ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ทำเช่นไร คือ "กามสุขัลลิกานุโยค"
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=45637
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  เปลี่ยนชื่อใหม่ [ 17 มิ.ย. 2013, 17:05 ]
หัวข้อกระทู้:  ทำเช่นไร คือ "กามสุขัลลิกานุโยค"

ทางที่หย่อนเกินไป คืออะไรครับ รบกวนผู้รู้ทีครับ ขอบคุณครับ

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 17 มิ.ย. 2013, 19:10 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ทำเช่นไร คือ "กามสุขัลลิกานุโยค"

กามสุค.....มิใช่เรื่องการหย่อนหยานอย่างเดียวนะครับ....การที่ต้องการมรรคผลมากจนเกินไป..นี้ก็เป็นกามสุคะ...ได้เช่นกัน

เจ้าของ:  ลูกพระป่า [ 17 มิ.ย. 2013, 19:21 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ทำเช่นไร คือ "กามสุขัลลิกานุโยค"

ทำอย่างทึ่ผมทำอยู่ทุกวัน คือ กินข้าวหลายมื้อ กินขนม ดูหนังฟังเพลง เล่นเกม เที่ยวนู่นเที่ยวนี่ นอนมากตื่นสาย อยากนั่นอยากนี่ คิดนั่นคิดนี่ ฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อย และอีกมากที่ยังไม่เอามาพูด ก็ใช่ สรุปสิ่งที่เราๆทำกันอยู่ทั่วไปนี่ใช่หมดครับ :b8:

เจ้าของ:  govit2552 [ 17 มิ.ย. 2013, 20:55 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ทำเช่นไร คือ "กามสุขัลลิกานุโยค"

อนึ่ง ในบทว่า

กามสุขลฺลิกานุโยโค นั้นท่านไม่กล่าวว่า ทุกฺโข เพราะพวกปฏิญาณ

ว่าเป็นบรรพชิตพวกใดพวกหนึ่ง มีวาทะว่านิพพานในปัจจุบันถือเอาว่า เพราะ

ตัวตนนี้เปี่ยมเพียบพร้อมบำเรอด้วยกามคุณ ๕ ด้วยเหตุนี้ ตัวตนนี้จึงเป็นอัน

บรรลุนิพพานในปัจจุบัน เพื่อรักษาจิตของผู้บำเพ็ญตบะเหล่านั้น และเพราะ

การสมาทานธรรมนั้นเป็นความสุขในปัจจุบัน ไม่ควรเสพกามสุขัลลิกานุโยค

เพราะเป็นความสุขเศร้าหมองด้วยตัณหาและทิฏฐิในปัจจุบัน เพราะมีทุกข์เป็น

ผลต่อไป และเพราะผู้ขวนขวายกามสุขัลลิกานุโยคนั้น พัวพันด้วยตัณหาและ

ทิฏฐิ

เจ้าของ:  เปลี่ยนชื่อใหม่ [ 18 มิ.ย. 2013, 10:38 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ทำเช่นไร คือ "กามสุขัลลิกานุโยค"

ลูกพระป่า เขียน:
ทำอย่างทึ่ผมทำอยู่ทุกวัน คือ กินข้าวหลายมื้อ กินขนม ดูหนังฟังเพลง เล่นเกม เที่ยวนู่นเที่ยวนี่ นอนมากตื่นสาย อยากนั่นอยากนี่ คิดนั่นคิดนี่ ฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อย และอีกมากที่ยังไม่เอามาพูด ก็ใช่ สรุปสิ่งที่เราๆทำกันอยู่ทั่วไปนี่ใช่หมดครับ :b8:


โอว แสดงว่า การดำเนินชีวิตทั่วๆไป นี่ก็คือ ทางหย่อนนี่เอง

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 18 มิ.ย. 2013, 16:15 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ทำเช่นไร คือ "กามสุขัลลิกานุโยค"

เป็นการประกอบตนให้เพลิดเพลินในสุขที่ชื่อกาม
เช่น สุขทางตา สุขทางหู สุขทางจมูก สุขทางลิ้น สุขทางกาย สุขทางใจ
ก็ปฏิบัติให้สุขยิ่งๆขึ้นไป เมื่อถึงที่สุดของกามสุข เข้าว่าคือ นิพพาน นั่นเอง
เป็นทางปฏิบัติของคนที่อยากพ้นทุกข์ ตาม กามสุขัลลิกานุโยค
ปล่อยตัวให้เพลิดเพลินในกามคุณเต็มที่

เจ้าของ:  ลูกพระป่า [ 19 มิ.ย. 2013, 05:00 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ทำเช่นไร คือ "กามสุขัลลิกานุโยค"

choochu เขียน:
ลูกพระป่า เขียน:
ทำอย่างทึ่ผมทำอยู่ทุกวัน คือ กินข้าวหลายมื้อ กินขนม ดูหนังฟังเพลง เล่นเกม เที่ยวนู่นเที่ยวนี่ นอนมากตื่นสาย อยากนั่นอยากนี่ คิดนั่นคิดนี่ ฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อย และอีกมากที่ยังไม่เอามาพูด ก็ใช่ สรุปสิ่งที่เราๆทำกันอยู่ทั่วไปนี่ใช่หมดครับ :b8:


โอว แสดงว่า การดำเนินชีวิตทั่วๆไป นี่ก็คือ ทางหย่อนนี่เอง

ผมพิจารณาโดยเอาทางสายกลางคือมรรค๘มาตั้งแล้วเอาตัวเองไปเทียบดู ก็เห็นว่าตัวเองยังไม่เรียกว่าดำเนินอยู่บนทางสายกลาง ดังนั้นจึงเหลือ2ทางคือทางที่หย่อนกับทางที่ตึง สุดท้ายมันก็ลงที่ทางที่หย่อนนั่นเองครับ :b8:

เจ้าของ:  nongkong [ 19 มิ.ย. 2013, 14:28 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ทำเช่นไร คือ "กามสุขัลลิกานุโยค"

ลุงหมาน เขียน:
เป็นการประกอบตนให้เพลิดเพลินในสุขที่ชื่อกาม
เช่น สุขทางตา สุขทางหู สุขทางจมูก สุขทางลิ้น สุขทางกาย สุขทางใจ
ก็ปฏิบัติให้สุขยิ่งๆขึ้นไป เมื่อถึงที่สุดของกามสุข เข้าว่าคือ นิพพาน นั่นเอง
เป็นทางปฏิบัติของคนที่อยากพ้นทุกข์ ตาม กามสุขัลลิกานุโยค
ปล่อยตัวให้เพลิดเพลินในกามคุณเต็มที่

ดีเหมือนกันนะค่ะ ปล่อยตัวให้เพลิดเพลินเต็มที่เอาให้มันหายอยากไปเลยถ้าเบื่อแล้วก็คงนิพพานเองนั่นแหละ คุณน้องก็อยากหาความสุขทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เด่วจะต้องหาสามีซักคน รับรองได้ครบหมดเลย หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ 555

เจ้าของ:  มหาราชันย์ [ 20 มิ.ย. 2013, 12:48 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ทำเช่นไร คือ "กามสุขัลลิกานุโยค"

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุเกิดแห่งกามเป็นไฉน คือ ผัสสะเป็นเหตุเกิดแห่งกามทั้งหลาย

ก็ความต่างกันแห่งกามเป็นไฉน คือกามในรูปเป็นอย่างหนึ่ง
กามในเสียงเป็นอย่างหนึ่ง กามในกลิ่นเป็นอย่างหนึ่ง กามในรสเป็นอย่างหนึ่ง กามในโผฏฐัพพะเป็นอย่างหนึ่ง นี้เรียกว่าความต่างกันแห่งกาม

วิบากแห่งกามเป็นไฉน คือ การที่บุคคลผู้ใคร่อยู่ ย่อมยังอัตภาพที่เกิดขึ้นจากความใคร่นั้นๆ ให้เกิดขึ้น เป็นส่วนบุญหรือเป็นส่วนมิใช่บุญ นี้เรียกว่าวิบากแห่งกาม

ความดับแห่งกามเป็นไฉน คือ ความดับแห่งกามเพราะผัสสะดับ

อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการนี้แล คือ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เป็นปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งกาม

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใด อริยสาวกย่อมทราบชัดกาม
เหตุเกิดแห่งกาม ความต่างแห่งกาม วิบากแห่งกาม ความดับแห่งกาม ปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งกาม อย่างนี้ๆ เมื่อนั้น อริยสาวกนั้น ย่อมทราบชัดพรหมจรรย์ อันเป็นไปในส่วนแห่งการชำแรกกิเลส เป็นที่ดับแห่งกาม ข้อที่เรากล่าวว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงทราบกาม ฯลฯ ปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งกาม ดังนี้นั้น เราอาศัยข้อนี้กล่าว ฯ



เชิญผู้สนใจร่วมสนทนาธรรม ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ
ณ สำนักปฏิบัติํธรรมปัณฑิตารมย์
ทุกวัน ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์-จันทร์
เวลา ๐๙.๐๐-๒๓.๐๐ น.

๔๒๕/๒ หมู่ ๕ ถนนพระราม ๒ แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กทม.
ผู้สนใจสำรองที่นั่งติดต่อ โทร. 089 - 766 - 2373

พระวิทยากร
พระอาจารย์เดช จันทูปโม
พระอาจารย์พรวน อาภัสสโร
พระอาจารย์ปรีดา ปุญญวัฑฒโก

วิทยากร อาจารย์ยะมุนี.

เจ้าของ:  asoka [ 20 มิ.ย. 2013, 15:34 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ทำเช่นไร คือ "กามสุขัลลิกานุโยค"

choochu เขียน:
ทางที่หย่อนเกินไป คืออะไรครับ รบกวนผู้รู้ทีครับ ขอบคุณครับ

:b12: :b12: :b12:
กามสุขัลลิกานุโยโค....การประกอบการบำรุงบำเรอตนเองด้วยกามนั้นเป็นอย่างไร?

พิจารณาอย่าพื้นผิว คือ การทำให้ตนเองได้รับสัมผัสอันหน้ายินดีของทวารทั้ง 6 ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

พิจารณาลึกๆ.....ท่านหมายถึงการติดอยู่ในการทำบุญให้ทานเจริญสมาธิ หรือสมถะภาวนาด้วยหวังจะได้สุขใน มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และพรหมสมบัติ....นี่แหละคือ กามสุขัลลิกานุโยโค

ซึ่งคู่กันกับ อัตตกิลมถานุโยโค การประกอบการทรมาณตนเองด้วยวิธีการต่างๆ ด้วยหวังว่าถ้าชนะทุกข์จากความทรมาณที่ตนทำได้ทั้งหมดด้วยอำนาจ ขันติ ตบะ สมาธิ ฌาณ แล้ว จะถึงสุขอันเป็นอมตะ ดังเช่นที่พวกฤาษี อเจลกะ ปริพาชก นิคฤนห์ ทั้งหลายกระทำกันตั้งแก่ก่อนครั้งพุทธกาลจนถึงปัจจุบันนี้.....นี่ก็มิใช่ทาง

ละเอียดลึกกว่านั้นในเรื่องอัตตกิลมถานุโยโคนี้ก็คือ การอันใด ที่เป็นการไปสั่งบังคับกำหนด กฏเกณฑ์ ธรรมชาติ ที่เขาเกิดขึ้นเองด้วยอำนาจแห่งเหตุและปัจจัย

เมื่อไหร่รู้จักวิธีที่จะเฝ้ารู้เฝ้าสังเกต หรือนิ่งรู้ นิ่งสังเกต ปัจจุบันอารมณ์ โดยไม่ใส่เจตนาไปดูดดึง ผลักต้าน หรือมีปฏิกิริยาตอบโต้อะไรกับสภาวธรรมและปัจจุบันอารมณ์ที่เกิดขึ้นปรวนแปรไปทุกขณะๆนั้น จนสภาวธรรมนั้นๆ ดับไปสิ้นไปเองตามกำลังแห่งเหตุและปัจจัย....นั่นแหละจึงจะเข้าถึงวิชาวิปัสสนาภาวนาที่พระบรมศาสดาทรงสั่งสอนแนะนำ.......เรื่องนี้สมัยปัจจุบันนี้ มีบางท่านพูดว่า "รู้ซื่อๆ รู้เฉยๆ ไปจนจบกระบวนการแห่งธรรม ก็จะเข้าใจและเห็นความจริงของธรรม"

:b11:

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/