วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 15:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2013, 17:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




GEDC1852_resize.JPG
GEDC1852_resize.JPG [ 78.67 KiB | เปิดดู 5280 ครั้ง ]
:b36:
ทำไมถึงต้องมีเวลาปฏิบัติต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 7 วัน?

จากผลการสังเกตและศึกษาเกี่ยวกับการไปเข้าคอร์สอบรมวิปัสสนาภาวนา ได้พบว่า ผู้เข้ารับการอบรมจะมีลำดับการปฏิบัติ และลำดับความเปลี่ยนแปลงภายในกายและจิต ดังต่อไปนี้

3 วันแรก
1. จะเป็นช่วงของการรับฝังข้อมูลใหม่ที่ถูกต้องเพื่อปรับเปลียนความเห็นให้ถูกต้องจนเข้าทางแห่งมรรคมีองค์ 8
2. จะเป็นช่วงเวลาของการปฏิบัติด้านสมาธิภาวนา คือการทำให้เครื่องกางกั้น หรือนิวรณ์ธรรมต่างๆ เบาบางลงจนถึงความสงบเบื้องต้นได้ (ขณิกสมาธิ..อุปจาระสมาธิ)
3. ร่างกายจะถูกปรับให้เกิดความสงบรำงับและยอมรับได้กับระบบชีวิตที่แปลกใม่ไปจากชีวิตประจำวันของคนธรรมดา ไปสู่ชีวิตของนักภาวนา จนกว่ีาอินทรีย์จะสม่ำเสมอ ได้สมดุลย์

(ยังมีต่อครับ)......
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2013, 21:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b36:
ทำไมถึงต้องมีเวลาปฏิบัติต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 7 วัน?

จากผลการสังเกตและศึกษาเกี่ยวกับการไปเข้าคอร์สอบรมวิปัสสนาภาวนา ได้พบว่า ผู้เข้ารับการอบรมจะมีลำดับการปฏิบัติ และลำดับความเปลี่ยนแปลงภายในกายและจิต ดังต่อไปนี้

3 วันแรก
1. จะเป็นช่วงของการรับฝังข้อมูลใหม่ที่ถูกต้องเพื่อปรับเปลียนความเห็นให้ถูกต้องจนเข้าทางแห่งมรรคมีองค์ 8
2. จะเป็นช่วงเวลาของการปฏิบัติด้านสมาธิภาวนา คือการทำให้เครื่องกางกั้น หรือนิวรณ์ธรรมต่างๆ เบาบางลงจนถึงความสงบเบื้องต้นได้ (ขณิกสมาธิ..อุปจาระสมาธิ)
3. ร่างกายจะถูกปรับให้เกิดความสงบรำงับและยอมรับได้กับระบบชีวิตที่แปลกใม่ไปจากชีวิตประจำวันของคนธรรมดา ไปสู่ชีวิตของนักภาวนา จนกว่ีาอินทรีย์จะสม่ำเสมอ ได้สมดุลย์

(ยังมีต่อครับ)......

:b37:
4.เวทนาทางกายจะมีมาก และค่อยๆลดน้อยลงไปตามลำดับ พอถึงวันที่ 3 หรือ 4 เวทนาจะเบาบางลงมาก
5.สติ ปัญญา จะไปรู้เวทนาที่กายที่เป็นของหยาบ แล้วพัฒนาตัวเองให้มีความละเอียดแหลมคมขึ้นไปเรื่อยๆ ตามระดับความสงบของจิต
3 วันแรกๆนี้ สติปัญญา จะไปรู้เวทนาของรูป เป็นส่วนใหญ่...นาม กับ รูปยังแยกตัวจากกันไม่ค่อยออก

ถ้าจะอุปมา ก็เหมือนดั่งเราเอาน้ำโคลนใส่ขวดแก้วใสๆ แล้วนำไปตั้งไว้ให้นิ่งๆ โคลนในขวดจะค่อยๆตกตะกอนลงไปเรื่อยๆ จน น้ำ กับโคลน แยกออกจากกันเป็น 2 ส่วน 2 อย่าง ชัดเจน ดุจการแยกตัวของ รูป กับ นาม อันเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่จะทำให้เกิดญาณวิปัสสนาภาวนาขึ้นมาได้ เมื่อ นาม กับ รูป แยกออกจากกันได้แล้ว การพิจารณาธรรม วิจารณ์ วิจัยธรรม จึงจะเกิดขึ้นได้


(ยังมีต่อ)
:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2013, 21:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ชื่นใจกับคนทำได้ด้วยนะครับ...สาธุ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2013, 03:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ถ้าจะอุปมา ก็เหมือนดั่งเราเอาน้ำโคลนใส่ขวดแก้วใสๆ แล้วนำไปตั้งไว้ให้นิ่งๆ โคลนในขวดจะค่อยๆตกตะกอนลงไปเรื่อยๆ จน น้ำ กับโคลน แยกออกจากกันเป็น 2 ส่วน 2 อย่าง ชัดเจน ดุจการแยกตัวของ รูป กับ นาม อันเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่จะทำให้เกิดญาณวิปัสสนาภาวนาขึ้นมาได้ เมื่อ นาม กับ รูป แยกออกจากกันได้แล้ว การพิจารณาธรรม วิจารณ์ วิจัยธรรม จึงจะเกิดขึ้นได้
(ยังมีต่อ)
:b38:

ถ้าเอาจิตไปเปรีบบโคลนที่ตกตะกอนในขวด แล้วบอกว่าเป็นวิปัสสนาแยกรูปแยกนาม
แบบไม่ใช่แล้วครับ โคลนที่นอนแช่อยู่ในน้ำ มันก็เปรียบเหมือนอนุสัยที่จมแช่อยู่ในจิต
ยามใดที่ปล่อยให้จิตทำงานตามปกติ จิตก็จะรับธรรมชาติภายนอก นั้นแหล่ะเปรียบเหมือน
มีคนมากวนให้ตะกอนขุ่นขึ้น อนุสัยกิเลสเริ่มทำงาน กิเลสมันไม่ได้หายไปไหนหรอกครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2013, 15:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b36:
ทำไมถึงต้องมีเวลาปฏิบัติต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 7 วัน?

จะใช้เวลานานแค่ไหน ?

อันนี้ไม่สามารถตอบได้ เพราะขึ้นอยู่กับความเอาใจใส่และบารมีของแต่ละท่าน ใครขยันเดินก็ไปได้ไกลว่า (แล้วต้องเดินให้ถูกทางด้วย) แต่มั่นใจได้ว่าถึงแน่เพราะมีพุทธวัจนะรับรองไว้ว่า บุคคลใดเจริญสติปัฏฐานอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง ย่อมหวังความดับทุกข์ได้แน่นอนอย่างเร็ว 7 วัน หรืออย่างกลาง 7 เดือน หรืออย่างช้า 7 ปี

จะเห็นได้ว่าแม้คนที่คิดว่าตัวเองไม่ได้มีบุญบารมีอะไร ฉันจะทำได้หรือ ? ก็มั่นใจได้เลยว่าทำได้แน่นอนตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ แต่โดยทั่วไปหากฝึกสติในระดับหนึ่งแล้ว จะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างชัด จิตจะรู้ ตื่น เบิกบาน ไม่ค่อยมีอารมณ์โกรธ หงุดหงิด หรืออารมณ์เพี้ยน ๆ ทั้งหลายเท่าใดนัก

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2013, 20:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
ถ้าจะอุปมา ก็เหมือนดั่งเราเอาน้ำโคลนใส่ขวดแก้วใสๆ แล้วนำไปตั้งไว้ให้นิ่งๆ โคลนในขวดจะค่อยๆตกตะกอนลงไปเรื่อยๆ จน น้ำ กับโคลน แยกออกจากกันเป็น 2 ส่วน 2 อย่าง ชัดเจน ดุจการแยกตัวของ รูป กับ นาม อันเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่จะทำให้เกิดญาณวิปัสสนาภาวนาขึ้นมาได้ เมื่อ นาม กับ รูป แยกออกจากกันได้แล้ว การพิจารณาธรรม วิจารณ์ วิจัยธรรม จึงจะเกิดขึ้นได้
(ยังมีต่อ)
:b38:

ถ้าเอาจิตไปเปรีบบโคลนที่ตกตะกอนในขวด แล้วบอกว่าเป็นวิปัสสนาแยกรูปแยกนาม
แบบไม่ใช่แล้วครับ โคลนที่นอนแช่อยู่ในน้ำ มันก็เปรียบเหมือนอนุสัยที่จมแช่อยู่ในจิต
ยามใดที่ปล่อยให้จิตทำงานตามปกติ จิตก็จะรับธรรมชาติภายนอก นั้นแหล่ะเปรียบเหมือน
มีคนมากวนให้ตะกอนขุ่นขึ้น อนุสัยกิเลสเริ่มทำงาน กิเลสมันไม่ได้หายไปไหนหรอกครับ

:b8:
คุณโฮฮับจะเปรียบโคลนในน้ำเหมือนอนุสัยกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิต ก็ใช้ได้ครับ เป็นมุมมมองในเรื่องของกิเลส อนุสัย

แต่ในมุมมองที่อโศกะยกมานั้น ต้องการให้เห็นว่า เมื่อทำกายและจิตให้สำรวมและสงบนิ่งลงมากเท่าใด รูปธรรม ที่เป็นของหยาบ จะแยกตัวออกให้เห็นได้ชัด จาก นามธรรม ที่เป็นของละเอียด ผู้ที่ไปเห็นความแยกตัวของรูปธรรม กับ นามธรรม นั้นคือ สติและปัญญา นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของวิปัสสนาภาวนา

:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2013, 21:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
asoka เขียน:
:b36:
ทำไมถึงต้องมีเวลาปฏิบัติต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 7 วัน?

จากผลการสังเกตและศึกษาเกี่ยวกับการไปเข้าคอร์สอบรมวิปัสสนาภาวนา ได้พบว่า ผู้เข้ารับการอบรมจะมีลำดับการปฏิบัติ และลำดับความเปลี่ยนแปลงภายในกายและจิต ดังต่อไปนี้

3 วันแรก
1. จะเป็นช่วงของการรับฝังข้อมูลใหม่ที่ถูกต้องเพื่อปรับเปลียนความเห็นให้ถูกต้องจนเข้าทางแห่งมรรคมีองค์ 8
2. จะเป็นช่วงเวลาของการปฏิบัติด้านสมาธิภาวนา คือการทำให้เครื่องกางกั้น หรือนิวรณ์ธรรมต่างๆ เบาบางลงจนถึงความสงบเบื้องต้นได้ (ขณิกสมาธิ..อุปจาระสมาธิ)
3. ร่างกายจะถูกปรับให้เกิดความสงบรำงับและยอมรับได้กับระบบชีวิตที่แปลกใม่ไปจากชีวิตประจำวันของคนธรรมดา ไปสู่ชีวิตของนักภาวนา จนกว่ีาอินทรีย์จะสม่ำเสมอ ได้สมดุลย์

(ยังมีต่อครับ)......

:b37:
4.เวทนาทางกายจะมีมาก และค่อยๆลดน้อยลงไปตามลำดับ พอถึงวันที่ 3 หรือ 4 เวทนาจะเบาบางลงมาก
5.สติ ปัญญา จะไปรู้เวทนาที่กายที่เป็นของหยาบ แล้วพัฒนาตัวเองให้มีความละเอียดแหลมคมขึ้นไปเรื่อยๆ ตามระดับความสงบของจิต
3 วันแรกๆนี้ สติปัญญา จะไปรู้เวทนาของรูป เป็นส่วนใหญ่...นาม กับ รูปยังแยกตัวจากกันไม่ค่อยออก

ถ้าจะอุปมา ก็เหมือนดั่งเราเอาน้ำโคลนใส่ขวดแก้วใสๆ แล้วนำไปตั้งไว้ให้นิ่งๆ โคลนในขวดจะค่อยๆตกตะกอนลงไปเรื่อยๆ จน น้ำ กับโคลน แยกออกจากกันเป็น 2 ส่วน 2 อย่าง ชัดเจน ดุจการแยกตัวของ รูป กับ นาม อันเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่จะทำให้เกิดญาณวิปัสสนาภาวนาขึ้นมาได้ เมื่อ นาม กับ รูป แยกออกจากกันได้แล้ว การพิจารณาธรรม วิจารณ์ วิจัยธรรม จึงจะเกิดขึ้นได้


(ยังมีต่อ)
:b38:


4 วันหลัง หรือ วันที่ 4 - 5 - 6 - 7 ของการฝึกอบรมและปฏิบัติธรรม

ถ้าผู้ฝึกอบรมได้เจริญสติและปัญญามาอย่างถูกต้อง ตามวิธีมาตรฐาน เมื่อขึ้นวั้นที่ 4 สติ ปัญญา สมาธิ จะมีกำลังมากขึ้น จนสามารถ แยกรูป แยกนาม ออกจากกันได้เป็น สองส่วน แต่จะเห็นหรือรู้เวทนาที่ที่รูป หรือ กาย ค่อนข้างมากกว่าเวทนาที่จิตแล้วจะพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆทุกำวันๆ จนรู้เวทนาที่จิตชัดกว่าเวทนาที่กาย

งานของผู้เจริญวิปัสสนาภาวนาในช่วง 4 วันหลังนั้น จะเป็นช่วงของการเจริญปัญญา โดยมีสติและสมาธิเป็นกองหนุน ให้เข้าไปค้นคว้าในกายและจิต ไปตามหลักของอริยสัจ 4

ทุกขสภาวะ อันเป็นอริยสัจ ข้อที่ 1 จะชัดเจนมากขึ้น จิต หรือสติ ปัญญาจะไปกำหนดรู้ทุกข์และเห็นความปรวนแปรไปของสภาวทุกข์ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จากทุกข์ หรือความเจ็บปวดที่กาย จะเป็นเงื่อนไขให้สติและปัญญาสืบค้นเข้าไปได้ ถึงทุกข์ ที่เกิดขึ้นกับจิต

เมื่อสภาวทุกข์ที่จิตชัดเจนมากขึ้นแล้ว ถ้าผู้ปฏิบัติ มีความสังเกตดี มีสติปัญญาคมกล้ามากเพียงพอ เขาจะได้พบกับ สมุทัย หรือตัวเหตุทุกข์ คือ อัตตา และตัณหาอันเกิดขึ้นจากการตอบโต้ผัสสะ เวทนา ของอัตตา หรือสักกายทิฏฐิ....เมื่อถึงตรงนี้ สติปัญญารู้ชัดถึงตัวเหตุทุกข์ดังที่ว่านี้ สติ ปัญญาาจะคิดค้นหาช่องทางหรือวิธีที่จะ ละ วาง หรือ ทำลายเหตุทุกข์ฟโดยธรรมชาติ จนได้พบวิธีการที่ถูกต้องด้วยตนเองว่า

สมุทัย เหตุทุกข์ อันได้แก่ อัตตา ตัณหา และกิเลสอันเป็นลูกหลานของอัตตาทั้งหลายนั้นวิธีการที่จะเอาออกมีอยู่วิธีเดียว คือ

นิ่งรู้ นิ่งสังเกต ปฏิกิริยาของความดิ้นรนของอัตตา ไปโดยไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้อื่นใด (คือละความยินดียินร้ายที่จะเกิดขึ้น กับ กาย เวทนา จิต ธรรมได้ทั้งหมด)...จนความดิ้นรนนั้นๆ ดับไปต่อหน้าต่อตา ด้วยกฎแห่ง ทุกขัง...อนิจจัง...อนัตตา......ผู้ปฏิบัติทำได้เช่นนี้บ่อยๆกับทุกอารมณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้น ความเห็นผิดว่าเป็นอัตตา ตัวกู ของกู ก็จะถอยไป เบาบางไป จนดับเย็นได้ในที่สุด

โดยสรุป งานของวิปัสสนาภาวนาก็คือ

1.เอาสติปัญญาค้นเข้าไปในทุกขสัจจะ
2.จนเห็นสมุทัยสัจจะ
3.เอาสติปัญญาละความยินดียินร้ายได้ในกาย เวทนา จิต ธรรม อัตตาก็จะลุกขึ้นมาทำให้เกิด ตัณหาและกิเลสทั้งหลายอีกไม่ได้....จะละความยินดียินร้ายในโลกย์ออกได้อย่างไรนั้น จะมีรายละเอียดเจาะลึกลงไปเฉพาะเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง
4.อัตตา หรือสักกายทิฏฐิ ถอย ผอม บาง จางไป และ ตายดับ ในที่สุด


:b37: :b53: :b53: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2013, 21:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




เคล็ดลับวิปัสสนา_resize B.jpg
เคล็ดลับวิปัสสนา_resize B.jpg [ 87.95 KiB | เปิดดู 5134 ครั้ง ]
:b36:
ภาพสรุปวิธีปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2013, 02:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

คุณโฮฮับจะเปรียบโคลนในน้ำเหมือนอนุสัยกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิต ก็ใช้ได้ครับ เป็นมุมมมองในเรื่องของกิเลส อนุสัย

แต่ในมุมมองที่อโศกะยกมานั้น ต้องการให้เห็นว่า เมื่อทำกายและจิตให้สำรวมและสงบนิ่งลงมากเท่าใด รูปธรรม ที่เป็นของหยาบ จะแยกตัวออกให้เห็นได้ชัด จาก นามธรรม ที่เป็นของละเอียด ผู้ที่ไปเห็นความแยกตัวของรูปธรรม กับ นามธรรม นั้นคือ สติและปัญญา นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของวิปัสสนาภาวนา

การทำสมาธิโดยการทำให้จิตรวมและสงบนิ่ง รูปและนามจะไม่ได้แยกกันแบบที่คุณว่า
มันกลับจะทำให้รูปนามรวมกันเป็นหนึ่ง เรียกว่าฌาน จิตและกายรวมกันจนเป็นความว่าง(เอกกัตคัตตา)

การปฏิบัติเพื่อการแยกรูป แยกนามที่ถูกจะต้องให้จิตมีสมาธิที่ตั้งมั่น
ไม่ใช่ให้จิตสำรวมนิ่งๆ

จิตจะต้องมีสติคอยกำกับอยู่ตลอดเวลา เพื่อคอยตามรู้ผัสสะ ว่าเกิดผัสสะไหนขึ้นที่ทวารรูปใด
เมื่อจิตซึ่งเป็นนาม คอยตามรู้ผัสสะได้อย่างรวดเร็ว ผัสสะเกิดที่ปสาทรูป ก็คือรูปนั้นเอง
ลักษณะแบบนี้ เรียกว่า จิตแยกตัวออกมาเพื่อรู้กาย นั้นแสดงว่า รูปนามแยกออกจากกันแล้ว



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2013, 03:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ถ้าผู้ฝึกอบรมได้เจริญสติและปัญญามาอย่างถูกต้อง ตามวิธีมาตรฐาน เมื่อขึ้นวั้นที่ 4 สติ ปัญญา สมาธิ จะมีกำลังมากขึ้น จนสามารถ แยกรูป แยกนาม ออกจากกันได้เป็น สองส่วน แต่จะเห็นหรือรู้เวทนาที่ที่รูป หรือ กาย ค่อนข้างมากกว่าเวทนาที่จิตแล้วจะพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆทุกำวันๆ จนรู้เวทนาที่จิตชัดกว่าเวทนาที่กาย

เป็นเพราะจขกทยังขาดความเข้าใจ เลยบอกว่า รู้เวทนาที่รูป
สิ่งที่เกิดขึ้นที่รูปไม่ใช่เวทนา เขาเรียกผัสสะ

เวทนามันเกิดที่จิตมันเป็นนาม การที่จขกทเข้าใจไปว่าเวทนาเกิดที่รูปเป็นเพราะ
รูปกับนามไม่ได้แยกจากกัน ทำให้หลงไปว่า ผัสสะเป็นเวทนา

นี่ขนาดอธิบายเรื่องหรือวิธีปฏิบัติ ยังไม่เข้าใจยังผิดพลาด
ถ้าลงมือปฏิบัติมิไปกันใหญ่หรือ


asoka เขียน:
งานของผู้เจริญวิปัสสนาภาวนาในช่วง 4 วันหลังนั้น จะเป็นช่วงของการเจริญปัญญา โดยมีสติและสมาธิเป็นกองหนุน ให้เข้าไปค้นคว้าในกายและจิต ไปตามหลักของอริยสัจ 4

ทุกขสภาวะ อันเป็นอริยสัจ ข้อที่ 1 จะชัดเจนมากขึ้น จิต หรือสติ ปัญญาจะไปกำหนดรู้ทุกข์และเห็นความปรวนแปรไปของสภาวทุกข์ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จากทุกข์ หรือความเจ็บปวดที่กาย จะเป็นเงื่อนไขให้สติและปัญญาสืบค้นเข้าไปได้ ถึงทุกข์ ที่เกิดขึ้นกับจิต

จขกทเข้าใจผิดเรื่อง ทุกข์สภาวะกับทุกข์อริยสัจจ์ข้อที่๑ จขกทเข้าไปว่าเป็นตัวเดียวกัน....ผิด

ทุกข์สภาวะอันมีเหตุมาจากความไม่สบายกายไม่สบายใจ มันเป็นสังขารเป็น... ทุกข์สมุทัย
asoka เขียน:
เมื่อสภาวทุกข์ที่จิตชัดเจนมากขึ้นแล้ว ถ้าผู้ปฏิบัติ มีความสังเกตดี มีสติปัญญาคมกล้ามากเพียงพอ เขาจะได้พบกับ สมุทัย หรือตัวเหตุทุกข์ คือ อัตตา และตัณหาอันเกิดขึ้นจากการตอบโต้ผัสสะ เวทนา ของอัตตา หรือสักกายทิฏฐิ....เมื่อถึงตรงนี้ สติปัญญารู้ชัดถึงตัวเหตุทุกข์ดังที่ว่านี้ สติ ปัญญาาจะคิดค้นหาช่องทางหรือวิธีที่จะ ละ วาง หรือ ทำลายเหตุทุกข์ฟโดยธรรมชาติ จนได้พบวิธีการที่ถูกต้องด้วยตนเองว่า

ผมเห็นจขกทพูดถึงสติปัญญาบ่อยๆ สงสัยว่ารู้จักคำว่าปัญญาหรือไม่ ปัญญาไม่ความคิดความจำ
ปัญญาไม่ได้เกิดมาพร้อมกับบุคคล ปัญญาจะมีได้ต้องปฏิบัติให้ได้มา
กรุณาอย่าพูดปัญญาพร่ำเพรื่อ มันจะทำให้คนอื่นสับสนกับคำศัพท์

ประโยคความเห็นของคุณที่ผมเอามาอ้างอิง
ต้องขอโทษที่จะต้องบอกว่า มันไม่ได้มีแก่นสารอะไรเลยครับ
เอาศัพท์คำโน้นมาผสมคำนี้ ดูแล้วมันยุ่งเหยิง สาระของการปฏิบัติไม่รู้มันอยู่ตรงไหน
asoka เขียน:
สมุทัย เหตุทุกข์ อันได้แก่ อัตตา ตัณหา และกิเลสอันเป็นลูกหลานของอัตตาทั้งหลายนั้นวิธีการที่จะเอาออกมีอยู่วิธีเดียว คือ

นี่ก็เหมือนกัน จะพูดธรรมอย่าพยายามเอาคำที่มันไม่เกี่ยวข้องมาใส่
มันจะเพิ่มความหลงความสับสนให้ตัวเอง มิหน่ำซ้ำจะทำให้ผู้รู้ไม่สามารถแนะนำให้ได้
เพราะไม่รู้ว่า คุณติดข้องในเรื่องใด สาเหตุเพราะการพูดที่จับใจความไม่ได้
asoka เขียน:
นิ่งรู้ นิ่งสังเกต ปฏิกิริยาของความดิ้นรนของอัตตา ไปโดยไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้อื่นใด (คือละความยินดียินร้ายที่จะเกิดขึ้น กับ กาย เวทนา จิต ธรรมได้ทั้งหมด)...จนความดิ้นรนนั้นๆ ดับไปต่อหน้าต่อตา ด้วยกฎแห่ง ทุกขัง...อนิจจัง...อนัตตา......ผู้ปฏิบัติทำได้เช่นนี้บ่อยๆกับทุกอารมณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้น ความเห็นผิดว่าเป็นอัตตา ตัวกู ของกู ก็จะถอยไป เบาบางไป จนดับเย็นได้ในที่สุด

นิ่งรู้ นิ่งสังเกตุอัตตา ถามหน่อยคุณรู้แล้วหรือว่าอัตตาเป็นอย่างไร สภาวะอัตตาคุณเข้าถึงแล้วหรือ

บอกว่านิ่งรู้ นิ่งสังเกตุการดิ้นรนของอัตตา จะบอกให้ครับเพราะมันไม่นิ่ง ไม่สังเกตุ มันจึงเกิดอัตตา
ถ้านิ่งรู้นิ่งสังเกตุมันก็ไม่มีอัตตาเกิดขึ้นหรอกครับ

คุณแนะนำให้เขาปฏิบัติที่คุณว่าบ่อยๆ อย่าให้เขาปฏิบัติเลยครับ อย่างแรกเลย
ผมว่า คุณทำความเข้าใจกับคำศัพท์ที่คุณใช้ เอาคำที่มันรกรุงรังออก
แล้วเรียงลำดับเอาเหตุไปหาผล คำพูดของคุณมันจะได้แก่นได้สาระน่าเชื่อถือนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2013, 09:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ต.ค. 2010, 10:42
โพสต์: 249

แนวปฏิบัติ: ไม่เอา ไม่เป็น ไม่ยึด
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่มของท่านพุทธทาส
อายุ: 32
ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ทุกท่าน

หรือต้องเปิดอีกห้อง?

แต่อยู่ร่วมกันก็มีประโยชน์นะ
จึงไม่แน่ใจว่าการแยกห้อง จะเป็นการแก้ปัญหาหรือหนีปัญหากันแน่

:b8:

.....................................................
วงว่างยงอยู่ยั้ง อนันตกาล
ในถิ่นที่ทุกสถาน แหล่งหล้า
ยึดมั่นไป่พบพาน ประจักษ์
ยามปล่อยหยุดไขว่คว้า ถึงได้โดยพลัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2013, 09:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




GEDC1775_resize.JPG
GEDC1775_resize.JPG [ 78.03 KiB | เปิดดู 4946 ครั้ง ]
Onion_L
คูณโฮฮับ กำลังชักใบให้เรือเสีย กำลังจะทำให้เรื่องราวที่ดีๆ กลายเป็นมั่วและสับสนไปเสียแล้วนะครับ

การพูดธรรมะภาคปฏิบัตินั้น ต้องพิจารณาให่ดีเพราะเป็นการนำเอาการสัมผัสกับสภาวธรรมจริงมาพูดเล่าสู่กันฟัง การใช้บัญญัติศัพท์แสงอาจเป็นภาษาพูดผสมกับภาษาเขียน ต้องตีความให้ถูกต้อง ถ้าตีความผิดก็จะแตกห่างจากประเด็นไปไกล้เลยทีเดียว

คำพูดที่คุณโฮฮับพยายามจะมาชี้ว่านี่ถูก นี่ผิดนั้น บางทีอาจทำให้เกิดความพลาดใหญ่ก็ได้ เพราะความถูกความผิดนั้นอยู่ที่สัจจธรรมที่จะเกิดขึ้นกับใจของผู้ปฏิบัติ ไม่ใช่การตัดสินของ นาย ก. นาย ข. ต้องพิสูจน์ธรรมเสียก่อน แล้วจึงค่อยตัดสิน

:b6: :b6:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2013, 09:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




G1 หินลับมีดปัญญา.jpg
G1 หินลับมีดปัญญา.jpg [ 73.3 KiB | เปิดดู 4944 ครั้ง ]
โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:

คุณโฮฮับจะเปรียบโคลนในน้ำเหมือนอนุสัยกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิต ก็ใช้ได้ครับ เป็นมุมมมองในเรื่องของกิเลส อนุสัย

แต่ในมุมมองที่อโศกะยกมานั้น ต้องการให้เห็นว่า เมื่อทำกายและจิตให้สำรวมและสงบนิ่งลงมากเท่าใด รูปธรรม ที่เป็นของหยาบ จะแยกตัวออกให้เห็นได้ชัด จาก นามธรรม ที่เป็นของละเอียด ผู้ที่ไปเห็นความแยกตัวของรูปธรรม กับ นามธรรม นั้นคือ สติและปัญญา นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของวิปัสสนาภาวนา

การทำสมาธิโดยการทำให้จิตรวมและสงบนิ่ง รูปและนามจะไม่ได้แยกกันแบบที่คุณว่า
มันกลับจะทำให้รูปนามรวมกันเป็นหนึ่ง เรียกว่าฌาน จิตและกายรวมกันจนเป็นความว่าง(เอกกัตคัตตา)

การปฏิบัติเพื่อการแยกรูป แยกนามที่ถูกจะต้องให้จิตมีสมาธิที่ตั้งมั่น
ไม่ใช่ให้จิตสำรวมนิ่งๆ

จิตจะต้องมีสติคอยกำกับอยู่ตลอดเวลา เพื่อคอยตามรู้ผัสสะ ว่าเกิดผัสสะไหนขึ้นที่ทวารรูปใด
เมื่อจิตซึ่งเป็นนาม คอยตามรู้ผัสสะได้อย่างรวดเร็ว ผัสสะเกิดที่ปสาทรูป ก็คือรูปนั้นเอง
ลักษณะแบบนี้ เรียกว่า จิตแยกตัวออกมาเพื่อรู้กาย นั้นแสดงว่า รูปนามแยกออกจากกันแล้ว


:b12: :b12: :b12:

เมื่อจิตรวมและนิ่ง ในระดับ ขณิกะสมาธิและอุปจาระสมาธิ วิตกวิจารณ์ จะยังสามารถทำงาน วิเคราะห์วิจัยธรรม ค้นหาเหตุหาผลได้อยู่ ไม่ใช่ไปเข้าเอกัคตารมณ์ อย่างที่คุณโฮฮับด่วนตัดสิน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ความรู้เรื่องระดับสมาธิของคุณโฮฮับ เป็นรู้แบบสุดโต่งเกินไป แล้วเอาสมาธิมาใช้ไม่เป็น

อนึ่งการแสดงตัวแยกตัวของ รูป กับ นาม หรือ กาย กับ จิต นั้น เขาจะแยกตัวออกมาเองโดยธรรมชาติ เมื่อจิตสงบได้ที่ หรือได้ระดับ.....ดูจากแผ่นภาพหรือไดอะแกรมที่แนบมา
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2013, 09:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b16: :b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2013, 09:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
คุณโฮฮับ กำลังชักใบให้เรือเสีย กำลังจะทำให้เรื่องราวที่ดีๆ กลายเป็นมั่วและสับสนไปเสียแล้วนะครับ

พูดอะไรอย่างนั้นครับ ผมพายเรือของผม คุณก็พายเรือของคุณ มันเกี่ยวกันตรงไหน
ต่างคนก็ต่างอธิบายธรรมตัวเองไป คุณมีประสบการณ์อย่างไรก็สาธยายมา
เลิกเถอะครับ! ขอร้องไอ้ประเภทว่ากล่าวคนแบบไร้เหตุผลแบบนี้อย่าเลยครับ
เพราะมันเป็นการชักใบให้เรือเสียตามที่คุณบอกนั้นแหล่ะครับ
asoka เขียน:
การพูดธรรมะภาคปฏิบัตินั้น ต้องพิจารณาให่ดีเพราะเป็นการนำเอาการสัมผัสกับสภาวธรรมจริงมาพูดเล่าสู่กันฟัง การใช้บัญญัติศัพท์แสงอาจเป็นภาษาพูดผสมกับภาษาเขียน ต้องตีความให้ถูกต้อง ถ้าตีความผิดก็จะแตกห่างจากประเด็นไปไกล้เลยทีเดียว

ก็นั้นแหล่ะ คุณมั่นใจว่า เรื่องที่คุณเล่าเป็นเป็นสภาวะธรรมจริง คุณจะต้องไปเดือดร้อนหวาดระแวงอะไร
ถ้าคุณเห็นว่าคำพูดไหนของผม ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นสภาวะธรรม คุณก็หยิบยกมาวิจารณ์ได้ครับ
แต่เท่าที่เห็นมา มีแต่ออกมาตีโพยตีพาย หาว่าผมชักใบให้เรือเสีย ก่อกวนบ้าง เอาปืนจี้หัวบ้าง
มันไม่มีสาระเลยครับ การแสดงอาการแบบนี้ยิ่งทำให้ความเห็นของตนหมดความน่าเชื่อถือมากกว่าเดิม
asoka เขียน:
คำพูดที่คุณโฮฮับพยายามจะมาชี้ว่านี่ถูก นี่ผิดนั้น บางทีอาจทำให้เกิดความพลาดใหญ่ก็ได้ เพราะความถูกความผิดนั้นอยู่ที่สัจจธรรมที่จะเกิดขึ้นกับใจของผู้ปฏิบัติ ไม่ใช่การตัดสินของ นาย ก. นาย ข. ต้องพิสูจน์ธรรมเสียก่อน แล้วจึงค่อยตัดสิน

คุณก็รู้นี่ครับว่า ขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติ ผมหรือคุณไปบังคับใครเขาไม่ได้
แบบนี้คุณจะมาเดือดร้อนกับความเห็นผมทำไมครับ พูดจาไม่มีเหตุผลเลยครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 60 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร