วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 17:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2013, 11:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ส.ค. 2013, 15:27
โพสต์: 4

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเป็นผู้เริ่มปฏิบัติครับ มีคำถามเรื่องเกี่ยวกับแนวทางภาวนาทั้ง 2 แบบ สมถภาวนาอันนี้ผมพอเข้าใจดีครับ ส่วนวิปัสสนาภาวนาโดยใช้หลักปัญญาพิจารณาหมวดธรรมะอันนี้ รบกวนผู้มีประสพการณ์แนะนำวิธีการให้พอเป็นแนวทางได้มั้ยครับ

ยกตัวอย่างเช่น วันนี้ผมไปทานข้าวนอกบ้าน ระหว่างที่ทานมีคนแก่มาทานอยู่โต๊ะข้างๆ พอผมกับมาถึงบ้านก็มาเดินจงกรม+นั้งสมาธิโดยนำเอาส่งที่ได้พบเจอในร้านมาพิจารณาตามไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ว่าซักวันหนึ่งเราก็แก่ชราภาพแบบนี้ เราไม่สามารถหยุดการแก่ลงของเราได้ และสุดท้ายเราก็ต้องแก่ตายในที่สุด การพิจารณาแบบนี้ถือว่าเป็นวิปัสสนาภาวนาหรือเปล่าครับ

ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2013, 12:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แนะนำบอร์ดธรรม อาจจะเหมาะกับจริตของ จขกท. :b1:

http://wimutti.net/forum/index.php?PHPS ... &board=5.0

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2013, 16:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
...เริ่มปฏิบัติ...ต้องเริ่มจากเข้าใจก่อน...ว่าธรรมคือชีวิตประจำวันของตัวเราเอง...
...ที่สำคัญคือไม่มีเรา มีแต่ธรรมะ คือมีเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส รับสัมผัส รู้สุข-ทุกข์...
...ชีวิตตั้งแต่ลืมตาตื่นจนกระทั่งหลับ...ไม่มีแม้สักวินาทีเดียวที่จะไม่เป็นสภาวธรรม...
...ที่คิดว่าเป็นตัวเราคือจิตเกิด-ดับ...ท่องเที่ยวแค่6ทาง...ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ...
:b12:
...ทุกครั้งที่กระพริบตาจิตที่เกิด-ดับทั้ง6ทางดับไม่เหลือตัวตนใด...แล้วก็เกิดใหม่สืบต่อ...
...ความต่อเนื่องของสภาวธรรมที่เกิดดับนั้น...แทบไม่มีระหว่างคั่น...แต่จริงๆคือมีเพราะ...
...พระพุทธเจ้าบอกว่า...จิตเกิด-ดับได้ทีละ1ขณะคือเห็นก็หมดได้ยินก็หมด ได้กลิ่นก็หมด...
...แต่ละขณะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อวัยวะต่างอันต่างทำหน้าที่คนละทางและคนละอย่าง...
:b1:
...กายกับจิตเป็นเรื่องสมมุติตัวตน...ขณะนี้ที่เห็นว่าเป็นเราทำสิ่งต่างๆ...ก็จะไม่รู้ว่าเป็นธรรม...
...รู้และคิดจดจำเป็นชื่อคน วัตถุ สิ่งของ คือรู้ตามกิเลส...พึงกำหนดรู้ว่าไม่ใช่เราเป็นธรรมะ...
...กำหนดรู้สิ่งแวดล้อมว่าความจริงมีแต่สภาพจิตรู้แสง สี เสียง เย็น-ร้อน อ่อน-แข็ง ตึงไหว...
...สภาวธรรมอันแท้จริงเกิดจากจิตรู้ซึ้งตามจริงในปัจจุบันที่พ้นจากความยึดมั่นในตัวตนของตน...
:b43:
...รู้ว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องที่คนทั่วไปใครๆก็รู้...ไม่ใช้รู้หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า...
...จะยืน เดิน นั่ง นอน ล้วนอยู่ในสภาวธรรมที่มีแต่สภาวะเกิด-ดับที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา...
...พึงตั้งใจสมาทานศีล5เป็นบาทฐานในการปฏิบัติแล้วก็ทำสมาธิภาวนาให้รู้สภาวธรรมตามจริง...
...การทำบุญ ให้ทาน ทำสมาธิภาวนาจึงจะเข้าถึงความสำเร็จในการปฏิบัติธรรมถึงมรรคผลนิพพานได้...
:b4: :b4:
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2013, 20:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 มี.ค. 2011, 13:32
โพสต์: 245


 ข้อมูลส่วนตัว


วิปัสสนา ก็คือการพิจารณาแหละครับ ที่ จขกท ยกตัวอย่างก็ถูกต้องครับ คืออะไรที่เป็นการพิจารณาท่านก็เรียกว่าวิปัสสนา หรือที่ครูบาอาจารย์ท่านแปลว่า เจริญปัญญา

คือคำนี้นี่มีความหมายกว้างอยู่นะครับ สติปัฏฐาน 4 หมวดสุดท้ายคือหมวดธรรม ธรรมอันนี้ก็หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างเลยแหละครับ หุหุ

.....................................................
"องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน ตัดมูลเกลศมาร บ มิหม่นมิหมองมัว
หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว ราคี บ พันพัว สุวคนธกำจร"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2013, 21:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
เริ่มเป็นวิปัสสนาแล้วครับ แต่เป็นวิปัสสนาแบบนักสมถะ คือต้องน้อมเอารูปนอก มาพิจารณาก่อน แล้วจึงค่อยนำมาเทียบกับรูปใน จนใจยอมรับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาจริงๆ แล้วถึงจะเกิดเบื่อหน่าย คลายกำหนัด สลัดทิ้งและหลุดพ้น
onion
วิปัสสนาภาวนาจริงๆนั้นเป็นการ เอา สติ ปัญญา อันมี สมาธิและศีลเป็นกองหนุน มานิ่งรู้ นิ่งสังเกต พิจารณาเข้าไปในกายและจิต หรือที่เรียกว่า รูป และ นาม จนรู้ทันปัจจุบันอารมณ์ได้เป็นอย่างดี หลังจากนั้น สติ ปัญญาจะได้พบความจริง ความ เกิด-ดับ หรือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาที่เกิดขึ้นจริงในกายและจิต แล้วแต่ละท่าน ก็จะเอาความเห็นเด่นชัด ในทุกขัง อนิจจัง อนัตตา อย่างใดอย่างหนึ่ง ตามเหตุปัจจัย บุญวาสนาบารมีที่แต่ละคนได้สะสมมา แล้วเกิดนิพพิทา ความเบื่อหน่าย คลายจาง ละวาง ความเห็นผิดได้ก่อนเป็นอันดับแรก เข้าถึงโสดาปัตติมรรคและ สกิทาคามีมรรค

ถ้าทำความเพียร รู้กาย รู้ใจลงปัจจุบันต่อไปอีก จนละความยึดถือในกายได้ ก็จะได้ถึง อนาคามีมรรค

ถ้าทำความเพียร รู้กาย รู้ใจลงปัจจุบันต่อไปอีก จนละความยึดถือในจิต ได้ ก็จะได้ถึงความเป็นพระอรหันต์ เสร็จกิจ หมดงาน การเวียนว่ายตายเกิด

นี่หละครับวิปัสสนาภาวนา

:b11:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 29 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร