอวดอ้าง ได้อีก ลาภ สักการะ สรรญเสริญ ก็ถูกทำลายไปหมดสิ้นแล้วนะที่นั้น

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2013, 07:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

สิ่งที่ควรสังเกตุ พระเทวฑัต เป็นผู้สำเร็จในวิชชาสมาบัติ ๘ เป็นผู้ที่แสดงอิทธิฤทธิ์ได้มากมาย
แต่เพราะปัญญาไม่เสมอกัน พระเทวฑัตจึงกระทำโลหิตุปบาทต่อพระองค์ จนถึงกับให้ตกนรกอเวจี
เพราะด้วยความ โลภ ใน ลาภ สักการะ สรรเสริญ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2013, 13:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


การจะรู้ว่าใครเป็นพระอรหันต์ไม่ง่ายเลย
พระสงฆ์ ก็มีทั้งสมมุติสงฆ์ และอริยสงฆ์
ควรคิดถึงสงฆ์หมู่ใหญ่ไว้ ให้เห็นแก่สงฆ์ ทำทานก็ทำกับสงฆ์นึกถึงสงฆ์ไว้
แม้สมมุติสงฆ์ก็เป็นผู้ถือธงชัยแห่งพระอรหันต์
ชาวพุทธก็ควรคิด พูด ทำ กับพระสงฆ์ด้วยเมตตา
ด้วยกุศลจิต ไม่ใช่ด้วยอกุศลจิต

ไม่ใช่เฉพาะกับพระสงฆ์เท่านั้นไม่ว่าจะกับใครก็ควรคิดพูดทำด้วยกุศลจิต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2013, 14:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมว่าไม่เกี่ยวกับชาวพุทธที่แท้หรือไม่แท้ครับ ชาวพุทธที่แท้ต้องเห็นความทุกข์ ความเป็นอนิจจัง ความเป็นอนัตตา ว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องประสบครับ แล้วดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท เจริญปัญญา พิจารณาธรรมตามความเป็นจริง

การที่จะใช้อะไรเข้าไปรู้สถานะของบักบวชว่าบรรลุชั้นไหน ไม่ใช่ธุระของชาวพุทธที่แท้ครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2013, 16:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




1082299_230090457148829_1368303946_n.jpg
1082299_230090457148829_1368303946_n.jpg [ 132.58 KiB | เปิดดู 4393 ครั้ง ]
:b8: :b8: มีคำถามครับ :b8:

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2013, 09:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
รู้ได้จากจริยาวัตรและธรรมที่ท่านแสดง โดยเอาคุณสมบัติของพระอรหันต์ที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้มาประกอบการพิจารณา
Kiss


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2013, 13:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ใช้สมองคิด..ไม่ได้หรอก..อโสกะ
แม้....จะใช้คุณสมบัติของพระอรหันต์ที่มีบันทึกใว้ก็ตาม....แต่สิ่งที่จะนำมาเทียบเคียงก็ต้องผ่านสมองคิด..

แค่ตาเห็น.....ก็เห้นเพียงภายนอก....ซึ่งมันหลอกกันได้....

ที๋ดี่สุด....คือ....ไม่ต้องอยากรู้คุณธรรมของใครหรอก....เพียงท่านมีจริยาวัตรงดงาม....ก็ทำบุญกับท่านได้แล้ว

หาก..ยังอยากจะรู้อยู่อีก...ก็แนะนำ..ทำตัวท่านให้เป็นอรหันต์...ซะเอง...อันนี้รู้ชัว.ร์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2013, 13:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




ปัญญามี ๔ ระดับ.JPG
ปัญญามี ๔ ระดับ.JPG [ 67.39 KiB | เปิดดู 4140 ครั้ง ]
กบนอกกะลา เขียน:
ใช้สมองคิด..ไม่ได้หรอก..อโสกะ
แม้....จะใช้คุณสมบัติของพระอรหันต์ที่มีบันทึกใว้ก็ตาม....แต่สิ่งที่จะนำมาเทียบเคียงก็ต้องผ่านสมองคิด..

แค่ตาเห็น.....ก็เห้นเพียงภายนอก....ซึ่งมันหลอกกันได้....

ที๋ดี่สุด....คือ....ไม่ต้องอยากรู้คุณธรรมของใครหรอก....เพียงท่านมีจริยาวัตรงดงาม....ก็ทำบุญกับท่านได้แล้ว

หาก..ยังอยากจะรู้อยู่อีก...ก็แนะนำ..ทำตัวท่านให้เป็นอรหันต์...ซะเอง...อันนี้รู้ชัว.ร์


จริงดังนั้น ! ตาเป็นเพียงรูปธรรม จึงไม่สามารถรู้อะไรได้เลย
ตามีหน้าที่กระทบกับรูปารมณ์เท่านั้น แล้วก็ดับ
การจะไปรู้เรื่องราวต่างๆนั้นมันไม่ใช่หน้าที่ของตา
สิ่งที่จะรู้ได้คือ จิต ที่ไปอาศัยตาเพื่อรู้รูปารมณ์
และที่รับรู้เรื่องราวต่างๆ นั้นเพราะเจตสิกเป็นผู้ปรุงแต่งทั้งที่ดี ไม่ดี
ที่เป็น กุศล และ อกุศล รูปารมณ์ที่จิตเข้ารู้นั้น ย่อมเป็นทั้งกุศลและอกุศล
การมองเห็นรูปารมณ์ ที่มีปัญญาเข้าร่วมด้วย จึงจะรู้ได้ว่า ใครเป็นพระอริยะได้
และปัญญานี้ต้องเป็นปัญญาที่ในโลกุตระเท่านั้น แม้แต่ปัญญาที่เกิดในโลกียะจิตก็ไม่สามารถรู้ได้
ปัญญานั้นมี ๔ อย่าง
๑. ปัญญินทรีย์ เป็นปัญญาในโลกียะจิต
๒. อนัญญาตัญญัสสามิตนทรีย์ คือ ปัญญาของพระโสดาบัน
๓. อัญญินทรีย์ คือ ปัญญาของพระสกทาคามี และ พระอนาคามี
๔. อัญญาตาวินทรีย์ คือ ปัญญาของพระอรหันต์

ในข้อ ๑ เป็นปัญญาของปุถุชน ไม่สามารถจะไปรับรู้จิตของพระอริยะ คือ ข้อ ๒. ๓. ๔ ได้
ในข้อ ๒ ปัญญาของพระโสดาบัน รู้ ข้อ ๑ และข้อ ๒ ได้ แต่ไม่รู้ข้อ ๓ และ ๔ ได้
ในข้อ ๓ ปัญญาของปัญญาของพระสกทาคามี รู้ในข้อที่ ๑ และข้อ ๒ ได้ และในข้อ ๓
ได้เฉพาะพระสกทาคามีด้วยกันเท่านั้น และก็ไม่สามารถรู้พระอนาคมีมีได้
ส่วนพระอนาคามี รู้ข้อ ๑ ข้อ ๒ และข้อ ๓ ได้หมด
ในข้อ ๔ เป็นปัญญาของพระอหันต์ สามารถรู้ได้หมดทั้ง ๔ ข้อโดยไม่มีเหลือ

ฉะนั้น เราไม่สามารถรู้ได้ทางตาได้เลยว่า ใครเป็นพระอริยะ ถ้าจะอาศัยปฏิปทาของท่านนั้น
ก็เป็นการรู้ได้ด้วยใจ แต่ถ้าเป็นปุถุชนด้วยแล้วก็เป็นเพียงนึกเอาเดาเองเท่านั้น

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2013, 20:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




9 กย 46 140 _resize.jpg
9 กย 46 140 _resize.jpg [ 47.32 KiB | เปิดดู 4132 ครั้ง ]
กบนอกกะลา เขียน:
ใช้สมองคิด..ไม่ได้หรอก..อโสกะ
แม้....จะใช้คุณสมบัติของพระอรหันต์ที่มีบันทึกใว้ก็ตาม....แต่สิ่งที่จะนำมาเทียบเคียงก็ต้องผ่านสมองคิด..

แค่ตาเห็น.....ก็เห้นเพียงภายนอก....ซึ่งมันหลอกกันได้....

ที๋ดี่สุด....คือ....ไม่ต้องอยากรู้คุณธรรมของใครหรอก....เพียงท่านมีจริยาวัตรงดงาม....ก็ทำบุญกับท่านได้แล้ว

หาก..ยังอยากจะรู้อยู่อีก...ก็แนะนำ..ทำตัวท่านให้เป็นอรหันต์...ซะเอง...อันนี้รู้ชัว.ร์

:b12: :b12:
สำคัญผิดแล้วนะครับท่านกรัชกาย

ไม่ใช่ใช้สมองคิด แต่เป็นการใช้ สติ ปัญญา สังเกต พิจารณา ไปตามหลักเกณฑ์ที่พระบรมศาสดาทรงสอนไว้
และต้องประกอบด้วยความคลุกคลีให้มากและนานๆ ก็ย่อมจะพอคืบลามรู้ได้ครับ

พยากรณ์ไม่ได้ แต่พอคืบลาม อนุมานรู้ได้ ที่จะประจักษ์แก่ตาและใจจริงๆก็ตอนที่ท่านดับขันธ์ไปแล้ว เผาแล้ว
อัฐิของท่านจะหลอมรวมเป็นพระธาตุ นี่สามารถเห็นและรู้ด้วยตาเนื้อของมนุษย์ธรรมดาได้ครับ

:b11:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2013, 21:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


การดูพระอริยเจ้านั้นดูได้ยาก (หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญโญ)

การดูพระอริยเจ้านั้น ส่วนมากจะสุ่มเดาตามกิริยาที่แสดงออกมาทางกายและวาจา การดูในลักษณะอย่างนี้ก็ยากที่จะถูกต้องได้ เพราะพระอริยเจ้ากับผู้ยังเป็นปุถุชนมีกิริยามรรยาทการแสดงออกมาทางกายและวาจาเหมือน ๆ กัน ถึงท่านผู้นั้นจะได้บรรลุธรรมถึงขั้นเป็นพระอรหันต์แล้วก็ตาม จะตัดนิสัยเดิมของท่านเองไม่ได้ นิสัยเป็นมาอย่างไรก็เป็นไปอย่างนั้น เช่น พระสารีบุตรในชาติก่อนมา เคยเป็นลิง นิสัยลิงก็ยังติดตัวมา ฉะนั้น พระสารีบุตรจึงชอบกระโดดโลดเต้นอยู่เป็นนิสัย เห็นกิ่งไม้ใดพอจะกระโดดจับโหนตัวเล่นก็ต้องทำ หรือเห็นน้ำบ่อพอจะกระโดดข้ามได้ก็ต้องกระโดดไปมา จนพระองค์อื่นเห็นก็เกิดความแปลกใจ ทำไมพระสารีบุตรจึงแสดงในกิริยามรรยาทที่ไม่เหมาะสมอย่างนี้ ไม่สมศักดิ์ศรีที่ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่า เป็นพระอรหันตสาวกข้างขวาของพระพุทธเจ้าเลย จึงมีพระองค์อื่นโจษขานกันขึ้น และเล่าเรื่องของพระสารีบุตรถวายแด่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นิสัยเดิมของพระสาวกนั้นละไม่ได้ นิสัยเคยเป็นมาในอดีตมีอย่างไร การแสดงออกมาทางกายและวาจา ก็ชอบแสดงออกมาอย่างนั้น ฉะนั้น จึงได้เปรียบนิสัยของพระอริยเจ้าและปุถุชนไว้ดังนี้

๑. น้ำลึกเงาลึก ๒. น้ำลึกเงาตื้น ๓. น้ำตื้นเงาลึก ๔. น้ำตื้นเงาตื้น ทั้ง ๔ ข้อนี้ เป็นวิธีตัดสินได้ยากมาก เพราะไม่มีญาณหยั่งรู้พิเศษเฉพาะตัว นอกจากจะสุ่มเดาไปเท่านั้น

ข้อ ๑ คำว่า น้ำลึกเงาลึก นั้น หมายความว่า ท่านผู้นั้นมีคุณธรรมอยู่ในใจแล้ว และก็ยังมีนิสัยกิริยามรรยาทการแสดงออกมาทางกายและวาจามีความสุขุมลุ่มลึก เป็นนิสัยเดิมของท่านเป็นมาอย่างนั้น ถ้าลักษณะอย่างนี้ก็พอจะเดาถูกบ้าง

ข้อ ๒ คำว่า น้ำลึกเงาตื้น หมายความว่า ท่านผู้นั้นมีคุณธรรมอยู่ภายในใจแล้ว แต่กิริยามรรยาทการแสดงออกมาทางกายและวาจาไม่มีความสำรวมเลย อยากแสดงตัวอย่างไร อยากพูดอย่างไร ก็เป็นในความไม่สำรวมทั้งสิ้น แต่ก็ไม่ผิดในพระธรรมวินัย ไม่มีอกิริยาภายในใจ แต่เป็นเพียงกิริยาที่แสดงออกมาเท่านั้น ถ้าหากไปพบเห็นผู้ที่ท่านเป็นนิสัยอย่างนี้ ก็จะเดาภายในใจไปเลยว่า ท่านผู้นี้ยังเป็นปุถุชนทันที เพราะมีนิสัยไม่น่าเคารพเชื่อถือได้เลย

ข้อ ๓ น้ำตื้นเงาลึก หมายความว่า ท่านผู้นั้นยังไม่มีคุณธรรมภายในใจ แต่กิริยามรรยาทการแสดงออกมาทางกายและวาจานั้นมีความสุขุมลุ่มลึกมาก การสำรวมทางกาย การสำรวมทางวาจาน่าเลื่อมใส ใครได้พบเห็นแล้วจะเกิดความเชื่อถือเป็นอย่างมาก เพราะความบกพร่องในความชั่วร้ายในตัวท่านไม่มี ถ้าได้พบเห็นผู้ที่ท่านมีนิสัยอย่างนี้ ก็จะเดาไปว่าเป็นพระอริยเจ้าทันที

ข้อ ๔ น้ำตื้นเงาตื้น หมายความว่า ท่านผู้นั้นยังไม่มีคุณธรรมภายในใจเลย กิริยามรรยาทการแสดงออกทางกายทางวาจาไม่มีความสำรวมแต่อย่างใด ทำไปพูดไปตามใจชอบ ถ้าหากพบเห็นท่านผู้ใดมีกิริยาการแสดงออกมาอย่างนี้ ก็จะพอเดาถูกอยู่บ้าง

ถ้าจะดูนิสัยน้ำลึกเงาตื้น หรือดูนิสัยน้ำตื้นเงาลึก คิดว่าท่านจะต้องเดาผิดอย่างแน่นอน ฉะนั้น การสุ่มเดาว่าใครเป็นพระอริยเจ้า และใครเป็นปุถุชนนั้น จึงยากที่จะสุ่มเดาให้ถูกทั้งหมดได้ ถึงพระอริยเจ้าด้วยกันก็ยังไม่รู้กันทั้งหมดได้ เช่น พระอริยเจ้าขั้นพระโสดาบันก็ยังไม่สามารถดูภูมิธรรมของพระอริยเจ้าขั้นพระสกิทาคามี พระอริยเจ้าขั้นพระสกิทาคามีก็ไม่สามารถดูภูมิธรรมของพระอริยเจ้าขั้นพระอนาคามีได้ พระอริยเจ้าขั้นพระอนาคามีก็ไม่สามารถดูภูมิธรรมของพระอริยเจ้าขั้นพระอรหันต์ได้ แม้พระอรหันต์องค์ที่ท่านไม่มีญาณพิเศษส่วนตัว ก็ไม่สามารถรู้ภูมิธรรมขององค์อื่นได้ แต่เมื่อได้สนทนาธรรมกันแล้ว ท่านจะรู้ทันทีว่า ท่านผู้นั้นมีภูมิธรรมขั้นนั้นขั้นนี้ทันที ในบางกรณีพระอรหันต์ก็ย่อมรู้กันได้ หรือรู้ภูมิธรรมของพระอริยเจ้าขั้นอื่นได้ด้วย นั่นคือ เป็นผู้มีนิสัยเกี่ยวข้องกันมาในอดีต เคยสร้างบารมีร่วมกันมา และเคยร่วมสุขร่วมทุกข์กันมาหลายภพหลายชาติ ถ้าในกรณีอย่างนี้ก็พอรู้กันบ้าง ถึงจะรู้ท่านก็ไม่โฆษณา นอกจากว่าจะพูดเป็นนัย ๆ ให้ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดฟังบางโอกาสเท่านั้น เช่นว่า เพชรน้ำหนึ่งอยู่ที่โน้นที่นี้ หรือพูดว่า ท่านองค์นั้นมีสติดีแล้วนะ อย่างนี้เป็นต้น

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2013, 06:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ใช้สมองคิด..ไม่ได้หรอก..อโสกะ
แม้....จะใช้คุณสมบัติของพระอรหันต์ที่มีบันทึกใว้ก็ตาม....แต่สิ่งที่จะนำมาเทียบเคียงก็ต้องผ่านสมองคิด..

แค่ตาเห็น.....ก็เห้นเพียงภายนอก....ซึ่งมันหลอกกันได้....

ที๋ดี่สุด....คือ....ไม่ต้องอยากรู้คุณธรรมของใครหรอก....เพียงท่านมีจริยาวัตรงดงาม....ก็ทำบุญกับท่านได้แล้ว

หาก..ยังอยากจะรู้อยู่อีก...ก็แนะนำ..ทำตัวท่านให้เป็นอรหันต์...ซะเอง...อันนี้รู้ชัว.ร์

:b12: :b12:
สำคัญผิดแล้วนะครับท่านกรัชกาย

ไม่ใช่ใช้สมองคิด แต่เป็นการใช้ สติ ปัญญา สังเกต พิจารณา ไปตามหลักเกณฑ์ที่พระบรมศาสดาทรงสอนไว้
และต้องประกอบด้วยความคลุกคลีให้มากและนานๆ ก็ย่อมจะพอคืบลามรู้ได้ครับ

พยากรณ์ไม่ได้ แต่พอคืบลาม อนุมานรู้ได้ ที่จะประจักษ์แก่ตาและใจจริงๆก็ตอนที่ท่านดับขันธ์ไปแล้ว เผาแล้ว
อัฐิของท่านจะหลอมรวมเป็นพระธาตุ นี่สามารถเห็นและรู้ด้วยตาเนื้อของมนุษย์ธรรมดาได้ครับ

:b11:

โพสต์ผม....ไปเกี่ยวอะไรกับคุณกรัชกาย.....!!!
ศีล..รู้ด้วยการคลุกคลี
ปัญญา..รู้ด้วยการสั่งสนทนา
คุณธรรมภายใน....รู้ด้วยญาณที่ตนถึงแล้ว
เมื่อไม่อาจพยากรณ์แบบทั่วไปได้.....ก็ไม่ควรไปตั้งธงจะดูคุณธรรมใคร....เพราะกิเลสของผู้ไปดูมันรวดเร็วมาก...อคติ4รวดเต็วมาก..ดูกิเลสตนเองยังไม่ทันเลยแล้ว...จะไปดูคุณธรรมของผู้อื่น..มันจึง.ไม่พ้นดูด้วยกิเลส

ดูคน...ดูที่ศีล..ดูปัญญา...หากพอใจก็คบหาสมาทานเป็นมิตร..เป็นศิกษ์..เป็นอาจารย์กันได้...ก็พอแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2013, 21:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


smiley
ดูคน...ดูที่ศีล..ดูปัญญา...หากพอใจก็คบหาสมาทานเป็นมิตร..เป็นศิกษ์..เป็นอาจารย์กันได้...ก็พอแล้ว
s006
พอใจเพียงแค่นี้หรือครับคุณกบ (ขออภัย ใช้สมาร์ทโฟนตอบ ตัวหนังสือมันเล็ก เลยอ่านผิดพิมพ์ผิดไปเป็นคุณกรัชกาย)
:b12: :b12: :b12:
สติปัญญา และพื้นความรู้ระดับคุณกบ น่าจะพอคืบลาม รู้ได้ ว่าท่านใด องค์ไหน รูปไหน เป็นอย่างไร ไม่ใช่ก็น่าจะใกล้เคียงนะครับ
:b4: :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2013, 08:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


อาการแบบนี้มีมากเพราะเป็นสิ่งเข้าใจยาก

ผู้จะศึกษาจึงมีน้อยจึงหันไปพูดว่าสู้ไปปฏิบัติเลยดีกว่า ง่ายด้วย ไม่ยุ่งยาก
แต่พอไปปฏิบัติเข้าจริงๆ ยากยิ่งกว่าการศึกษาเป็นไหนๆ
เพราะปฏิบัตินั้นมีทั้งของแท้ของเทียม เราอาจจะไม่สามารถแยกแยะว่าอันไหนของจริงอันไหนของปลอม
เพราะเราขาดการศึกษาจึงแยกไม่ออก เช่นว่า อาจเกิดนิมิตในระหว่างการปฏิบัติ
เพราะว่าเราไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านี้มาก่อน จึงคิดว่าใช่ ตรงนี้แหละอันตรายอาจทำให้หลงได้
หลงว่าตัวเองว่าได้ฌาน ได้อภิญญา ได้มรรค ผล
ก็ขอบอกตรงนี้ว่า ก่อนจะเดินทางเราเตรียมตัวพร้อมหรือยัง? ถ้าพร้อม ลุยยยยย ย ย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2013, 14:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




a_task.jpg
a_task.jpg [ 49.3 KiB | เปิดดู 3690 ครั้ง ]
:b8:
อ้างคำพูด:
แต่เมื่อได้สนทนาธรรมกันแล้ว ท่านจะรู้ทันทีว่า ท่านผู้นั้นมีภูมิธรรมขั้นนั้นขั้นนี้ทันที ในบางกรณีพระอรหันต์ก็ย่อมรู้กันได้

:b27:
่คัดมาท่อนหนึ่งจากที่หลวงพ่อทูลแสดงไว้ เพื่อเป็นข้อสังเกตว่า

ความคลุกคลีกับพระอริยเจ้า โอกาสที่เราจะพอคืบลามรู้ถึงคุณธรรมของท่านอย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือ การสนทนาธรรม

สิ่งที่ท่านแสดงมักจะเป็นธรรมะจากประสบการณ์จริงมากกว่า บางท่านอาจอ้างตำรามาประกอบเป็นบางครั้ง อย่างหลวงปู่เทส เทสรังสี

บางท่านแสดงธรรมจากใจล้วนๆก็มี

ตัวอย่างเช่นหลวงปู่เปลื้อง ปัญญวันโต ผมชอบใจคำตอบของท่านที่ให้กับโยมคุณลุงของผมซึ่งไปออกตัวก่อนถามท่านว่าไม่ค่อยรู้ศัพท์แสงทางบาลีมากอยากถามวิธีปฏิบัติธรรมจากหลวงปู่ ๆ ตอบว่า

"โยม.....พอ ละ เป็นพระเลย"

สาธุๆๆๆ
:b8:
:b27:
onion onion onion
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2013, 04:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


โค้ด:
ความคลุกคลีกับพระอริยเจ้า โอกาสที่ "เรา" จะพอคืบลามรู้ถึงคุณธรรมของท่านอย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือ การสนทนาธรรม


คุณอโศกะ ตัดมาอย่างไรถึงสรุปได้แบบนั้นครับ

โค้ด:
แม้ "พระอรหันต์" องค์ที่ท่านไม่มีญาณพิเศษส่วนตัว ก็ไม่สามารถรู้ภูมิธรรมขององค์อื่นได้ แต่เมื่อได้สนทนาธรรมกันแล้ว ท่านจะรู้ทันทีว่า ท่านผู้นั้นมีภูมิธรรมขั้นนั้นขั้นนี้ทันที ในบางกรณี "พระอรหันต์" ก็ย่อมรู้กันได้ หรือรู้ภูมิธรรมของพระอริยเจ้าขั้นอื่นได้ด้วย นั่นคือ เป็นผู้มีนิสัยเกี่ยวข้องกันมาในอดีต เคยสร้างบารมีร่วมกันมา และเคยร่วมสุขร่วมทุกข์กันมาหลายภพหลายชาติ ถ้าในกรณีอย่างนี้ก็พอรู้กันบ้าง


ธรรมะ คือธรรมะ เป็นไปตามธรรม ไม่เป็นไปตามใจ

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 31 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร